หน้าที่ 1 , 2 , 3
 
ใครแต่ง : ธุวัฒธรรพ์
30 ต.ค. 65
100 %
1 Votes  
#1 REVIEW
 
เห็นด้วย
32
จาก 32 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 19 ธ.ค. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

บทความบทที่ 1 – 7 ได้ทำการวิจารณ์ไว้ล่วงหน้าวันที่ 25 Nov ครับ ถ้าผู้เขียนมีการรีไรท์หลังจากช่วงนี้ขออภัยด้วย (ผมขอตัดสิ่งที่วิจารณ์บางอย่างออกไปในนี้นะครับ เพราะทั้งหมดนั้นได้แจ้งรายละเอียดให้กับผู้เขียนเรียบร้อยแล้ว)

จุดขัดแย้งของบทที่สองที่ผมเจอ เมื่อเคซีบอกว่า ถ้าใช้พลังไม่ได้ เพราะจะทำให้เครื่องบินตก เพราะฉะนั้น พลังของเคซีน่าจะเป็นการโน้มน้ำหนักลง (ตามความเข้าใจของตัวเคซีเอง) แต่พอเครื่องบินจะตก เขากลับใช้พลังงานในรูปแบบของการถ่วงน้ำหนักให้ลงสู่พื้นช้าลง (ผมไม่รู้ว่ามันเรียกอะไรนะ เพราะฟิสิกส์ผมไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ แต่ผมก็พอจะมองภาพออก) เพราะฉะนั้น ผมว่า คุณน่าจะเปลี่ยนบทจากที่เคซีพูดว่า ใช้ไม่ได้ กลับมาเป็น ใช้ได้แต่ไม่ใช้เพราะเขาอยากเห็นพลังของเรแพนมากกว่านะครับ เพราะเคซีถือพลังมานานพอตัว เขาน่าจะเข้าใจพลังตัวเองได้เยอะกว่า แต่ถ้าผู้เขียนเสนอแนวคิดที่ว่า เคซีเพิ่งเข้าใจว่าพลังสามารถปรับเปลี่ยนได้ เหมือนกับของ เรแพน ก็น่าจะมีช่วงให้เคซีหยุดคิดทำความเข้าใจกับพลังตัวเองสักแปปแล้วจึงเริ่มใช้พลังตอนเครื่องบินจะตก (ได้รับคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว)

อีกเรื่อง ในเมื่อเคซีพาร่างทุกคนมาถึงฝั่งบอลติกได้ แต่ทำไมข้าวของถึงจมทะเล ถ้าเคซีถือพลังแรงโน้มถ่วงจริง ผมว่า สิ่งของก็น่าจะอยู่ใต้อาณัติพลังนี้นะครับ เพราะฉะนั้นข้าวของทั้งหมดไม่น่าจะจมทะเล (ถ้าจะบอกว่า พลังของเคซีมีขอบเขตที่จำกัด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวของหรือผู้คนก็ต้องกระจัดกระจายไปไกลตามแรงเหวี่ยง เท่าๆ กัน เพราะฉะนั้น เคซีจะไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ครับ (ผลของเรื่องนี้กระทบเหตุการณ์ในบทที่ 3) (ได้รับคำอธิบายเรียบร้อยแล้ว)

ผมเสียดายจริงๆ เลยเพราะบทที่ 2 คุณเพิ่งใช้คำว่า ล่ำลา ไป พอมาบทนี้น่าจะลืม เขียนเป็น ร่ำลา ซะได้ จริงๆ แล้วในเยอรมัน ตามป้ายต่างๆ จะไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะครับ (แต่คนยังพูดภาษาอังกฤษได้) พวกเขายังมีความเป็นชาตินิยมหลงเหลืออยู่แม้ฮิตเลอร์จะตายไปแล้ว ถ้าพระเอกมาจาก อเมริกา เพราะฉะนั้น เขาน่าจะอ่านภาษาเยอรมันไม่ออก (เด็กเมกัน ส่วนใหญ่เลือกภาษาสเปนเรียนเป็นภาษาที่สองมากกว่า) ผมว่าลองให้สภาพแวดล้อมบอกตัวพระเอกดีกว่าว่านั่นคือ สุสาน เพราะสุสานทุกที่ก็เหมือนกัน

ตอนแรก ผมคิดว่า แอชชีย์น่าจะเป็นพรรคพวกของพระเอก แต่หลังจากที่จบตอนที่ 3 ผมเดาว่า เน็กเธอร์น่าจะเป็น สมาชิกคนที่สามไปซะงั้น ไม่รู้ทำไม แต่บุคลิกมันได้ครับ ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาไม่ใช่คนชั่วมากนัก อารมณ์น่าจะเอาแต่ใจตัวเอง ผมยังไม่ได้อ่านบทต่อไป เขียนคำวิจารณ์ขึ้นมาก่อน จะได้รู้ว่า วิธีเดินเรื่องของผม เหมือนกับผู้เขียนหรือเปล่า

บทที่สาม ทำให้ผมคิดถึงเรื่อง X-Men ใช้พลังของแต่ละคนต่อสู้กัน - - คือแบบนี้มันต้องใช้ไหวพริบกันเลยทีเดียว

สืบเนื่องมากจากบทที่ 2 พอผมอ่านจบ ผมก็รู้ว่าผมเดาถูกด้วย - - แต่กว่าจะเดาถูกก็ลุ้นน่าดูเลยนะ กลัวแอชชีย์ จะเป็นสมาชิกเสียแทน แต่พอเห็น เรแพนวิ่งไปปุ๊บ ก็คิดว่าใช่ทันที เพราะถ้าเป็นผมเขียน ผมก็จะให้ น.ม.ด. เนี่ยละครับเป็นสมาชิกคนที่ 3 และอาจจะต้องพา แอชชีย์ไปด้วย แบบนี้ก็จะทำให้การเดินเรื่องสนุกขึ้น เพราะ เคซีและ น.ม.ด. เคยต่อสู้กัน มันก็น่าจะต้องมีบทที่ต้องขัดใจกันบ้าง (เผลอๆ จะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวด้วยหรือเปล่า เพราะแอชชีย์ น่าจะชอบผู้ชายสไตล์ คาซี )

ผมช็อกจริงๆ ที่หลวงพ่อเป็น - - - เอิ่ม...จริงๆ มันเป็นการหักมุมที่ดีมากเลยครับ และถ้ามีเวลาลำดับตัวละครสักหน่อย หลวงพ่อ ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจพอตัว
พอมาถึงฉากที่พระเอกสู้กับหลวงพ่อ เรแพนใช้พลังจากตัวเลข เป็นเรื่องที่ดีมากครับและผมมองว่าถ้าเรแพนรู้วิธีการใช้มากกว่านี้ จะหาคนสู้ได้น้อยมากเพราะตัวเลขถูกแทนไว้กับทุกๆ สิ่งที่มนุษย์จะคิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าค่าเปลี่ยนแปลงไป โอกาสที่พระเอกจะใช้พลังหลากหลายก็ย่อมมี แต่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มกลัวเกี่ยวกับพลังเรแพนนั่นก็คือ พลังของตนเองทำร้ายตนเองและเรแพนจะกลายเป็นคนที่ไม่เก่งเลย เหตุผลตรงนี้ขอละไว้ครับ มันเป็นข้อมูลที่ผมส่งต่อให้ผู้เขียนโดยตรง เผื่อไอเดียเล็กๆ น้อย จะเข้าไปอยู่ในนั้น มันจะได้ไม่ทำลายความอัศจรรย์ที่เรื่องได้ดำเนินมาตลอด

ปล ตอนที่สาม - - เสียดาย แอชชีย์ไม่ได้ไปด้วย

การเล่าเรื่องที่ผมเห็นแล้วขัดแย้งมากที่สุดก็เห็นจะเป็น บทที่ 5 ครับ มันสลับไปมาระหว่าง การเล่าเรื่องของผู้เขียนและการเล่าเรื่องจากตัวละครหลัก อย่างที่คุณเข้าใจ การเล่าเรื่องจากตัวละครหลักผ่านเรแพน แบบที่คุณทำอยู่ มันเป็นการมองภาพเพียงมุมเดียว (มุมที่เรแพนเห็นและคิด) เพราะฉะนั้น การเล่าเรื่องแบบนี้มันเลยยาก ดังนั้น นักเขียนโดยส่วนใหญ่ เลยเลือกที่จะเสริมการบรรยายไปด้วย คราวนี้ความยากก็คือ ถ้าเราจัดช่วงของการนำเสนอไม่ดี ผู้อ่านจะรู้สึกว่า เอ๊ะ กลับไป กลับมา อีกแล้ว

4 บทแรก ผมชอบการจัดบทของคุณนะครับ แต่พอมาบทที่ 5 ทุกคนนั่งเรือมาที่อิตาลี เจอผู้ร้ายและจัดการ แล้วจู่ๆ ก็ตัดมาที่อียิปต์ และก็เข้าสู่แผนการร้ายและวกกลับมาอิตาลีอีกครั้ง มันเลยดูไม่ค่อยเป็นลำดับที่ดีนัก

แต่ไม่ใช่ว่าผมมองไม่ออกนะครับ ผมเข้าใจที่คุณยกตอนของอียิปต์มาเพราะว่าจะสื่อให้คนอ่านเข้าใจว่า ในช่วงเวลานั้น มีเหตุการณ์ที่เกี่ยงข้องกับ SSS ในอียิปต์ แต่ถึงแม้คุณจะเอาช่วงนี้ไปลงไว้ที่บทแรกของการไปอียิปต์ ช่วงเวลาของเหตุการณ์ก็ไม่ได้บิดเบือนสักเท่าไหร่เพราะว่า ยังไง คนอ่านก็กะเวลาที่แน่นอนไม่ได้หรอกครับสำหรับในนิยาย

ผมกำลังมองว่า นี่มันคล้ายๆ บทภาพยนตร์ของหนังผีของไทยเรื่องหนึ่ง ที่ไล่เหตุการณ์ตามลำดับเวลาจนทำให้คนดูเกิดอาการงงๆ เล็กน้อย (แต่นิยายไม่เหมือนหนังผีครับ คนอ่านยังเข้าใจอยู่เพราะถ้าไม่รู้เรื่องก็กลับไปอ่านใหม่ได้ แต่ถ้าดูในโรง พลาดแล้วต้องรอดีวีดีกันเลยทีเดียว)

ผมไม่เคยไปอิตาลีนะครับ เลยมองไม่ออกว่าที่ไหนเป็นที่ไหน แต่ผมเชื่อว่า ผู้เขียนน่าจะมีผังเมืองของที่นั่นเลยสามารถกะที่ตั้งของสถานที่ได้ แต่ถ้าผู้เขียนเคยไป ก็จะง่ายขึ้น (ตรงนี้ผมไม่อยากให้มองข้ามไป เพราะมันจะทำให้นิยายเราสมจริงมากยิ่งขึ้น)

ผมเห็นซูรัลวิ่งเข้าไปสถานเด็กกำพร้ารู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก - - ผู้เขียนสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวละครได้ดีจริงๆ ครับ

เหตุการณ์ที่มีการเสพยาแล้วเพื่อบ้านแจ้งตำรวจจับ ดูเป็นไทยไปหน่อยนะครับ วัฒนธรรมตะวันตก โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของใคร

บทที่ 6 ผมว่า เมื่อต่อสู้เสร็จ ทั้งสองคนน่าจะออกตามหาเพื่อนที่กำลังถูกรุมมากกว่า ที่จะเล่าประสบการณ์ชีวิตนะครับ อิอิอิ ราแพนลืมง่ายจริง

ตรงนี้ สับสนน่าดูนะครับ ระวังหน่อย มันมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระวัง
เน็กเธอร์ ซึ่งเจอ คาซีตัวปลอม และ คาซี ซึ่งเจอราแพนตัวปลอม
แบบนี้ผมว่าควรขั้นด้วยคำบรรยายสักนิดเพื่อให้ผู้อ่านตามทันจะดีกว่า เพราะตัวผมเอง วนอ่าน สามรอบเลย เพราะผมไม่รู้ว่า “แม้กระแสน้ำจะไหลเอื่อย แต่เรือลำนั้นกลับพุ่งเร็วเข้าใส่เรือของเน็กเธอร์ราวติดจรวด” จะเป็นประโยคจบ แล้วต่อด้วยเหตุการณ์ที่คาซี เจอ เรแพน

อย่าลืมว่า สองเหตุการณ์นี้ มี คาซี เป็นตัวละครซ้อนกันครับ

ที่อเมริกา เอาแรงเลยนะครับ ผมว่า งดชื่อประธานาธิบดี ดีกว่า แค่บอกว่า ประธานาธิบดีคนที่ 44 ทุกคนก็พอเข้าใจ หรือประธานาธิบดีผิวสีคนแรก อะไรประมาณนี้ ผมจะได้ไม่ดูส่อมากไป เพราะตอนนี้ โอบามา ยัง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำอยู่ ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาตายหรือว่า ลงจากตำแหน่งแล้ว ผมว่า นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

บทที่ เจ็ด ไม่มีอะไรนอกจากคำว่า สนุก - - อยากได้ X-Ray บ้างจัง จะได้ส่องสาวๆ *-*

บทที่แปด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าจะปรับเปลี่ยนเรื่องของเรแพนระหว่างพ่อ อาจจะไม่ใช่สายเลือดกันแบบที่เห็น อาจจะเป็นอาหรือลุงที่เอามาเลี้ยงโดยหวังแค่เงินที่ครอบครัวเรแพนทิ้งไว้ให้และเมื่อเรแพนจะออกจากบ้านก็ไม่ยอม จนคาซีต้องยื่นมือเข้ามาช่วยถึงได้ปล่อยไป - - ผมมองแบบนี้นะ ถึงเรแพนจะสนิทกับเน็กเธอร์หรือคาซีหรือซูอัลก็ตาม แต่คำว่า พ่อ ก็น่าจะมีความสำคัญพอตัวอยู่นะครับ เหตุผลที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันและไม่ได้เจอหน้ากัน มันยังไม่ดีพอที่จะทำให้วิญญานของทั้งสามมาแทนที่พ่อบังเกิดเกล้าได้ ผมเข้าใจว่าอยากดำเนินเรื่องต่อเพราะตอนแรกคุณอาจจะไม่ได้แพลนรายละเอียดมากมายไว้แบบนี้ น่าจะมีพล็อตหนึ่งและเสริมสิ่งที่อยากได้เข้าไปเพื่อให้สนุก เพราะตอนนี้ก็กระโดดมาไกลจากตอนแรกเยอะ แต่ตอนที่รีไรท์ส่งนิยายออกพิมพ์ หวังว่าจะชนะ อยากให้เก็บตรงนี้เอาไปคิดเล็กน้อย อย่างน้อยความสำคัญของคนในครอบครัวน่าจะมีมากกว่าเพื่อน (อยากเห็นเรแพนอ่อนโยนเหมือนซูอัล คนเก่งไม่จำเป็นต้องแข็งกระด้างเสมอไป) โดยเฉพาะ พ่อและแม่ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนิยายเรื่องนี้จะไปไกลสักแค่ไหน ถ้ามีนักแปลเก่งๆ สักหนึ่งคน เอาไปแปล ผมว่าน่าจับตามองนะครับเพราะฮอลลีวู๊ดยังไม่มีฮีโร่แบบนี้ - - ได้ทั้งความสนุกและรู้ประวัติศาสตร์

แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ - - จริงๆ แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร แต่ผมคิดว่า ชีวิตจริงๆ ของเขาน่าจะเหมือนคาจนะครับ (เคยดูรายการต่างประเทศในยูทูบที่ตามรอยแจ็ค เขาก็สันนิษฐานแบบนี้) น่าจะเป็นลูกจากโสเภณีในลอนดอนเพราะคนที่เขาฆ่าตายส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น ผมกำลังจะบอกว่า ผู้เขียนโยงเรื่องนี้เขากับคาจได้ค่อนข้างเยี่ยม เพราะทั้งตัว SSS และตัวคาจมีบางสิ่งที่เหมือนกัน มันเลยซิงโครกันได้ (ผมเลยอยากให้ผู้เขียนคิดความเหมือนของการเชื่อมต่อมาอีกสักข้อ อย่างพระเอกเก่งคำนวณ มันก็เลยทำให้เขาได้นาเปียร์โบนส์ แต่มันน่าจะมีความสัมพันธ์ในเชิงลึกมากกว่านี้ เพื่อทำให้เรื่องนี้เกิดความมหัศจรรย์เข้าไปอีก)

ผมมองภาพโคลอสเซี่ยมหนามหินไม่ออกอ่ะครับ ผมจำได้แค่ภาพจากหนังเรื่อง จัมเปอร์ - - อันนี้ผู้เขียนจินตานาการมาเองใช่ไหมครับหรือว่ามีจริงๆ ผมไม่ได้ยึดหลักความจริงมากไปนะ แค่สงสัยเฉยๆ

เสียดายโคลอสเซียม - - พังซะล่ะ สงสัยจะมีพีระมิดจะโดนเหมือนกัน แฮะๆๆ

ก่อนจบบทที่แปด ผู้นำสหรัฐให้เหรียญกล้าหาญไปเลย - - ตอนจบ

จริงๆ แล้วไฟบนรันเวย์มันจะเปิดตลอดรึเปล่าครับเพราะมันเป็นแนวของการจอดเพราะถ้าวิสัยทัศน์ไม่ดี จะมีคนไปยืนโบกไฟ เพื่อเป็นสัญญานว่าอีกกี่ฟิตจะถึงพื้น นักบินจะได้รู้ทันท่วงทีและปรับมุมของระดับการลงเพราะปกติ เครื่องบินจะมีเซนเซอร์วัดระยะพื้นและองศาแต่นักบินก็จะถูกฝึกมาให้ดูสัญญานไฟจากด้านล่างเช่นกัน (ไม่รู้ผมเดาเอานะ เคยเห็นมาจากหนังอะไรสักอย่างที่เขามองไม่เห็นวิสัยทัศน์ข้างล่าง และผู้บังคับการบินก็ให้ไปโบกไฟ แต่ไม่ทัน เครื่องบินโหม่งโลกก่อน)

ไปจีน ไม่มาไทยเลยนะ - - ผมทำงานอยู่กับคนจีน เบื่อมาก ฮ่าาาาา

(นอกเรื่อง อยากเล่า ประเทศจีนเจริญมากจริงๆ ทุกอย่างยิ่งใหญ่หมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาสร้างได้ยิ่งใหญ่มากถึงมากจริงๆ (โดยส่วนตัวผมไม่ชอบคนจีนสักเท่าไหร่ เห็นแก่ตัวอ่ะ แต่ก็ต้องเข้าใจประเทศเขามีคนเยอะมันเลยต้องแข่งขันกัน แบบว่าเวลาโรงงานไหนเปิดรับคนงาน เขาจะไปสมัครงานกันตีสี่ตีห้าอ่ะครับ ไม่เหมือนไทย เปิดเช้า มาสมัครเที่ยง) แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือ ถนน เวลาผ่านภูเขา จีนไม่เสียเวลามาอ้อมรอบภูเขาอย่างบ้านเราหรอก เขาเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาเป็นเส้นตรงเลย แต่ถ้าเราขึ้นมาแม่ฮ่องสอน อยากจะบอกว่า คุณอาจตายได้ทุกเมื่อ ผมไม่เคยไปปักกิ่ง เคยไปที่ยูหนาน สิ่งเดียวที่ผมไม่ประทับใจคือการใช้ห้องน้ำของคนที่นั่น แม้แต่ เคเอฟซี คนเขายังขึ้นนั่งย่องๆ บนชักโครก (อันนี้สอบถามมานะครับ) ทำให้สิ่งต่างๆ ที่หลุดมาจากตัว เปรอะเปื้อนไปหมด ประเทศน่าเที่ยวและน่าอยู่ถ้าคุณรับเรื่องห้องน้ำได้ ไม่รู้ว่าปักกิ่งหรือที่อื่นๆ เป็นอย่างไร แต่ที่ที่ผมไป ห้องน้ำค่อนข้างน่าหดหู่และเป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ อีกนิด เรื่องการขับรถของคนจีน ถ้าเป็นคนไทยเวลามีคนปาดหน้า อาจจะถือปืนลงไปยิง แต่ที่นั่น เรื่องปกติแบบสุดๆ ผมไม่รู้ว่าที่ไหนดีนะ ที่จีนหรือบ้านเรา แต่ผู้คนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น เขาถือว่า ฉันอยากทำก็ทำ แกอย่างทำแบบนั้นก็เรื่องของแก เสียงบีบแตรดังระงมเลยล่ะ)

เรื่องกำแพงเมืองจีน ผมขอเสริมนะ เพราะผู้เขียนบอกถูกแล้วในแง่ของการเปรียบเทียบ แต่สิ่งที่เราจะเห็นเมื่อไปยืนบนดวงจันทร์แล้วมองมายังที่โลกได้ในความเป็นจริงไม่มีเลยครับ แม้แต่พื้นทวีปก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากถ้ามองด้วยตาเปล่า
ขอยกความรู้นี้มาจากหนังสือเรื่อง ลบเหลี่ยมไอน์สไตน์เล่มหนึ่งหน้าที่ 36 – 37 ครับ

(ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องไปที่นั่นให้ได้ครับ ไปไม่ยากและไม่เสียตังเยอะ เพราะของที่นั่นถูกถ้ารู้แหล่งและคนเขาก็ไม่โกงด้วย บอกราคาเท่าไหนคือเท่านั้น ต่อไม่ได้นะ อิอิ เดี๋ยวเจอไล่ออกมา)

ผมกำลังจะติว่า ทำไมใช้คำว่าจงอยปากกับคน อยู่เลย แต่ตอนนี้เข้าใจและ - -

ปาท๋องโก๋ประเทศจีนอร่อยกว่าไทยและน้ำมันก็เยอะกว่าด้วย กินไปอาจตายไวขึ้น

โดยปกติเวลางูชนิดเดียวกันกัดกัน พิษไม่สามารถฆ่ากันและกันได้ นอกจากกัดคอขาด และงูบางชนิดก็สามารถภูมิกันพิษของงูชนิดอื่นด้วย อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าในสถานที่นั่น น่าจะมีงูหลายชนิด แต่กว่าพิษงูจะแล่นเข้าไปก็ใช้เวลานานอยู่ ยังไม่ตายทันทีนอกจากมันกัดโดนจุดสำคัญ กัดเสร็จปุ๊บตัวแพ้ก็จะโดนงาบทันที

ต้องขอบอกว่า ผู้เขียนตัดสินใจเด็ดขาดมากครับที่เริ่มฆ่าตัวละครฝ่ายดี เพราะลำพังจะเอาไปเก็บไว้ที่อื่น มันก็จะลำบากเราตอนจบ แต่ผมอยากเห็นใครตายสักคน ที่ไม่ใช่คนที่ผู้เขียนเพิ่งสร้างขึ้น เอาหนักๆ เลย อิอิ ไม่ใช่เพราะผมโรคจิตนะ แต่ผมมองว่า สงคราม มันต้องมีคนดีที่ตายบ้าง ไม่ใช่คนชั่วเสมอไป

ผมขอเปลี่ยนจากคำว่าพระพุทธรูปมาเป็นรูปปั้นได้ไหมครับ ผมรู้ว่ารูปปั้นบางรูปก็ไม่ได้หน้านิ่งและสงบเหมือนพระพุทธรูปแต่ต้องเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนแห่งความดีแล้วอีกอย่างคนที่เราเปรียบเทียบด้วยมันก็เป็นคนชั่ว เลยรู้สึกไม่ค่อยดีกับตรงนี้เล็กน้อย - -

ตรงนี้ต้องชมว่าผู้เขียนสุดยอดแห่งความเยี่ยมเลยครับ ลำพังธรรมดาคนอ่านอาจนึกไม่ถึงว่า ดาบ จะเป็นเครื่องมือในการจบชีวิตของจางลี่ เพราะผมก็ใจจดใจจ่อกับของชิ้นที่สามของซูอัล ว่ามันจะเป็นอะไร และพอออกมาก็ใจแป้วเหมือนกัน เพราะของชิ้นสุดท้ายของซูอัล มักจะช่วยให้หลุดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้ง ผมเลยมองไม่ออกว่า ซูอัลจะชนะได้อย่างไร เลยคิดไปถึง SSS เซร่าห์โน้นแหละที่จะช่วยทั้งสองคน แต่อย่างที่ผู้เขียนเคยบอกผมว่าเรื่องนี้สามารถหักหลังคนอ่านได้อยู่เสมอ และครั้งนี้ มันเป็นการหักความคิดผมได้เป็นอย่างดีครับ ผมจึงต้องบอกว่า ผู้เขียนนำคนอ่านไปหนึ่งก้าวเสมอ

ผมรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อบทที่ 12 เพราะการต่อสู้ในบทก่อนค่อนข้างเยอะจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน และก็มีศัตรูออกมาไม่หยุดไม่หย่อน แบบว่าลุ้นจนเหนื่อยเลยครับ นี่อ่านได้แค่บท 12 เองนะ ผมไม่แน่ใจนี่เป็นความตั้งใจของนักเขียนหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะการกะระยะของเรื่องที่ผู้เขียนอาจจะยังไม่ได้ปรับอะไรมากนัก นิยายเรื่องนี้สนุกครับ แต่ถ้ามันต้องลุ้นทุกลมหายใจ อาจจะเหนื่อยได้ ทั้งคนอ่านและตัวละคร ปล่อยๆ เขาให้เดินทางสงบๆ สักครั้งก็ดี แม้ว่าการต่อสู้จะเป็นประสบการณ์ที่เขาอาจจะได้ใช้ในตอนจบ

ผมฮาซูอัลสำหรับการห่มผ้าไฟฟ้า คนที่มีจิตใจดี โชคมักเข้าข้างเสมอนะครับ - -

ตลอดเวลาที่ผมอ่านนิยายเรื่องนี้มา พยายามหาว่าใครจะมาเป็นฮีโร่ในใจของผม และตอนนี้ผมคิดว่าผมเจอแล้ว

บทที่สิบห้ามีฝาแฝดอินจันด้วยเหรอครับ อย่างไรก็ตามตอนนี้ทำให้ผมสิ่งที่ผมคิดมาตลอดว่าน่าจะมีอีกกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นและมันก็เข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที เพราะดูท่าคนแต่งคงไม่ยอมให้เรื่องมันจบง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ เพราะเท่าที่อ่าน มันไม่ค่อยมีปมอะไรมากมายเลย ส่วนมากปมที่มีมันก็จะถูกไขไม่เกินสองตอน อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ประมาทอยู่ดี หวังว่าผู้เขียนจะปล่อยอะไรเด็ดๆ ให้ผมตะลึงนะครับ

กระเป๋าแพทย์ต้องมีมอร์ฟีนด้วยเหรอครับ แฮะๆ ผมแค่สงสัยเฉยๆ นะ จะมีก็ได้เพราะจริงๆ แล้วการเป็นหมอต้องเตรียมพร้อมแต่ผมคิดว่า เซร่าห์น่าจะหาซื้อของพวกนี้ได้สบายๆ ในซุปเปอร์มาเกต เพราะน่าจะดัดแปลงได้ (ดูหนังสายลับบ่อย) แต่มอร์ฟีนคงหายากหน่อย แต่รัสเซียเป็นเมืองมืดอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ
ผมอ่านมาถึงตอนนี้ สงสัยเล็กน้อยว่ารองหัวหน้ามีกี่คนกันแน่ คงจะมีเยอะใช่ไหมครับ ว่างๆ ก็ร่างชาร์ตใครเป็นใครให้ดูหน่อยนะครับ ผมเริ่มชักจะงง (มารู้บทสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องร่างแล้ว)

แล้วจริงๆ แดนรู้ได้ไงว่าพ่อของคาซี เป็นคนระเบิดเรือนั่น การระเบิดเรือนั่นน่าจะเป็นจุดแตกระหว่างหัวหน้ากองโจรคนเก่ากับคนใหม่ก็ได้ ผมคิดว่า วาร์ดน่าจะจัดฉากหรือปล่า น่าลุ้นนะครับ

ผมเชื่อว่า แดนเนียลต้องเป็นคนดี และอาจตาย 555 (ผมหวังว่าผู้เขียนจะหาสมาชิกคนที่ 6 ได้นะครับ พระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งโดยใช้เวลาหกวันถึงเสร็จสมบูรณ์ มันเลยเป็นตัวเลขที่สร้างสรรค์และเสร็จได้โดยสมบูรณ์ นักเขียนสมัยก่อนจึงนิยมใช้เลขหกและเลขเจ็ดเป็นจุดเริ่มและจบของนิยาย เหมือนเจเคที่ใช้เลขเจ็ดครับ ส่วนเลขห้า มันคือรอยแผลของพระคริสต์ตอนตรึงไม้กางเขน)

