ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOG ON TARGET!! ที่รักครับ รักกันมั้ย?

    ลำดับตอนที่ #2 : Log On Target 🎀 01 You Get Me Fired Up...50%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 561
      12
      23 ธ.ค. 64


     

     

     

    1

    You Get Me Fired Up

    (...50%)

     

     

     

           ฉันนั่งมึนงง หลังจากตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองตื่นนอนในห้องของใครก็ไม่รู้สึกคนหนึ่ง จริง ๆ นะ ฉันคิดว่าตัวเองไม่รู้จักผู้ชายร่างสูงหน้าดุแถมยังนิสัยเสียนั่นแน่นอน เขากลับเข้ามาอีกทีพร้อมกับโยนเสื้อผ้าของผู้หญิงชุดหนึ่งมาให้

             ฉันหมายถึงคนที่ชื่อแมทน่ะ

             “ใส่ซะสิ จะนั่งบื้อแบบนั้นอีกนานมั้ย?

             ฉันเม้มปากแล้วก็ถลึงตาใส่เขายกใหญ่ ผู้ชายคนนี้นิสัยแย่มากกว่าที่คิดไว้ซะอีก ฉันหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาก็รู้สึกว่ามันใหม่เอี่ยมอ่องเลยแฮะ เขาซื้อมาให้เหรอ ก็อยากจะคิดอย่างนั้นหรอกนะแต่ก็เชื่อไม่ลงเลย

             “จะใส่เสื้อนอนฉันต่อก็ตามใจ”

             จนเขาพูดประโยคนี้นี่แหละ ฉันถึงได้คว้ามันติดมือแล้วก็เดินตึงตังเข้าห้องน้ำไปทันที

             ฉันรู้แค่ว่าเขาชื่อแมทแค่นี้เองนะ อยากจะบ้าตาย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นฉันก็ใส่เสื้อผ้าที่ได้มาอย่างกระแทกกระทั้นก่อนจะเปิดประตูออกไปด้านนอก ก็เจอกับกระเป๋าตัวเองที่เขาเหวี่ยงมันมาเกือบจะโดนหน้าฉันอยู่แล้ว ฉันทำคิ้วขมวดมุ่นแล้วก็พยายามไม่ถือสาผู้ชายบ้าคนนี้

             “เพื่อนฉันกลับแล้ว จะออกมารึเปล่า จะกลับบ้านมั้ย?” เขาถามแล้วก็กอดอกไปด้วย

             ไม่กลับก็บ้าแล้วน่ะสิ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ เชื่อใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ

             “เกรย์รออยู่ข้างนอกแน่ะ”

             เมื่อแมทพูดชื่อผู้ชายคนหนึ่งออกมาฉันก็ทำตาโตทันที

             เกรย์ ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้ซานต้าจะรู้จักนี่นา

             “เกรย์เพื่อนฉัน เมื่อคืนมันขอร้องให้ช่วยหิ้วเธอจากข้างถนนมาน่ะ”

             “ขอบคุณ” ฉันอดที่จะประชดเขาไปไม่ได้

             ผู้ชายคนนี้นี่มัน

           “ก็ออกมาสิ จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย”

             นั่นแหละ ฉันถึงได้เดินกระแทกเท้าออกมาในที่สุด แต่ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวทันที เมื่อคืนดื่มอะไรไปไม่รู้ ชุดที่ฉันกำลังใส่นี่ด้วยมันเป็นเดรสสั้นแค่เข่าเนื้อดีท่าทางราคาแพง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากจะใส่เลย หมอนี่ตั้งใจซื้อไว้ให้แฟนแหง ๆ

             ที่มั่นใจว่าหมอนี่มีแฟนแล้วก็เพราะเห็นรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งวางที่ชั้นวางรองเท้าด้วยน่ะสิ ท่าทางจะอันตรายใช่เล่นแฮะ

             “ไง” เกรย์ทักทายฉัน แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะทักทายอะไรกับใครทั้งนั้น

