ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] The sixth sense

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.24K
      78
      5 ต.ค. 59

    Ⓒ QRD



    Chapter 1

     

     

              วูบ...

                สายลมที่จู่ๆก็พัดผ่านไปทำให้ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็กสต็อกยาอยู่ต้องชะงักเล็กน้อย ชั่งใจชั่วครู่ ก่อนที่ดวงตาคมจะค่อยๆหันไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง

                ไม่มีอะไร

    ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อไม่พบความผิดปกติ ก่อนตัดสินใจก้มหน้าทำงานต่อพลางปลอบใจตัวเองว่าคงเป็นลมจากเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่แน่นอน

    วูบ...

    อีกแล้ว...

              คราวนี้ตัดสินใจวางเอกสารในมือลงเพื่อมองไปรอบๆอีกครั้ง หากแต่รอบตัวของเขายังคงเหมือนเดิม ยังเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบสมกับเป็นห้องจ่ายยาผู้ป่วยในเวลากลางคืน แต่ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองรึเปล่า อากาศรอบตัวเขาดูเหมือนจะเย็นยะเยือกผิดปกติ จริงๆแล้วจากตู้ยาที่เขายืนอยู่ซึ่งไม่ไกลจากเคาเตอร์จ่ายยาหน้าห้องเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอยู่กันคนละโลกยังไงอย่างนั้น

                กึก

                เสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นพร้อมกับอะไรบางที่เคลื่อนไหวให้เห็นจากหางตาทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ก่อนปัดเอาเอกสารและขวดยาที่วางอยู่บนชั้นด้านหน้าจนตกลงบนพื้น

                “อะไรนักหนาวะเนี่ย” สบถกับตัวเองพลางก้มลงเก็บเอกสาร ก่อนยื่นมือรับขวดยาที่มีใครบางคนส่งมาให้จากด้านข้างแล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ

                เดี๋ยวนะ...

                มือเรียวที่กำลังจะวางขวดยาลงที่เดิมชะงักอีกครั้งหนึ่งเมื่อคนที่กำลังวางเริ่มประมวลผลอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มหันกลับไปมองด้านห้องอีกครั้ง

                ยังนั่งอยู่ที่เดิม...

                ก็ในเมื่อตอนนี้ห้องยามีแค่เขากับพี่เภสัชฯ 2 คน... ที่ตอนนี้ยังนั่งอยู่หน้าห้อง

    แล้วเมื่อกี้ใครช่วยเขาเก็บขวดยาล่ะ?!?

    ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

     

     

     

     

     

    “ผมเห็นจริงๆนะ”

                ยุน จองฮัน แทบจะเอามือกุมขมับ เมื่อจู่ๆนักศึกษาฝึกงานของเขาก็ตะโกนอะไรไม่รู้เสียงดังลั่น ทำให้ชายหนุ่มต้องทิ้งงานทุกอย่างเพื่อวิ่งมาดู และพอตั้งสติได้ คิม มินกยู ก็เริ่มโวยวายด้วยประโยคที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนไมเกรนกำลังจะกำเริบ

                “ตาฝาด” จองฮันตอบสั้นๆ พยายามทำเสียงให้ดูเรียบเฉย ทั้งๆที่ในใจของชายหนุ่มกำลังนึกอยากฆ่าใครสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นตัวต้นเหตุค่อยๆโผล่หน้ามาจากหลังตู้ยา

                “ฝาดอะไรล่ะครับ คราวนี้มาเป็นมือเลย มาเป็นมือเลยนะพี่!” เด็กฝึกงานตรงหน้าโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผู้เป็นรุ่นพี่ทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไร มินกยูมองผู้เป็นรุ่นพี่ด้วยสายตาจริงจัง “ผมว่าห้องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง”

                “ไม่มีอะไรหรอกน่า”เภสัชกรหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย ในขณะที่ยังคงจับจ้องไปยังตู้ยาด้านหลังด้วยสายตาคาดโทษ

