คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #86 : Chapter 81 :: Homecoming
Chapter 81
Homecoming
“ไง”
หญิงสาวมองท่อนไม้ที่แยกออกเป็นสองท่อนหลังจากมองเด็กหนุ่มผ่าฟืนอยู่สักพักใหญ่ ๆ โดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก เธอเท้าสะเอวมองคนที่กำลังหันมายิ้มให้ก่อนจะวางขวานลง
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณยูริ”
“อืม ตื่นแต่เช้าแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?” หญิงสาวคว้าเอาขวานที่ยังอุ่นอยู่ขึ้นมาผ่าฟืนท่อนใหม่ ซึ่งภาพที่เห็นมันทำให้เซฮุนทึ่งอยู่ไม่น้อย ถึงควอนยูริจะผอมสูงหุ่นสปอร์ต แต่การที่ผู้หญิงใช้ขวานผ่าฟืนอย่างกับเป็นเรื่องปกติมันก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่ดี
“ผมชินแล้วน่ะครับ เมื่อคืนคุณหลับสบายหรือเปล่า?”
“ไม่เลยสักนิด เสียงนายสองคนคุยกันมันทำให้ฉันหงุดหงิด” เด็กหนุ่มหน้าเจื่อน ควอนยูริเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มขำหลังจากผ่าฟืนอีกท่อนเสร็จ “ล้อเล่นน่ะ”
“อ่า...”
“พอเหนื่อยมาก ๆ ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็หลับได้ทั้งนั้น” สีหน้าของผู้หญิงคนนี้ดูเรียบเฉยราวกับว่าสิ่งที่พูดถึงมันเป็นเรื่องธรรมดา
“คุณคงผ่านเรื่องร้าย ๆ มาพอสมควรเลยนะครับ” อันที่จริงโอเซฮุนก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นนักหรอก แต่การเรียนรู้อุปนิสัยของคนตรงหน้ามันก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน
“มันเลี่ยงไม่ได้นี่” เธอเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “ช่วงแรก ๆ เรียกได้ว่าหลับไม่ลงทั้งที่เหนื่อยจนแทบวิ่งต่อไปไม่ไหว ไม่สิ...เรียกว่าคลานเลยจะดีกว่า ฉันคิดว่านายคงเคยมีประสบการณ์สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันว่ากำลังจะถูกพวกมันกิน”
“ใช่ครับ ช่วงนั้นมันแย่สุด ๆ เลยล่ะ” ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
“พอเจอเรื่องโสมมมาก ๆ ร่างกายและความรู้สึกมันจะตอบโต้ออกไปโดยอัตโนมัติเองว่าในสถานการณ์แบบนั้นควรทำยังไง” ควอนยูริยังคงผ่าฟืนต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ฉันเคยวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ส่วนคนที่เรียกตัวเองว่าสุภาพบุรุษน่ะเหรอ” เธอแค่นหัวเราะ “วิ่งหนีหางจุกตูดโดยที่ไม่คิดจะหันกลับมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้หญิงเลยสักคนเดียว”
“...” เซฮุนยืนนิ่ง เรื่องที่ได้ฟังจากปากอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก นั่นสินะ...กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ทุกคนก็ล้วนแต่เคยผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มาแล้วทั้งนั้น
“ผู้หญิงเป็นเพศอ่อนแอกว่า นายคงเข้าใจนะว่าทำไมฉันถึงต้องระวังตัวอยู่ตลอด”
“ผมเข้าใจครับ”
“อืม”
“คุณยูริ” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะจามขวานไว้กับท่อนไม้ใหญ่ เธอเสยผมสีดำขลับไปข้างหลังระหว่างรออีกฝ่ายพูด “ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ผมขออยู่ที่นี่อีกสักวันสองวันนะครับ”
“คิดว่าเวลาแค่นั้นจะเกลี้ยกล่อมหมอนั่นให้กลับอุทยานได้เหรอ?” คำถามของหญิงสาวทำเอาพูดไม่ออก
มันจริงอย่างที่ควอนยูริพูดนั่นแหละ เวลาแค่นั้นโอเซฮุนจะทำอะไรได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่อยากกลับไป ซึ่งมันไม่ใช่แค่เหตุผลว่าทุกคนทิ้งจงอินไว้ที่นั่นตามลำพัง แต่เป็นเพราะใครอีกคนที่มีอิทธิพลต่อจิตใจผู้ชายคนนั้นมากกว่าเขา
“ผมไม่อยากรบกวนคุณมากไปกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากกลับไปโดยไม่มีจงอินเหมือนกัน”
“งั้นนายก็ควรรู้ไว้ว่าหมอนั่นจะไม่ยอมย้ายก้นไปไหนถ้าไม่มีฉันกับซูยอน”
“เรื่องนั้นผมรู้” สีหน้าของโอเซฮุนนั้นเรียบเฉย หลายครั้งที่เธอพยายามอ่านใจเด็กคนนี้แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ ไอ้เด็กนี่มันมีอยู่หน้าเดียวหรือไงกัน “เขาคุยเรื่องนี้กับคุณแล้วเหรอครับ”
“ใช่ นี่คือเหตุผลที่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้” เซฮุนหลุบตาลง อย่างน้อยจงอินก็ยังมีความคิดที่จะกลับไปอุทยานกับเขาถึงแม้ว่าความต้องการของผู้ชายคนนั้นคือต้องพาสองพี่น้องไปด้วย
“แล้วคุณคิดว่ายังไงครับ”
“ฉันควรถามนายมากกว่า” เธอนั่งลงบนขอนไม้แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เด็กหนุ่มนั่งลงด้วยกัน “นายคือคนที่ต้องตัดสินใจเพราะนายยังอยู่กับทุกคนในอุทยาน ส่วนหมอนั่นก็แค่สิ่งมีชีวิตที่จำแม้แต่ชื่อตัวเองไม่ได้”
“...”