             “พาเธอไปส่งทีสิ แล้วนายนั่งแท็กซี่กลับมาเองแล้วกัน” เกรย์หันไปบอกแมทที่กำลังทำหน้ายุ่งเดินนำหน้าฉันอยู่

             “ทำไมแกต้องผลักภาระให้ฉันเรื่อยเลยนะ” คำบ่นของแมททำให้ฉันคอแข็งขึ้นมาทันที

             แค่นี้ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาไม่อยากจะยุ่งเรื่องของฉันมากแค่ไหน ฉันเองก็ไม่อยากจะให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเขาเข้ามายุ่งตั้งแต่แรกด้วยทำไมกัน น่าโมโหจริง ๆ

             “ฉันกลับเองได้” ฉันเชิดหน้าขึ้นไม่อยากจะมองหน้าใครทั้งนั้น

             “งั้นก็ตามใจ”

             เสียงแข็งห้วนของผู้ชายที่ชื่อแมทดังขึ้นมา ฉันแทบจะเข้าไปฟาดหัวเขาด้วยกระเป๋าถือนี่สักทีสองทีนัก นอกจากจะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแล้วยังไม่เป็นลูกผู้ชายอีกต่างหาก เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็เดินออกมาจากห้องของเขาทันที ไม่สนใจเสียงหัวเราะของเกรย์ด้วย

             พอกันทีผู้ชายหน้าตาดีแต่นิสัยแย่น่ะพอกันที

             แต่จะว่าไปแล้ว คนผิดก็ฉันเองนี่แหละ จะพยายามทำใจแล้วกัน

           โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกคนชั่วลากไปรุมขืนใจอะไรแบบนั้น

             แค่คิดร่างก็เหมือนจะสั่นน้อย ๆ ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามทำใจปล่อยวางไม่คิดมาก แต่

             ความอดทนของฉันมันก็ขาดผึง ตอนเห็นแมทแสยะยิ้มมาให้

             ผู้ชายคนนี้นี่มัน

     

     

             ฉันปิดประตูโครมใหญ่แล้วก็เอากระเป๋าถือฟาดกับประตูอีกหลายทีซ้อน ก่อนจะเดินไปทางขวามืออย่างฉุนจัด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถูกเมินได้ถึงขนาดนี้น่ะ ฉันยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านนึกอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ก็กลัวว่าคนอื่นจะตกใจ

             ตอนที่ฉันกำลังเดินอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวห้วนยียวนกวนประสาทดังตามหลังมาอีกจนได้

             แมทน่ะ

             “ถ้าจะลงลิฟต์ไปทางนี้! เขาชี้นิ้วให้ไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันตรงข้ามกับที่ฉันกำลังเดินไปอยู่

             ฉันเลยเดินกระแทกเท้ากลับไปอีกทาง ถึงจะเสียหน้าแต่ฉันก็ไม่ยอมเสียฟอร์มเด็ดขาด

             “เดี๋ยวจะช่วยไปส่งถึงคอนโด เอากุญแจรถมาสิ” แมทบอกกับฉันเมื่อเราอยู่ในลิฟต์ด้วยกันตามลำพัง

             แต่ฉันแกล้งไม่ได้ยิน สายตามองแต่ตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่บอกชั้นที่กำลังลงไปเรื่อย ๆ นี่ห้องของหมอนี่อยู่ชั้นสามสิบเลยเหรอ คอนโดนี่มันสูงมากเลยนะ ราคาก็ต้องแพงมากด้วยแน่ ๆ ท่าทางจะรวยไม่เบา

             “ไม่ได้ยินเหรอ หูตึงรึไงเธอน่ะ”

             ทำไมอยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วฉันรู้สึกรำคาญนักนะ ทั้งที่เขาหน้าตาดีมากขนาดนี้ ฉันเองก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ชื่นชอบใบหน้าสวย ๆ ของผู้ชายบ้างเพื่อความสุขทางใจ แต่กับหมอนี่ไม่ใช่เลยละ ฉันอยากจะเหวี่ยงให้เขาหลุดออกจากวงโคจรของฉันสักที พูดตามตรงเลยว่าเกลียดหมอนี่อย่างแรงอะ

