คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 01 :: My Space
Chapter 1
My Space
“มึงนี่สันดานยังไงก็อย่างนั้น บางทีกูก็อยากให้มึงใช้สมองอันน้อยนิดคิดบ้างก่อนตัดสินใจสักอย่าง ไหน ๆ พ่อแม่ก็อุตส่าห์แถมให้มาตอนเกิดละ”
เด็กตัวสูงแค่นหัวเราะกับประโยคหลอกด่าของเพื่อนสนิท ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินยาวเวลาหกโมงเย็นเศษ ๆ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่เริ่มทยอยกันกลับบ้านไปแล้วจะเหลือก็แค่บางห้องที่ยังต้องอยู่เรียนพิเศษจนถึงสาม-สี่ทุ่ม ใครจะอยู่ก็อยู่ไปครับแต่หนึ่งในนั้นต้องไม่ใช่ปาร์คชานยอลคนนี้
คือมึงรีบเรียนอะไรกันนี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกไหม คืออย่างนี้ครับ มันจะมีพวกบ้าเรียนมาก ๆ แบบว่ากูต้องเป็นเดอะเบสท์ได้ที่หนึ่งของชั้น หมกมุ่นเรื่องเรียนมากจนละเลยความสนุกในชีวิตวัยรุ่น ซึ่งปาร์คชานยอลล่ะสงส๊ารสงสารที่คนพวกนั้นใช้ชีวิตไม่คุ้ม
“อยู่กับเพื่อนมึงยังไม่มีความเกรงใจ ถ้าไปอยู่กับคนอื่นจะขนาดไหน”
“มึงจะบ่นทำเยี่ยไรจงอิน อยู่กับไอ้เด็กใหม่อย่างมากก็แค่เห็นหน้ามันก่อนนอน เผลอ ๆ ตอนตื่นคงไม่เจอด้วย” เพราะปาร์คชานยอลตั้งใจว่าจะปักหลักนอนโก่งดากไปจนถึงสิบโมงแล้วค่อยปีนรั้วเหมือนอย่างเคยไงล่ะครับท่านผู้โชมมมม
ดูจากสภาพแล้วไอ้เตี้ยท่าทางจะเป็นมนุษย์แก่เรียนที่ชอบไปถึงห้องก่อนใครแล้วนั่งอ่านหนังสือก่อนชาวบ้านชาวช่องเขา เวลาครูถามจะได้เสนอหน้ายกมือขึ้นตอบแล้วหันไปหัวเราะอย่างมีชัย นั่นแหละกูว่าใช่แน่ ๆ อั๊ยย๊ะ ชั่ยชั่ย
“แล้วมึงจะเอาเงินจากไหนไปหารค่าบ้านกับมัน คิดเรื่องนี้ไว้ยัง” จงอินหันหลังเท้าศอกกับระเบียง แน่นอนว่าประโยคนี้ทำให้รู้สึกคันตีนแปลก ๆ มึงเป็นไรเหรอคิมจงอิน เป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันเหลือเกินนี่เพื่อนมึงไหม? เดี๋ยวกูกลับไปสร้างแลนด์มาร์กบ้านมึงเหมือนเดิมแล้วจะหนาวขี้ นี่ปรานีมึงแค่ไหนที่อุตส่าห์ย้ายดากออกมาจากคฤหาสน์อันแสบอบอุ่นของครอบครัวมึง แมว่ง
“ไว้ค่อยคิดก็ยังได้ จากสภาพแล้วมันน่าจะเป็นคนมีตังค์ เดือนแรกก็ให้เนียน ๆ จ่ายแทนไปก่อน เดี๋ยวกูไปตีหน้าซื่อสำออยใส่มันเองว่าที่บ้านมีปัญหา คนหงิม ๆ อย่างมันไม่กล้าหือหรอกเชื่อกู” เด็กตัวสูงถูยักคิ้วอย่างมั่นใจ บอกเลยว่าคิมจงอินไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ จากที่สังเกตเด็กใหม่มาตลอดทั้งวัน เขารู้สึกได้ว่าไอ้เตี้ยนั่น ‘ดูมีอะไร’
“มึงทำอย่างนั้นได้ไม่นานหรอก ไม่เดือนนี้ก็เดือนหน้า ไม่เดือนหน้าก็เดือนถัดไป สักวันมันก็ต้องรู้ว่าสันดานมึงเป็นคนยังไง เผลอ ๆ เห็นผลทันตาในวันพรุ่ง” จงอินยิ้มขำอย่างกับว่าเรื่องนี้โคตรตลกซึ่งมันกำลังรอดูฉากต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ว่าก็ว่าเถอะ อย่างที่ไอ้จงอินพูดก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าสักวันนึงไอ้บ้านนอกมันคงรู้ว่าจุดประสงค์ในการขอย้ายเข้าไปอาศัยด้วยของปาร์คชานยอลในครั้งนี้ก็คือการเกาะแดกตาใส แต่แล้วยังไงครับ? ในเมื่อเรื่องมันยังไม่เกิดขึ้นก็ขอไปตายเอาดาบหน้าก่อนดีกว่า