“คิดดูให้ดีนะ การรับคนเข้าไปอยู่ด้วยมันไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะถ้าฉันกับซูยอนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของนายก็หมายความว่าที่นั่นต้องแบ่งอาหารและที่พักให้ฉันกับยัยนั่นด้วยส่วนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาเข้าใจดีกับสิ่งที่ควอนยูริกำลังสื่อ และมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เพราะโอเซฮุนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจพาใครเข้าไปในอุทยานก็ได้โดยไม่ปรึกษาใครก่อนล่วงหน้า แต่ถ้าไม่พาสองพี่น้องไปด้วยกันจงอินก็คงไม่ยอมไปกับเขาแน่ ทั้งที่มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ถ้าจะให้ปล่อยไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยเขาคงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เด็กหนุ่มคิดว่าถ้าพาจงอินกลับไปได้ ทุกคนก็น่าจะดีใจมากกว่าจะมาคาดโทษเขาเพราะเรื่องพาสมาชิกใหม่กลับไปด้วยกัน
งั้นโอเซฮุนขอเป็นคนเห็นแก่ตัวสักครั้ง...ถ้ามันทำให้คิมจงอินกลับไปที่อุทยานได้
“ผมตกลง”
ทั้งสี่คนเดินมาจนเกือบสุดทางของป่าไม้ เบื้องหน้ามองเห็นประตูทางเข้าแง้มเปิดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบจนดูน่ากลัวแม้ว่าหิมะจะละลายไปบ้างแล้ว มันเหนือความคาดหมายที่ไม่เห็นลิงค่างป้วนเปี้ยนอยู่ข้างในเลยสักตัวเดียว
“เดี๋ยว” อี้ฟานห้ามเทาเอาไว้เมื่อเด็กหนุ่มทำท่าจะเดินไปข้างหน้า ทั้งสามคนมองชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังตั้งไรเฟิลขึ้นสำรวจไปรอบ ๆ ประตูทางเข้า
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากเห็นบางอย่างเดินผ่านช่องว่างของประตูบานใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่พวกลิงติดเชื้ออย่างที่ควรจะเป็น อี้ฟานละปืนลงแล้วหันไปมองหน้าชายหนุ่มทั้งสามที่กำลังรอคำตอบจากปากเขาอยู่
“แบคฮยอน คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน” ร่างเล็กพยักหน้ากับคำสั่งของพี่ใหญ่ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจทันทีที่คนตัวสูงวางไรเฟิลลงบนมือเขา “ถ้าจำเป็นต้องใช้มันก็คุ้มกันให้เราด้วย”
แบคฮยอนไม่ได้รั้นจะไปด้วย เขาเพียงแค่มองตามแผ่นหลังของผู้ชายทั้งสามคนที่กำลังก้าวผ่านสิ่งกีดขวางออกไป ชานยอลไม่ได้หันกลับมามองเขา ผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ชักปืนออกมาเล็งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
ขายาวย่ำไปตามพื้นหิมะ ถ้าเทียบกับช่วงแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่นับว่าตอนนั้นทรหดกว่าพอสมควรเพราะเพิ่งเข้าหน้าหนาวได้ไม่เท่าไหร่ ช่วงนี้หิมะก็หยุดตกไปแล้ว มันคงดีกว่าเป็นไหน ๆ หากว่าฤดูหนาวจะผ่านพ้นไปในเร็ววัน
นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างเงียบเชียบจนไม่น่าเชื่อ บางทีการได้ยินเสียงฝูงลิงร้องโหยหวนมันอาจจะทำให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้ทั้งสามคนไม่ต่างอะไรจากเป้านิ่งที่สามารถถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ
“เดี๋ยว...” ชานยอลยกมือห้ามทันทีที่เห็นอะไรบางอย่างเดินผ่านช่องว่างของประตูไป แน่นอนว่าอี้ฟานและเทาก็เห็นเหมือนกัน ร่างสูงย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อส่องเข้าไปและภาพที่เห็นมันทำให้เขาถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“...”
