คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : สำนักเสาตรานติกะ - อภิปรัชญา
อภิปรัชญาสำนักเสาตรานติกะ
สำนักเสาตรานติกะแตกออกมาจากสัพพัตถิกวาทิน ปรัชญานี้นับถือพระสุตตันตปิฎกเป็นสำคัญ ไม่ยอมรับพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก สำนักปรัชญานี้เป็นของนิกายสรวาสติวาท เช่นเดียวกับ สำนักไวภาษิกะ
ใจความสำคัญของหลักปรัชญา
ใจความสำคัญของสำนักนี้ คือ ยอมรับความแท้จริง ๒ อย่าง ได้แก่ ความจริงแท้ของวัตถุ หรือรูปธรรม กับความแท้จริงของจิต หรือนามธรรมเช่นเดียวกับไวภาษิกะ จึงจัดเป็นปรัชญาสัจนิยมเหมือนกัน แต่ต่างจากสำนักไวภาษิกะในทางญาณวิทยา กล่าวคือ ไวภาษิกะถือว่า ความแท้จริงของวัตถุหรือความแท้จริงภายนอก สามารถรับรู้ได้ด้วยประจักษประมาณ ความแท้จริงของจิตหรือความแท้จริงภายใน รู้ได้ด้วยอนุมานประมาณ หรือประจักษประมาณพิเศษ แต่สำนักเสาตรานติกะเห็นว่า ความแท้จริงทั้ง ๒ ประการนี้ รู้ได้ด้วยอนุมานประมาณเท่านั้น ความแท้จริงภายนอกที่ปรากฏทางประสาทสัมผัส ซึ่งไวภาษิกะถือว่า เป็นความแท้จริงตามความเป็นจริงนั้น เสาตรานติกะค้านว่า ที่ปรากฏนั้นเป็นเพียงภาพปรากฏของความจริงแท้ที่ไม่ปรากฏ ถ้าจะให้รู้ความแท้จริงแท้ๆก็ต้องอนุมานเอาจากภาพปรากฏไปหาความแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังของภาพปรากฏนั้น พูดถึงการเน้นหนักของสำนักทั้ง ๒ นี้ก็ต่างกัน คือไวภาษิกะเน้นหนักความจริงภายนอก ส่วนเสาตรานติกะเน้นหนักความจริงภายใน และยอมรับหลักปฏิจสมุปบาทเช่นเดียวกับไวภาษิกะ ด้วยเหตุที่ถือความจริงทั้ง ๒ อย่างดังกล่าวนี้ สำนักเสาตรานติกะจึงเป็นปรัชญาพวกสัจนิยมดังกล่าวข้างต้น
อภิปรัชญา
หลักอภิปรัชญาของเสาตรานติกะโดยทั่วไปก็ตรงกับของไวภาษิกะ คือ ยอมรับความมีอยู่จริงของวัตถุภายนอกและของจิตกับอารมณ์ภายใน ต่างกันแต่ในทางญาณวิทยาดังกล่าวแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลักอภิปรัชญาที่จะนำมากล่าวต่อไปนี้แสดงให้เห็นทัศนะของสำนักพุทธปรัชญาทั้ง ๒ นี้ว่าเห็นแตกต่างกันอย่างไรบ้างหรือไม่
ขณิกภังควาท
ทฤษฎีทางอภิปรัชญา ที่ไวภาษิกะและเสาตรานติกะเห็นตรงกันมีชื่อว่า ขณิกภังควาท
หรือเรียกสั้นๆว่า ขณิกวาท (The Theory of Momentariness) ทฤษฎีนี้ถือว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ได้นานหรือคงทนถาวร บางท่านเรียกทฤษฎีนี้ว่า สันตติวาท (The Theory of Flux) เพราะถือว่า นามรูปเกิด-ดับ ๆ สืบต่อกันเป็นกระบวนการลูกโซ่ ไม่หยุดหย่อน และบางท่านเรียกทฤษฎีนี้ว่า สังฆาฏวาท (The Theory of Aggregate) เพราะถือว่าวิญญาณเป็นเพียงขันธ์ขันธ์หนึ่งในขันธ์ ๕ เช่นเดียวกับ รูป เวทนา สัญญา และสังขาร ซึ่งแต่ละอย่างก็เป็นเพียงขันธ์หนึ่งๆ
ทฤษฎีขณิกภังควาท ตั้งขึ้นจากหลักไตรลักษณ์ของพุทธศาสนา และมีนัยเป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิสัสตทิฐิ และอุจเฉททิฐิของสำนักปรัชญาอื่น
ตามหลักทฤษฎีนี้มีรายละเอียดว่า ทุกสิ่งเป็นขณิกะ คือ ตั้งอยู่ชั่วขณะเดียวแล้วดับไป หมายความว่าไม่เที่ยงนั่นเอง กล่าวคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขณิกะ (ไม่เที่ยง) ไม่อยู่ในอำนาจของตน (เป็นทุกข์) ไม่มีทั้งภาวะ (being) และอภาวะ (non-being) สิ่งที่เป็นภาวะก็ดี อภาวะก็ดี ล้วนไม่ใช่ความแท้จริง อาการที่เปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลายเท่านั้น คือ ความแท้จริง
ทฤษฎีนี้ถือต่อไปว่า ชีวิตนี้ไม่ใช่อื่นไกล ที่แท้ก็คืออนุกรมแห่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่เรื่อยๆ ไม่มีสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร มีแต่การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็ไม่มี อนุกรมแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมเป็นไปต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจึงเกิดขึ้น และสิ่งนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่อไปอีกเป็นวัฏจักร ในทางปฏิโลมนั้นก็ย่อมเป็นไปตามนี้ คือ เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับด้วย ทั้งหมดนี้ตรงกับกฎปฏิจสมุปบาท
สรุปว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ดับเพราะมีเหตุปัจจัย ในโลกนี้จึงมีแต่การเกิดกับการดับ การผลิตกับการทำลาย หรือการสร้างกับการเสื่อมสลาย ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนี้ ไม่มีมนุษย์และเทพองค์ใดที่สามารถอยู่ได้ยืนยงคงอยู่ชั่วนิรันดร
พระพุทธองค์ทรงเปรียบชีวิตไว้ในที่หลายแห่งว่า เหมือนกับพยับแดดบ้าง เหมือนฟองน้ำบ้าง เหมือนเปลวไฟบ้าง เพราะเกิดและดับในระยะอันสั้น
มโนภาพเรื่องนิพพาน
ความหมายของนิพพาน
เสาตรานติกะถือว่า นิพพานเป็นผลมาจากการปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘ นิพพานจึงมีเหตุปัจจัยเป็นแดนเกิด ฉะนั้น นิพพานจึงไม่เที่ยง และไม่จัดเป็นอสังขตธรรมอย่างที่พวกไวภาษิกะเข้าใจ เสาตรานติกะอธิบายนิพพานไว้ว่า หมายถึงความไม่มีกิเลส หรือขั้นหนึ่งของจิตที่ดับกิเลสาสวะได้โดยสิ้นเชิงนั่นเอง นิพพานเหมือนกันอากาศ คือไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ และเหมือนกับการดับมอดแห่งเปลวไฟ การบรรลุนิพพาน จึงเป็นการเข้าขั้นขั้นหนึ่ง ซึ่งไม่มีกิเลสาสวะใดๆ ท่านพรรณนานิพพานไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ได้แก่ขั้นที่ธรรมทั้งหลายไม่มีการเกิดขึ้น เสาตรานติกะถือว่า นิพพานเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ในบรรดาสัจธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ความแท้จริงสูงสุด
ความคิดเห็น