คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สำนักโยคาจาร - จริยศาสตร์
สังสารวัฏ
สำนักโยคาจาร และสำนักมหายานอื่นๆ ต่างก็เชื่อในการเวียนว่าย และเชื่อในสังสารวัฏร แต่ในที่นี้ โยคาจารถือว่า สังสารวัฏรและนิพพานนั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นเดียวกันโลกิยะหรือโลกุตะระ ด้วยว่าทั้งสองต่างก็เป็นเรื่องของจิต จิตเป็นแหล่งเกิด ดับ ของภาวะทั้งหลาย กล่าวขยายให้เห็นภาพโดยง่ายคือ จิตนั้นเป็นตัวสร้างวิญญาณ วิญญาณเป็นตัวสร้างโลก สร้างกระบวนการเกิดของสรรพชีวิต รวมไปถึงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็สามารถอธิบายได้ด้วยจิตเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ จิต จะอยู่ตรงกลางระหว่างความทุกข์และความหลุดพ้น ธรรมชาติของจิตนั้นขัดแย้ง เปลี่ยนแปลง มีการถ่ายพีชะเข้าออกเสมอ ทุกครั้งที่มีการกระทำเกิดขึ้น ผลของกรรมนั้นก็จะกลับมาประทับอยู่ในจิต นำไปสู่การกระทำอื่น แล้วก็เกิดเป็นรอยประทับอันใหม่ในอาลยวิญญาณ เวียนเช่นนี้เรื่อยไป เป็นเหมือนกับกงล้อ เมื่อการเกิดเริ่มจากจิต การดับจึงลงที่จิตเช่นกัน การเกิดนั้นถือได้ว่าเป็นทุกข์ การที่จะดับทุกข์ลงได้ก็ต้องรู้จักว่ามันคืออะไร และมีที่มาอย่างไร เพื่อจะไปสู่ความหลุดพ้นจุดมุ่งหมายสูงสุด
จุดมุ่งหมายของโยคาจารก็คือ การบรรลุโมกษะ รู้สัจธรรม และเข้าถึงความหลุดพ้นจากวัฏฏะ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้แจ้งอทวิภาวะแห่งวัตถุกับจิต สำนักโยคาจาร ได้ใช้ชื่อนี้ก็เนื่อมาจาก การใช้วิธีปฏิบัติโยคะ๒ เพื่อมุ่งศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรมขั้นสูงสุด และถือว่าวิธีปฏิบัตินี้เป็นการดำเนินตามรอยบาทพระพุทธองค์ ซึ่งทรงเน้นข้อปฏิบัติทางกายและทางใจเป็นสำคัญ เพื่อนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรม ข้อปฏิบัติทางจิตก็คือการฝึกจิตเพื่อให้รู้แจ้งสัจธรรมขั้นสูงสุด แล้วจะพบว่า
(๑) สากลจักรวาลหาใช่อื่นที่แยกออกไปจากจิตไม่
(๒) ในสัจธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดและการตาย และ
(๓) ไม่มีสิ่งหรือวัตถุภายนอกจิตที่มีอยู่จริง ๆ
พุทธศาสนาทุกนิกายเห็นตรงกันว่า มีการเวียนว่าตาย-เกิดในวัฏสงสารที่เรียกว่า วัฏจักรแห่งชีวิต คนหนึ่ง ๆ อาจเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน การบำเพ็ญธรรมนพระศาสนานี้ ก็เพื่อยุติการเกิดหรือทำลายวัฏจักรแห่งชีวิตนั้นเอง
ท่านอสังคะกล่าวไว้ว่า การทำลายวัฏจักรนั้นจะทำได้โยอบรมให้มีความรู้ชอบและประกอบแต่กรรมดี จนสามารถเข้าถึงวิมุติได้ในที่สุด ท่านแนะวิธีปฏิบัติไว้เป็นขั้น ๆ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ต้องรู้ตระหนักว่า วัตถุภายนอกเป็นอารมณ์ของจิตเท่านั้น หามีอยู่จริง ๆ ไม่ สิ่งที่มีอยู่จริง ๆ ก็คือ จิต
ขั้นที่ 2 ต้องรู้ตระหนักว่า จิตแต่ละดวงเป็นเพียงจินตนาการกับอารมณ์ของมัน เมื่อตัดทวิภาพระหว่างจิตกับอารมณ์ออกไปได้แล้ว เขาก็จะก้าวขึ้นสู่การรู้แจ้งภาวะสัมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเอกภาพอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งหลาย เป็นความจริงแท้ขั้นอันติมะ สามารถขจัดข้อบกพร่องของปัญญาขั้นเหตุผลให้หมดไปได้ เปรียบเหมือนยาที่มีกำลังแรงกล้า สามารถขจัดยาของพิษออกไปได้ ฉะนั้น