ไม่มีคำตอบไหนดีไปกว่าภาพตรงหน้า อู๋อี้ฟานและหวงจื่อเทาย่อตัวลงเพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้ปาร์คชานยอลนิ่งเงียบไปเกือบสิบวินาที เพียงแค่พริบตาเดียวทั้งคู่ก็ได้คำตอบทันทีที่เห็นศพชายวัยกลางคนกับซากลิงจำนวนหนึ่งนอนตายเกลื่อนอยู่บนถนน
มือที่สวมถุงมือหนังกำลังกระชากเครื่องในร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหิมะออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย และแน่นอนว่าตอนนี้พวกมันยังไม่รับรู้ถึงการมาของชายหนุ่มทั้งสาม มีซากศพบางส่วนที่นอนจมกองเลือดบนหิมะพร้อมไส้ที่ทะลักออกมาหลังจากถูกกินไปแล้วส่วนหนึ่ง
พวกกัดคนไม่รู้จักอิ่ม พวกมันมีความหิวอยู่ตลอดเวลาและสามารถกินได้เรื่อย ๆ หากมีเหยื่ออยู่ในพิกัดสายตาที่จะมองเห็นได้ ทั้งสามคนมองหน้ากันหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีลิงมีชีวิตอยู่ละแวกนี้ แต่ถึงอย่างนั้นอู๋อี้ฟานก็ยังไม่วางใจเลยเสียทีเดียว เขาชักปืนออกมาเล็งไปรอบตัว ส่วนชานยอลแยกไปทางซ้าย และเทาไปตรงกลางเพื่อจัดการพวกผีดิบที่กำลังกัดกินซากศพอยู่
ปืนที่บรรจุกระสุนเต็มแมกกาซีนถูกเก็บใส่ในสนับขาและเปลี่ยนอาวุธเป็นมีดพกแทน หวงจื่อเทาแทงเข้าที่กลางหัวศพมีชีวิตอย่างแรงแล้วชักออกอย่างไม่รีรอก่อนจะถีบเข้ากลางอกตัวที่สองจนหงายหลังลงไปนอนกับพื้นหิมะ เด็กตัวสูงเหยียบคอผีดิบเพื่อไม่ให้ขยับตัวไปไหนได้พร้อมง้างมีดขึ้นสูงเตรียมปลิดชีวิตมันเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่าย
“...”
ผู้ชายคนนี้...คือไอ้สารเลวที่หนีออกมาพร้อมกับเด็กเมื่อคืนนี้นี่?
“กรรรรรรรรรรรรรซ์”
เสียงครางในลำคอมาพร้อมมือเลอะคราบเลือดที่กำลังปะป่ายอย่างสะเปะสะปะ นัยน์ตาคู่นั้นที่เคยแสดงออกถึงความขลาดเขลาจนต้องหลบอยู่ข้างหลังเด็กเพราะกลัวความตาย บัดนี้กลับต้อมัวกลายเป็นสีเทา เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นแล้วแทงมีดเข้าที่หัวอีกฝ่ายอย่างแรง ใช้เท้ากดช่วงคอไว้ก่อนจะชักมือกลับ
“ชานยอล เทา” ทั้งสองคนหันไปตามเสียงก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ศพกวางที่ถูกกัดกินไปแล้วเกือบครึ่งตัว และคนเหล่านี้คงไม่ชำแหละเนื้อกวางสด ๆ กินโดยไม่ผ่านการปรุงอาหารอย่างถูกวิธีนอกเสียจากว่าจะเป็นพวกกินคน เลือดบนปลายมีดหยดลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าบ่งบอกได้ว่าอู๋อี้ฟานเพิ่งจัดการกับผีดิบไป
“พระเจ้า...”
“...”
“...”
ภาพที่เห็นมันน่าสลดใจจนยากที่จะทนดูต่อไปได้ หวงจื่อเทาถอยออกไปสองก้าวแล้วหันหลังให้กับศพเด็กคนเมื่อคืนที่ตอนนี้นอนตายตาค้างอยู่ข้าง ๆ ศพกวาง ซึ่งสภาพของเด็กชายคนนี้แทบจะดูไม่ได้เลย
“คุณคิดว่าในป่ายังมีพวกฝูงลิงอยู่ไหม?” คำถามของชานยอลนั้นเขาได้ยินชัดเจนดี หากแต่หวงจื่อเทายังไม่พร้อมที่จะหันกลับไปร่วมบทสนทนากับชายหนุ่มสองคนนั้น
“แล้วคุณคิดว่ายังไง?”
“ผมคิดว่านี่คงเป็นฝูงสุดท้ายในป่านี้ เพราะส่วนหนึ่งเราก็จัดการมันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ที่ชานยอลพูดมันก็มีเหตุผล เพราะฝูงลิงเมื่อคราวก่อนก็ถูกเผาไปเยอะแล้วพอสมควร และการที่คนพวกนี้กลายเป็นผีดิบมันก็เป็นคำตอบได้ดีแล้วว่าพวกเขาถูกลิงกัดก่อนที่ฝูงลิงจะถูกฆ่าตาย
“ไปรอกับแบคฮยอนอยู่ข้างในเถอะ ผมกับชานยอลมีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย” อี้ฟานตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ
เด็กตัวสูงพยักหน้าก่อนจะก้าวข้ามศพที่นอนขวางอยู่บนถนนไป ตอนนี้เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองที่ยืนอยู่ท่ามกลางร่างไร้ชีวิตทั้งคนและสัตว์ บรรยากาศโดยรอบน่าสยดสยองจนต้องถอนหายใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
“คนพวกนี้ต้องมาตายเพราะความหิว” ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะก้มลงเก็บปืนกลบนพื้นขึ้นมาตรวจเช็คกระสุน ซึ่งมันไม่หลงเหลืออยู่เลยสักนัดเดียว
“ผมว่าเราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วอี้ฟาน”
“...” เจ้าของชื่อมองไปยังแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มอีกคนที่กำลังค้นตัวศพอยู่ แล้วก็ได้กระสุนปืนพกมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีสำหรับนาทีนี้
“คุณเข้าใจที่ผมกำลังพูดใช่ไหม?”