             ฉันแกล้งถอนหายใจ แล้วก็ไม่สนใจเขาอีกจนมาถึงชั้นล่างสุดที่เป็นลานจอดรถ เท่านั้นฉันก็กลืนน้ำลายลงคอเพราะไม่รู้ว่ารถตัวเองอยู่ที่ไหน ก็เมื่อคืนน่ะเขาน่าจะเป็นคนขับมาแต่ฉันหลับไม่รู้เรื่องเลย แถมลานจอดรถก็มีตั้งหลายชั้น ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยนึกอยากเตะหน้าแข้งใครมาก่อน นอกจากผู้ชายที่ชื่อแมทเลยนะ

             “ไงล่ะ ทีนี้จะส่งกุญแจมาให้ดี ๆ มั้ย?” แมทกระดิกนิ้วตรงหน้าฉัน ยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปอีก

             จะเดินหาเองชาตินี้ก็คงไม่เจอแน่ ฉันเลยเปิดกระเป๋าอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะส่งกุญแจรถให้เขาไปในที่สุด

             “ก็แค่เนี้ย” เขายิ้มเยาะที่เอาชนะฉันได้

             สนุกนักใช่ไหม ฉันอดที่จะค้อนเขาไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกฉันก็เดินตามหลังแมทไปเงียบ ๆ จนถึงตำแหน่งรถที่จอดเอาไว้ เขาปลดล็อกรถแล้วก็นั่งที่ที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็ว ส่วนฉันก็หายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วก็ตามไปนั่ง ตลอดทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนมาถึงคอนโดของฉัน

             “ขอกุญแจคืน” ฉันแบมือตรงหน้าแมท เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้ว

             แต่ผู้ชายกวนประสาทคนนี้กลับแค่เลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น หนำซ้ำยังเก็บกุญแจรถของฉันไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขาอีกต่างหาก

             “นี่!” ฉันตวาดใส่เขาอย่างหมดความอดทน มันชักจะมากไปแล้วนะ

             “ทำไม” เขากลับย้อนมาหน้าตากวนโมโห ยิ่งทำให้ฉันหงุดหงิดขึ้นทุกที

             แมทเปิดประตูรถลงไปเมื่อฉันกำลังตั้งท่าจะด่าเขา รู้ดีจริงนะ ฉันอดไม่ได้ที่จะด่าเขาในใจต่อ แมทลงมายืนบิดขี้เกียจแล้วก็มองฉันตาแป๋ว

             “พาไปที่ห้องพักของเธอหน่อยสิ ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”

             ว่าแล้วว่าเขาต้องพูดแบบนี้น่ะ

     

     

             ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้ฉันก็มีแขกมายืนอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ปกติจะมีแค่ซานต้าเท่านั้นที่มาพักที่นี่ได้ ส่วนคนอื่นฉันไม่ค่อยสะดวกใจที่จะให้มาพักอยู่ด้วย แต่ไม่รู้ว่าผีสางตนไหนดลใจให้พาผู้ชายอย่างแมทมาที่นี่ได้

             “ต้องการอะไรอีก”

             “ทำไมพูดไม่เพราะเลยละ ขอกาแฟสักแก้วแล้วก็มื้อเที่ยงด้วย” แมทยิ้มหวานแล้วก็ยกมือตบโต๊ะไปด้วย

             ท่าทางแบบนี้นี่มัน

             “นายนี่มัน” ฉันพูดได้แค่นี้แล้วก็ตัดสินใจเดินหนี แต่ยังเดินได้ไม่กี่ก้าวเสียงพูดนั้นก็ดังมายั่วโมโหอีกจนได้

             “ถอดชุดนั่นมาด้วยนะ ฉันจะเอาไปคืนเจ้าของตัวจริง”