                “มีสิครับ ไม่ใช่ผมคนเดียวที่เจอสักหน่อย พี่นายองก็เจออะไรแปลกๆเหมือนกัน คนอื่นก็ด้วย ตอนนี้ไม่มีใครอยากมาที่นี่เลยอ่ะ” เด็กฝึกงานยืนยัน ก่อนส่งคำถามใหม่มาพร้อมสายตาเคลือบแคลง

    “พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอครับ”

                จองฮันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                ใช่แล้วตอนนี้ห้องยาของเขากำลังมีปัญหาใหญ่... เมื่อจู่ๆก็มีเหตุการณ์ประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้นในห้องยาแห่งนี้ ไฟปิดเองบ้างล่ะ เพลงดังขึ้นเองบ้าง คนที่อยู่เวรรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่บ้างล่ะ  จนทำให้การจัดตารางเวรในตอนกลางคืนแทบจะเป็นไปด้วยความโกลาหล เนื่องด้วยไม่มีใครอยากจะอยู่เวรดึกเลยสักคน และประเด็นสำคัญที่ทำให้มินกยูส่งสายตาสงสัยมาให้เขาก็คือ

                ทุกๆเหตุการณ์จะเกิดกับคนที่อยู่เวรดึกกับจองฮัน...

                และเขาก็ปฏิเสธไม่ได้เสียด้วยสิว่ามันไม่จริง

                ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง มองหน้าซีดๆของเด็กฝึกงานก่อนเหลือบมองนาฬิกา แล้วตัดสินใจเอ่ยตัดบท

                “เกือบเที่ยงคืนแล้ว กลับได้แล้วล่ะ เอาใบเช็กสต็อกมา เดี๋ยวค่อยทำต่อพรุ่งนี้”

                “แต่...”

                “ไปพักผ่อนได้แล้วมินกยู” เจ้าเด็กตัวสูงทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปเก็บของแต่โดยดี หากยังไม่วายหันมาหาเขาก่อนออกจากห้อง

                “พี่... อยู่คนเดียวได้จริงดิ?”

                “อือ” จองฮันพยักหน้าก่อนหันไปสนใจงานที่ทำค้างไว้ต่อ แต่ดูเหมือนคนเป็นรุ่นน้องยังไม่ยอมจบเรื่องนี้แล้วกลับไปง่ายๆสักที

    “เขามาจะตามพี่อยู่ก็ได้นะ”

                เปาะ... เสียงดินสอในมือจองฮันที่ถูกกดกับกระดาษจนไส้หัก พร้อมๆกับที่เภสัชกรหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยสายตาที่ทำให้มินกยูตัดสินใจได้ว่าบางทีเขาก็ควรจะกลับได้แล้ว

                สายตาพี่จองฮันน่ากลัวกว่าผีอีกอ่ะ...

     

     

     

                “แฮ่...”

                ทันทีที่เด็กฝึกงานตัวสูงเดินออกจากห้องไป ตัวต้นเหตุก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นข้างๆเภสัชกรหนุ่มด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ในขณะที่จองฮันมอง เจ้าของมือปริศนาของมินกยู ด้วยสายตาหงุดหงิด

                 "ทำอะไรของคุณน่ะ ตอนนี้ห้องยายังเหมือนห้องผีสิงไม่พอเหรอครับ"

    ถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นิ่งที่สุด ยิ่งเห็นสีหน้าสลดของคนฟัง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นไปอีกจนนึกอยากหาอะไรมาเขสี้ยงใส่หน้าหล่อๆนั่นสักที

                ถ้ามีคนมองเข้ามาในห้องจ่ายยาตอนนี้แล้วล่ะก็ คงจะต้องมีคนบอกว่าชายหนุ่มเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ก็ในเมื่อตอนนี้มีเพียงแค่เขายืนอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

    หากแต่ในสายตาของจองฮัน ตอนนี้ข้างหน้าเขากลับมีอีกคนยืนอยู่

    ชายหนุ่มร่างสูง...ที่อันที่จริงก็สูงกว่าจองฮันไม่มากนักหรอก เพียงแต่ดูจะหนากว่าเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มีจุดเด่นเป็นดวงตาที่กลมโตล้อมรอบด้วยแพขนตาหนาที่ผู้หญิงยังอาย ที่ตอนนี้พยายามส่งสายตาขอความเห็นใจออกมา ชวนให้รู้สึกว่าเป็นเด็กหนุ่มมากกว่าชายหนุ่มที่อายุเท่าเขา

    ทุกๆอย่างคงเป็นปกติ ถ้าไม่เพียงแต่มีแค่จองฮันเท่านั้นที่มองเห็น ชเว ซึงชอล ล่ะก็นะ...