ชานยอลหันกลับมา ซึ่งอู๋อี้ฟานเข้าใจดีถึงความหมายที่อีกฝ่ายสื่อถึง เพราะการถูกคุกคามแต่ละครั้งมันเป็นสัญญาณเตือนว่าที่แห่งนั้นจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เหมือนกับบ้านของเขาที่ถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดี
“ครั้งนี้เราต้านไว้ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือความสูญเสีย คนพวกนี้ต้องตายเพราะอาหาร ส่วนคนของเราก็บาดเจ็บสาหัส” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “และถ้าเราอยู่ที่นี่ต่อไป ประตูอาจจะถูกพังเข้ามาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” ชายหนุ่มชี้ไปยังประตูทางเข้าอุทยานที่ยังมีร่องรอยบุบหลังจากที่พวกเขาขับฝ่าเข้าไปครั้งแรก “ถ้าวันหนึ่งมีคนบุกเข้ามาตอนที่เรากำลังหลับอยู่ล่ะอี้ฟาน?”
“...”
“...”
ทั้งสองคนยืนนิ่งขณะมองซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นหิมะ ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าปวดหัวที่สามารถชี้เป็นชี้ตายอนาคตของคนที่นี่ได้ เรื่องที่ชานยอลพูดมันถูกต้องทุกอย่าง และมันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจในตอนนี้
“จงแดบาดเจ็บอยู่ และต่อให้อยู่ในสภาพปกติผมก็เชื่อว่าเขาคงไม่ยอมไปกับเรา” อี้ฟานใช้เท้าเขี่ยซากศพที่นอนคว่ำอยู่ให้หงายตัวขึ้นก่อนจะก้มลงค้นหากระสุนปืนในกระเป๋าเสื้อตัวนอก
“มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่เห็นด้วยถ้าเราจะปักหลักอยู่ที่นี่เพราะเหตุผลว่าจงแดไม่ยอมไปไหน”
“...”
“คนพวกนี้ก็เหมือนเราอี้ฟาน” เจ้าของชื่อหันไปมองอีกคนที่กำลังลุกขึ้นยืน หลายวินาทีที่ปาร์คชานยอลจับจ้องอยู่กับศพชายวัยกลางคนก่อนจะหันมาสบตากับอีกฝ่าย สีหน้าของผู้ชายคนนั้นดูเย็นชาไร้ความรู้สึก “ที่มีชีวิตรอดมาได้เกินครึ่งปีโดยที่ไม่ถูกกัด แต่สุดท้ายก็จบชีวิตลงเพราะออกมาหาเสบียง”
“...”
“ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี”
“คุณเปลี่ยนไปเยอะนะ” ประโยคนี้ไม่ได้ทำให้ปาร์คชานยอลสะอึกจนพูดไม่ออก แม้ว่าใบหน้าของอู๋อี้ฟานนั้นจะเรียบเฉยจนสามารถสื่อไปได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังผิดหวังในความคิดของเขา
“เปล่าครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมแค่เลือกให้คุณรับรู้ในสิ่งที่ผมอยากให้เห็นเท่านั้น”
“นั่นสิ” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ พลางมองไปยังชายหนุ่มรุ่นน้องที่อยู่ด้วยกันมานาน “คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่มองเห็นและรู้สึกได้”
“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องผิดหวัง”
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ผมลืมนึกไปว่าคนเรามีทั้งเรื่องที่พูดออกมาได้ตลอดเวลาและเรื่องที่ต้องใช้ความคิดก่อนพูด” ทั้งสองคนยืนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก มีเพียงแค่แววตาเท่านั้นที่มองไปยังอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง
“ผมแค่ไม่อยากให้ใครต้องตาย” ตอนนี้แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนไป อี้ฟานเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมวางมือลงบนไหล่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขาคิดว่าปาร์คชานยอลเป็นเหมือนใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก แต่มันก็แค่ชั่วอึดใจเท่านั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของชายหนุ่มรุ่นน้องที่เก็บมันเอาไว้คนเดียว
“ผมเข้าใจ คุณก็เหมือนน้องชายผม แต่เรื่องนี้เราต้องปรึกษากับคนอื่น ๆ ก่อน ถ้าทุกคนเห็นด้วยเราจะได้วางแผนกันว่าจะย้ายไปที่ไหน แต่ก่อนอื่นต้องรอให้อาการของจงแดดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อย และผมก็ยังอยากออกไปตามหาเซฮุนอีกสักครั้งให้แน่ใจ”
“งั้นตกลงตามนี้”
“แต่เห็นทีว่าตอนนี้เราคงต้องคิดกันแล้วล่ะว่าจะเอายังไงกับประตูนี้ดี?”
“ปิดประตูแน่นหรือยัง?”
“แล้ว”
หญิงสาวกลอกตามองบนแล้วหันกลับไปสตาร์ทรถบ้านหลังจากหันไปใช้ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็งคนนั้นปิดประตู เซฮุนรัดเข็มขัดนิรภัยที่นั่งข้างคนขับเพราะต้องบอกทางกลับอุทยาน ส่วนจองซูยอนนั่งอยู่ข้างในกับจงอิน
สีหน้าของเด็กคนนี้ดูเศร้าหมอง ซึ่งมันก็ไม่แปลกนักเพราะปกติโอเซฮุนก็มีอยู่แค่ไม่กี่หน้า ถ้าเจ้าเด็กนี่ระเบิดหัวเราะออกมานั่นสิแปลก แต่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าเพราะอะไร
“ทะเลาะกับหมอนั่นมาหรือไง?”
“อ่ะ...ครับ?” ดูเหมือนว่าควอนยูริจะขัดจังหวะการเหม่อลอยของคนข้าง ๆ เธอยิ้มขำทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่กับถนนเบื้องหน้าก่อนจะหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวไปตามทิศทางที่เซฮุนเคยบอก “เปล่าครับ ผมไม่ได้ทะเลาะกับจงอิน”
“ก็ดี” เธอตอบแค่นั้นแล้วหันไปปิดช่องเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นภายในรถบ้านได้เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขาเผลอสบตากับจงอินนั่งอยู่ข้างใน “อย่าสนใจเลย นายไม่อยากเห็นภาพนั้นหรอก”
“...”