             ฉันยืนกำหมัดแน่นข้างลำตัวเกร็งไปทั้งร่าง ก่อนจะกรี๊ดในคอเบา ๆ

             “ค่ะ เจ้านาย” ฉันหันไปประชดเขาเสียงหวาน

             แต่หมอนี่มีเหรอจะสลดน่ะ ไม่มีทาง แมทส่งยิ้มและพยักหน้ามาให้เหมือนจะบอกว่า พูดได้ดีนี่…’

             นั่นแหละ สายตาเขากำลังพูดคำนี้อยู่

             เมื่อถึงห้องนอนฉันก็กัดปากถอดทึ้งชุดออกจากตัวด้วยความโมโห หมอนั่นถือดีอะไรมาสั่งเอาแบบนี้น่ะ แค่ช่วยเอาไว้เมื่อคืนครั้งเดียว ทำท่าเหมือนกับว่าฉันเป็นลูกหนี้อย่างงั้นแหละ

             โมโหชะมัด!

             เปลี่ยนเสื้อเสร็จฉันก็เดินกระแทกเท้ากลับออกไปอีกครั้ง เห็นไอ้บ้าตัวหนึ่งกำลังนอนเหยียดยาวกับโซฟาตัวใหญ่ ดูทีวีพลางกระดิกเท้าไปด้วยแล้วก็ยิ่งโมโห ฉันฟาดชุดเดรสที่ถือออกมาใส่อกเขาไปทันที แมทสะดุ้งก่อนจะมองมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่นานเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานจนชักจะตามอารมณ์ไม่ทัน

             ยิ่งตอนที่เขายกชุดเดรสนั่นขึ้นดม ฉันก็มั่นใจว่าหมอนี่ยิ่งกว่าโรคจิตจริง ๆ

             “ไปตายซะ ไอ้โรคจิต!” ฉันยกหมอนอิงแถวนั้นมาฟาดใส่เขาเต็มแรง ก่อนจะเดินไปสงบสติอารมณ์ในห้องครัวในที่สุด

             และหลังจากนั้นฉันก็ได้รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อแมทเนี่ย มีความกวนประสาทเกินกว่าที่คิดไว้ตอนแรกซะอีก

             “กลับไปซะ” ฉันยิ้มหวานบอก เมื่อแมททานมื้อเที่ยงที่ฉันเสียสละบะหมี่สองห่อมาต้มให้ทานเรียบร้อยแล้ว

             แต่ตาบ้านี่กลับแค่กอดชุดเดรสที่ฉันใส่ตอนแรกไว้แน่น แล้วก็ล้มตัวลงนอนดูทีวีตามเดิม

             “ไม่ไป มีไรมั้ย”

             “อย่ายิ้มได้มั้ยขอร้อง แล้วก็ช่วยไปให้พ้น ๆ ฉันด้วย”

             ตอนนี้ฉันคิดว่าเส้นผมทุกเส้นบนหัว กลายเป็นงูเหมือนเมดูซ่าไปหมดแล้ว

             ยิ่งฉันขู่ฟ่อเท่าไหร่ หมอนี่ก็เอาแต่หัวเราะถูกใจมากเท่านั้น

             แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ฉันก็มาตั้งหลักที่ห้องครัวแล้วก็นั่งมองคนนิสัยไม่ดีอย่างอาฆาต โปรยทั้งเกลือและพริกสาปแช่งเขาที่กำลังมีความสุขอยู่คนเดียวข้างหลัง จากนั้นเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่เจอมาทั้งเมื่อคืนยาวมาถึงตอนนี้ ทำให้ฉันค่อย ๆ รู้สึกง่วงก่อนจะนอนฟุบหน้ากับท่อนแขนตัวเอง และหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

             ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อรู้สึกว่าแขนเริ่มเป็นเหน็บ มันชาไปหมด ลืมตามาก็เจอกับเทปกาวที่แปะกระดาษเข้าเส้นผมของตัวเองเข้าให้