“ถ้ามันรู้ กูจะใช้ความโหดเหี้ยมของกูนี่แหละข่มเหงมัน” ชานยอลทำหน้าแฮ่ดแล้วมองมือตัวเองที่กำแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปุด ๆ หมัดนี้ล่ะมึงเอ้ยดวดหน้าพวกขี้กากมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“กูสงสารมันล่วงหน้าเลยได้ไหม” จงอินทำหน้าเนือย เห็นหน้าหงิม ๆ อย่างนั้นคงไม่กล้าหืออะไรกับไอ้ชานยอลมากต่อให้เขาคิดว่าไอ้เด็กใหม่มัน ‘ดูจะมีอะไร’ ก็เถอะ “แล้วเมื่อไหร่มึงจะไปหามันวะ ได้ข่าวนัดกันตั้งแต่สี่โมงเย็น” แล้วเวลา ณ ปัจจุบันนี้ก็เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มถูกความมืดกลืนกินเข้าไปทุกที ๆ
“นี่คือการสั่งสอนเบื้องต้น” ชานยอลแค่นยิ้มอย่างที่ผู้ชายมั่นหน้าคนนึงจะคัดออกมาได้ เขาหันไปชูนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างแล้วชี้ไปยังเพื่อนสนิทก่อนจะขยิบตาอ้าปาก เห็นแล้วอยากจะเอาถุงตีนยัดเข้าไปเหลือเกิน
“สอนไรอีกล่ะ”
“กูจะให้มันเรียนรู้ว่าการอยู่กับปาร์คชานยอลต้องมีความอดทนมากแค่ไหน มันต้องเป็นคนเดินตามเกมถึงกูจะเป็นผู้อาศัยก็ตาม นี่ยังไม่รวมเรื่องที่มันหักหน้ากูเมื่อเช้านะ ห่าเอ้ยพูดแล้วมือกูถึงกับสั่น” เด็กหนุ่มแกล้งเขย่ามือโชว์ ซึ่งคิมจงอินก็ไม่ได้สนใจกับสิ่งที่อีกคนกำลังพยายามอวดเก่งอยู่เลยสักนิด
“เอาที่มึงสบายใจ”
“คอยดูนะ ถ้าลงไปข้างล่างคงเห็นมันกำลังทำหน้าหงอยอยู่ม้านั่งตรงทางออกหน้าโรงเรียน พอมันหันมาเจอกูปุ้บ...” จงอินมองคนข้าง ๆ ที่กำลังอินกับการอธิบายออกมาเป็นฉาก ๆ ขณะที่เขาทั้งสองคนกำลังเดินลงมาจากอาคารเรียน “มันต้องตะโกนเรียกกูอย่างดีใจว่า... ‘มาแล้วเหรอชานยอล <3’ แน่ ๆ” ชานยอลแกล้งดัดเสียงเลียนแบบเด็กใหม่ก่อนจะหัวเราะลั่น
“กูว่ามึงเดาผิดว่ะ”
“หืม?” สองขาหยุดกึกพลางมองไปยังม้านั่งสี่ห้าตัวที่ตั้งเรียงยาวเป็นจุด ๆ คั่นกับต้นไม้ใหญ่ ชานยอลขมวดคิ้วมุ่น กลอกตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาใครอีกคนที่เขาคิดว่าควรจะรออยู่ที่นี่...แต่...
“โอ้ะโอ...”
“หายหัวไปไหนวะ?”
“ออกไปซื้อน้ำหรือเปล่า? มึงลองโทรหามันดิ” ถึงไอ้จงอินไม่บอกเขาก็จะทำแบบนี้อยู่แล้ว นี่มันอะไรกันวะ ถ้ามันไปหาซื้ออะไรแดกก่อนนี่จะโมโหจริง ๆ ด้วย มึงควรจะรอกูไหมไอ้หน้าหงิม นี่กูยังไม่ได้แดกข้าวเย็นมึงควรสำเหนียกได้ว่าควรจะหาอะไรมาเลี้ยงต้อนรับว่าที่รูมเมทอะไรเทือก ๆ นั้นสิ แต่ถ้าแค่เดินไปซื้อน้ำเฉย ๆ อันนี้จะยอมลดโทษให้ก็ได้
รอสายอยู่ไม่ถึงสิบวิปลายสายก็กดรับ ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ แล้วก็หงุดหงิดอยากจะด่ามันซะเดี๋ยวนี้แต่ต้องห้ามตัวเองแล้วคิดว่า ‘ไว้ย้ายเข้าไปก่อน ไว้ย้ายเข้าไปก่อน...’ นั่นแหละปาร์คชานยอลถึงได้ยอมกัดฟันยางทนต่อไป
( ว่าไงชานยอล )
ว่าไงงั้นเรอะ?