“เวลาสองคนนั้น...”
ก๊อก ๆ ๆ
ยังพูดไม่ทันจบหญิงสาวก็ต้องหยุดอยู่แค่นั้นก่อนจะทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้เซฮุนเปิดช่องประตูเล็ก ๆ ออกหลังจากถูกขัดจังหวะบทสนทนา
“ฉันได้ยินนะว่าเธอพูดอะไร” จงอินโผล่หน้าออกมาเล็กน้อยพลางมองคาดโทษหญิงสาวที่กำลังขับรถอยู่
“ก็แน่ล่ะ นายไม่ได้หูหนวกนี่”
“ฉันยังไม่ได้แตะต้องตัวน้องสาวเธอเลยสักนิด อย่าไซโคไอ้เด็กนี่ดิ”
“ว้าว มันทำให้นายดูเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาตั้งหลายวิแน่ะ...ชื่ออะไรนะ? คิมจง...? เออ...ช่างหัวชื่อนายเถอะ” หญิงสาวแค่นหัวเราะ
“ยูริอา...ไม่เอาน่า”
“งั้นก็ลากหมอนี่กลับไปนั่งที่เดิมแล้วหาอะไรปิดปากเขาซะสิ” ซูยอนย่นจมูกหลังจากได้ยินประโยคนี้ ไม่ว่ายังไงควอนยูริก็ไม่ชอบขี้หน้าจงอินอยู่วันยังค่ำ
“เฮ้” จงอินเท้าแขนไว้กับช่องสี่เหลี่ยมที่กั้นระหว่างเขากับสองคนนั้นเอาไว้ แต่ไอ้เด็กนี่กลับนั่งเฉยโดยที่ไม่หันมามองหน้ากันเลยสักนิด หรือว่ามันจะนอยด์แดกที่เขาพาสองพี่น้องมาด้วยวะ? แต่มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ บางทีไอ้เด็กโข่งก็น่าจะคิดบ้างว่าการปล่อยให้ผู้หญิงสองคนออกไปเผชิญโลกกันตามลำพังมันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดเกินไป
“ครับ” นั่นไง ขานตอบเฉย ๆ แต่เสือกไม่ยอมหันมาอีก สรุปนี่มันไม่พอใจจริง ๆ สินะ
“โอเซฮุน”
“มีอะไรก็พูดเถอะครับ ผมฟังอยู่”
“หูฟังตามองมันจะเป็นไรวะ หันมาคุยกันหน่อยคงไม่ทำให้คอบิดหรอกมั้ง?”
“แล้วคุยแบบไม่มองหน้ากันคอนายจะบิดหรือไง?” คราวนี้เป็นควอนยูริที่คอยเป็นกองหนุนให้โอเซฮุน ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วถอนหายใจแรง ๆ อย่างหัวเสีย จนกระทั่งไอ้เด็กโข่งหันมาด้วยแววตาเรียบเฉยนั่นแหละ บอกเลยว่าเขาไม่ชอบเวลาโอเซฮุนมองแบบนี้เลยสักนิด ถ้าเทียบกับตอนที่มันทำตาเหมือนคนมีความหวังหรือสายตาแบบที่เขาคิด ว่ามันเป็นเกย์ เออ แบบนั้นก็ยังดูโอเคกว่าเยอะ
“ไหนบอกมาว่าฉันต้องทำอะไรบ้างหลังจากกลับไปถึงที่นั่น?”
“ไม่จำเป็นต้องทำหรอกครับเพราะคุณจำอะไรไม่ได้”
“...”
“พอกลับไปถึงคุณจะรู้เองว่าควรทำอะไร” พูดจบก็หันกลับไปมองถนนเบื้องหน้า แน่นอนว่าสิ่งที่โอเซฮุนเป็นอยู่มันทำให้เขาหงุดหงิดเหลือทน ก็คิดดูดิ? แรก ๆ ก็เห็นมันแสดงออกว่ายอมทุกอย่างขอแค่เขากลับไปด้วย พอถึงตอนนี้แล้วเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
“สรุปอยากให้ไปอุทยานด้วยไหม ถ้าไม่อยากจะได้กลับ” ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากที่เขาพูดจบไม่กี่วินาทีเซฮุนก็หันกลับมา สีหน้าของเด็กนั่นก็ยังเหมือนเดิม เรียบเฉย คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกว่ากำลังคิดยังไง
“นิสัยไม่ดี”
“หา?”
ไม่ใช่แค่คิมจงอินที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากเด็กนั่น แม้แต่สองพี่น้องอย่างควอนยูริและจองซูยอนก็เลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ หญิงสาวกลั้นขำพลางยกมือขึ้นปิดปากกับท่าทีที่โอเซฮุนแสดงออกมา มันน่ารักจนอดที่จะเอ็นดูไม่ได้จริง ๆ
“นายนิสัยดีตายเลยมั้งเนี่ย”
“อย่างน้อยผมก็จำชื่อตัวเองได้”
“เออ ตอนนี้ฉันก็จำชื่อตัวเองได้แล้วเหมือนกันว่ะ”
“เงียบเถอะครับจงอิน เสียงคุณทำให้ผมหงุดหงิด” เด็กหน้าตายเอานิ้วอุดหูทั้งสองข้าง โดยที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังยิ้มอยู่ จงอินเอื้อมมือมาดึงแขนอีกคนลง ถึงจะลำบากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้ชายที่เพิ่งจำวิธีการซ่อมรถได้นิดหน่อย
“ทะเลาะกันอย่างกับหมา”
“เธอน่ะเงียบไปเลยควอนยูริ!”
