คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ::Intro::
-Intro-
ความรักมีนิยามมากมายหลายอย่าง...
สำหรับบางคนคือความสุข สำหรับบางคนคือความหวัง และสำหรับบางคนอาจเป็นความทุกข์ไร้จุดสิ้นสุด...
“แล้วความรักสำหรับคุณคืออะไร ความสุขหรือความทุกข์”
ดวงตาสีอำพันมองดูอีกฝ่ายที่นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ เรียวปากบางขยับโค้งน้อยๆ รอยยิ้มนั้นสมบูรณ์พร้อมทั้งอัตลักษณ์เฉพาะอันงดงามและองศาอันนุ่มนวล
...สมบูรณ์เสียจนดูเหมือนไม่มีอยู่จริง....
“ผมคิดว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”เสียงนุ่มเอ่ย และรีบกล่าวเสริมคำตอบของตน “อ๊ะ ไม่ได้หมายถึงมันไม่มีทั้งความสุข หรือความทุกข์หรอกนะครับ ผมหมายถึง คุณและผมต่างรู้ว่าความรู้สึกสองอย่างนี้เป็นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นแน่นอน ความรักสำหรับผมประกอบด้วยสองสิ่งนี้” ชั่วครู่หนึ่งที่คนพูดหยุดนิ่งไป ดวงตาปรือปิดลง คล้ายกำลังเรียบเรียงประโยค
หรือคิดอีกที... อาจเป็นการหยุดเพื่อสะกดกลั้นบางสิ่ง?
“แต่ถ้าให้เจาะจงถึงคำจำกัจความที่เป็นลักษณะเฉพาะของความรักของผมแล้วล่ะก็...” เขาเริ่มต้นพูดอีกครั้ง ในแววตาปรากฏระรอกคลื่นหนึ่งที่คนมองไม่อาจรู้ความหมาย เรียวปากบางของคนตอบยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม รอยยิ้มที่งดงามตรึงตา ทว่าไม่สามารถมองเห็นถึงความสุขใดๆได้เลย...
“ความรักของผมก็คือ....”
KnB FanFiction : ‘Reaching You’
I tried to chase you.
Try every day, try every way.
But no matter how I keep running.
I still don’t in your eyes.
เสียงของเท้าที่ย่ำไปตามบรรไดอย่างเร่งรีบดังก้องไปทั่วหอพักเล็กๆแต่เช้าตรู่ ร่างสูงเพรียวผลักประตูห้องของตนเปิดออกอย่างตื่นเต้น ในมือเรียวคือซองจดหมายสีขาวประทับตราสัญลักษณ์สถาบัณชื่อดัง
ทุกอย่างแลดูช้าไปหมดในยามที่ใจเขาร้อนรน กระทั่งการหาที่เปิดซองหรือคัตเตอร์มาเปิดจอดหมายให้ถูกต้องตามวิธีก็ยังรู้สึกว่าเสียเวลามากเกินไป สุดท้ายแล้วมือเรียวจึงตัดสินใจฉีกมันออกอย่างไร้วัฒนธรรมและดึงเอากระดาษด้านในออกมา ดวงตาคู่สวยไล่ไปตามประโยคภาษาอังกฤษยาวเหยียด ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“สำเร็จแล้ว~!”ความดีใจสุดขีดทำให้เขากระโดดไปรอบๆพร้อมกอดจดหมายไว้แน่น แทบอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนอื่นละก็นะ...
“เขาตอบกลับมาแล้วหรอครับ”เสียงนิ่งๆที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาร่างเพรียวสะดุ้งเฮือก รับหันขวับไปข้างหลังเพื่อพบกับเพื่อนร่วมห้องแสนจืดจางซึ่งชอบโผล่มาเงียบๆจนทำเขาเกือบหัวใจวายตายไปอยู่หลายหน
“คุโรโกจจิ~~”ความหวาดผวาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความลิงโลดแทบจะในทันที เขารีบถลาเข้าไปกอดร่างเล็กแน่นๆ “ทำได้แล้วล่ะ! ผ่านแล้วล่ะ! ดีใจจังเลยยย”
คุโรโกะ เท็ตซึยะมองผ่านไหล่ของคนที่พุ่งเข้ามากอดตัวเองไว้ด้วยแววตานิ่งๆเหมือนเคย แต่แวบหนึ่งเหมือนว่าเขาจะตาฝาดไปว่าเห็นหางสีทองๆกำลังโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงหน้า...
“ครับ ยินดีด้วยนะครับคิเสะคุง”เขาพูด แล้วขืนตัวออกมาอย่างสุภาพ “แล้วนี่จะต้องไปวันไหนครับ”
“เอ... ในนี้บอกว่าให้ไปรายงานตัวเพื่อรับรายละเอียดวันเสาร์นี้อ่ะ แต่คิดว่าพอถึงซัมเมอร์แล้วก็คงไปเลย”คิเสะ เรียวตะ อดีตนายแบบดาวรุ่งชื่อดังตอบ เมื่อเดือนก่อนเขาสอบข้อเขียนเพื่อชิงทุนไปเรียนต่อด้านการบินที่อเมริกาได้อย่างเหนือความคาดหมายของคนรอบข้าง ก็แหม... ถึงหน้าตาเขาจะหล่อเลิศ ด้านกีฬาก็ยอดเยี่ยม แต่การเรียนไม่เอาไหนสุดๆไปเลยนี่หน่า! และวันนี้ผลสอบสัมภาษณ์เพิ่งส่งมาถึง แน่นอนว่าคนที่พล่ามได้น้ำไหลไฟดับอย่างเขาต้องผ่านอยู่แล้ว!