“มึงอยู่ไหน”
( อ๋อ ตอนนี้เราอยู่บ้านแล้วล่ะ )
“อยู่บ้าน?! มึงน่ะนะอยู่บ้าน?!” จงอินผงะถอยไปทางซ้ายเล็กน้อยมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังใส่อารมณ์กับคนในปลายสาย ส่วนมือไม้มันก็ชี้ไปข้างหน้า ตาก็ถลึงขึ้นอย่างกะจะแดกหัวไอ้เด็กใหม่ให้ได้ กูอยากจะบอกมึงเหลือเกินเพื่อนรักว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะไอ้เตี้ยมันไม่เห็นหรอก แต่กูน่ะเต็ม ๆ “กูบอกให้มึงรอหน้าตึกไม่ใช่ไง? หูแตกเหรอ? ความจำเสื่อม? หรือโดนเครื่องลบความจำของ MIB? ตอบ!”
( ก็เรารอตั้งนานแต่ชานยอลไม่ยอมลงมาสักที )
“กูมีธุระได้ไหมล่ะ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้ห้ะไอ้บ้านนอก?”
( ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย คือเราเพิ่งนึกได้ว่าแช่ผ้าไว้ในกะละมังก็เลยรีบกลับมาซักตากก่อนฟ้าจะมืด อีกอย่างชานยอลก็จะย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ก็เจอกันที่บ้านเลยก็ได้นี่ เราส่งโลเคชั่นไปให้ในไลน์แล้วเห็นหรือยัง? )
“ไม่ กูไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” พูดจบก็ละมือถือออกมากดเข้าแอพลิเคชั่นไลน์ สัด!!! มันส่งมาแล้วจริง ๆ ด้วยตอนห้าโมงครึ่ง!!!
“เย็นหน้าเลยค่ะ” จงอินหัวเราะใส่หูเพื่อนสนิทอย่างสะใจ ชานยอลกัดฟันกรอดแล้วยกมือถือขึ้นทาบหูอีกครั้ง
“ไอ้บ้านนอก”
( เรียกเราว่าแบคฮยอนก็ได้ )
“กูจำชื่อมึงได้แต่กูกำลังด่ามึงอ่ะเข้าใจไหม?!!!!!!!!!!” โอ้ยยยยยยย กูจะบ้าตาย นี่ไม่รู้เลยว่าจะสรรหาคำไหนมาด่ามึงแล้วบยอนแบคฮยอน ยิ่งคุยกับมันก็ยิ่งโมโห พอย้ายของเข้าบ้านเสร็จก็อัดแม่งซักเม็ดเอาฤกษ์เอาชัยดีไหมล่ะหือ
( แล้วทำไมต้องหลอกด่า นี่โกรธเรื่องที่เรากลับก่อนเหรอ เราก็อธิบายเหตุผลไปหมดแล้วนะหรือชานยอลไม่เข้าใจเราจะได้อธิบายอีกที เพิ่งรู้ว่าเป็นคนเข้าใจยากเหมือนกันนะเนี่ย )
“จ้า ไอ้คนเข้าใจง่ายแต่เสือกหนีกลับก่อน ทั้งที่กูพูดกรอกหูมึงด้วยลมหายใจอันหอบกระเส่าว่า ‘ให้รอกูอยู่หน้าตึก’ ”
( ถ้าพยายามคิดตามสักนิด ชานยอลก็จะเข้าใจเองว่าทำไมเราถึงตัดสินใจออกมาแบบนั้น )
“มึงช่วยพูดภาษาคนได้ไหม ทำไมต้องให้กูทรานส์เกาหลีเป็นเกาหลีด้วยวะห้ะ!!!”
( โอ้ย ทำไมต้องขึ้นเสียงทุกประโยคเลยเนี่ย ชานยอลไปหายใจลึก ๆ ก่อนแล้วค่อยโทรหาเราใหม่นะ )
ตู๊ดดดดดดด...
“...”
“...”
ว่างเปล่า...ไม่ใช่ประโยคคำถาม
แต่มันคือความรู้สึกของเด็กหนุ่มผู้โหดสัสที่อัดคู่อริมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสภาวะหมาขี้เรื้อนจนตรอกอย่างงง ๆ ทำไมไอ้เด็กบ้านนอกมันถึงได้ทำตัวล่อตีนได้ขนาดนี้ มันอยากลองของใช่ไหมปาร์คชานยอลอยากจะรู้นัก เดี๋ยวมึงได้ชิมแน่ รอก่อน!!!