“งั้นก็ลงไปจากรถฉันเลยไอ้คนไม่มีสมอง!”
“โอ้ย หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ ฉันนอนไม่หลับแล้วนะ”
“เธอก็นอนทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละยัยขี้เกียจ!” จงอินหันไปพาลหญิงสาวที่นั่งงอหน้าอยู่บนที่นอนก่อนจะยกแขนขึ้นบังเพราะถูกเธอปาของใส่
อี้ฟาน ชานยอล เทา และแบคฮยอนเปิดประตูบ้านหลังแรกเข้ามาเพื่อดูอาการของจงแดแต่ก็เห็นบุรุษพยาบาลหนุ่มกำลังกินยาหลังจากกินข้าวเสร็จโดยมีครูสาวนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอมองหน้าผู้มาใหม่ทั้งสี่ก่อนจะยกจานชามไปเก็บ
“คุณไม่สบายเหรอ?”
“เปล่า ผมแค่ปวดหัวน่ะ สงสัยนาฬิกาชีวิตผมเดินวนรอบครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว” อี้ชิงว่าก่อนจะวางขวดน้ำเปล่าลง “ซีวอนอยู่ข้างใน” บุรุษพยาบาลหนุ่มพูดต่อเป็นภาษาเกาหลีหลังจากเห็นเด็กอายุสิบแปดทั้งสองคนแสดงออกว่าอยากเข้าไปดูอาการจงแดเต็มแก่แล้ว
อี้ฟานกับชานยอลนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวในขณะที่บุรุษพยาบาลหนุ่มกำลังนวดขมับเพื่อคลายอาการปวดศีรษะ เขาเพิ่งได้พักตอนที่ซีวอนเข้ามาแลกเวรเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ในทีแรกจางอี้ชิงตั้งใจว่าจะอยู่เฝ้าต่ออีกสักหน่อย แต่พอเห็นจงแดฟื้นแล้วบุรุษพยาบาลอย่างเขาเลยถูกเฉดหัวออกมาพักผ่อน อีกทั้งยังถูกปาร์คกาฮีบังคับให้กินข้าวกินยาอีกด้วย
“How it's going with Jongdae?” (จงแดเป็นยังไงบ้าง?)
“I think god still really kindly blesses him as he has been grumbling since he woke up.” (ตื่นขึ้นมาบ่นเจ็บแผลได้ไม่หยุดแบบนั้น ผมคิดว่าพระเจ้ายังปรานีเขาอยู่) ชายหนุ่มทั้งสองได้ยินคำพูดคำจาของอี้ชิงแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“He got a good doctor.” (ถือว่าได้หมอดี)
“Enough. He'll be the last patient of my life. Hope none of you is hurt or pained to get my hands on.” (พอเลย ผมขอรักษาคิมจงแดเป็นคนสุดท้ายในชีวิต หวังว่าพวกคุณคงไม่เจ็บไม่ปวดจนต้องเดือดร้อนถึงมือผมอีก)
“ขี้บ่นเหมือนกันนะ” อี้ฟานหัวเราะพลางส่ายหน้าเล็กน้อย คนถูกว่าได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อให้ครูสาวที่เพิ่งมาถึงได้นั่งด้วยกัน
“ประตูทางเข้าเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ระเบิดขวดที่ผมนั่งทำทั้งคืนถึงกับเป็นหมัน” ชานยอลยกกระเป๋าเป้ขึ้นวางบนโต๊ะก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟา
“ลิงที่อยู่ปากทางถูกยิงตายไม่เหลือ พวกที่ยิงจงแดก็เหมือนกัน คนพวกนั้นถูกลิงกัดจนเปลี่ยน หน้าอุทยานมีแต่ศพเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด” อี้ฟานพยายามพูดช้า ๆ เพื่อให้อี้ชิงเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังอธิบายให้กาฮีฟัง และสีหน้าทั้งสองคนดูตกใจไม่แพ้กัน
“แน่ใจเหรอคะว่าพวกลิงตายหมดแล้ว?”
“พวกมันอยู่กันเป็นฝูง ผมคิดว่าพวกมันน่าจะตายหมดแล้ว ไม่ก็หาที่หลบอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก แต่ตอนที่ผมกับอี้ฟานจัดการพวกกินคนตรงปากทางเข้าก็ไม่เห็นมีลิงออกมาสักตัวเลยนะครับ”
“...”
“ผมกับชานยอลคุยกันว่าจะออกไปร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างตรงชานเมือง ถ้าได้กระสอบทรายมากั้นประตูทางเข้าได้ผมว่ามันคงถ่วงเวลาพวกที่คิดจะบุกเข้ามาได้พอสมควร”
“We're no longer safe...” (เราไม่ปลอดภัยแล้ว...) น้ำเสียงของอี้ชิงอยู่ในโทนต่ำ สีหน้าของเขานั้นจริงจังกับเรื่องที่กำลังพูดถึง และมันทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกดีขึ้นมาได้ไม่น้อยที่มีคนคิดเหมือนกับเขา
“ผมรู้ เพราะงั้นเราถึงต้องช่วยกันหาทางออกให้กับเรื่องนี้” อี้ฟานประสานมือไว้ตรงหน้าขา ตอนนี้ทุกคนต่างคิดไม่ตกกับปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นและไม่รู้ว่ามันจะมาอีกเมื่อไหร่ “ชานยอลมีความเห็นว่าเราควรย้ายไปอยู่ที่อื่น คุณสองคนคิดว่ายังไง?”