             “แก! แมท” ฉันคำรามออกมาทันที

             ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่มันทำแบบนี้ ไม่ใครที่ไหนจะชั่วร้ายได้เท่าหมอนั่นอีกแล้ว ฉันร้องออกมาเบา ๆ เพราะหมอนี่เอาเทปกาวแผ่นใหญ่ที่ติดทนทานมาติดเส้นผมของฉันกับกระดาษเอาไว้

             แมทสาบานเลย ถ้าเจอหน้าเขา ฉันจะซัดหน้าแข้งสักป้าบหนึ่ง

             ในที่สุดฉันก็ดึงเทปกาวออกมาจนได้ แต่ต้องสังเวยด้วยเส้นผมของฉันไปกระจุกหนึ่ง

             กรี๊ด ฉันเกลียดหมอนั่นจริง ๆ นะ พอพลิกกระดาษมาดูอย่างโมโหก็เห็นว่าเขาเขียนอะไรไว้ด้วย

     

             เธอเอาแต่หลับไม่ตื่นฉันเลยกลับก่อน

             อ้อ ฉันเอากุญแจรถเธอไปนะ ไม่อยากนั่งแท็กซี่กลับ

           ปล. เบอร์ข้างล่างน่ะเบอร์ฉัน กรุณาบันทึกด้วย

             ถ้าฉันส่งข้อความไปแล้วเธอไม่ตอบกลับ เธอแย่แน่

             และถ้าฉันโทรไปแล้วเธอไม่รับ เธอตายแน่ ;p

     

           ปล อีกตัว เธอชื่อโบว์สินะ หน้าตาตอนนอนดูไม่ได้เลย ไม่ไหวเลย

             แล้วเจอกัน XD

            

             กรี๊ดดด!! ฉันเกลียดหมอนี่จริง ๆ จากใจทั้งสี่ห้องของฉันเลย

     

     

             “ไหนน้องโบว์บอกว่าจะไม่ตัดผมไงคะ”

           ช่างทำผมที่เปิดร้านอยู่ชั้นล่างสุดของคอนโดถาม ตอนที่ฉันแบกหน้าหงิก ๆ ของตัวเองลงมาจากห้องแล้วก็บอกว่าช่วยเล็มผมให้หน่อย

             จะไม่ให้ตัดได้ยังไง ผมฉันแหว่งไปเยอะเลยนะ โธ่ เส้นผมที่รักของฉัน

             “พอดีว่ามันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ” ฉันบอกแล้วก็พยายามไม่คิดถึงหน้าของผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีก

             ให้ตายเถอะที่เขาทำน่ะมันเลวร้ายมากไปแล้วนะ ฉันจับเส้นผมตัวเองมาดูแล้วก็อยากจะร้องไห้ กว่าที่จะเลี้ยงให้มันยาวขนาดนี้ได้ กว่าที่มันจะสวยเงางามได้แบบนี้ เขาไม่รู้หรอกว่าต้องทะนุถนอมมันแค่ไหนน่ะ ฉันได้แค่ร้องโอดครวญในใจแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา

             ตอนแรกฉันจะไม่บันทึกเบอร์ของเขาไว้ในโทรศัพท์มือถือแล้วนะ แต่ก็กลัวว่าหมอนั่นจะเอารถฉันไปขายก็เลยต้องเมมไว้ในที่สุด เพราะเดินไปดูที่ลานจอดรถแล้วก็พบว่ามันไม่อยู่จริง ๆ

             สรุปว่าหมอนั่นเอารถฉันไป ถ้าเกิดว่าเขาเอาไปขายล่ะ ไม่อยากจะคิดถึงอนาคตของตัวเองเลย ฮึก

             “เดี๋ยวพี่เล็มตรงนี้ให้อีกนิดนะคะ อบไอน้ำด้วยมั้ยคะ?