ฉากหนีตายของแดเนียลที่ริมน้ำ คิดถึงเรื่อง เจสันบอร์นที่มอสโคเลยครับ

มันละทีนี้ เชื่อมต่อได้คนละสองอัน เอ๊???? หญิงแก่ที่สวิซจะเป็นคนชั่วหรือเปล่านะ ชักสงสัย ไม่ได้จะสปอยเรื่องนะครับ แต่ผมมองว่าถ้าหญิงคนนั้นวางแผนให้ทั้งหมดสู้กันและท้ายสุดตนเองเป็นคนที่เชื่อมต่อ SSS ได้ทุกอัน มันหยดอีกรอบ (จินตนาการล้ำไป)

ให้เน็กเธอร์ได้ตุ๊ดสักทีเถอะ

ตอนผมเขียนนิยายแล้วฆ่าคนๆ หนึ่งไป พี่ที่ทำงานที่เขาอ่าน เขาบอกว่า พี่รู้สึกเสียใจที่คนคนนี้ตาย แต่เมื่อแลกกับสิ่งยิ่งใหญ่ที่จะตามมา ดวงวิญญาณนั้นคงยิ้มอยู่บนสวรรค์ และผมก็คิดว่า คุณตาคุณยายทั้งสอง คงยิ้มให้ซูอัล บนสวรรค์เช่นกัน
สู้ๆ ซูอัล ฮีโร่ยอดกตัญญู

เขาล้วง เอิ่ม หล่อนก็ได้มั้งครับ

บทหลังๆ ผมเริ่มมีสมาธิไม่ดีกับการวิจารณ์แล้วครับ เพราะมันเริ่มเข้มข้นเหมือนปลาช่อนหม้อไฟ แต่กระนั้นก็อย่าได้กังวลไปว่าผมจะละเลยหน้าที่

ไม่น่าเชื่อว่าโพไซดอนกับน้องชายจะจับมือสู้กันนะครับเพราะทั้งสองไม่ค่อยถูกกัน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นอีกมุมของโพไซดอนที่ร้องลั่นว่า น้องข้า มันค่อนข้างฮาเล็กน้อย จริงๆ ร่างเทพเนี่ยใหญ่มากเลยนะครับ แต่อาจจะเป็นเพราะคนที่มาต่อสู้ก็คือ รูปปั้นก็ได้ มันเลยทำให้ผมมองร่างกายของทั้งสองเทพนี้เท่ากันแรแพนและซูอัล

สิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดทั้งเรื่องก็คือ เวลาสู้กัน มีคนอื่นเห็นไหมครับ เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีคนตกใจกับสิ่งที่เกิดบ้างนะครับอย่างบนเรือของตอนนี้

ผมนึกว่าขีดจำกัดของซูอัลเปิดมาจะเป็นมเหสีของโพไซดอน ไม่ต้องบอกนะครับว่าทำไม

ผมนึกสภาพของของเด็กชายสี่ขวบที่ถูก เอิ่ม ทำแบบนั้นไม่ได้เลย มันคงดูแย่มากนะครับ

สรุป

ทั้งยี่สิบสามบทที่ผู้แต่งได้เขียนขึ้น รวมๆ แล้วมากกว่า สามร้อยหน้า จะเป็นนิยายที่ผมกล้ารับประกันได้ว่า คนอ่านไม่มีทางเดาตอนจบของเรื่องได้ ผู้ร้ายอาจจะชนะ หรือจะเหลือเพียงคนเดียวที่ได้ SSS ทั้งหมดและเขาไม่ได้ใช้มัน แม้แต่ตัวเอกของเรื่องเป็นใคร ก็ไม่มีทางรู้ และอย่าคิดจะเดาให้ยาก เพราะอย่างที่ผมบอก ผู้เขียนนำคุณไปแล้วหนึ่งก้าว

และหนึ่งก้าวนี่มันก็เหมือนกับแสงครับ คุณไม่มีวันที่จะตามทัน เพราะแสงไม่เคยแพ้ใคร

ปล หวังว่าผมจะได้เจอไอน์สไตน์นะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อมในรูปแบบของตัวเลขหรือผู้เชื่อมต่ออีกคนก็ได้ ผมอยากให้มีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องยอดเรื่องนี้เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการใหม่ๆ และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยเหมือนกัน (ถึงแม้ไอน์สไตน์จะเป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีแต่เขาก็เริ่มเรียนคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรกและเป็นคนเชื่องช้าอีกด้วย)

สุดท้าย ผมหวังว่า เรแพนของเราจะปลดปล่อยพลังของตัวเลขออกมาได้ถึงขีดสุดและจะเจอคู่ต่อสู้ได้เฉียบที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น เพียงเสี้ยวนาทียังช้าไปสำหรับไวพริบ

ไม่ว่าผลของเอ็นเทอร์จะออกมาเป็นอย่างไง นี่จะเป็นนิยายแฟนตาซีที่คุ้มค่าเรื่องหนึ่ง เพราะนอกจากคนอ่านจะคลุ้มคลั่งกับการลุ้นในต่อสู้ที่มันหยดแล้ว สิ่งที่เขาซึมซับเข้าไปช้าๆ โดยที่ไม่รู้ตัวก็คือ วิชาประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

ดาวที่ผมให้ ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะให้นิยายเรื่องไหนเลยครับ แต่ที่ผมให้เรื่องนี้เพราะผมรู้ว่า ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ได้ซิงโครกับ SSS ของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ เรียบร้อยแล้ว

ปล ผมเขียนคำวิจารณ์นี้หกหน้าพอดีเป๊ะ

     
 
ชื่อเรื่อง :  [ENG] The Curse of Laura
ใครแต่ง : Lovella
4 ต.ค. 57
80 %
35 Votes  
#2 REVIEW
 
เห็นด้วย
31
จาก 31 คน 
 
 
Comments From MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 15 ม.ค. 55


Notice: my knowledge in the area of literary scholar is never earned in the university. Formality is impossible.



My comments would never be intended to ruin your reputations. All is from the opinions of MrPoseidonSon. Provided these feel you uncomfortable, I express my apologies hereby.



The plot was begun with a rich girl named Emma Russell cursed by Laura – Emma grandpa’s ex-girl. On her 17th anniversary, the curse was being run and stopped her entire peaceful life. She was involved with three transparence protectors that one of them took her breath away. A feeling started, a relationship grew while the devil and obstacle were slowly creeping. How could this girl fight? The questions you should find the answers by yourselves.



The third paragraph – Page 1, I earnestly recommend to adjust form from Past Present to Past Continuous to see the dimension of Emma and Mathews’ action. While the one was doing, the one did.



While I was walking around the hall with a glass of fruit punch in my hand, Mathew held the other hand.



The sample shows one’s action continuously and an action stops doing but the result appears still.



Or you can avoid confusing by using conjunction in frame of “and” which I don’t suggest because it will change a little bit illustration.



I walked around the hall with a glass of fruit punch in my hand and Mathew held the other hand.



“he was the hottest guy in school.” => “he was the hottest guy in the school.”,



“I was one of the most popular girls in school.” => “I was one of the most popular girls in the school.”



You just forgot put Article in Superlative Degree.



I respect the writer stuffing Emma’s thought to keep hers till the time comes. Many men always need that but when they get married with the others, the most he needs from them is a virgin - does not make sense – the most teenagers nowadays do not always stand up for the right things, they can say what they are likely meant to be and should not deplore after happening, because they are too worth. So this hopefully pulls sharply all girls to where they should be.



I am bound to phrase “Vote Me” from a movie Adjustment Bureau; however “Vote for me” is correct.



I suggest all English novels for Thais should define some vocabularies which expects most people never know or technical terms, like encapsulated or anthropoids. I never catch the sight of “encapsulated” before but I am just wondering this should be Prefix and absolutely it cannot be found in English – Thai dictionary, for those who don’t have Longman, Cambridge or Oxford will be in the dark.



American where I think settled down cultures are strongly different from us like, Prom, if you do would like to make readers crystal clear, I am begging you to have an appendage.



By the way, I am thinking about the suitable place, when we mention about the curse, England is the site bobbing up but your style is American. This is just self-contradictory, not affected to the novel taste.



I conceive what you mean On Emma’s birthday is she is begging her dad in advance for weeks to have Party?



I stand now on inexplicable pedestal due to you applied the word “Bugging” which I don’t truly understand, if this is an idiom, I am requesting what I am stating in 12th indention of the writing but if not, I doubt you may put wrong word.



I saw “Daughter of James Russell” two times in close lines.



“the daughter of James Russell who was the president of a software company.”



“Emma Russell, the one and only daughter of James Russell.”


This is not wrong or unacceptable, but if you need make your novel feel like academic with fun, you try avoiding reiterating in the way same meaning direction.


A Comma will be used in many ways, but if you stop to magnify something as below. It will be put way like this.


Original One: Mathew, who always looked good in a tuxedo walked to me from the crowd.



Correct First: Mathew, always looked good in a tuxedo, walked to me from the crowd.



Correct Second: Mathew who always looked good in a tuxedo walked to me from the crowd.



It is called “Subordinate Clause”.



I am not sure about “Smile At and Smile Back To” we can use both because I never see “Smile Back To”.



This is super talented when you have tons of cake but still shape.



What Emma saw last night is the black shadow? I feel completely awe. But when the things were revealed, it changed previous cite turned to be fully funny. I admit your emotionally convinced techniques.



Out of seriousness, if I were Em, How come I would not scare, they are paranormal.



3 Chapters were gone; they are telling me that I could finish working on this, just because your tastefulness ran this writing perfectly. Seems I am reading unremarkable novel of academic book prize. It is really appreciate.



This is really a little bit shocked when it is said her family’s still stuck the curse if members could not find the Charm, so this is the reason why her mother has passed away. By the way, the plot should be about the investigation for the Charm with the three transparences favor as I guess. I am running on this to see what will be. (Finally I still don’t know the way to find the other charms).



Sorry for rude, If I were Emma again, I would say “Damn It! What A Surprise Present”.



Writer suits timing to the shot, when it comes to English which is not used to being for most persons, it can take them to be jerk when not native English writer is not good but this is opposite. To exemplify especially, the scene of Emma was come after by soul eaters, it is really frightful, everything happens to her too fast to compose myself and I think so do other readers. I am gloating over your riches.



The soul eaters remind me of Dementor.



I couldn’t find the reason why you wrote “I said irritated” (irritatedly, irritably), from my point of view, I only know how to use adverb – provide the manner or circumstances of the activity denoted by the verb or verb phrase. So there is any more usable regulations, please share yours to me.



Pointless, Lucas tried to see something under the cover, I bet, be careful, missy.



As my insolent thought, if someday, they fall in love each others, and he only gets full moon to transform, it will be a month to do something; I mean kiss, hug, or touch. It’s so hard for Patrick, Deadly Serious.



In conclusion,


This is not the word I should express well in academic matter; here is a feeling to this material.



Exactly to take me by surprising is this work essentially contains the correct structures, even if some of them made me confused, it may because from my superficial knowledge of English.



I never read English things written by Thai. Even though there are many printed matters, I still am not interested in. when I saw her invitation to be critic, what first coming was how dare this girl was, and I would raise the criticisms as her requests.



But How…when it turns…



My overall view of this time changes my thought forever. It turns me to think bigger for being the brave – if you are bold enough; you are able to do everything. This novel is really great that I could say. I hardly ever believe that I am reading the story written by Thai. Idioms, words, and sentences are extremely picked and chosen to deeply touch the sensitive readers to the way its needs as well as the tone and continuity are magical, pulls them follow the characters confronting the situations, which convinced me author is the one in many who can make people turn the pages, laugh, fear and mood with invariable things inside. Although it is stylistically ordinary or imaginatively derivative, It is readable and a useful prose.



The one and only I could say “support her will not let you down”.



Because The Curse of Laura is carrying you to another dimension (Find Someone to Protect You)


     
 
ชื่อเรื่อง :  กาลัญโญ
ใครแต่ง : ฌ นั้นแล
26 ธ.ค. 57
80 %
77 Votes  
#3 REVIEW
 
เห็นด้วย
24
จาก 29 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 17 พ.ย. 54

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

เรื่องนี้เป็นผลงานในสี่ชิ้นแรกที่ทำให้ผมทำงานลำบากมาก เพราะการวิจารณ์ในนิยามของผมคือการแสดงให้ผู้รับมองเห็นสิ่งที่ควรจะปรับปรุงราวกับเป็นกระจกสะท้อนความจริง แต่กับเรื่องนี้ แทบจะไม่มีเรื่องที่สมควรจะปรับปรุงเลย อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรดีเยี่ยมไปซะทุกอย่าง และแน่นอน ผมกำลังจะชมและต่อว่านิยายเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน อาเมน

เมื่อผมบรรจงกวาดสายตาหวังจะสแกนเนื้อหา เพียงสิบห้าบรรทัดแรก ผมจำเป็นต้องกลับมาอ่านใหม่ ไม่ใช่เพราะมันสนุกหรือน่าค้นหาแต่อย่างใด แต่เพราะภาษาที่ใช้ มันไม่ชิน นี่เป็นสำนวนร้อยแก้วที่ถือว่าผู้แต่งใช้ภาษาได้ดีอย่างล้ำเลิศ แบบนี้ผมเรียกว่า ภาษาที่ไม่ปกติ เพราะนอกจากต้องตีความหมายของคำแล้ว ยังต้องตีความหมายแฝงที่ต้องการจะสื่ออีกต่างหาก เลยทำให้คนที่อ่านหนังสือไวแบบผม ต้องกลับมาไล่เก็บคำและสำนวนให้ช้าลงกว่าเท่าตัว แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าพอตัวที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะเห็นฝีมือในการร่ายบทแล้ว ยังสามารถศึกษาวิธีการบรรยายได้อีกด้วย เป็นประโยชน์ต่อนักเขียนหน้าใหม่ ที่ต้องการฝึกฝนโดยเฉพาะการบรรยายครับ

พอผมอ่านมาเรื่อยๆ จนถึงบทที่สอง ผมเริ่มเจอคำซ้ำซากแล้ว คำซ้ำซากที่ผมว่า มันไม่ได้อยู่ในประโยคเดียวกันหรอกนะ แต่มันอยู่คนละที่คนละทาง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผู้แต่งกำลังสะบัดปลายพู่กันเพื่อไล่น้ำหมึกในการวาดลายเส้นให้เฉียบ บางครั้ง ลายเส้นที่เปรอะเปื้อนก็ถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งนะครับ