“เอาไงล่ะเพื่อน”
“ไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมึง กูพร้อมจะย้ายก้นไปอยู่กับไอ้บ้านนอกละ”
เด็กตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองบ้านสามชั้นในตรอกแคบที่เขาใช้เวลาเดินขึ้นเนินเหยียบห้านาทีกว่าจะถึงเป้าหมายตาม GPS ที่ไอ้เชี่ยบ้านนอกมันส่งให้ บ้านดูกะโหลกกะลากว่าที่จินตนาการไว้เยอะ แต่ก็คิดได้ว่ามันอยู่คนเดียวคงไม่ถึงขั้นซื้อบ้านเดี่ยวพร้อมสระว่ายน้ำ พอเดินออกไปหน้าบ้านก็เห็นสวนสาธารณะพร้อมฟิตเนสเฟิร์สไรงี้คงไม่
ใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่หลายนาที บอกเลยนะว่าเขาไม่เคยต้องทำอย่างนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นไอ้มนุษย์ฮอบบิทมันควรจะซาบซึ้งได้แล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิตปาร์คชานยอลนั้นเคยใช้ความอดทนกับมัน
หยิบมือถือขึ้นมาสไลด์โทรหาเจ้าของบ้าน ระหว่างรอสายก็เดาว่าไอ้บ้านนอกจะอยู่ชั้นไหน อย่างมันน่าจะอยู่ชั้นล่างเซนส์บอกมาอย่างนั้น แต่ชั้นสองก็น่าอยู่ดี หนังหน้าอย่างมันต้องมีความเชื่อว่าถ้าอยู่ชั้นกลางคงปลอดภัยจากการโดนผีหลอกแน่ ๆ
( หายโมโหแล้วใช่ไหม )
“เออ กูมาถึงแล้ว” อยากจะตอกกลับไปสักดอกว่ากูเดือดจนพร้อมจะขบหัวมึงได้เพียงแค่เห็นเส้นผมมึงโผล่มา แต่ต้องข่มใจเอาไว้ถ้ายังอยากมีที่ซุกหัวนอนอยู่
( อ้าวเหรอ แป้บนะ )
ได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ระหว่างนั้นเด็กตัวสูงก็ได้แต่ยืนเขย่าตีนอยู่หน้าบ้านระหว่างรอ แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละพี่ถึงกับเข็มขัดสั้นทันทีที่เห็นหน้าหมา ๆ ของใครคนหนึ่งโผล่ออกมาตรงระเบียงชั้นบนสุดของบ้านหลังนั้น
“แม่ย้อย...มึงอยู่ชั้นบนสุดเลยเรอะ?”
( ทางนี้ ๆ ๆ เห็นเราไหม!! )
ชานยอลอ้าปากค้างมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังกระโดดเหยง ๆ โบกมือให้อย่างกับบอลลูนลมหน้าทางเข้าปั้มน้ำมัน เด็กหนุ่มทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกว่า ‘กูเห็นมึงแล้ว’ แค่นั้นแหละไอ้บ้านนอกก็รีบวิ่งลงมาจากบันไดเหล็กสามชั้นที่ถ้าให้นับว่ามีกี่ขั้นก็คงเสียเวลาและเหนื่อยมาก
“หาบ้านยากไหม?” ทันทีที่วิ่งลงมาถึงมันก็ทำตาใสใส่เลยทีเดียว จากตอนแรกว่าจะด่าแต่ก็ต้องกลืนทุกอย่างลงคอหมดแม้กระทั่งน้ำลายเหนียว ๆ ที่หลงเหลืออยู่ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่ว่าไอ้มนุษย์ฮอบบิทมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับการรัวขาสั้น ๆ วิ่งลงบันไดเลยหรือไงวะ?
“ไม่ยาก กูฉลาด”
“ดีแล้ว ๆ ว่าแต่ของมีแค่นี้เองเหรอ?”
“เออ เดี๋ยวอย่างอื่นอาจจะตามมาทีหลัง” เด็กหนุ่มตอบส่ง ๆ ถึงจะบอกตัวเองมาตั้งแต่ออกจากบ้านไอ้จงอินแล้วว่าให้พยายามยิ้มอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเพื่อจะได้หลอกล่อเหยื่อให้ตายใจก่อน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็กระแทกเสียงใส่มันทุกคำอย่างกับตุ๊ดหัวโปกกะโหลกไขว้ถูกพ่อแม่ขัดใจไม่ให้แต่งหญิง
“ป่ะ งั้นขึ้นไปดูบ้านเรากัน” เหอะ บ้านเรางั้นเหรอ ฟังแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกูที่เรียกว่าขนถึงกับลุกชูชันพร้อมกันจนต้องลูบต้นแขน นี่ถ้าก้มไปลูบขาด้วยเดี๋ยวจะโดนเข้าใจผิดหาว่าจะเต้นเพลงเกิร์ลกรุ้ปอะไรอีกล่ะ
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง...