             ฉันพยักหน้าหงึกหงักให้ช่างทำผมไป จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซานต้า ซึ่งเห็นว่ามีสายของซานต้าโทรเข้ามาเมื่อคืน แต่จำไม่ได้ว่าตัวเองรับไปตอนไหน พอโทรกลับไปตอนนี้อีกทียัยคนสวยกลับไม่รับสายซะอย่างนั้น ฉันทำหน้ามุ่ย แต่คิดว่าซานต้าคงไม่เป็นอะไร เพราะว่ายัยนั่นมีองครักษ์เยอะแยะเต็มไปหมด

             ไม่เหมือนฉัน ดันไปเจอพ่อมดอสุรกายเข้าให้ อยากจะร้องไห้เหลือเกิน

             หลังจากที่ซื้อของกินมาเพื่อกินระบายความโกรธแล้วก็มีข้อความส่งเข้ามาพอดี ฉันไม่อยากจะคิดว่าเป็นแมทเลย แต่ทำไมหัวใจมันเต้นรัวอย่างนี้ก็ไม่รู้สิ แล้วก็พบว่าเป็นตาบ้าโรคจิตนั่นจริง ๆ ที่ส่งมา

             ก็นะ ฉันบันทึกเบอร์โทรกับข้อมูลของเขาว่า ‘JERK’ ที่แปลว่า ตางั่งน่ะ

             Sender : JERK!! - ฉันเอารถเธอไปขายที่ชายแดนกัมพูชาแล้วนะ 555+

           ไม่เสียแรงที่ฉันบันทึกชื่อว่าเขาเป็นคนบ้า ก็ดูที่เขาส่งข้อความมาให้สิ มันอะไรกัน ฉันไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรกลับไป เลยได้แต่พิมพ์ข้อความไปว่า ฉันเกลียดนายจริง ๆ Go to hell!’

             จริง ๆ นะ ฉันคิดว่าฉันทนหมอนี่ไม่ไหวแล้วอะ อยากจะร้องไห้

           แล้วตาบ้าโรคจิตก็ส่งข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

             Sender : JERK!! - I’m gonna kill you ^-^

           ไม่อยากจะเชื่อว่าแมทส่งข้อความมาบอกฉันว่าจะฆ่า แต่มีอิโมติคอนยิ้มกว้างมาด้วยแบบนี้ เขามันโรคจิตเกินที่จะเยียวยาแล้ว ฉันเลยได้แต่คอตกแล้วก็เลียไอศกรีมเดินขึ้นลิฟต์ไปเงียบ ๆ แต่นาทีต่อมาก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อ

           เสียงเรียกเข้าที่ฉันตั้งให้ไว้เฉพาะเขามันดังขึ้นมาน่ะสิ อึก! ฉันไม่กล้าจะรับสาย เลยกดตัดสายแล้วก็ปิดมือถือไว้ตามเดิม ไม่สนใจมันอีก

           แล้วถ้าเขาโทรมาบอกว่าจะเอารถมาคืนฉันล่ะ?

             โธ่! ตั้งแต่เจอกับแมททำไมฉันถึงได้ซวยอย่างนี้ก็ไม่รู้สิ

             เมื่อกลับมาถึงห้องฉันก็เลิกเส้นผมตัวเองขึ้นหน้ากระจกแล้วก็ทำหน้ามุ่ย แหว่งไปตั้งเยอะแน่ะ หมอนั่นมันแย่จริง ๆ นะ ถ้าเจอกันอีกทีฉันจะตอบแทนเขากลับเหมือนที่เขาทำไว้เลยคอยดู

             เดี๋ยวนะ ทำไมฉันถึงไปคิดถึงผู้ชายนิสัยวายร้ายคนนั้นขึ้นมาอีกล่ะ

             เฮ้อ ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าตอนนี้ฉันคิดถึงแต่เรื่องของแมทเท่านั้น

           มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงกันนะ เหลือเชื่อจริง ๆ

     

     