ตัวอย่างเช่นคำว่า ทว่า ที่ผู้เขียนใช้ในการเชื่อมประโยค ซึ่งผมแอบแปลกใจว่าถ้าใช้คำว่า กระนั้น หรือ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องผิดในการแทน ความหมายโดยรวมคำทั้งสามไม่ได้แปรไปสักเท่าไหร่

และเมื่อผมอ่านบทต่อไปอีก ความรู้สึกอยากให้การอ่านเรื่องนี้จบไวๆ ก็เกิดขึ้น มันไม่ใช่เพราะลุ้นระทึกหรืออะไรหรอกนะครับ แต่ตอนนั้นผมแค่อยากทำหน้าที่ในการวิจารณ์สิ้นสุดลงก็แค่นั้น และความคิดที่ไม่สมควรก็เกิดขึ้น

“ในตอนนั้น ผมกำลังคิดว่า นิยายเรื่องนี้ มีดีแต่การใช้คำบรรยาย”

เพราะการบรรยาย มันเริ่มกั้นผมออกจากจินตนาการด้วยความกระท่อนกระแท่นของตัวประโยค ผมรู้สึกว่า เกือบทุกช่วง คนเขียนชะงักจินตนาการของผมโดยใส่ความคิดผ่านเนื้อเรื่อง โดยไม่ให้ผมคิดเลย ถ้าจะเปรียบคำว่า ชะงัก ก็คงยกตัวอย่างไหนได้ดีไม่เท่า รถไฟที่เริ่มกระตุกก่อนออกตัว แต่รถไฟรางนี้ กระตุกจากเชียงใหม่ถึงสุราษฎร์ธานีเลยล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม จรรยาบรรณของผมก็ยังมีอยู่ ผมต้องอ่านให้จบโดยทิ้งความรู้สึกน่าเบื่อออกไป ซึ่งก็ทำได้ในเวลาต่อมา กว่าสองชั่วโมงที่อ่านนิยายในแบบของผม ที่ซึ่งมีจริงๆ ไม่ถึง สิบ ตอน ถือว่ามากพอตัว และพอผมอ่านจบ ก็ได้ใจความตามข้างล่างเนี่ยล่ะ

ทักษะการบรรยายของผู้เขียนอยู่ในระดับมาสเตอร์ แต่ทักษะการไล่ประโยคเพื่อให้มันต่อเนื่อง โดยไม่ต้องหยุดคิด ไม่ได้อยู่ในระดับนั้นครับ ผู้เขียนพยายามทำให้นิยายเรื่องนี้ เฟอร์เฟค โดยใช้คำหรูหรา จนผมรู้สึกว่า ผมกำลังอ่านบทพรรณนาของร้อยกรอง ที่ลักษณะคล้าย นิราศ อย่างไรอย่างนั้น เพราะผมต้องตีความหมายของนิยายเรื่องนี้พอสมควรตลอดเวลาที่อ่านมัน และแน่นอนว่า ถ้าผมข้ามตอนใดตอนหนึ่งไป ความสับสนจะเกิดขึ้นทันทีเพราะผู้เขียนมีช่องของการลำดับ
เหตุการณ์ที่กระโดด (ผมไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร ขอใช้คำว่ากระโดดละกัน) นั่นไม่ใช่เรื่องไม่ดี มันคือสิ่งวิเศษในการเขียนนิยาย เพราะวิธีแบบนี้ จะมีช่องให้ผู้เขียนสามารถใส่ลำดับเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเองพลาดไป หรือ อยากจะเปิดปมอีกปมผ่านช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วได้อีก แต่ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือ ถ้าเราลำดับความคิดไม่ดีพอ ตอนจบของเรื่องจะมีปมที่ไม่ได้แก้มากมายเลยละครับ

ผมคงต้องออกปากว่า นิยายเรื่องนี้ จะเป็นนิยายที่ทำให้ผมถูกด่า ไม่ว่าจะรูปแบบของการแสดงผ่านตัวอักษร หรือ สบถในใจ เพราะผมพยายามขุดเรื่องไม่ดีของนิยายออกมาตีแผ่ ทั้งๆ ที่ความบกพร่องของนิยายถูก กลบ ด้วยความพล็อตและความน่าสนใจได้อย่างลงตัว

ท้ายสุดนี้ ผมอดพูดไม่ได้ว่า เป็นนิยายที่คุ้มค่าสำหรับผมมากเรื่องหนึ่งเมื่ออ่านจบ ไม่เพียงแต่ผู้อ่านจะพบกับความล้ำของภาษา คุณยังจะได้ผมความมหัศจรรย์ในนิยายที่สรรค์สร้างผ่าน โญ อีกด้วย
     
 
ชื่อเรื่อง :  Zeitgeist sanctuary
ใครแต่ง : bluish Owl
15 ก.ค. 58
80 %
14 Votes  
#4 REVIEW
 
เห็นด้วย
22
จาก 26 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 19 พ.ย. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ก่อนที่ผมจะเข้าเนื้อหา ต้องขอโทษไรเตอร์จริงๆ ที่ผมอ่านนิยายเรื่องนี้โดยการสแกนอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้บางตอนไม่ละเอียดดีมากนัก (ผมข้ามตอนที่สิบ และตอนของ การถามตอบ ไปนะครับ มันไม่ได้จำเป็นในเนื้อหา ผมเลยไม่ได้อ่านมัน)

“ร่างสองร่างหลับใหลในอ้อมกอดของกันและกันอยู่อย่างสงบสุข” เมื่อผมอ่านประโยคนี้จบ ภาพแรกที่จินตนาการได้คือ คือ ภาพของคนแก่สองคนในเรื่อง ไททานิค กำลังนอนกอดกันกลมในขณะที่น้ำกำลังเพิ่มระดับเรื่อยๆ ถ้าใครจำไม่ได้ ก็ย้อนกลับไปดูหนังเรื่องนี้อีกรอบได้นะครับ ความหมายแฝงที่ผมอยากจะบอกก็คือ ทั้งคู่กำลังนอนรอความตายหรือนอนตายอย่างสงบครับ เพราะนอนหลับอย่างสงบ มันไม่ใช่เป็นคำที่ใช้กับการนอนอย่างมีความสุขหรือไม่ไหวติงของสิ่งมีชีวิต

“ในขณะที่ฉันกลับบ้าน อะไรบางอย่างดลใจฉัน...” มันเหมือนเป็นการเกริ่นว่า ต่อจากเหตุการณ์นี้ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับคนเล่าเป็นแน่ แต่พอบรรทัดต่อมา กลับกลายเป็นการเล่าชีวิตของ ผู้เดินเรื่อง ไปซะนี่ ซึ่งมันอยู่คนละประเด็น คนละช่วงสมัยกันเลย แน่นอน ผมเก็บความสงสัยไว้ก่อนเพื่อที่จะเพลิดเพลินกับเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่เมื่ออ่านมาถึงตอนที่ว่า ฉันถอนหายใจหน้าตู้โชว์เสื้อผ้าแฟชั่น.. ความสงสัยของผมก็หายพลัน และแปรเปลี่ยนไปสู่กระดาษที่เขียนอักษรสีแดงตัวใหญ่ๆ ว่า

ข้อผิดพลาดมหันต์

ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ผู้แต่งควรแก้ไขตอนนี้เลย และก็เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นหรือนักเขียนมองไม่เห็นความผิดพลาดนี้ เหมือนทุกคนแกล้งลืมและไม่ใส่ใจกับจุดบอดที่ออกจะเห็นอย่างเด่นชัด ถ้าเทียบกับการทำข้อสอบ ข้อนี้ก็ได้ศูนย์ทันที แม้ว่าข้ออื่นจะถูกหมด แต่คุณก็จะไม่ได้ชื่อว่า ได้คะแนนเต็ม – ผมเชื่อว่าเราไม่ชอบคำว่า เกือบเต็ม หรอกครับ

ก่อนที่ผมจะอธิบาย ผมขอเรียกประโยคนี้ “ในขณะที่ฉันกลับบ้าน อะไรบางอย่างดลใจฉัน” ว่าประโยค A
และ “ฉันถอนหายใจหน้าตู้โชว์เสื้อผ้าแฟชั่น..” ว่าประโยค B เพื่อง่ายต่อการกระชับบทความ

จุดที่ผมเห็นนี้ มันคือความไม่สมบูรณ์ของการต่อเนื่องในการเปลี่ยนสาส์น ในเมื่อประโยค A บอกออกมาโต้งๆ ว่าฉันเหนื่อยและมีอะไรดลใจ (ความหมายนี้บ่งบอกถึงโชคชะตา) ให้ฉันอยากออกไปเดินเล่นตากแอร์ เมื่อพูดถึงโชคชะตา มันก็ต้องหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะดีหรือร้าย แต่เรื่องต่อจากนั้น มันดันออกทะเลไปเข้าเรื่องอดีตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และมันก็เหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ซัด แพของ ทอม แฮงค์ ในเรื่อง Cast Away ให้กลับมานอนสลบที่ฝั่ง ด้วยประโยค B
ถ้ายังไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายง่ายๆ ว่า

ประโยค A + ประโยค ก ไก่ + ประโยค B

เห็นไหมครับ มันมีความขัดแย้ง เพราะคำอธิบายที่ประโยค A และ B คร่อมอยู่มันคือเรื่องของอดีต แค่เพียงคุณใส่ประโยคที่มีลักษณะแบบนี้เข้าไป “อดีตที่แสนเศร้าก็ผุดในหัว” ผมก็ไม่จำเป็นต้องมาเขียนอะไรให้มันยืดยาวแบบนี้หรอก

“ในเย็นวันหนึ่งขณะที่ฉันกลับจากที่ทำงาน อะไรบางอย่างดลใจให้ฉันไปเดินเล่นทอดอารมณ์ในห้างหรูกลางเมืองทั้งๆ ที่ไม่ได้(มี)จุดประสงค์อะไร รู้ตัวว่าเหนื่อยแต่ก็เดินอยู่ในนั้นจนเย็นย่ำ พลางชนะกาลเวลาด้วยอดีตที่เริ่มผุดเข้ามาในหัวให้เห็นภาพดั่งไทม์แมชชีน”

อดีตที่แสนเศร้าโผล่มาในความคิด

ฉันถอนหายใจหน้าตู้โชว์เสื้อผ้าแฟชั่น……

เห็นไหมครับถ้าแค่ ผู้กำกับ โยนใบพัด มอเตอร์และน้ำมันให้ ทอม แฮงค์ แล้วออกทะเลไป ดราม่าของฉากที่เขาต้องสูญเสีย วิลสัน เพื่อนรักไปกับคลื่นทะเลที่ซัดแพแตกกระเจิง ก็จะไม่มี

เรื่องที่สองที่ผมอยากจะติก็คือ ชื่อตัวละครในยุคกลางนะครับ จากที่ผมได้มีโอกาสร่ำเรียนประวัติศาสตร์ ลูกคนแรกไม่สมควรชื่อ อิซามุ ครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเอเชียมากไป แม้แต่คนที่สอง ทีชื่อ ไอเซล ก็ไม่น่าจะมีชื่อนี้ในสมัยยุคกลาง ผมไม่แน่ใจว่านี้เป็นภาษาแอซแทคหรือเปล่า ภาษานี้มันอยู่เกิดในทวีปอเมริกากลางครับ เพราะฉะนั้น ผมยังมองว่าสถานที่ดำเนินเรื่องอยู่ในยุโรป ทุกอย่างควรเกิดขึ้นที่ยุโรป สมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ เพราะการที่วัฒนธรรมมันจะกระจายออกไป มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้คนเท่านั้น ซึ่งการเดินทางก็มาจากเรืออย่างเดียว เมื่อผู้เขียนยึดเหตุการณ์ปัจจุบันของนางเอกจากโลกปัจจุบันก่อนที่จะดำเนินเนื้อหาที่แท้จริง ผมเลยคิดว่า ชื่อตัวละคร ควรจะสมเหตุสมผลกันครับ (ชื่อในนิยายเรื่องนี้ละม้ายคล้ายหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น (เล่นละ 35 บาทที่มีรูปภาพประกอบ) ที่ชอบเขียนถึงโลกตะวันตกแบบไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะชื่อและการใช้ชีวิต (เพิ่มเติม ดิเรก ดูเป็นชื่อไทยไปเลย)

มาถึงตอนนี้แล้ว ผมขอให้ไกด์ไลน์เกี่ยวกับการตั้งชื่อในสมัยกลางเลยนะครับ เลโอนาโด (ลีโอนาโด) ที่เป็นชื่อพ่อ (ผมเห็นผู้แต่งเขียนชื่อพ่อ เป็น เลโอนาโด บ้างเป็น ลีโอนาโด บ้าง ไม่แน่ใจว่า จงใจหรือลืม แต่ทางทีดี ชื่อตัวละครทั้งหมด ควรเป็นไปในแนวเดียวกัน มันแสดงถึงความใส่ใจของผู้เขียนครับ) ที่หมายถึง ราชสีห์ที่อาจหาญ เป็นภาษาโรมเก่า และ อิซซาเบลล่า ที่น่าจะแปลว่า พันธะสัญญาของพระเจ้า อันมีความหมายที่เอื้อต่อศาสนจักร เป็นชื่อที่ดีต่อนิยายมาก เพราะสมัยนั้น ชื่อของลูกขุนนางถูกตั้งมาจากความหมายที่เกี่ยวกับพระเจ้า

ในสมัยยุคกลาง (เริ่มต้นประมาณ 400 กว่าปีหลังคริสตกาล) มีเหตุการณ์ที่ศาสนาเข้าไปพัวพันเยอะมาก (เห็นได้จากสงครามครูเสด) โดยเฉพาะ ยุคของระบบศักดินา ที่เริ่มมีบรรดาศักดิ์ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมก็มิอาจที่จะห้ามจินตนาการของผู้เขียนได้ ในเมื่อ ผู้เขียนสร้างดินแดนใหม่ขึ้นมา ก็คงอยากให้มันเป็นดินแดนที่มีแต่จินตนาการโดยไม่ได้อิงความเป็นจริงมากนัก ทว่าผมก็ยังขัดแย้งในจุดนี้เพราะมันคือความเป็นเหตุเป็นผล แม้ว่าจะเป็นในนิยายที่สถานที่ตั้งใหม่ก็เถอะ