ไม่ต้องสงสัย มันคือเสียงรองเท้าตอนเหยียบโดนบันไดเหล็กที่คงผ่านร้อนผ่านฝนมานานเกินสิบปีโดยที่ไม่มีใครคิดจะทาสีใหม่จนสนิมแดกไปหมดละ นี่ถ้าผุพังตกลงไปไม่คอหักตายคู่กันเลยหรือ
แต่เดี๋ยว...ทำไมไอ้บ้านนอกมันขึ้นไปถึงขั้นสุดท้ายไวจังวะนี่กูยังอยู่ชั้นสองอยู่เลยไหม นี่มึงรีบหรือกูเอื่อยเฉื่อย? แน่ะ...ยังมีหน้าหันมาทำตาปริบ ๆ อีกเดี๋ยวกูจิ้มตาแตก ยืนกดดันเหรอฮึ? กูจะเดินช้า ๆ ให้มึงหงุดหงิดใจเล่นจะได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของคนรอบ้าง
“เหนื่อยเหรอ”
“เปล่า ขึ้นบันไดแค่นี้ทำไมต้องเหนื่อยด้วยวะ มึงเหนื่อยล่ะสิ?” ชานยอลแค่นหัวเราะแล้วกระชับสายกระเป๋าเป้
“จับราวไว้ด้วยสิ ตรงนั้นไม่มีไฟ ป้าเจ้าของบ้านเคยเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยเช่าคนเก่าสะดุดล้มจนฟันกระต่ายหลุดไปซี่นึงเลยนะ”
“มึงเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ราว’ งั้นเหรอ? กูขอเรียกมันว่าเศษเหล็กที่จะเอาไปชั่งกิโลขายยังคิดหนัก” เด็กตัวสูงส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วฝืนเดินขึ้นบันไดต่อไป
“เราเห็นชานยอลเดินช้า คิดซะว่าออกกำลังกายไปในตัวนะ” แบคฮยอนยิ้ม “เราว่ามันดีกับนายมาก ๆ เลย”
“ดีอะไรของมึง?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้ไม่ไหวแล้วครับ นี่ต้องเอื้อมไปจับราวบันไดสนิมไว้เป็นหลักเพราะสังขารเริ่มไม่อำนวยแล้ว โอย ถ้าบ้านจะสูงขนาดนี้มึงไม่สร้างแข่งกับตึก 63 ไปเลยล่ะ นี่ขอกูเห็นหน้าสถาปนิกสักทีได้ไหม
“ชานยอลเป็นคนเหลาะแหละ ถ้าออกกำลังกายบ่อย ๆ จะได้แข็งแรงไง”
“อ้าวเชี่ยนี่วอนตีนแล้วไหม หลอกด่ากูไง?” แบคฮยอนสะดุ้งถอยไปหลบอยู่หลังราวผ้าทันทีที่ชานยอลทำท่าจะเข้ามาเหนี่ยวเขาหลังจากขึ้นมาถึงชั้นบนสุดแล้ว “อะไรวะเนี่ย?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองไปรอบตัว ด้านขวาเป็นรั้วดาดฟ้าที่ทำด้วยเหล็กและมันก็ไม่ต่างจากบันไดเมื่อกี้นี้เลยสักนิดคือสนิมแดกเหมือนกัน พอลดระดับสายตาอีกหน่อยก็จะเห็นช่องว่างยาว ๆ ที่ทำด้วยปูน น่าจะเป็นที่ไว้สำหรับปลูกต้นไม้ ดอกไม้หรือไม่ก็หญ้าอร่อย ๆ สักแผง เพราะคราบปุ๋ยของเก่ายังติดอยู่เลย ถัดมาเป็นราวตากผ้ากับเก้าอี้ชิงช้าขึ้นสนิม...
โว้ยยยยยยยยยยยยยย!!! นี่กูอยู่โลกไซเลนฮิลส์ป่ะวะ ทำไมอะไร ๆ ก็เป็นสนิมไปหมด ถ้าเข้าไปข้างในจะเจออะไรที่น่าอัศจรรย์ใจกว่านี้อีกไหม?
พื้นซีเมนส์หยาบ ๆ นี่ก็เหมือนกัน มันจะไม่น่าอยู่ก็ตรงที่มีคราบดำ ๆ เป็นตะไคร่น้ำเต็มไปหมดนี่แหละ โอเค มันเป็นเรื่องธรรมชาติของสภาพพื้นที่อยู่บนดาดฟ้า แต่ว่ามันทำให้เด็กหนุ่มผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายมาตลอดกำลังรู้สึกติดลบกับที่นี่เป็นอย่างมาก
“ป่ะ เข้าไปดูข้างในกัน”
“...”
หมดคำจะพากย์แล้วครับ นี่ทำได้แค่เดินตามหลังมันต้อย ๆ เข้าไปในบ้าน ซึ่งสภาพทางด้านในก็ไม่ได้แย่ไปเลยซะทีเดียวถ้าพูดถึงความสะอาด แต่ว่า...
“ทำไมห้องโล่งขนาดนี้วะ?”
“ก็เราเพิ่งย้ายมา เลยยังไม่ได้ซื้อของเข้าบ้านน่ะ”
“อ้อ...แล้วมึงมาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”
“เดือนนึง”
“เดือนนึง?!!!” ชานยอลเบิกตาอย่างตกใจ เพิ่งย้ายของมึงนี่ใช้เวลาถึงสามสิบวันเลยเหรอไอ้บ้านนอก? ถ้าเกิดย้ายมานานแล้วป่านนี้หงอกคงขึ้นขนหน้าแข้งมึงแล้วแน่ ๆ “มึงสร้างธุระอะไรอยู่ทำไมไม่รู้จักไปซื้อ”
“เราหาธนาคารไม่เจออ่ะ ไม่รู้จะไปถอนเงินยังไง”
“ตู้เอทีเอ็มมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง หน้าโรงเรียนก็มี มึงเลือกเอาสิว่าอยากได้ตู้สีไหน” เด็กหนุ่มกระแทกแดกดันเสียง ซึ่งเจ้าของบ้านเพียงแค่ขมวดคิ้วคิดพลางเกาหัว
“เราไม่มีบัตรเอทีเอ็มอ่ะชานยอล”
“ห้ะ?”