             เช้าอีกวันหลังจากที่ปิดโทรศัพท์มือถือไว้วันหนึ่งเต็ม ๆ ฉันก็เปิดมันจนได้ ไม่น่าทำเรื่องงี่เง่าเลย ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาบอกให้รู้ว่ามีซานต้า กับไอ้บ้าแมทโทรมาตอนที่ปิดเครื่องด้วย แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน ฉันเกาหัวแล้วก็ยกหูโทรศัพท์พื้นฐานในห้องเพื่อโทรไปสั่งข้าว

             เก้าโมงแล้วเหรอเนี่ย รู้สึกว่าช่วงนี้ตารางเวลาของตัวเองสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว ไม่นานนักเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ฉันเดินไปเปิดก่อนจะสะดุ้งเฮือก เพราะกลายเป็นอสุรกายวายร้ายแทนที่จะเป็นรูมเซอร์วิสที่จะมาส่งอาหาร

             “ไง หลับสบายดีมั้ย?

             ไม่รู้ว่าทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับคนชื่อแมท ตอนนี้ฉันเลยต้องมานั่งต้มบะหมี่กินอยู่คนเดียวที่ห้องครัว ส่วนอาหารที่ไปสั่งมากำลังถูกอีตาแมทมหาวายร้ายขโมยไปกินอยู่ที่โซฟาที่ห้องรับแขกดูรายการทีวีอย่างสบายอารมณ์

             ฉันสาปแช่งเขาพร้อมกับกำช้อนส้อมเอาไว้ คนเส้นบะหมี่ในถ้วยอย่างแค้นใจ ทำไมเรื่องมันต้องลงเอยอย่างนี้ด้วย

             “ทานข้าวแล้วก็รีบแต่งตัวแล้วกัน”

             ฉันใช้ลิ้นดันโพรงปากไปมา เมื่อได้ยินอีตาผู้ชายไร้มารยาทและนิสัยไม่ดีออกคำสั่งอีกแล้ว

             “ทำไมฉันต้องทำตามที่นายพูดด้วย” ฉันพูดอย่างไม่แคร์ ใช้ส้อมม้วนเส้นบะหมี่เป็นก้อน แล้วก็ยัดเข้าปากอย่างหงุดหงิด

             “ไม่ไปงานหมั้นเพื่อนตัวเองหรือไง”

             เมื่อเขาพูดออกมา ฉันก็ทำตาโตทันที แทบจะสำลักเส้นบะหมี่ที่กำลังทานอยู่นี่ด้วย

             “ว่าไงนะ!

             เพื่อนเหรอ หมายถึงใครกัน

             แต่ถ้าเป็นคนที่เป็นเพื่อนของฉัน และเป็นคนที่เขารู้จัก ก็น่าจะมีอยู่แค่คนเดียวนะ

             “เพื่อนเธอหมั้นแล้ว ซานต้าใช่มั้ย เธอปิดมือถือทำไมล่ะ เขาโทรหากันวุ่นไปหมด” แมทพูดมาเหมือนจะต่อว่าในที

             ฉันแอบถลึงตาใส่แผ่นหลังของเขาอย่างโมโห แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเพื่อนถึงหมั้นเร็วขนาดนั้น พอโทรไปถาม ซานต้าก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง และตอนเย็นก็มีปาร์ตี้ฉลองด้วย

             แต่จะให้ฉันไปกับแมทเนี่ยนะ ทำอะไรไม่ถูกใจเขา หมอนี่ได้ฆ่าฉันแน่เลย

             “ใส่ชุดที่ให้ยืมคราวก่อนมั้ย สวยนะ”

             “ไปไหนก็ไปเลยไป ฮือ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้านายจริง ๆ นะ ฉันเหนื่อยไม่มีธุระอะไรก็ไปซะ ฉันขอร้องละ” ยิ่งอยู่กับหมอนี่มากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรกัน

             “หยาบคายน่า ฉันอุตส่าห์มารับถึงนี่ยังจะมาพูดแบบนี้อีกหรือไง ลุกไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ตอนนี้เพื่อนฉันลือกันทั่วว่าฉันได้เธอแล้วชิ่ง

             “ปกติทำบ่อยละสิ” ฉันบ่นอุบอิบในคอ แล้วก็ยกถ้วยพลาสติกขึ้นมาซดน้ำซุปไปด้วย

             “ว่าอะไรนะ”

             “ฉันบอกว่าฉันดีใจมากเลยที่จะได้ไปกับนายน่ะ!