    "ผมก็แค่สงสัยว่านักศึกษาของคุณทำอะไรอยู่ก็เท่านั้นเอง"

    ดีจริง... เป็นผีก็ยังเผือกได้  คนฟังบ่นกับตัวเองในใจ

    “แล้วก็ลืมตัวนิดหน่อยเลยช่วยเด็กคุณเก็บของ” เภสัชกรหนุ่มถอนหายใจอีกเป็นรอบที่ร้อยกว่าของวันเมื่อวิญญาณตรงหน้าพูดจบ ไม่ใช่ด้วยความหงุดหงิด แต่อ่อนใจมากกว่า

    ถ้าจะถามว่าซึงชอลมาอยู่กับจองฮันได้ยังไงล่ะก็... ชายหนุ่มเองก็อยากตอบดังๆว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน!

    ย้อนกลับไปในวันที่เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ และเขาก็บังเอิญไปอยู่ในห้องฉุกเฉินตอนที่ซึงซอลถูกเข็นเข้ามาพอดี ทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้มีโอกาสสบตากันชั่วครู่ ก่อนที่คนป่วยจะหัวใจหยุดเต้นไปและถูกฮง จีซู คุณหมอประจำห้องฉุกเฉินปั๊มหัวใจกลับมาได้

    แต่ก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนโคม่าอยู่ไอซียู...

    และก็ด้วยความที่ไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยนัก ก็ทำให้จองฮันหน้ามืดมากพอที่จะเป็นห่วงและอยากรู้อาการของซึงซอลว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็เลยขึ้นไปเยี่ยมคนที่นอนไม่ได้สติอยู่... และก็เจอกับซึงซอลที่ยืนอยู่ในห้อง ด้วยความแปลกใจเภสัชกรหนุ่มจึงเข้าไปทักว่าทำไมหายเร็วจัง

    ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวกำลังยืนมองร่างของตัวเองอยู่

    แล้วหลังจากนั้นมา จองฮันก็พบว่าตัวเองมีวิญญาณบางตนติดตามอยู่...

    ติดตามชนิดที่ว่าสลัดยังไงก็สลัดไม่หลุด ทำเป็นไม่เห็นก็แล้ว เอาน้ำมนต์ของขลังไล่ก็แล้ว ก็ยังไม่หลุดอยู่ดี มีแต่ทำหน้าน่าสงสารใส่เขาทุกครั้งที่เจอกัน ยังดีที่ซึงชอลไม่ตามจองฮันกลับไปที่บ้าน(ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่ก็ขอบคุณสุดๆ) แต่เพราะจองฮันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นมันก็ทำให้เขาเลี่ยงซึงชอลที่คอยมาดักเขาเช้า-เย็นไม่ได้อยู่ดี

    ผมเหงา  เจ้าตัวว่าแบบนั้น...

    จองฮันไม่เคยมองเห็นวิญญาณมาก่อน ซึงซอลเป็นตนแรกที่เขามองเห็น และสามารถเปลี่ยนให้คนที่เคยกลัวผีกลายเป็นรำคาญผีได้ในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น... เขาก็ใจอ่อนอยู่ดี

    อาจด้วยเพราะซึงชอลจำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งชื่อของตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ โชคดีที่ข้าวของของวิญญาณหนุ่มยังอยู่ครบถ้วน ดังนั้นจึงพอระบุได้ว่าเขาเป็นใคร และติดต่อครอบครัวได้ แต่ซึงชอลก็เลือกที่จะตามจองฮัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามองเห็นเป็นคนสุดท้ายก่อนจะออกจากร่าง (คือได้ข่าวว่าจีซูเป็นคนปั๊มหัวใจ...)