“นี่ดีนะถอนเงินสดมาเยอะก่อนย้ายมาอยู่โซล ไม่งั้นเราแย่แน่เลย”
“นี่มึงโง่หรือโง่ไอ้บ้านนอก” กูเพิ่งเคยพบเคยเห็นคนแบบมึงก็วันนี้แหละ “งี้ถ้าหาธนาคารไม่เจอมึงไม่ต้องแดกสมุดบัญชีแทนข้าวเลยเหรอ”
“ไม่หรอก เพราะชานยอลมาอยู่กับเราแล้ว” คนตัวเล็กยิ้มกว้างแล้วรับกระเป๋าเป้จากอีกคนไปกอดไว้แนบอกหน้าตาเฉย เด็กตัวสูงขมวดคิ้วถลึงตามองไอ้เตี้ยตรงหน้าอย่างหาเรื่องสลับกับกระเป๋าของเขา
“อะไรของมึง?”
“ก็เราเป็นรูมเมทกัน ชานยอลก็พาเราไปถอนเงินได้”
“ถามความสมัครใจกันบ้างไหม? คิดว่ากูว่างเพื่อมึงมากเลยสิ?” เด็กตัวสูงก้มหน้าลงไปใกล้ ๆ อีกคนแล้วตบแก้มขาวเบา ๆ แบคฮยอนกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ อ้าวห่านี่!!!!!!!!!!!!!!!!
“ว่างเถอะ เราจะไม่มีเงินใช้แล้ว”
“ไม่ กูไม่ว่าง”
“ว่างนะ”
“กูบอกว่าไม่ไงโว้ะ!!! ไหนเตียงกู” เด็กตัวสูงก้าวขาเข้าไปหยุดอยู่กลางห้องทั้งที่ปากยังคงสบถด่าอีกคนไม่หยุด ถ้าขืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อมีหวังได้หวดหน้าหงิม ๆ ของมันแน่
คิ้วหนาขมวดมุ่น ทำไมห้องนี้มันช่างโล่งสมกับที่เขามอบชื่อใหม่ให้ไอ้เตี้ยว่าเป็นมนุษย์ฮอบบิทที่ต้องอาศัยอยู่ในห้องกว้างทั้งที่ตัวมันก็เล็กนิดเดียว มีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่มุมห้อง โต๊ะญี่ปุ่นที่พับพิงไว้กับผนังแล้วก็มีกล่องอะไรอีกก็ไม่รู้
“ไม่มีเตียงหรอก มีแต่ที่นอน”
“อ้อ ตรงนั้น โอเค” ชานยอลถอนหายใจแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนจนเด้งตัวขึ้นมาเพราะแรงสปริง เอาวะ อย่างน้อยที่นอนหกฟุตกลิ่นหอม ๆ ก็ทำให้หลับสบายได้
แต่...
“ลุก”
“ห้ะ?”
“นี่ที่นอนของเรา”
“WHAT?”
“อื้ม ชานยอลนอนตรงนี้ไม่ได้” แบคฮยอนกระตุกแขนแกร่งอีกครั้งเป็นเชิงบอกว่า ‘ชานยอลครับ ไอ้สัดลุก’ เด็กตัวสูงจำใจต้องลุกขึ้นนั่งเพราะแรงดึงของอีกฝ่าย เห็นตัวแค่นั้นมันก็แรงเยอะเอาเรื่องอยู่
“ไม่ให้นอนตรงนี้แล้วจะให้กูออกไปนอนบนขั้นบันไดสนิมไงวะ?”
“เลือกเลย นอกจากตรงนี้แล้วชานยอลนอนตรงไหนก็ได้ จะห้อยหัวเหมือนค้างคาวก็ย่อมได้”
“งั้นมึงไปห้อยให้กูดูก่อนป่ะ” เด็กตัวสูงชี้ขึ้นไปบนเพดานบ้านเป็นเชิงประชด
มึงคิดจะกวนตีนกูไปถึงเมื่อไหร่เหรอมนุษย์ฮอบบิท นี่คือการทดสอบความอดทนของว่าที่รูมเมทหรือยังไง? แต่ยังด่ามันในใจไม่ทันจบย่อหน้าแรกก็ต้องขมวดคิ้วเพราะจู่ ๆ ไฟก็ดับไปราวกับว่านิ้วของเขามีเวทย์มนต์
“...”
“...”
“ยังมีอะไรจะเซอร์ไพรส์กูอีกไหม?”
“มันเป็นงี้แหละ ติด ๆ ดับ ๆ เดี๋ยวเราไปกดสวิตซ์ใหม่อีกที” แบคฮยอนค่อย ๆ เดินคลำไปตามความมืดก่อนจะสะดุ้งก้าวถอยหลังเพราะเผลอเหยียบอะไรเข้า
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!”
“โอ้ะ ขอโทษนะชานยอล เราเหยียบโดนอะไรเหรอ?”
“ไข่กูนี่ไง!!!!! ยังจะถามอีก!!!!”
“โหยโดนจุดยุทธศาตร์ด้วย...ขอโทษอ่ะ...เจ็บมากเลยใช่ไหม...” เสียงของร่างเล็กแผ่วลงอย่างรู้สึกผิด แต่เชื่อเถอะว่าปาร์คชานยอลไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด เด็กตัวสูงนอนกุมเป้าบิดตัวไปมาอยู่อย่างนั้นพักนึงกว่าความเจ็บปวดจะจางหายไป “เอ...เป็นอะไรนะ...”