ซิสคอนคืออะไรครับ ช่วยอธิบาย ผมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย และถ้ามันเป็นภาษาอังกฤษหรือศัพท์เฉพาะทาง ผมว่า ควรจะมีวงเล็บหรือหมายเหตุอธิบายนะครับ

ข้อต่อมาก็เรื่องชื่ออีกละครับ Isabella (ผมไม่แน่ใจ คำนี้มาจาก ภาษาสเปน หรือเปล่า) เขียนแบบนี้ ผู้เขียนเลยทอนเสียงจาก Isabel มาเป็น Is (ไอซ์) ใช่ไหมครับ แบบนี้ผมเข้าใจได้อยู่ แต่มันก็ยังขัดกับความรู้สึก แม้ตะวันตกจะใช้เสียงแรกของชื่อเป็นการเรียกแทนเพื่อลดความยาวเหมือนกับชื่อเล่น แต่ที่ผมเห็นว่าชื่อที่มีการเปลี่ยนเสียงไปเลย ตอนนี้ที่นึกได้ก็คือ เจมส์ กับ จิม และ โรนัลด์ กับ รอน ส่วนอันนี้ ผมยังไม่เคยได้ยินครับ แต่กระนั้น มันก็อาจจะมีก็ได้ ซึ่งความรอบรู้ของนักวิจารณ์อาจจะพลาดเรื่องตรงนี้ไป

ในส่วนของคำผิดมีเห็นในช่วงแรกครับ หลังๆ มามองไม่เห็นแล้ว

ผมว่า เมื่อตอนที่ อิซซาเบล ไปพบเทพผู้พิทักษ์ เธอควรจะจัดการถามถึงเหตุผลนะครับว่าทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ได้ จิตใต้สำนึกของคนเรามันย่อมแสดงผลเมื่อคนตรงหน้าสามารถไขปริศนาได้ และถ้าเป็นคนอายุ 25 ที่มาจากยุคเทคโนโลยีแบบเราด้วย ผมว่า นางเอกควรจะต้องหาคำตอบของเรื่องนี้ ไม่ควรที่ปล่อยให้เลยตามเลยไป แม้ว่าชีวิตใหม่ที่เธอได้รับ มันจะดีพร้อมทุกอย่าง แต่ถ้าผู้เขียนจะโยงปมไปสู่จุดไคล์แม็กซ์ มันก็จะเป็นอีกเรื่องครับ

สรุปเลยละกัน

ตลอดเวลาที่อ่านเนื้อเรื่องมา ผมเห็นว่า ฉากต่างๆ ถูกตัดไปอย่างน่าเสียดาย เช่น ฉากที่นางเอกเรียนวิชาต่างๆ (แม้ว่าจะมีโผล่มาให้เห็นในช่วงท้าย แต่ผมอยากให้ช่วงแรกเกริ่นนำเรื่องเวทก่อน คนอ่านจะได้ไม่รู้สึกไปหนักในตอนท้ายๆ เรื่อง) หรือฉากก่อนที่นางเอกหนีออกงานดูตัวมาหาพี่ชาย ผมว่าในช่วงเวลาเหล่านั้น ผู้เขียนสามารถเติมอะไรไปได้เยอะเลย เพราะนิยายโดยรวมมันเกี่ยวกับเวทมนตร์ มันสามารถเพิ่มสิ่งวิเศษลงไปได้เพียบ แต่ผู้เขียนก็เลือกที่เดินเรื่องรุดหน้า แล้วค่อยเพิ่มอดีตที่สำคัญที่หลัง วิธีนี้มันใช้ได้ครับ มันเหมาะกับการเติมสิ่งที่ขาดไปที่เราลืม แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องข้ามเหตุการณ์มากมายเลย เพราะถึงเราใส่เหตุการณ์ในวัยเด็กเต็มที่แล้ว เราก็ยังสามารถเติมเหตุการณ์ในวัยเด็กผ่านช่วงปัจจุบันได้อยู่ มีอีกครับ

เพลง Cannon in D - In D มันเป็นการเป็นการกำหนดบันไดเสียง ชื่อเต็มของเพลงนี้คือ Pachelbel’s Canon in D Major เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ แคนนอนของพาเคลเบล (เหล่านักดนตรี จะให้เครดิตกับผู้แต่งโดยเฉพาะกับดนตรีคลาสสิคครับ) ผมคิดว่า ผู้แต่งน่าจะรู้อยู่แล้ว จุดเด่นของเพลงนี้มันคือการที่ ไวโอลินสามตัว เล่นด้วยโน้ตเดียวกัน แต่เริ่มต้นบรรเลงไม่พร้อมกัน โดยห่างกัน 4 ห้องเสียงไล่ตามกันไป และประสานออกมาเป็นเพลงโดยใช้เครื่องดนตรีเสียงเบส เช่น เชลโล่หรือบาซซูน คุมจังหวะ แต่ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ว่า เปียโน ที่เข้ามาแทรกในนิยายก็น่าเพราะไปอีกแบบ เพียงแต่ผมยังไม่เคยฟัง พอมาตอนนี้ปุ๊ป ผมก็นึกได้ทันทีว่า ผมเป็นนักดนตรี จึงทำให้ผมเข้าใจได้โดยง่ายดาย แต่ คนอื่นที่เขาไม่รู้จักล่ะ จะเป็นยังไง เพราะนางเอกใช้เวทกับไวโอลินสองตัว เปียโน และเชลโล่ แต่ทำไมตอนสุดท้ายถึงบอกว่า มีเครื่องดนตรี ห้า ตัว ผมเข้าใจถึงคำแฝงครับว่าอีกตัวก็เป็นนางเอกตัวที่นางเอกสีแหละ แต่คนอื่นอาจะไม่เข้าใจจริงๆ ก็ได้เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า เพลงนี้ ต้องใช้ไวโอลิน สาม ตัว พวกเขาอาจจะข้ามความเข้าใจผิดๆ ไป เมื่อวันหนึ่ง พวกเขาไปหาอะไรอ่านแล้วมันเกี่ยวกับเพลงนี้ พวกเขาก็จะนึกถึงประสบการณ์แรก นั่นก็อาจจะมาจากนิยายเรื่องนี้ และความสงสัยของพวกเขาก็จะเข้าแทรกว่า ทำไมตอนนั้นที่อ่านนิยายเรื่องนั้น ถึงใช้เครื่องดนตรี แค่ สอง ชิ้นล่ะ ทั้งๆ ที่เขาตีโจทย์ไม่แตกว่า มันใช้สามชิ้นนั่นแหละ เพราะไม่มีคำอธิบาย ผมแทรกครับ ควรเพิ่มเติมในความคิดนางเอกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่จริงในโลกของเราเพื่อเป็นทานความรู้ให้กับผู้อ่าน

ผมเห็นว่าช่วงอายุของนางเอก มันมาหยุดเมื่อนางเอกเป็นสาว (ประมาณ สิบแปด หรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าเกิน ยี่สิบ) มันก็เลยทำให้ผมคิดเล่นๆ ว่า ผู้เขียนเริ่มเรื่องจาก เด็กทารก แล้วก็เด็ก แล้วก็ เป็นสาว ซึ่งในแต่ละช่วงมันคือเหตุการณ์ปัจจุบันทั้งนั้น เหมือนผู้อ่านเติบโตไปพร้อมนางเอก ซึ่งผมคิดว่า อีกไม่นานนางเอกก็ต้องแก่ แต่อ่านมาถึงบทล่าสุด นางเอกก็ไม่แก่สักที ซึ่งมันขัดกับจังหวะของเรื่องครับ ถ้าผู้เขียนอยากจะยึดเหตุการณ์ในนิยายเป็นอายุใดอายุหนึ่ง ควรจะเล่าเรื่องในอดีตผ่านความคิดเอานะครับ เพราะผมรู้ว่าหลายๆ คนรู้สึกโตไม่ทันกับนางเอก เช่นเดียวกันกับผม ตัวอย่างหนังที่แสดงเหตุการณ์จากเด็กถึงแก่ได้ดีที่สุดก็คือเรื่อง Benjamin Button ครับ แต่หนังเรื่องนั้นเป็นการสะท้อนการเติบโตของความคิดโดยมีแฟนตาซีเล็กน้อย ซึ้งครั้งแรกที่ผมอ่านเรื่องครั้งแรก ผมคิดว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นแนวนั้น

อีกเรื่อง ผู้เขียนบอกว่า นางเอกหลงยุคแล้วเข้ามาอาศัยร่างเด็ก เป็นการอารัมภบทที่ผู้อ่านคาดหวังว่าจะได้เห็นนางเอกใช้ประโยชน์จากความคิดในโลกปัจจุบันได้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม จนถึงบทปัจจุบัน ผมก็ยังมองว่า ความโตของนางเอกมาจากพัฒนาการในวัยเด็ก และประสบการณ์ชีวิตที่ตนเองสั่งสมในโลกที่นางเอกไปเกิดใหม่ นางเอกยังใช้ทักษะความสามารถนี้ไม่เต็มที่ครับ ถึงแม้ว่า ผู้เขียนจะอธิบายแล้วว่า นางเอกเรียนรู้ต่างๆ ได้รวดเร็วก็เพราะมาจาก เธอเป็นสาว อายุ 25 แต่นั่นมันยังไม่พอ

จริงๆ แล้วผมยังมีอีกเยอะเลยนะครับที่คิดว่า ไม่สมเหตุ เช่น โทรศัพท์ แต่มันเป็นเรื่องที่ หยวนๆ กันได้ เพราะฉะนั้น ผมไม่ติแล้วกัน
สิ่งดีของไรเตอร์ที่ผมอยากจะบอกก็คือ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแฟนตาซีจริงๆ นิยายแฟนตาซี ผมว่าในมุมมองของคนหลายๆ คน มันน่าจะหมายถึงคำบรรยายที่สวยหรูราวกับหลุดมาจากเมืองที่ใช้กลอน เป็น บทสนทนา แต่ในความเห็นของผม มันคือ แบบนี้ครับ แบบเรื่องที่กำลังอ่านอยู่ เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย อ่านแล้วจินตนาการได้ไปพร้อมๆ กัน และอีกที่ที่ผมชอบเพราะตั้งแต่อ่านนิยายในโลกไซเบอร์มา ยังไม่เห็นว่ามีใครทำได้ ก็คือเรื่องของการลำดับอายุผ่านบทบรรยายได้อย่างเฉียบแหลม ผู้เขียนทำให้ผมไม่สับสนช่วงอายุของนางเอกเลยถึงแม้ว่าจะไม่ได้บอกโต้งๆ (ทำให้ผมคิดถึงความเก่งของ เจเค โรงลิ่งครับ ที่ทำให้โลกทั้งโลก สามารถกำหนดจุดเวลาของเหตุการณ์ในแฮร์รี่ได้ว่า มันเกิดขึ้นในปีอะไรนับตั้งแต่เขาเกิดมา)

ความมหัศจรรย์ของพล็อตเรื่องก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจ เรื่องนี้ อ่านถึงบทสุดท้าย ผมก็ยังเดาเรื่องทั้งหมดไม่ออกเลย ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร และเรื่องต่อมาก็คงไม่หนีพ้นในเรื่องความเก่งของการโน้มน้าวอารมณ์ผู้อ่าน มีหลากหลายมากครับเรื่องอารมณ์ในนิยายเรื่องนี้ ซึ่งทำให้รู้สึกหดหู่และสนุกได้จริงๆ
ท้ายสุด สิ่งดีๆ ของไรเตอร์ ผมไม่พูดแล้วนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้ไรเตอร์รีบทำก็คือ การอ่านเนื้อเรื่องทั้งใหม่และปรับคำซ้ำและคำผิด อีกหลายๆ รอบ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยที่เวลาเราแก้นิยาย แล้วทำให้ วันที่อัพเดท เป็นปัจจุบัน ผมรู้ว่ามีคนติไรเตอร์เรื่องคำผิด เยอะอยู่ แต่ไรเตอร์ก็ยังไม่แก้ เพราะอาจจะมาจาก ไม่อยากเห็นวันที่นิยายเปลี่ยนไปเป็นปัจจุบัน คำว่า เวลา เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มันไม่มีอยู่จริงครับ มันเป็นภาพลวงตา แต่กับความรู้สึกของคนอ่านนี่สิ เป็นสิ่งที่มันมีอยู่จริง

ปล. อีกเรื่อง Chapter X ค่อนข้างเป็นเรื่องแปลกในการเขียนนิยาย ผมรู้มันคือการเล่าเรื่องในมุมมองคนเขียน ไม่ใช่เสียงเล่าเรื่องของนางเอก แบบที่ส่วนใหญ่ในเนื้อเรื่องเป็น แต่กระนั้น มันก็ไม่ใช่การเขียนนิยายที่ดีมากนักถ้าวันหนึ่งไรเตอร์ เปลี่ยนใจ อยากส่งนิยายออกขาย

     
 
ใครแต่ง : sodium.n
3 เม.ย. 57
80 %
16 Votes  
#5 REVIEW
 
เห็นด้วย
20
จาก 20 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 16 พ.ย. 54
วิจารณ์ Change เดิมพันสุดเพี้ยน เปลี่ยนใจเธอมารักผม

อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

แค่ผมอ่านบทเกริ่นนำและชื่อเรื่อง ผมก็แตกฉานโครงเรื่องทั้งหมดทันที พล็อตเรื่องแบบนี้มีอะไรไม่เยอะครับ เห็นได้จากนิยายที่วางตั้งบนแผงหนังสือของซีเอ็ด ซึ่งผมจะเดินเลยไป เพราะข้างหลังเป็นวรรณกรรมแปล อย่างไรก็ตาม เมื่อผมรับหน้าที่ในการวิจารณ์แล้ว ผมขอเริ่มเลยละกัน

เริ่มแรกต้องขอชมเชย สำหรับภาษาไทยครับ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า วะ หรือ กบปาก คนส่วนใหญ่ชอบเขียน ว่ะ แบบนี้ ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ผิด ผมจะลองแยกความแตกต่างเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านนะครับ