    จนสุดท้ายถึงต้องสร้างข้อตกลงขึ้นมา

    ซึงชอลจะติดสอยห้อยตามเภสัชกรหนุ่มก็ได้ แต่ห้ามวุ่นวาย ห้ามพูดคุยกับเขาเวลาที่มีคนอื่นอยู่ด้วย ห้ามทำให้คนอื่นกลัว

    แต่ปัญหาคือ จองฮันเป็นคนชอบอยู่เฉยๆเรียกได้ว่าพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด ในขณะที่ตัวปัญหาของเขาเป็นพวกอยู่นิ่งไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมสมาชิกห้องยาถึงได้รู้สึกเหมือนมีคนเคยมองคอยตาม ก็พ่อคุณเล่นอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกอย่างแบบนี้ไงล่ะ

                “คุณจำอะไรได้บ้างรึยัง?” จองฮันตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ในขณะที่วิญญาณตรงหน้าทำหน้ามุ่ย

                “ไม่เลยสักนิด” ซึงซอลว่า “ผมถึงอยากให้คุณลองสืบเรื่องของผมดูสักทีไง ถ้าผมจำอะไรได้ อาจจะกลับเข้าร่างก็ได้นะ”

                “ขอโทษด้วยนะครับคุณชเว ซึงชอล แต่บังเอิญว่าผมไม่ใช่ตำรวจ”เภสัชกรหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงประชดเล็กน้อย “คิดว่าข้อมูลผู้ป่วยมันเข้าถึงได้ง่ายๆเหรอครับ ที่ผมรู้ข้อมูลของคุณได้นี่ก็เพราะจีซูเป็นหมอของคุณหรอก”

                “ก็เพราะอย่างนี้ไงเราถึงต้องใช้วิธีอื่น” วิญญาณหนุ่มตอบ ก่อนเสนอ “ผมว่าเราควรไปดูที่ที่ผมเกิดอุบัติเหตุเผื่อผมจะจำอะไรได้”

                “ผมไม่ว่างขนาดนั้นหรอกครับ” คนตัวเล็กกว่าปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ก่อนตัดสินใจเลิกสนใจวิญญาณตรงหน้าแล้วหันกลับไปทำงานต่อ

                “นี่... คุณ...” ความรู้สึกเย็นวาบที่จู่ๆก็พุ่งเข้ามาจู่โจมจนขนลุก ทำให้คนที่นั่งทำงานอยู่สะดุ้งอย่างรุนแรง จองฮันหันไปแยกเขี้ยวใส่ตัวต้นเหตุที่คาดว่าเมื่อกี้คงเอานิ้วจิ้มๆแขนของเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ

                “ผมบอกแล้วไงว่า อย่า - แตะ - ตัว - ผม “

                “ผมแตะตัวคุณได้ที่ไหนกันล่ะ” ซึงชอลว่าพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนวางมือแปะบนไหล่ของเภสัชกรหนุ่มคล้ายเป็นการพิสูจน์ให้เห็น ซึ่งมันก็ทะลุผ่านไปจริงๆนั่นแหละ แต่ว่ามันดันทำให้คนถูกจับรู้ สึกเหมือนเพิ่งโดนโยนลงไปในถังน้ำแข็งยังไงอย่างนั้น

                “ชเว ซึง - ชอล” จองฮันเรียกชื่อวิญญาณตรงหน้าด้วยน้ำเสียงคาดโทษ

                “โอเคๆ ผมขอโทษ ก็คุณเมินผมนี่” ตัวปัญหาของเขารีบบอก ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “คุณลองคิดเรื่องผมดูอีกทีเถอะ”

                “...”