“...” ปาร์คกาฮีไม่ได้ตอบคำถาม ตอนนี้เทากับแบคฮยอนออกมายืนฟังอยู่ห่าง ๆ โดยที่ไม่ได้เข้าไปร่วมบทสนทนาด้วย
“ตอนนี้ไม่ได้แน่ – ไม่ได้ – เด็ดขาด” อี้ชิงไขว้มือเป็นรูปกากบาท “จงแดยังเจ็บอยู่”
“เราคงไม่ย้ายกันปุบปับ คงต้องรอให้จงแดอาการดีขึ้นก่อน” ชานยอลเว้นจังหวะครู่หนึ่ง “พอเขาอาการดีขึ้นเราค่อยถามเขาอีกทีว่าจะเอายังไง”
“หมอนั่นไม่ยอมไปด้วยหรอก” ทั้งสี่คนหันไปทางเด็กหนุ่มตัวสูงเป็นตาเดียวกันแล้วก็เห็นหวงจื่อเทายืนกอดอกพิงกับผนังข้างประตูทางเข้าห้องที่จงแดนอนพักอยู่ “จงแดห่วงอุทยานกว่าชีวิตของมันอีก ผมเชื่อว่ามันคงไม่ยอมไปกับเรา ถึงพวกคุณจะยืนกรานว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้วก็ตาม”
“...”
“ถ้าได้ยินมันเพ้อถึงอุทยานทั้งที่สภาพปางตายแบบนั้นคุณจะเข้าใจ” พูดจบเทาก็เดินออกไปจากบ้านหลังแรก อี้ฟานพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้แบคฮยอนมานั่งด้วยกัน เด็กหนุ่มยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมานั่งโซฟาตัวยาวกับอี้ชิงและกาฮี
“จงแดเป็นยังไงบ้าง?”
“อย่างที่เทาบอกครับ เขาละเมอ”
ทั้งห้าคนกำลังคิดไม่ตกกับปัญหานี้ เพราะถ้าจะทิ้งจงแดให้อยู่อุทยานตามลำพังก็คงตัดใจทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน เหตุผลหลัก ๆ คือตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวไปแล้ว ทุกคนต่างผูกพันจนไม่สามารถทิ้งใครคนหนึ่งไว้ข้างหลังได้โดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
“ก่อนอื่นเราต้องจัดการปิดตายประตูทางเข้าก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ส่วนคุณไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคนแล้วจะลำบาก นอนห้องผมก่อนก็ได้” ประโยคหลังอี้ฟานพูดเป็นภาษาจีนเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งอี้ชิงก็พยักหน้ารับ แน่นอนว่าตอนนี้ร่างกายของเขาต้องการพักผ่อนหลังจากมีคนรับช่วงดูแลจงแดต่อแล้ว
“Don't worry to wake me up if something happens.” (ถ้ามีอะไรก็เข้าไปปลุกผมได้นะ) บุรุษพยาบาลหนุ่มพูดปิดท้ายก่อนจะเปิดประตูบ้านออกไป ในเมื่อห้องของเขากลายเป็นโรงพยาบาลจำเป็น มันเลยเป็นเหตุผลที่จางอี้ชิงต้องไปพักผ่อนบ้านหลังที่สามชั่วคราว
“ลู่หานล่ะ มีใครอยู่ดูแลเขาหรือเปล่า?” ชานยอลถามกาฮี
“ฉันเพิ่งให้มินซอกเอาข้าวกับยาไปให้เขาเมื่อกี้เองค่ะ ว่าแต่พวกคุณหิวกันหรือยัง? ทานข้าวกันก่อนนะคะ เรื่องออกไปร้านวัสดุอุปกรณ์ค่อยเริ่มพรุ่งนี้เถอะ” เห็นทุกคนดูอิดโรยแล้วก็เป็นห่วง ทั้งชานยอลทั้งอี้ฟานก็แทบจะยังไม่ได้พักผ่อนกันเลย
“ข้าวอยู่ในครัวใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมออกมาให้” แบคฮยอนลุกขึ้นอย่างรู้งาน มันคงดีกว่าถ้าเกิดว่าให้ผู้ใหญ่นั่งคุยกันและกินข้าวไปด้วย
แต่ยังไม่ทันก้าวขาไปไหนทั้งสี่คนก็ต้องหันไปตรงประตูบ้านพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงรถขับเข้ามา ชานยอลเป็นคนแรกที่เดินไปเปิดผ้าม่านดูก่อน ส่วนอี้ฟานชักปืนออกจากสนับขาเตรียมพร้อมหากว่ามีผู้บุกรุก
หน้าต่างทั้งสองบานกลายเป็นจุดสังเกตการณ์ของทั้งสี่คนไปโดยปริยาย มันต้องแย่แน่ ๆ หากว่าอุทยานถูกบุกรุกในเวลานี้ แต่ทุกคนคิดผิด...ทันทีที่เห็นใครคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ...ใครคนนั้นที่เมื่อวานพวกเขาออกตามหาตลอดทั้งวัน
“เซฮุน?”
“บ้าน่า”
“เขาจริง ๆ ด้วย”
“เซฮุน!”