ไปไหนมาวะ / ไม่อยากกินเลยว่ะ

ส่วนคำว่า กบปาก คนส่วนใหญ่ชอบใช้คำว่า กลบปาก เพราะมันสื่อเหมือนคำว่า กลบดิน เหมือนเลือดที่เลอะเปรอะเปื้อนกลบริมฝีปาก แต่จริงๆแล้วคำว่า กบปาก ใช้แบบนี้ต่างหากเพราะ กบ ตัวนี้เป็นคำวิเศษณ์ มีความหมายว่า เต็ม แน่น ครับ กลบปาก=เลือดเต็มปาก เพราะฉะนั้น เรื่องคำผิด ผมขอข้ามไปเลยนะ เพราะคิดว่า คงไม่มีคำไหนผิดแล้ว

แต่พอผมอ่านบรรทัดต่อมา แล้วเจอคำว่า มั้ย ผมรู้สึกว่า เฮ้อ ไม่น่าเลย จริงๆ แม้ว่า มั้ย จะถูกอนุโลมในสำนักพิมพ์บางแห่งสำหรับการใช้ แต่มันยังไม่ถูกบัญญัติลงไปในพจนานุกรมครับ ซึ่งผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าเหตุผลของการใช้จะมาจากการเพิ่มวรรณยุกต์ลงไปเพื่อเพิ่มอรรถรสก็เถอะ อย่างไรก็ตาม มันคือคำผิดครับ และในนิยาย คำผิดแบบนี้ก็มีอยู่เยอะเลยทีเดียว

จากตอนแรกที่ผมอ่านบทวิจารณ์ของคนอื่น แล้วเข้าสู่เรื่อง สับสนเล็กน้อยระหว่างเนื้อหาครับ เพราะนักวิจารณ์บางท่านบอกว่า เหตุผลยังอ่อนไปที่ทอมจะไปหลงรักผู้ชาย แต่พออ่านบรรทัดล่างสุดของบทแรก ก็เลยถึงบางอ้อ ไรเตอร์ เขียนใหม่นั่นเอง

เรื่องการตกแต่ง หรือ องค์ประกอบของเพจ ที่ไรเตอร์ใช้เพื่อเรียกการดึงดูด ผมไม่ขอวิจารณ์นะครับ เพราะผมไม่ถนัดในการตกแต่งไอดีและนิยายสักเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่า มันไม่รกตาและเยอะไป

นิยายเรื่องนี้ ไม่ใช่วิธีการการเขียนนิยายที่ดีนัก เนื่องจากบทบรรยาย วิธีการลำดับเรื่อง ลักษณะพิเศษของตัวละครและทุกอย่าง ไม่มีมาตรฐาน มากจนถึงมากที่สุด แม้แต่ เสียงเล่าเรื่อง หรือ มุมมอง ก็ยังสับสน ไม่มีกะไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอน เลยทำให้ผู้รู้สึกว่า ตัวละครตัวอื่นๆ อาจจะแสดงความรู้สึกผ่าน เสียงเรื่องเล่าก็ได้

ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่า คุณเขียนนิยายตามมาตรฐานไม่ได้ มาตรฐานที่ถูกกำหนดมาให้เป็นแบบนั้น เพราะนิยายเรื่องอื่นที่คุณเขียนก็เป็นในลักษณะเดียวกัน

แต่นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายเรื่องที่สอง ที่ผมอ่านในอินเตอร์เน็ตแล้วยิ้มออกมาตลอดเวลา แน่นอน นิยายเรื่องนี้สนุก แม้ว่าการบรรยายจะไม่ดีเอาเสียเลย หลายๆ คนที่อ่านและวิจารณ์นิยายออกมาในแง่ของมาตรฐาน เช่น การบรรยาย ความคลุมเครือของสาส์นที่ต้องการจะสื่อ หรืออะไรมากมายในบทวิจารณ์นั้น คุณเอามันไปปรับปรุงนะครับ ถ้าคุณอยากจะเป็นนักเขียนที่ดี แต่ถ้าคุณคิดว่าการทำสิ่งนี้มันคือความสุข คุณแค่ต้องการจะเขียนเพราะอยากให้คนอ่าน คุณก็แค่รับสิ่งที่เขาวิจารณ์มา นั่งคิด ไตร่ตรอง ว่าคุณทำได้ไหม ถ้าได้แต่ไม่มีความสุข ก็ไม่ต้องทำ เลือกทำแต่สิ่งที่มีความสุขก็พอ

สรุป ทักษะการเขียนนิยายที่ผมต้องใช้มาตรฐานตัดสิน ผมให้ 3 เต็ม 10 แต่ นิยายเรื่องนี้สนุกไหม ผมให้ 8 เต็ม 10

ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่นพล็อตเรื่องและอะไรก็ตาม ผมไม่ขอพูดแล้ว เพราะเชื่อว่า คุณถูกวิจารณ์มาค่อนข้างหนัก คุณน่าจะรู้ตัวดีว่าอยากเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เพราะคำวิจารณ์ที่ผมจะให้ มันก็ไม่ได้ต่างจากพวกเขาสักเท่าไหร่

สุดท้าย นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมวิจารณ์น้อยมาก มันไม่ใช่มาจากความผิดหวังที่ได้อ่าน หรือไม่มีข้อเสีย เพียงแต่คุณเลือกที่จะเขียนนอกกรอบ และนอกกรอบนี้มันคือความสนุกที่คนอ่านได้รับ มันเลยสมบูรณ์ในแบบของมัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณอยากจะเขียนนิยายแบบมาตรฐานแล้วพยายามทำออกมา แต่กลายเป็นแบบนี้ คุณจะโดนวิจารณ์หนักมากครับ

ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนอ่าน ที่เลือกจะนิยามของคำว่า นิยาย ในกรอบ หรือเปิดใจกับนิยาย นอกกรอบ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่กลุ่มแรกได้รับมันคือ ความไม่พอใจ และรู้สึกขัดหูขัดตากับนิยาย แต่ถ้าคนอ่าน เลือกรับสิ่งที่ผู้เขียนส่งให้ โดยลืม กะลา ที่ครอบหัวเขาอยู่ มันจะเปิดโลกทัศน์ของคนๆ นั้นให้กว้างขึ้นและสนุกกับการอ่านนิยายครับ

     
 
ใครแต่ง : GoldenPenS
22 ธ.ค. 60
80 %
11 Votes  
#6 REVIEW
 
เห็นด้วย
20
จาก 21 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 21 พ.ย. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ผมไม่แน่ใจว่า ตำนานที่ผู้แต่งเขียนขึ้น มาจากจินตนาการของตัวเอง หรือไปหยิบยกบางส่วนมาจากที่อื่น แม้ว่ามันจะมีความละม้ายคล้ายกับตำนานหลายๆ ตำนานเช่น นอร์สหรือไททัน แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนมาก่อน ยกเว้น ชื่อ ที่ปรากฏอยู่ในบทแรก

ชื่อแรกที่ผมคุ้นเคย ก็คือ แอสทารอส หนึ่งในสามจ้าวแห่งนรกที่ปกครองโลกเราในความเชื่อของชาวเพเก้น หรือ ไกอา ชื่อของเทพในตำนานกรีก ที่บัดนี้ได้กลายเป็นทวีปใหม่ มันไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะเอาชื่อต่างๆ ในตำนานมาใช้ในนิยายของเรา แต่เราต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และผมก็ขอชื่อชมกับความเหมาะสมของผู้เขียนที่หยิบยกชื่อเหล่านั้นมาใช้ในแบบที่สมควร เรารู้กันอยู่ว่าเทพไกอาเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ และ แอสทารอส ก็เป็นหนึ่งในผู้ปกครองโลกนี้ แน่นอน ความหมายที่ใช้ มันตรง

ในการอ่านนิยายแฟนตาซีของผม ผมจะให้ความสำคัญของชื่อตัวละคร สิ่งของ อาณาจักร หรือชื่อเฉพาะมากๆ ครับ เพราะชื่อเหล่านี้มันเสมือนเป็นหน้าตาของนิยาย คนอ่านอาจจะไม่รู้หรอกว่าชื่อพวกนี้มีหมายความว่ายังไง แต่พวกเขาจะมีเซ็นส์ในการรับรู้ว่า นี่เป็นชื่อที่สมควรหรือไม่สมควร และผมก็ต้องขอชมเชยอีกระลอกว่า ชื่อทั้งหมดในบทแรก (ตอนนี้ผมอ่านบทแรกอยู่) เป็นชื่อที่เหมาะกับ

เนื้อเรื่องมากครับ

อันที่สามที่ผมอยากจะชื่นชม ผมเห็นมีคนวิจารณ์นักเขียนไว้และนักเขียนก็ได้มีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเหตุผลจริงๆ ที่ปรับใหม่มาจากอะไร นักเขียนอาจจะอยากปรับใหม่เพราะเนื้อเรื่องไม่กระชับหรืออะไรก็ตาม แต่ผมรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่นักเขียนที่ดีควรจะมี

มีคนวิจารณ์ รับคำวิจารณ์ และปรับปรุง (แต่ต้องพิจารณาถึงความสามารถของเราด้วยว่ามันสมควรปรับได้แค่ไหน)

เรื่องต่อมาที่ผมเห็นจะพลาดไปไม่ได้ก็คือ คำผิด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าคำผิดสองคำที่ผมจะบอก ไม่ได้อยู่ในบรรทัดแรกของของเนื้อเรื่อง ซึ่ง กับ ชีวิต – หลายคนอาจคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่แบบที่ผมตั้งใจให้เป็น แต่ต้องเข้าใจว่า คนอ่านนิยายและคนเขียนนิยาย ไม่เหมือนกันครับ คนอ่านก็คือ อ่านแล้วจบ แต่คนเขียน เขียนแล้วมันไม่จบ ต้องกลับมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา และทุกครั้งที่เราอ่านย้ำเรื่อยๆ ก็จะเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง และยิ่งเป็นในบรรทัดแรกซะด้วย ทำไมมองไม่เห็น เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้จะทิ้งไม่ได้เลยครับสำหรับนักเขียน

และแน่นอนนิยายเรื่องนี้มีไม่มาก แต่มันก็ไม่ควรมี

คำซ้ำซ้อน คำซ้อนที่ผมเจอคำแรกอยู่ในบทแรกครับ
“ผลการต่อสู้ของมหาเทพกับผู้กล้านั้นสิ้นสุดลงพร้อมกับการหายสาบสูญของทั้งคู่ ผลของการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินคราวนั้นทำให้เกิดแผ่นดินใหม่ มนุษย์แลเผ่าพันธุ์อื่นๆ สามารถสร้างรากฐานใหม่ได้”

ผมเข้าใจว่า ผู้เขียนอาจต้องการจะให้รู้ว่า เมื่อทั้งคู่ต่อสู้กัน ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนกลายเป็นแผ่นดินใหม่ แต่เวลาอ่าน มันยังให้ความรู้สึกว่านี่เป็นคำซ้ำ ผมว่า ผู้เขียน
สามารถปรับประโยคนี้ได้โดยไม่ใช้คำว่า ผลการต่อสู้ ได้ครับ ศักยภาพมีเพียงพอ

คำที่ไร้ประโยชน์ ในความหมายของผมก็คือ คำที่เราสามารถตัดออกได้โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยนไป (ผมว่าต่างจากคำฟุ่มเฟือยนะ คำฟุ่มเฟือยน่าจะหมายถึง คำที่ถูกใช้เยอะๆ จนเห็นว่า มันเยอะไปโดยมีความหมายเหมือนกัน แต่คำที่ไร้ประโยชน์ในแบบของผม หมายถึง ความที่ไม่ได้ซ้ำหรือฟุ่มเฟือย แต่เราก็ใส่เข้าไปที่ซึ่งจริงๆ ตัดออกก็ได้)

เช่น บทที่ 15

ดังนั้นการคมนาคมของอาณาจักรนี้จึงมักจะเป็นการเดินทางด้วยเรือบินซึ่งเป็นวิทยาการรุ่นใหม่ที่ผสมเครื่องจักรกลและเวทมนตร์เข้าด้วยกัน
แบบนี้เราตัดคำว่า จึง ออกไปก็ได้ครับ

ดังนั้นการคมนาคมของอาณาจักรนี้ มักจะเป็นการเดินทางด้วยเรือบินซึ่งเป็นวิทยาการรุ่นใหม่ที่ผสมเครื่องจักรกลและเวทมนตร์เข้าด้วยกัน

ที่ผมแนะให้ตัดคำว่าจึงออกไป เพราะประโยคนี้มีคำเชื่อถึงสองตัว คำว่า จึง มันเลยทำประโยคที่อ่านดูช้าลง ไม่กระชับเท่าที่ควร

จากบทที่หนึ่งถึงบทที่สิบเจ็ด สิ่งหนึ่งที่รับรู้จากเรื่องนี้คือ ผู้แต่งบรรยายเนื้อหาได้ถึงอรรถรสเป็นอย่างมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่เวลาผมอ่านจบในแต่ละตอน ผมจะลงไปดูคอมเม้นต์ของคนอ่านทุกคน ว่าเห็นด้วยกับผมไหม และทุกเสียงที่ส่งออกมา ก็เป็นไปตามแบบที่ผมคิดไว้ (ปกติ ผมไม่ชอบอ่านคำวิจารณ์หรือคอมเม้นต์ของคนอื่นครับ เพราะมันจะเป็นการโน้มน้าวในการวิจารณ์ของผม) ใช่ครับ ผมกำลังจะบอกว่า นิยายเรื่องนี้สะท้อนถึงความเก่งกาจของผู้เขียนจริงๆ ผมไม่ได้ชมเกินจริง หรือผมไม่ได้พยายามมองข้ามสิ่งไม่ดี สิ่งไม่ดีของนิยายเรื่องนี้คือ คำผิด และนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดแบบไม่น่าให้อภัยสำหรับนักแต่งนิยายทุกคน ถ้าเรามัวแต่มองสิ่งไม่ดีเหล่านี้โดยไม่มองอีกด้าน เหมือนการที่เราไม่ย้ายมุมเพื่อดูความสวยงามของวิวทิวทัศน์ แบบนี้เราจะรู้ได้ไงว่าสิ่งตรงหน้า มันสวยงามแค่ไหน
     
 
ใครแต่ง : Airi Mairaya
8 พ.ค. 59
80 %
6 Votes  
#7 REVIEW
 
เห็นด้วย
20
จาก 22 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 22 พ.ย. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