                “คุณลองคิดดูดีๆสิ” คนตัวเล็กกว่าเหลือบมองวิญญาณที่กำลังพยายามโน้มน้าวเขาด้วยสีหน้าที่บอกได้ว่าไม่ไว้ใจนัก “ถ้าผมจำได้ ผมก็กลับเข้าร่างได้ คุณก็จะได้ไม่ต้องคอยรำคาญผมแบบนี้ไง”

                “....”

                “วิน - วินทั้งคู่”

                 ทำไมจองฮันถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังแพ้นะ?


     

     

     

     

     

     

              สวี่ หมิงฮ่าว กำลังเบื่อ

                เด็กหนุ่มในชุดผู้ป่วยสีฟ้านั่งจ้องผนังอันว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของเขาที่เป็นเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันกำลังนั่งวาดรูปอยู่บนเตียงด้านในสุดอีกเช่นเคย หมิงฮ่าวอยู่เตียงด้านนอกสุดที่ติดกับประตูและกั้นระหว่างห้องพักของเขากับเคาท์เตอร์พยาบาลประจำวอร์ดด้วยกระจกใส ส่วนเตียงกลางของห้องมีหญิงสาวร่างบางในชุดผู้ป่วยสีชมพูจับจองอยู่

                อาจน่าประหลาดใจที่มีผู้หญิงอยู่ในห้องของผู้ป่วยชาย แต่ก็นะ... จากการสอบถามพยาบาลมาเมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นวอร์ดของผู้ป่วยหญิงมาก่อนดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรหรอกที่ เธอ จะอยู่ที่นี่

                หมิงฮ่าวเหลือบมองนาฬิกาที่เคาท์เตอร์พยาบาล ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลา 11.05 แล้ว เด็กหนุ่มชาวจีนหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ในขณะที่เธอคนนั้นค่อยๆเดินทะลุออกไปตรงระเบียง

                โผละ!

                ถึงจะหลับตาแต่เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างกระทบพื้นอย่างชัดเจน

                “คุณหมิงฮ่าว” เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงเรียกจากผู้มาใหม่ ในขณะที่คนเรียกเองก็ตกใจกับท่าทางของเขาเช่นกัน “ขอโทษครับ ผมทำให้คุณตกใจเหรอ”

                “เปล่าครับ ผม... แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” หมิงฮ่าวตอบเบาๆ จากหางตา เด็กหนุ่มเห็นหญิงสาวคนเดิมกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว

                “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” อี ซอกมิน นักศึกษาแพทย์ประจำวอร์ดถามเขาด้วยรอยยิ้มแบบทุกที

                “เหมือนเดิมทุกอย่างครับ”

                “เหมือนเดิม?”

                “ครับ เหมือนเดิม ยกเว้นแต่ว่าคุณหมอที่เคาท์เตอร์นั่นดูไม่ค่อยพอใจเท่าไร” หมิงฮ่าวชี้ไปที่เคาร์เตอร์พยาบาล ในขณะที่คนฟังมองตามพร้อมขมวดคิ้ว

                ตอนนี้ไม่มีมีนั่งอยู่ตรงนั้นเลยนะ...

                ดังราวจะรู้ว่านักศึกษาแพทย์หนุ่มคิดอะไรอยู่ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็พูดต่อพร้อมรอยยิ้มบางที่ทำให้ดวงหน้าดูสดใส ตรงกันข้ามกับประโยคที่พูดออกมาโดยสิ้นเชิง

                “หมออีรู้รึเปล่าครับ ว่าที่นี่เคยมีหมอฆ่าตัวตายด้วยนะ”

                “ครับ?” ชาร์ตในมือของคนฟังเริ่มสั่น

    “จริงๆนะ เขาก็นั่งมองหมออยู่นั่นไง ก็หมอน่ะลืมเขียนบันทึกเมื่อวานใช่มั้ยล่ะครับ เขาก็ไม่พอใจน่ะสิที่รุ่นน้องทำตัวเหลวไหล” รอยยิ้มของหมิงฮ่าวกว้างขึ้นมาอีกเมื่อเห็นสีหน้าซีดๆของนักศึกษาแพทย์

    “..!!!!!!..”