             “อย่ามาประชด ฉันไม่ชอบ แล้วทำไมเมื่อวานไม่รับสายฉัน ข้อความบอกให้ไปลงนรกนั่นมันอะไรกัน”

             “ฉันก็เสียสละมื้อเที่ยงของฉันให้นายแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่พอใจอะไรอีก” ไม่ไหวแล้ว ฉันเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนอยากจะร้องไห้

             จะเลิกกับเขาตอนนี้เลยดีไหมนะ ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวเพื่อนของเขาจะว่าฉันถูกฟันแล้วทิ้งอย่างที่เขาเล่นแหง ๆ สักเดือนแล้วกัน แต่ แค่สองวันที่เจอกัน ฉันก็น่วมไปทั้งตัวแล้ว เดือนหนึ่งฉันก็คงตัวซีดเหลืองตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มันเกิดอะไรขึ้นกับคนอย่างโบว์กันแน่เนี่ย!

           “ก็นะ แต่น้ำซุปมันจืดแล้วก็เย็นชืดไปหน่อย รูมเซอร์วิสคอนโดเธอนี่ไม่ได้เรื่องเลย”

             พอแล้ว ฉันหมดทั้งแรงกายทั้งแรงใจแล้วละ

           “แล้วนั่นจะไปไหนของเธอน่ะ”

             “เปลี่ยนชุดไงเล่า ไอ้บ้าเอ๊ย!

     

     

             ฉันมาปาร์ตี้สละโสดของซานต้าในเวลาต่อมา ซึ่งไม่รู้จักใครเลยนอกจากซานต้า โรมัน เกียร์ เกรย์ แล้วก็มหาวายร้ายแมท

             ทุกคนดูกลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมดเลย ยัยซานต้าก็ห่อเหี่ยวเอาแต่หมุนแหวนในมือไปมาอยู่นั่น ส่วนโรมันก็นั่งอี๋อ๋อกับผู้หญิงอื่น บอกได้ไหมว่ามันเรื่องอะไรกันน่ะ

             ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้น โรมันกับเกียร์มีเรื่องกันน่ะ เฮ้อ ยัยต้าได้แผลจากลูกหลงด้วยก่อนที่เกรย์จะพาตัวออกไป

             ส่วนฉันก็นั่งเหวออยู่ที่เดิมเพราะทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีแมทก็เดินมาหิ้วปีกฉันและลากออกจากงานเลี้ยงที่เละตุ้มเป๊ะในที่สุด

             สนุกพิลึก ฉันบอกตัวเองตอนที่คาดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย

             “รถเธอนี่ใครซื้อให้น่ะ” แมทนึกสงสัยเมื่อกำลังสตาร์ทรถ

             “ป๋า” ฉันบอกเสียงเรียบ ในใจนึกเป็นห่วงว่าป่านนี้ซานต้าจะเป็นยังไงบ้าง

             แผลที่เข่าดูท่าจะลึกใช่ย่อยเลย ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นบ้าอะไรกันหมดแล้ว

             “เธอมีเสี่ยเลี้ยงเลยเหรอ”



    นิยายเรื่องนี้หมดสัญญากับทางสำนักพิมพ์แล้ว

    มู่เลยนำมาทำ E-Book เองค่ะ

    สามารถซื้อ E-Book ได้ที่ Meb เลยนะคะ

    กดที่รูปปกใหม่เพื่อซื้อได้เลยค่ะ

    ขอบคุณจากใจมาก ๆ เลยนะคะ


    หรือ >>Click!!<<



     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×