“ซัมเมอร์... นี่มันอีกเดือนเดียวเองนี่ครับ”คุโรโกะว่า คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าจ้องมองดวงตาสีเหลืองตรงๆ พยายามหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตาคู่นั้น
แต่คิเสะรู้จักคุโรโกะดีพอว่าอีกฝ่ายรู้ทันเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงรีบหลบตา แล้วพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ฮั่นแน่! คุโรโกจจิไม่อยากให้ฉันจากไปล่ะสิ โอ๋เอ๋น๊า~”
“ไม่มีคุณสักคนหอคงเงียบสงบได้มากเลยล่ะครับ”อดีตเงาพูดเสียงเรียบ นิ้วขาวจิ้มลงกลางหน้าผากของรูมเมทที่กำลังทำหน้าบ๊องแบ๊วเบาๆ ทำให้คิเสะหน้ามุ่ยลงไปทันที
“คุโรโกจจิใจร้ายอ่ะ! จะไม่คิดถึงกันบ้างเลยหรอ ฉันจะร้องไห้แล้วนะ”ไม่พูดปล่าว ดวงตาคู่สวยยังคล้ายจะมีน้ำตาคลอนิดๆ สายตาแบบนี้ที่ใครต่อใครต่างเห็นแล้วใจอ่อนยวบ
...ทั้งๆที่อายุขนาดแล้วแต่ยังทำหน้าแบบนั้นได้ดูอีก บางครั้งเขาก็คิดว่าพระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ...
“อย่าร้องสิครับ คิเสะคุงเป็นเพื่อนผมนะ ยังไงผมก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว”
ประโยคนั้นทำให้เจ้าหมาหงอยตาเป็นประกายระยับ กำลังจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายตามความเคยชิน หากคำพูดถัดมาทำให้เขาได้แต่กางแขนเก้ออยู่ในอากาศ รอยยิ้มบนใบหน้าผนึกแข็งค้าง
“แต่มีอีกคนต้องคิดถึงมากกว่าผมแน่ๆ”
คุโรโกะมองดูปฏิกริยานิ่งค้างแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “คิดจะไปโดยไม่บอก ‘เขา’ งั้นสินะครับ”
“ขะ...เขาที่ไหนกัน พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลยอ่ะ”คนโดนรู้ทันแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เคยหลอกตาคนตรงหน้าได้สักครั้ง
“รู้อะไรมั้ยครับ ถึงคิเสะคุงจะเรียนเก่งขึ้นเยอะก็เถอะ แต่กับบางเรื่อง เคยโง่ยังไงก็ยังโง่อย่างนั้นเลยนะครับ”
ประโยคแทงใจดำที่ทำเอาคนถูกว่าถึงกับน้ำตาไหลพรากๆอยู่ในใจ
คุโรโกจจิพูดตรงไปแล้วนะ!
“ถ้าไม่พูดกันก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกนะครับ ทำไม...”
“ฉะ... ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปขอวีซ่าอีก!”ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดมากไปกว่านี้ คิเสะเป็นฝ่ายตัดบทสนทนาโดยการคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินดุ่มๆเข้าห้องน้ำไป
ไม่ว่าจะเพราะไม่อยากฟัง หรือทนฟังไม่ได้ก็ตาม แต่เขารู้ดีว่าตัวเองจะอยู่ฟังต่อไม่ได้เด็ดขาด
เพราะไม่อย่างนั้น... เขาคงไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป...
คุโรโกะมองดูประตูห้องน้ำที่ถูกปิดลง แล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
พวกเขาเรียนจบมัธยมปลายมาได้หนึ่งปีแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำตามเป้าหมาย เขามาเรียนต่อเพื่อเป็นครู คิเสะเองก็เรียนเกี่ยวกับการบินอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงอาศัยอยู่ร่วมกันในห่อพักใกล้ๆวิทยาลัย กับเพื่อนๆกลุ่มปาฏิหารย์นั้นนานๆครั้งก็มีนัดกินข้าวกันบ้าง ไปเล่นบาสด้วยกันบ้าง
บางสิ่งเปลี่ยนไป... แต่บางสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม...
ดวงตาสีฟ้ามองไปยังกรอบรูปบนโต๊ะ กาลเวลาทำให้มันดูเก่าลงไปบ้าง แต่กลับไม่มีฝุ่นเลยสักนิด แสดงว่าเจ้าของคงรักษามันอย่างดี
ปลายนิ้วแตะลงบนกระจก ไล่ไปยังใบหน้าของคนสามคนที่อยู่ในภาพ คนตรงกลางคือเขา ส่วนอีกสองคน....
“ถ้าไม่พูดกันตอนนี้ อาจไม่มีโอกาสอีกแล้วนะครับ คิเสะคุง... อาโอมิเนะคุง”
...คำพูดเป็นสิ่งที่ทรงพลัง...
มันสามารถส่งต่อสิ่งที่มองไม่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด อย่างเช่นความรู้สึกนึกคิด
...ในขณะเดียวกัน คำพูดก็เป็นสิ่งที่ไร้ค่า...
เพราะแม้จะพูดดังแค่ไหน ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไร
....เพราะนายไม่คิดจะฟัง....
*****************
ความคิดเห็น