ได้ยินเสียงงึมงำอยู่คนเดียวแล้วก็หงุดหงิด ชานยอลดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกดเข้าแอพไฟฉายในมือถือก่อนจะส่องไปยังคนตัวเล็กที่กำลังพยายามเปิดสวิตซ์ไฟขึ้นลงแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มึงรอปาฏิหาริย์จากอะไรอยู่เหรอไอ้บ้านนอก? หลอดไฟเสียก็เอาอันใหม่มาเปลี่ยนดิ”
“อ้าวเหรอ เราไม่รู้อ่ะ”
“โง่” ได้ทีขอเอาคืนบ้างเหอะวันนี้กูโดนมึงดวดไปหลายยกแล้วมนุษย์ฮอบบิท ชานยอลยิ้มมุมปากมองอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
“ดีจังเลยที่ชานยอลฉลาด จะได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่สักที” เด็กตัวสูงกัดฟันแน่นหลังจากได้ยินประโยคหลอกด่าเมื่อครู่ นึกอยากจะทุบมือถือทิ้งที่มันทำให้เขามองเห็นรอยยิ้มกวนตีนของมันอย่างชัดเจน
มึง!!! ไอ้บ้านนอก!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ในห้องก็ร้อนอบอ้าว แต่ก็ดีที่ว่ามันยังมีน้ำใจเปิดแอร์ให้ บรรยากาศโดยรอบนี่ยิ่งกว่ามิติลี้ลับในเวลาสี่ทุ่มสิบนาทีหลังจากที่เขาทั้งสองคนออกไปหน้าปากซอยเพื่อซื้อหลอดไฟใหม่ อันที่จริงจะรออยู่ในบ้านก็ได้ (เรียกสิ่งนี้ว่าบ้านว่ะ) แต่การนั่งปวดดากอยู่บนพื้นโดยที่ไม่สามารถขึ้นไปเกลือกกลิ้งบนที่นอนหกฟุตได้ก็ยอมไปกับมันเถอะงั้น
พอกลับมาถึงก็เกิดปัญหาระดับประเทศเพราะในห้องนี้ไม่มีเก้าอี้สักตัวที่พอจะทำให้ขึ้นเหยียบเปลี่ยนหลอดไฟได้ จริงอยู่ที่ปาร์คชานยอลเป็นคนตัวสูง แต่ตราบใดยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาและไม่ได้กินผลไม้ปีศาจก็อย่าหวังว่าเขาจะยืดแขนขึ้นไปเปลี่ยนได้ อ้อ...กูก้มเก็บมะนาวไม่ได้ด้วย
“เหยียบโต๊ะญี่ปุ่น เดี๋ยวกูจับขาโต๊ะไว้ให้”
“เราขึ้นเหยียบโต๊ะญี่ปุ่นก็สูงเท่าชานยอลพอดีอ่ะ”
“เออจริงของมึง” ทั้งคู่กำลังเครียดท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแค่แสงสว่างจากจอมือถือเท่านั้นที่สามารถทำให้มองเห็นหน้ากันและกันได้ ชานยอลเงยหน้าขึ้น เขากำลังใช้ความคิดว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี แต่พอก้มหน้าลงก็สะดุ้งสุดตัวทันทีที่เห็นคนตัวเล็กเอามือถือจ่อคางตัวเอง
“แฮ่!”
“เล่นไรมึง” พูดจบก็ตบหัวไปทีนึง ไอ้เตี้ยลูบหัวป้อย ๆ ทั้งที่ยังหัวเราะตาหยีอยู่ มึงเป็นคนยังไงวะครับมนุษย์ฮอบบิท ชอบโดนทำร้ายเหรอ มึงมาโซใช่ไหมบอกกูมาเดี๋ยวนี้
เด็กหนุ่มกระแอมไอ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดว่าเขายังหาทางออกไม่ได้ และถ้ามันเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาในห้องว่า ‘ปาร์คชานยอลหน้าโง่ไม่มีปัญญาเปลี่ยนหลอดไฟ กระจอกสุด’ ล่ะก็คนที่จะอับอายนั้นคงไม่ใช่ไอ้บ้านนอกที่เพิ่งย้ายเข้ามา แต่มันคือกูผู้นี้ต่างหาก
“งั้นเดี๋ยวกูอุ้มมึงขึ้นไปเปลี่ยน”
“อุ้มเลยเหรอ? เราตัวหนักนะ”
“หรือมึงจะอุ้มกูล่ะคะ?” ชานยอลเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย แบคฮยอนทำหน้าคิดอยู่อึดใจนึงก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ดี ๆ นะชานยอล”
“ไม่ กูจะทุ่มมึงลงพื้นท่าซูเพล็กซ์แล้วกระโดดทิ้งศอกตาม”
“บ้ามวยปล้ำด้วย”
“มึงอ่ะดิบ้า” ไม่มีใครมองหน้ากันและกัน ชานยอลได้แต่นิ่วหน้าทันทีที่ยกไอ้เตี้ยขึ้นไปได้ ที่แย่กว่านั้นคือมันเอามืออีกข้างกดหัวเขาไว้สลับกับขยำเส้นผมอีกด้วย “นานเกินไปแล้วนะเว้ย เมื่อไหร่จะเสร็จวะ!”