    “เลิกทำให้นักศึกษาของผมกลัวได้แล้วครับ คุณสวี่” เสียงนุ่มๆของใครบางคนขัดขึ้น พร้อมๆกับที่เจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

    ซอกมินมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาขอบคุณ หากแต่หมิงฮ่าวกลับมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย

    ตัวน่ารำคาญมาอีกแล้ว....

    เหวิน จุนฮุย หรือ จุน เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเด็กหนุ่มชาวจีน ใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแบบทุกครั้ง

    “วันนี้ผมจำได้ว่าเรามีนัดกันไม่ใช่เหรอครับ?”

    “ผมไม่อยากไปครับและจะไม่ไปด้วย” หมิงฮ่าวตอบเสียงเรียบ ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มบางๆให้ซอกมินที่ยืนอึ้งอยู่ ก่อนเดินออกจากห้องมาทันที

    ไม่สนใจแม้จะได้ยินเสียงเรียกของคนข้างหลัง เด็กหนุ่มชาวจีนก้าวเร็วๆไปตามทางเดินของวอร์ด ในขณะที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ต่างก็มองมาแต่ก็ไม่มีใครกล้าห้าม

    เป็นเรื่องปกติที่หมิงฮ่าวจะเดินหนีหมอของตัวเอง

    เด็กหนุ่มเดินมาหยุดที่ระเบียงทางเดินของวอร์ดก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวแถวนั้น ไม่สนใจแม้ว่าจะมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

    จะยังไงซะก็ไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขาอยู่ดี...

    หมิงฮ่าวมองไปรอบๆด้วยสายตาหดหู่ รู้ดีว่าเขาหนีจุนได้ไม่นานหรอก อีกสักพักคุณหมอหนุ่มก็จะตามเขามาจนได้ ตอนนี้ก็แค่ปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์เท่านั้นแหละ

    จากที่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ ทำให้มองเห็นตึกฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน เขาเหม่อมองมันด้วยสายตาหลากหลาย มันเป็นตึกที่มีผู้คนที่เดินขวักไขว่ และเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูมีชีวิตชีวา

    แตกต่างจากที่นี่... และก็ทำให้หมิงฮ่าวคิดถึงโลกข้างนอกเหลือเกิน

    หากแต่เขาออกไปไม่ได้ สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าล็อกดาวน์เกือบ 100% บริเวณที่เด็กหนุ่มมีสิทธิเดินไปได้มีแค่ในห้องของเขา ระเบียง ทางเดิน และสวนหย่อมเล็กๆเท่านั้น

    เพราะนี่คือที่ที่หมิงฮ่าวอยู่

    แผนกจิตเวช...

    และเหวิน จุนฮุย ก็คือจิตแพทย์ของเขา

                “ผมนั่งด้วยได้รึเปล่า” เสียงของคนคุ้นเคยที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเผลอเหยียดยิ้มออกมา ก่อนตอบทั้งๆที่ยังไม่หันมามอง

                “ผมบอกว่า ไม่ ได้ด้วยครับ” คนฟังไม่ได้ตอบอะไร จุนทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆเท่านั้น ในขณะที่เด็กหนุ่มยังคงมองตึกฝั่งตรงข้ามต่อไป

                และในตอนนั้นเองที่หมิงฮ่าวมองเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้วพร้อมกับเขม่นตามองด้วยความแปลกใจ

                “คุณจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ....”

                “หมอ...” คนป่วยขัดขึ้นมาก่อนที่จิตแพทย์หนุ่มจะพูดจบ

                “ครับ?”

                “ผมจะยอมรับการรักษา...” คำพูดของเด็กหนุ่มชาวจีนทำให้จุนต้องมองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนไข้ตัวเองด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนที่หมิงฮ่าวจะพูดต่อพร้อมกับชี้นิ้วไปยังตึกฝั่งตรงข้าม

    “ถ้าหมอยอมให้ผมไปที่นี่นั่น”

    จุนมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาพินิจ

    สวี่ หมิงฮ่าว จะไปทำอะไรที่แผนก ER ?

     

     

     

     

    TBC.

                


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×