อย่างแรกที่ผมพูดก็คือ Impression ครับ นิยายที่ดีต้องมี First Impression ถ้าในนิยายนั่นก็หมายถึง ความน่าติดตาม เมื่อผมอ่านนิยายเรื่องนี้ในบทเริ่มแรก ผมรู้สึกว่า งง กับบทสนทนาของคนทั้งสองคน มันเป็นการเปิดเรื่องที่ค่อยๆ เปิดปม จากคนที่คิดว่าตาย แล้วก็เถียงว่าไม่ตาย แล้วก็มีการเอ่ยว่าจะจัดการใครบางคนที่ใช้คำสรรพนามว่า เขา แล้วก็มีความแข็งแกร่งที่ใครไม่สามารถชนะได้ง่ายๆ แล้วก็พูดถึงการปกป้องเด็ก และก็อะไรข้างล่างที่ผมอ่านแล้ว ปะติปะต่อเรื่องไม่ได้เลยว่าคนสองคนพูดถึงเรื่องอะไรกัน นี่คือสาส์นที่ผมจับได้จากบทแรก มันทำให้ผมสงสัย แต่ก็ไม่อยากจะอ่านเนื้อเรื่องต่อเพราะความ งง อาจจะเนื่องความเข้าใจที่มองว่าผู้แต่งเขียนนิยายให้งง แต่พออ่านบทต่อมา มันก็ได้ความกระจ่างเล็กน้อย พอประสานเรื่องราวได้ ผมเลยมองว่า ผู้เขียนวางลำดับของบทผิด ตามความคิดของผม ไม่จำเป็นต้องมีบทนำเลยครับ คุณแค่ยกเอาบทที่หนึ่งมาเป็นบทนำ หรือถ้าอยากมี ก็ใช้การเกริ่นเรื่องเพื่อทำให้คนอ่านมีภูมิมากกว่านี้ จะดีกว่าเพราะโดยพล็อตเรื่องมันมีปมให้ค้นหาอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปค้นหาความสงสัยในบทบรรยายที่แสนงงก็ได้ (ผมไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่องอะไรหรือเปล่า ผมใช้มุมมองจากการอ่านบทนี้บทเดียวเป็นบรรทัดฐานของความเข้าใจ)

ผมเห็นคนเขียนมี เขียนคำขาด เขียนสลับ เขียนผิด ด้วยนะครับ เช่นคำว่า เนียโก (โนเกียหรือเปล่า สังเกตจากที่บอกว่ามีกดเบอร์ปลายทาง แต่ถ้าเป็นความตั้งใจของนักเขียน ก็คงไม่ว่ากัน) หรือ

ท่ามกลางเสียงฝนตกจากนอกอาคา(ร) ครับ

จุดที่ผมเห็นอีกก็คือ การวางคำสรรพนามของบทสนทนา จากตอนแรกที่มีหญิงสาวนิรนามทักทานาล็อตว่า เธอ แต่ต้องมา หญิงคนนั้นกลับเปลี่ยนคำสรรพนามใหม่จาก เธอ มาเป็นคุณ แทน ผมมองว่า จุดนนี้ผู้เขียนอาจจะลืมนะครับ

และอีกเรื่องที่ผมสังเกตได้ก็คือ เรื่องไม่ค่อยเดินหน้าไปเท่าที่ควร ความตื่นเต้นของเนื้อหาก็เลยไม่ค่อยมี อีกทั้ง ผมค่อนข้างคาดหวังไว้ว่า เมื่ออ่านจากชื่อเรื่อง มันจะเป็นนิยายแฟนตาซีหลุดโลก แต่บทหนึ่งและบทสอง มันกลับเดินหน้าไปเรื่อยๆ ที่ผมยังมองไม่ออกว่า มันจะไปเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักได้ยังไง ผมเลยแนะนำว่า ถ้าผู้เขียนเดินเรื่องให้กระชับโดยตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป ก็น่าจะดีนะครับ

โดยรวม ผมยังมองทิศทางของเรื่องไม่ค่อยออกนะครับ ว่าเรื่องมันจะเป็นไปแนวไหน ถ้าการเรื่องของใช้ภาษา ผมว่านักเขียนทำได้ดีเลยครับ แต่ถึงแม้ว่า ภาษาที่เราใช้จะสื่อ หรือจินตนาการได้มากแค่ไหน แต่ถ้าเรื่องราวมันเรื่อยเปื่อยไป มันก็จะทำให้ความน่าติดตามเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยเลยนะครับ

เพราะผมอ่านมาเกือบจะถึงบทที่ห้าแล้ว ความน่าตื่นเต้นของเนื้อเรื่องยังไม่มีโผล่มาให้เห็นเลย นอกจากการเพิ่มตัวละครมาเรื่อยๆ และการใช้ชีวิตในโรงเรียน ในเมื่อคุณเขียนนิยายได้ยาวและมากกว่าห้าบทแล้ว ผมว่า ควรจะเข้าสู่เนื้อหาหลัก ตั้งแต่บทที่สามแล้วนะครับ แต่สองบทแรกยังเป็นเรื่องการซื้อโทรศัพท์ แม้ว่าท้ายๆ จะมีปมมาให้เห็นเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่พอที่จะทำให้ผู้อ่านแบบผม อยากเปิดหน้าต่อไป

ข้อแนะนำของผมต่อนิยายเรื่องนี้ก็คือ การกระชับเนื้อหาและลองตัดบทบางบทออกไปแม้แต่ตัวละคร บางครั้งเวลาเราใส่ตัวละครเข้าไปพร้อมกันในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ผมว่า คนอ่านนิยายงงนะครับ และจะทำให้เขาลืมตัวละครของนิยายไปได้ง่ายๆ ถ้าบทของตัวละครตัวนั้นไม่ค่อยโผล่มาให้เห็น
     
 
ใครแต่ง : WallyValent
16 พ.ค. 55
80 %
2 Votes  
#9 REVIEW
 
เห็นด้วย
18
จาก 19 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 15 พ.ย. 54
วิจารณ์ แผนร้อน ลวงรัก
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายเรื่องนี้รู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง เหมือนกับที่ผมทำอยู่ตอนนี้ สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับ คือ ผลกระทบจากงานชิ้นนั้น และแน่นอน ผมต้องเจอผู้คนไม่พอใจสำหรับการวิจารณ์ผลงานที่คนๆ หนึ่ง มานะ อุตสาหะ ทำมันลงไปด้วยความตั้งใจ แต่อีกมุมหนึ่งที่ไรเตอร์จะได้รับ คือ ข้อบกพร่องที่ไม่มีใครอยากจะเสียน้ำใจกันในการบอกกัน
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่ผมได้มีโอกาสวิจารณ์นิยายของผู้ประพันธ์ที่มีผลงานกำลังถูกตีพิมพ์ในขณะนี้
แน่นอนว่า ชื่อเรื่อง เป็นโครงสร้างหลักที่จะทำให้พล็อตนิยายไม่เป๋ แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นได้จากชื่อเรื่องก็คือ ความดึงดูด ให้ผู้อ่านรุมทึ้งนิยายเรื่องนั้น ตามเนื้อผ้า ชื่อเรื่องของนิยายเรื่องนี้ไม่ดึงดูดเท่าที่ควร แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจกลับเป็น +18 คนไทย ยิ่งปกปิดอะไร ยิ่งน่าสนใจมากเท่านั้น จึงไม่แปลกที่นิยายเรื่องนี้ เด็กอายุ 12 – 17 กำลังนั่งอ่านกันตาสลอน แต่ก่อนที่เราจะตัดสินจากสิ่งภายนอก เราต้องลองเข้าไปสัมผัสภายในครับ
ก่อนจะเข้าเนื้อหาวิจารณ์ ผมขอบอกเลยว่า เมื่อผู้เขียนนิยาย สามารถพานิยายตนเองตีพิมพ์ได้ นั่นก็หมายความว่า ฝีมือในการร่ายบทประพันธ์ต้องดีในระดับหนึ่ง และผมเองจึงต้องขอใช้บรรทัดฐานในการอิงนิยายมาจากนักเขียน นิโคลลัส สปาร์คส์ บางตอนมาเป็นตัววัดในความสามารถครับ อย่าเพิ่งตกใจ ผมแค่อ้างอิงจากความสมบูรณ์และการลำดับเรื่องเท่านั้น
จุดแรกที่ผมเจอ ก็คือ การใช้คำและความหมายครับ ประโยคบางประโยค ความไหลลื่นของภาษายังไม่กลมกล่อมมากนัก ในฐานะที่ผมเป็นคนอ่าน มันจึงรู้สึกขัดๆ ผมจะยกตัวอย่างจากบทนำเลยละกัน
“เอาอีก เอาอีก เอาอีก” เสียงเรียกร้องและเสียงกรีดของสาวๆ ดังขรมไปทั่วบริเวณบาร์ ก่อนที่สองหนุ่มในนั้นจะถอนตัวออกมา เมื่อไม่สามารถดื่มเบียร์เข้าไปในร่างกายได้อีกแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียแต่ร่างสูงใหญ่อย่างชาวตะวันตกคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถดื่มต่อได้ จนกระทั่งเบียร์ที่บรรจุอยู่ในหลอดเบียร์ยักษ์ใหญ่หมดลง เขาจึงถอนริมฝีปากออกมาพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีกับตัวเขาดังกระหน่ำมากขึ้นไปอีก
ตอนที่ผมหยิบยกขึ้นมา เป็นกรณีศึกษาที่ดีมากสำหรับคำซ้อนและการลำดับประโยคครับ
ก่อนที่ เมื่อเราใช้คำนี้ แสดงว่ามันต้องมีสองเหตุการณ์เกิดก่อนและเกิดหลัง ก่อนที่สองหนุ่มในนั้นจะถอนตัวออกมา ?? ประโยคนี้เป็นประโยคย่อย แล้วประโยคหลักอยู่ไหนครับ แน่นอนว่า “เหลือเพียงชายหนุ่มลูกครึ่งเอเชียแต่ร่างสูงใหญ่อย่างชาวตะวันตกคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถดื่มต่อได้” ไม่ใช่ประโยคหลังแน่นอน แต่ถ้าไรเตอร์บอกว่า ประโยคหน้านั่นแหละ ที่เป็นประโยคหลัก ผมเลยต้องแย้งว่า ประโยคแรกสุด “เสียงเรียกร้องและเสียงกรีดของสาวๆ ดังขรมไปทั่วบริเวณบาร์” ในนัยของความหมาย ไม่ได้สื่ออย่างชัดเจนว่ามันเป็นประโยคหลักเลยครับ
*หมายเหตุ หลักการนี้มาจากการวิเคราะห์ประโยคตามหลักภาษาอังกฤษนะครับ แน่นอนว่า หลักภาษาไทย อธิบายยากกว่านี้หลายเท่าตัว
กรีด (กรี๊ด ใช้ไม้ตรีด้วยครับ)
บริเวณบาร์ (เมื่อมีคำว่า บริเวณ เข้ามา ทำให้ผมรู้สึกว่า บาร์ มันเป็นพื้นที่โล่งเลยครับ)
เมื่อไม่สามารถดื่มเบียร์เข้าไปในร่างกายได้อีกแล้ว (ดื่มเบียร์เข้าไปในร่างกาย ผมว่าการทำบางสิ่งบางอย่างให้เข้าไปในร่างกาย มันควรจะเป็นการใช้ความหมายในเชิงบังคับมากกว่า เช่น ฉีดยาเข้าในร่างกาย หรือ ใส่สายยางอาหารเข้าไปในร่างกาย การดื่ม มันไม่น่าจะเป็นความหมายแง่นั้นนะครับ การดวลเบียร์แบบนี้ ถ้าเราใช้คำว่า อัด หรือ เปลี่ยนประโยคไปเลย จะดีกว่าไหมครับ นี่คือการแนะนำ ไม่จำเป็นต้องทำตามครับ)
จนกระทั่งเบียร์ที่บรรจุอยู่ในหลอดเบียร์ยักษ์ใหญ่หมดลง - เบียร์ เป็นคำซ้อนครับ ลองตัดคำว่าเบียร์ตัวหลังออกไปนะ หรือจะเปลี่ยน เบียร์ตัวแรกเป็นคำว่า ของเหลว ก็ได้ เพราะว่ายังไงของเหลวที่อยู่ในหลอดเบียร์ยักษ์ ในพับ ก็ต้องเป็น เบียร์ อย่างแน่นอน นี่เป็นเทคนิคของการแสดงให้เห็นครับ เราไม่จำเป็นต้องบอกสิ่งนั้นก็ได้ เราสามารถใช้คำบางคำแสดงนัยยะผ่านบริบทในประโยคซึ่งผู้อ่านต้องสามารถเดาความหมายออก
เขาจึงถอนริมฝีปากออกมาพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีกับตัวเขา ตรงนี้มีเขาทั้ง สอง เขาเลย ลองเปลี่ยนเขาตัวแรกเป็น เจ้าตัวจึงถอนริมฝีปากออกมาพร้อมเสียงโห่ร้องยินดีกับชัยชนะของเขา
ดังกระหน่ำมากขึ้นไปอีก ตรงนี้ผมเข้าใจว่า ผู้เขียนอยากแสดงภาพให้คนอ่านรู้สึกว่า หลังจากที่ชายหนุ่มคนนี้ถอนปากออกมาจากสายยางเบียร์ เสียงโห่ร้องที่ดังอยู่แล้ว ก็กระหน่ำซ้ำไปอีกเพื่อฉลองกับชัยชนะ แต่เหตุการณ์ที่บอกว่า เสียงโห่ร้องดังขึ้น มันอยู่คนละประโยคกับเหตุการณ์ที่บอกว่า ดังกระหน่ำ เพราะฉะนั้น ความต่อเนื่องของเหตุการณ์มันเลยไม่สมบูรณ์
ข้อแนะนำ ในภาษาไทย ผมไม่รู้ว่าคำนี้คือคำว่าอะไร แต่ในภาษาอังกฤษ เราเรียกมันว่า Run On
Run Onก็คือการเขียนประโยคโดยไม่พัก จะใช้คำเชื่อมเป็นส่วนประกอบในการเชื่อมประโยคให้มีความต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น
เธอรีบหันหลังกลับและเดินไปเดินมาราวกับว่าเสียสติ พยายามคิดว่าสิ่งต่อไปควรจะทำอะไร แม้จะไม่ใช่เรื่องยากที่รู้ว่าชายคนรักควรมีชุดนอนและผ้าเช็ดตัว แต่หญิงสาวก็ใช้เวลานานพอตัวกว่าจะตัดสินใจทำสิ่งนั้น และชั่วอึดใจหลังจากที่เธอแทนที่ชุดเก่าของชายคนรักด้วยชุดใหม่ที่เธอหยิบมาจากตู้ เสียงของฝักบัวก็เงียบลงและแสงสว่างจากห้องน้ำก็กว้างขึ้น วินาทีแห่งความฟุ้งซ่านของหญิงสาวกลับขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบเดินไปที่เตียงทันใดด้วยหัวใจที่เต้นระรัวและจินตนาการว่าถ้าชายคนรักปรากฏตัวด้วยร่างกายเปล่าเปลือย มันจะเป็นเช่นไร
ลองไปทำดูนะครับ
อายัด เขียนแบบนี้ครับ
โห่ร้อง เขียนแบบนี้ครับ
แก้คำผิดพอประมาณนะ ข้อแนะนำ เวลาเราไม่แน่ใจ Google ช่วยเราได้ครับ
ผมเห็นว่า ตาสีเขียวน้ำทะเลถูกใช้บ่อยมากเลย จนรู้สึก มันเยอะจนเกินไปครับ
จากที่ผมอ่านนิยายมา ฟอเมตของบรรทัดเป็นประมาณนี้นะครับ เมื่อเราต้องการที่จะอธิบายการกระทำ เราจะย่อหน้าใหม่ แต่เมื่อใดที่มีบทสนทนาอยู่ด้วย และเราต้องการที่จะคั่นบทบรรยายของอารมณ์ระหว่างบทสนทนา เราสามารถว่างมันไว้ตรงกลางได้และต่อด้วยบทสนทนาที่เหลือ แต่การบรรยายครั้งต่อมา ควรจะย่อหน้าใหม่ครับ แต่ถ้าเราจะมีบทบรรยายตามหลังบทสนทนา ถ้าบทบรรยายไม่เยอะจนเกินไป สามารถวางต่อท้ายได้ แต่ถ้ามันยาวเกินไป ควรแบ่งความชัดเจนออก แล้วแบ่งบางส่วนย่อหน้าลง หรือ ย่อหน้าลงมาทั้งหมดได้เลย
ถ้าเรานำคำมาจากเพจในอินเตอร์เนต อย่างเช่น ชื่อเฉพาะ ผมแนะนำให้เขียนใหม่ดีกว่าครับอย่าก็อบลงมา เพราะเวลาเราใส่ลงไปในเวิร์ด ถึงเราจะลบลิ้งค์ออก แต่เมื่อคุณเอามันมาลงในเพจอีกครั้ง ลิ้งมันจะเชื่อมออโต้ทันทีครับ อย่างบทที่สอง คำว่า บูร์โก้ เมื่อกดไปที่ลิ้งค์งเวปที่เกี่ยวข้องโผล่มาทันที
เรื่องของพล็อตเรื่อง ผมจะไม่วิจารณ์นะครับ ถือว่าให้เกียรติแก่ผู้แต่ง พล็อตเกิดมาจากจินตนาการ จินตนาการไม่มีถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่ผมจะหันมาวิจารณ์การดึงเนื้อเรื่องและการรวบรัดบางตอน ในนิยายนี้ ผมถือว่า มีจังหวะจะโคน อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมครับ มีการดึงส่วนที่สำคัญออกมาใช้และไล่เก็บส่วนที่ไม่สำคัญแต่ควรรู้เพื่อเป็นข้อมูลในการเข้าใจตัวละครทำได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ช่วงชีวิตเสเพลของพระเอก และชีวิตที่เกือบจะรันทดของนางเอก มันไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เรื่อยๆ จนมาถึงการพบเจอของทั้งสองคน และก็วางแผนแต่งงาน สัดส่วนอยู่ในเกณฑ์พอดีเลยครับ ตอนนี้ ผมนึกถึงหนังเรื่อง อวตาร ที่หนังยาว สาม ชั่วโมง แต่ก็ไม่ทำให้เบื่อเพราะการดึงจังหวะของเรื่องดี
โดยรวม เมื่อผมอ่านนิยายเรื่องนี้จนจบ ทำให้ผมตัดสินใจคิดว่า ไรเตอร์ น่าจะเป็นคนอ่านนิยายน้อยมาก ภาษาที่ไรเตอร์ใช้เขียนทั้งหมด มาจากคำติด นั่นก็คือ ความเข้าใจโดยส่วนตัว เพราะถ้าไรเตอร์ เป็นคนอ่านนิยายเยอะ ผมเชื่อว่า ไรเตอร์จะจับจุดการลำดับบทบรรยายและคำของบทบรรยายได้ดีเยี่ยมมากกว่านี้ครับ แต่ถ้าเรื่องที่ผมเข้าใจนี้ ผิด ผมก็คงรู้สึกหน้าแตกและอยากจะกลับมาแก้บทวิจารณ์เรื่องนี้อีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้ก็คือ ความแน่วแน่ของไรเตอร์ ไรเตอร์อยากจะเป็นนักเขียนที่โด่งดังและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ นั่นเป็นความกระหายที่ทุกคนมี แต่ไม่ค่อยมีใครใช้มันครับ
สรุป สิ่งที่ไรเตอร์ควรจะแก้ไข ก็คือ
หนึ่ง ภาษาที่ใช้และคำที่ควรทอนออกไปเพื่อให้ความหมายรัดกุมและเข้าใจได้มากขึ้น นิยายนี้เป็นแนวนิยายที่ใช้ภาษาสวยหรู เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ สำคัญมากๆ ครับ ถ้าไรเตอร์ อยากเขียนนิยายแนวนี้ ต้องอ่านนิยายอื่นๆ ในแบบเดียวกันให้เยอะขึ้น และยิ่งนิยายของตัวเอง ไรเตอร์ ต้องหมั่นอ่าน หมั่นแก้ หมั่นตรวจทาน มากกว่าเท่าตัวครับ คนอื่นแก้แค่สิบ ไรเตอร์ต้องเพิ่มเป็น ยี่สิบ
สอง ฟอเมตของบทบรรยาย ที่ควรจะมีการแบ่งวรรค แบ่งตอน ย่อหน้าให้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น อันนี้ยังไม่รวมการวางฟอเมตในอินเตอร์เนตนะครับ แต่ละบท ฟอเมตขนาดและตัวอักษร ผสมปนเปกันไปหมด ถ้าไรเตอร์ แต่งนิยายได้หลายเรื่องเท่านี้ ควรจะหันมาใส่ใจของนิยายตัวเองในบล็อกให้มากขึ้นครับ เพราะตอนนี้ ไรเตอร์มีชื่อเสียงอยู่ระดับหนึ่งแล้วครับ อ้างอิงมาจากยอดวิวของคนอ่าน
สาม ผมยังไม่เห็นส่วนไหนของนิยายที่จะ +18 เลย ผมก็พยายามอ่าน แต่ก็ไม่เจอ อิอิ ตรงนี้ผมไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ เพราะว่านิยายมันยังไม่จบ แต่ถ้า +18 อย่างที่ผมเข้าใจ มันจะออกแนว อีโรติค นะครับ
ข้อดีของไรเตอร์ ผมขอพูดโดยรวมนะครับ
ไรเตอร์เป็นคนที่ใช้ภาษาได้ดีระดับปานกลาง อันนี้ผมเทียบความสามารถเข้ากับระดับมืออาชีพครับ ถ้าเทียบในระดับทั่วไป ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง การเขียนนิยายเรื่องยาวๆ แบบนี้ ยิ่งเป็นนิยาย ชิงรัก หักสวาทด้วยแล้ว พล็อตเรื่องมีไม่มาก เมื่อพล็อตเรื่องมีไม่มาก การจำกัดของเรื่องราวก็จะมีสูงขึ้น ถ้าไรเตอร์ สามารถแหวกแนวของนิยายออกไปได้ไกลกว่านี้ จะยอดเยี่ยมเท่าตัวอีกครับ อย่างไรก็ตาม ข้อดีของไรเตอร์มีมากกว่านี้ และผมรู้ว่า คนอื่นๆ ชมไรเตอร์ในแบบที่ผมอยากจะชม แต่การวิจารณ์ของผม มุ่งเน้นให้ไปแก้ไข ถ้าไรเตอร์ แก้ไขจุดบกพร่องที่คนตัวเล็กๆ แบบผมพยายาม อ่านและเสนอแนะ เมื่อนั้น ผมจะเดินเข้าไปซีเอ็ดและซื้อหนังสือของไรเตอร์แน่นอนครับ
ท้ายสุด เมื่อเทียบนิยายเรื่องนี้กับนิยายของ สปาร์คส์ มันเหมือนเอา ต้มยำกุ้ง ไปเทียบกับ สปาเก็ตตี้ ความอร่อยไม่เหมือนกัน แต่มันก็เป็นทางเลือกต้นๆ ที่จะสั่งในร้านอาหารครับ
     