“อีกนิดนึง”
“นิดของมึงนี่ประมาณกี่วิ?”
“อ่ะ! เราเหมือนจะตกเลยอ่ะ แป้บนึงนะชานยอล” ยังไม่ทันถามว่ามันจะทำอะไรก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเพราะหัวของเขาถูกคลุมด้วยเสื้อยืดสีดำ
เด็กหนุ่มตาเหลือก ตอนนี้สิ่งที่เขามองเห็นก็คือหน้าท้องของอีกฝ่ายที่แอบมีพุงกะทิน้อย ๆ แต่ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ตรงนั้น คืออยากถามว่ามึงเอาเสื้อคลุมหัวกูทำไมเรอะ!!!!
“แบบนี้สิจะได้ตึง ๆ” ตึงเห้ไรล่ะ เป้ากูเนี่ยจะตึง!!!
ปาร์คชานยอลกำลังเจอศึกหนัก สาเหตุมาจากหน้าท้องอุ่น ๆ ที่ชนปากเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะการทรงตัวที่ไม่เสถียร โอย...กูอยากบ้า นี่คือคำสาปมนต์ดำของไอ้จงอินหรือเป็นผลพวงจากการทำเวรทำกรรมกับพวกเด็กโรงเรียนอื่นไว้เยอะกันแน่ ทำไมกูต้องมาผวาครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเผลอจูบหน้าท้องนิ่ม ๆ ของไอ้บ้านนอกโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยวะ!!!
“อ่ะ! อีกนิดนึง!!”
“ให้ไวกว่านี้ได้ไหม!!!” แล้วมึงก็หยุดส่งเสียงกระท่อนกระแท่นแบบนั้นสักทีเถอะ!!!
“ได้แล้ว!! โอ้ะ!!!”
พรึ่บ!!!
แสงสว่างกระจายไปทั่วห้องก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะร่วงลงไปบนที่นอนนุ่ม ชานยอลนิ่วหน้า เขาไม่ได้เจ็บปวดหลังจากล้มลงมาเพราะมีที่นอนนิ่ม ๆ กับร่างนุ่มนิ่มรองรับอยู่แล้ว
แต่เดี๋ยวนะ...
แล้วอะไรคือการที่ปากกูจูบอยู่กับหน้าท้องขาว ๆ ที่กำลังผ่อนขึ้นลงเป็นจังหวะแบบนี้ล่ะ? พอกลอกตาขึ้นก็เห็นนมแบน ๆ ก่อนเสื้อที่คลุมหัวเขาจะค่อย ๆ ถูกดึงออกโดยใครอีกคน
ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ไม่ดิ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าปาร์คชานยอลควรจะพูดอะไรด้วยเหรอเพราะเมื่อกี้มันคืออุบัติเหตุไง ใช่ มันคืออุบัติเหตุที่ทำให้เขาต้องล้มมาทับตัวไอ้บ้านนอก ซึ่งถ้ามันเจ็บก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ นี่คนนะครับไม่ใช่บันไดเหล็กจะได้สร้างหลักปักฐานให้ขึ้นไปเหยียบทำอะไรก็ได้
“ชานยอล”
“อะไร มึงเจ็บเหรอ”
“อื้อ เราเจ็บ”
“เอาน่ามึง มันคืออุบัติเหตุเว้ย”
“อะ...” ชานยอลขมวดคิ้วมองอีกคนที่กำลังหน้าขึ้นสี แถมยังทำท่าจะเบี่ยงตัวหลบเขาอีก มึงเป็นเชี่ยไรไอ้เตี้ย มาส่งเสียงแปลก ๆ เดี๋ยวบั๊ด!!!
“เจ็บก็ทนเอา”
“ทนไม่ได้อ่ะ...”
“ทนไม่ได้ตรงไหน หัวมึงโขกกับอะไรล่ะมาดูดิ๊?!” เด็กตัวสูงมองอีกคนอย่างหัวเสีย มึงจะเป็นอะไรนักหนาวะสำออยจริง
“มือ...”
“มืออะไร?”
“มือชานยอล...มือ...”
แค่นั้นแหละครับ...ประโยคหยุดโลก
เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลดระดับสายตาลงมาเรื่อย ๆ ก่อนจะเห็นเสื้อยืดสีดำที่เลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องขาวเป็นอย่างแรก...เลื่อนลงมาหน่อยก็เป็นหัวกางเกงวอร์มสีเทา...แล้วก็มือกูนี่ไงครับ...มือกู...ที่กำลัง...กุมเป้า...ไอ้...หกเงวากดบัสว่ฟหงวดทางฟำวั่ไหงพวก่ทงฟหใดเทงๆฟกั่ว
“เหี้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
TBC
โดนตั้งแต่วันแรก
ความคิดเห็น