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้เข้าถึงความจริงขั้นสูงสุดนี้แล้ว ก็บรรลุญาณที่ 4 และเสวยสุขอยู่เรื่อยไป แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็มีคุณสมบัติพร้อมจะทำงานเพ่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฆสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด
ท่านอสังคะกล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า “อันภาชนะใส่น้ำเมื่อแตกแล้ว แสงสะท้อนจะดวงจันทร์ในน้ำแห่งภาชนะนั้นย่อมไม่ผ่องใส ฉันใด บุคคลผู้ไม่บริสุทธิ์ ก็ย่อมไม่เห็นแจ้งทุกสภาวะ ฉันนั้น เมื่อบุคคลรู้แจ้งเห็นจริงว่า อัตตาและธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่จริง และเห็นแจ้งซึ่งสัจธรรมอันเป็นเอกดังนี้แล้วเขาจะรู้แจ้งอาลยวิญญาณ”
ปัญจโคตร
ปรัชญาโยคาจารได้แบ่งสภาพของสัตว์ทั้งปวงออกเป็น 5 โคตร เรียกตามศัพท์ทางวิชาการว่า ปัญจโคตร จัดเป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยามคือ มีอยู่ตามธรรมชาตินับแต่กาลอันกำหนดไม่ได้ ปัญจโคตร คือ
1. สาวกโคตร ได้แก่สัตว์ผู้มีสาวกพีชะอยู่ จึงสามารถบรรลุสาวกภูมิหรืออรหัตภูมิได้เป็นอย่างสูง
2. ปัจเจโคตร ได้แก่สัตว์ผู้มีปัจเจกพีชะอยู่ จึงสามารถบรรลุได้เฉพาะปัจเจกภูมิเท่านั้น
ทั้ง 2 พวกนี้ละกิเลสาวรณะได้ยังละธรรมาวรณะไม่ได้
3. ฑพธิสัตวโคตร ได้แก่สัตว์ผู้มีโพธิสัวพีชหรืออนุตรสัมโพธิพีชะสามารถบรรลุถึงโพธิสัตวภูมิ และพุทธภูมิ ละพุทธภูมิ ละกิลสาวรณะและธรรมาวรณะได้เด็ดขาด
4. อนิยตโคตร ได้แก่สัตว์ผู้มีทั้งสาวกพีชะ ปัจเจกพีช และโพธิสัตว์พีชะสามารถบรรลุสาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ และสัมมาสัมพุทธภูมิได้ สุดแล้วแต่ประณิธาน
5. อิจฉันติกโคตร ได้แก่สัตว์ผู้ไม่มีอนาสวพีชะ 3 แห่งภูมิ 3 (สาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ โพธิสัตวภูมิ) เลย จึงไม่อาจละกิเลสาวรณะ และธรรมาวรณะได้และไม่สามารถบรรลุโลกุตรภูมิได้เลย บรรลุได้แต่โลกิยสมมุติ เช่น มนุษย์สวรรค์ เท่านั้น
ทศภูมิของพระโพธิสัตว์
ผู้ปรารถนาจะบรรลุโพธิสัตวภูมิและพุทธภูมิ จะต้องบำเพ็ญบารมี 6 ประการ หรือ 10 ประการ และต้องดำเนินตามทศภูมิของพระโพธิสัตว์ดังนี้
1. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม มีความยินดีในการกำจัดทุกข์ของสรรพสัตว์ คือบำเพ็ญหนักในทานบารมี
2. วิมลาภูมิ พระโพธิสัตว์ละมิจฉาจริยาได้ขาด ประพฤติแต่สัมมาจริยาคือบำเพ็ญหนักในศีลบารมี
3. ประภาการีภูมิ พระโพธิสัตว์ต้องมีความอดกลั้นทุกประการ คือ บำเพ็ญหนักในขันติบารมี
4. อรรถจีสมดีภูมิ พระโพธิสัตว์ต้องมีความเพียรกล้าในการบำเพ็ญคุณธรรม เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ คือ ต้องบำเพ็ญหนักในเรื่องของวิริยบารมี
5. ทุรชยาภูมิ พระโพธิสัตว์ละขาดซึ่งภาวะแห่งยาน 2 ( สาวกยานและปัจเจกยาน ) ซึ่งเป็นธรรมาวรณะต่อพุทธภูมิ คือ บำเพ็ญหนักในสมาธิบารมี
6. อภิมุขีภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญยิ่งในปัญญาบารมี รู้ชัดในปฏิจจสมุปบาท
7. ทูรังคมาภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในเรื่องอุปายบารมี
8. อจลภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในประณิธานบารมี
9. สาธุมดีภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในพลบารมี
10. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในญาณบารมี มีอิสระไม่ผูกติดในสิ่งทั้งปวง ดุจเมฆลอยซึ่งลอยละล่องอยู่ท่ามกลางนภากาศอย่างเสรี
ความคิดเห็น