 
ใครแต่ง : รักต์ศรา
26 ก.ย. 66
80 %
38 Votes  
#10 REVIEW
 
เห็นด้วย
17
จาก 19 คน 
 
 
วิจารณ์ จาก MrPoseidonSon

(แจ้งลบ)
  
เขียนเมื่อ 5 ธ.ค. 54
อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

เรื่องแรกเลย คำซ้ำและคำซ้อน คำฟุ่มเฟือย ผมว่าบางครั้งคุณตัดคำบางคำออกไปบางให้ประโยคกระชับบ้างก็ได้นะครับ อ่านในใจมองไม่เห็นหรอก แต่ถ้าอ่านออกเสียงเมื่อไหร่ ผุดราวกับดอกเห็ดเลยครับ แต่กระนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมานั่งเสียความรู้สึกหรอก เพราะถึงมันจะมีเยอะ มันก็ไม่น่าเกลียดอะไรมากมายนัก

เรื่องที่สอง ก็คือ การดำเนินเรื่อง ตามความรู้สึกผมนะ เรื่องค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะระทึกได้ในบางครั้ง แต่มันก็ยังไม่สุดที่จะทำให้ผมรู้สึกว่า เกิดแบบนี้ได้ไง มันเป็นเพราะอะไร ผมอยากให้คุณลองสลัดพล็อตที่ ควรจะเป็น ออกไป ก็คือเมื่อเขียนมาจุดหนึ่งแล้วก็ลองเปลี่ยนตัวละครหรือสิ่งต่างๆ สวนทางแบบที่คุณคิด ถ้าคุณทำแบบนี้ได้ นิยายคุณจะหักมุมเยอะมาก

ช่วงหลังจากกลางเรื่อง รู้สึกว่ามันจะหลุดโลกไปเลยนะครับ เพราะตอนแรกคุณเอาเอื้องคำมาคุมพล็อตไว้ให้มันดูลึกลับและน่ากลัว แต่พอเข้าถ้ำปุ๊บ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กลายเป็น ช้างบินและอะไรอีกมากมาย มันออกแฟนตาซีไปแล้ว
พอผมอ่านได้ประมาณครึ่งเรื่อง มีแค่สิ่งเดียวที่ผมอยากจะบอก ก็คือ การบรรยายของคุณ มันเป็นการบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์และอารมณ์ของตัวละครโดยส่วนใหญ่ มันจึงทำให้คนอ่านสามารถข้ามได้ แต่ยังคงความเข้าใจของเนื้อเรื่องไว้ได้อยู่ นี่เป็นสิ่งดีสำหรับคนที่อ่านหนังสือไวครับ เพราะมันไม่ค่อยมีปมอะไรให้สงสัยมากนัก เพราะทุกครั้งเวลาที่คุณแก้ปม โดยส่วนมากจะมีการระลึกถึงปมอันเก่ามาเป็นพื้นฐานให้คนเข้าใจ นั่นเป็นเรื่องดีครับ แต่ผมมองจากชื่อเรื่องก่อนเข้ามาแล้ว ผมคิดว่า ผู้เขียนจะผูกปมจนคิดว่าชาตินี้จะแก้ไม่หมดซะอีก

จริงๆ โดยส่วนมากผม คำวิจารณ์ผมไม่ค่อยเป็นแนวนี้สักเท่าไหร่นะครับ เพราะว่าทุกเรื่องที่ผมวิจารณ์ก็จะมีเกร็ดและเทคนิคของการเขียนสอดแทรกเสมอ แต่กับเรื่องนี้ ผมทำได้แค่มองภาพรวมเพราะเนื้อหาที่ยกมา เกี่ยวกับป่าและมิติอีกมิติซึ่งมันเป็นจินตนาการ เพราะฉะนั้นหลักการทางวิชาการที่ผสมผสานมีไม่มากนะครับ

จากมุมมองของการเขียน การบรรยายของผู้เขียนยังทำได้ดีครับ อย่างที่บอกว่า คำซ้อน คำฟุ่มเฟือย ไม่มีส่วนอะไรสำหรับคนอ่านหนังสือเร็วแบบผม

แต่ถ้ามองมุมมองของคนอ่าน

ผมแบ่งคนอ่านเป็นสองประเภทนะ

พวกแรก อ่านแล้วหาความตื่นเต้น คุณจะได้ใจนักอ่านพวกนี้

พวกสอง อ่านแล้วหาความตื่นเต้น พร้อมมุกตลกที่อมยิ้มได้ คุณไม่ได้ใจนัก

อ่านพวกนี้ครับ เพราะบรรยายที่คุณใช้ มันไม่สามารถทำให้คนอ่านอมยิ้มได้ คำที่ใช้มันทำให้เกิดภาพความตื่นเต้นและสภาพแวดล้อมที่นางเอกเจอครับ

สรุป ถ้าถามว่านิยายเรื่องนี้ สนุกไหม ผมคงต้องบอกว่า ไม่สนุกเท่าที่ควร เพราะคำนิยายสำหรับความสนุกผมก็คือ อ่านแล้วตลกและมีความคิดที่ว่า เออ ช่างทำไปได้ เสมอ แต่ผมจำกัดนิยามของนิยายเรื่องนี้ไว้ที่ น่าติดตาม ครับ เพราะเวลาคุณอ่าน คุณจะรู้สึกว่า ไม่อยากละสายตาไปจากจอคอม แม้ว่า สีอักษรจะทำให้คุณปวดตามากเพียงใด

ปล. ผมขอโทษจริงๆ ที่นิยายเรื่องนี้ผมช่วยหาข้อบกพร่องไม่ค่อยได้เลย ทั้งหมดที่ผมเขียน นั่นคือศักยภาพของผมที่พอจะหาได้แล้ว นี่เป็นเรื่องแรกที่ผมวิจารณ์น้อยมาก น้อยมากจริงๆ ครับ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เราช่วยเขาได้ไหม - -
     
 
หน้าที่ 1 , 2 , 3