แบคฮยอนเป็นคนแรกที่เปิดประตูบ้านออกไป เด็กหนุ่มยิ้มกว้างทันทีที่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนตัวสูงก่อนที่ทั้งคู่จะโผกอดกันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ฉันคิดว่านายจะเป็นอะไรไปซะแล้ว” คนตัวเล็กพูดอู้อี้ในอ้อมกอดอีกฝ่าย เซฮุนยิ้มอย่างโล่งใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ทั้งสามที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่ารอยยิ้มของคนที่เรียกว่าครอบครัว เซฮุนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนก็จางหายไป...ทันทีที่ใครคนหนึ่งเดินลงมาจากรถบ้าน
“...”
“...”
“นั่นจงอินเหรอ?”
“บ้าน่า...”
แบคฮยอนผละตัวออกจากอ้อมกอดเพื่อนตัวสูง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากกระพริบตา เซฮุนเสยผมที่ยาวปรกหน้าขึ้นก่อนจะเบือนหน้าหลบไปอีกทาง และรอยยิ้มของเขานั้นถูกกลืนหายไปเป็นคนแรก
ร่างเล็กค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ เพราะทำตัวไม่ถูก แน่นอนว่าคิมจงอินจำชื่อคนพวกนี้ไม่ได้เลยสักคนเดียว แม้ว่ามันพอจะมีภาพลาง ๆ แทรกเข้ามาอยู่หลายหน แต่ทุกครั้งที่นึกออก จุดจบของมันคืออาการปวดศีรษะจนแทบทนไม่ไหว
“จงอิน...นั่นคุณจริง ๆ ใช่ไหม?” เจ้าของชื่อมองคนตัวเล็กที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มกลอกตาไปมาก่อนจะยิ้มเจื่อนเพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวแบบไหน “คุณ...”
“อ่า...อืม...ฉันเอง”
“พระเจ้า...” ชายหนุ่มเซถอยหลังเพราะถูกอีกฝ่ายโถมกอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองข้างของเขาค้างอยู่กลางอากาศเพราะไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคิมจงอินสับสนกับสิ่งที่เป็นอยู่
คำถามแรกคือไอ้เตี้ยนี่เป็นใคร? ทำไมจู่ ๆ ถึงเข้ามากอดกันซะแน่นแบบนี้ มีความสัมพันธ์กันแบบไหน ญาติพี่น้องก็ไม่มีไม่ใช่หรือไง? แต่เดี๋ยวนะ...แล้วทำไมไอ้เด็กนี่ถึงร้องไห้อย่างกับใครตาย?
“ไม่อยากจะเชื่อเลย...คุณยังไม่ตาย...”
เซฮุนมองเพื่อนตัวเล็กที่กระชับกอดอีกฝ่ายแน่นยิ่งขึ้นในขณะที่คิมจงอินยังคงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหน เด็กหนุ่มเข้าใจว่าทำไมแบคฮยอนถึงแสดงออกแบบนั้น เพราะก่อนหน้านี้คนที่ทำหน้าที่พี่ชายแทนบยอนแบคโฮได้ดีที่สุดก็คือคิมจงอิน
“ใช่ ฉันยังไม่ตาย” ชายหนุ่มผละคนตัวเล็กออกจากอ้อมกอดก่อนจะหันไปเปิดประตูบ้านแล้วเดินขึ้นไปลากแขนจองซูยอนลงมาแม้ว่าหญิงสาวจะพยายามยื้อดึงเอาไว้อย่างขลาดอาย แต่สุดท้ายจงอินก็ลากเธอลงมาจากรถจนได้ “ยูริ ออกมาได้แล้ว”
หญิงสาวที่นั่งเคี้ยวไม้จิ้มฟันอยู่บนรถเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับก่อนจะเดินออกมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เซฮุน ถึงจะทำตัวไม่ถูกกับการที่ต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของคนแปลกหน้า แต่ในเมื่อจองซูยอนเห็นดีเห็นงามกับไอ้หมอนั่นมันเลยเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
“คนนี้คือคุณควอนยูริครับ ส่วนที่ยืนอยู่ตรงนั้นชื่อคุณจองซูยอน พวกเธอสองคนช่วยจงอินไว้” เซฮุนผายมือแนะนำแขกใหม่ให้รู้จักเมื่อทุกคนเดินมาถึงแล้ว
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”
“คนนี้ชื่ออู๋อี้ฟาน ถัดไปคือคุณปาร์คกาฮี แล้วก็คุณปาร์คชานยอล ที่อยู่ตรงนั้นคือบยอนแบคฮยอน เขาอายุเท่าผมครับ” มันเป็นเรื่องแปลกที่ต้องมายืนแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการแบบนี้ ทุกคนดูเคอะเขินต่อกัน พวกเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยตามมารยาทเท่านั้น
“ไหนล่ะไอ้คนที่ชื่อลู่หานน่ะ?” คำพูดของจงอินทำเอาคนที่ยืนอยู่ตรงนี้หันไปมองเป็นตาเดียวกัน ในทีแรกก็คิดว่าผู้ชายคนนี้ดูแปลก ๆ แต่ก็ได้แต่บอกว่าคงคิดไปเอง
“ไอ้จงอิน?!”
“...”
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกที่ตะโกนมาจากทางด้านขวาแล้วก็พบชายหนุ่มหน้าซีดยืนอยู่หน้าบ้านหลังที่สองโดยมีเด็กแว่นคนหนึ่งคอยช่วยประคองให้หมอนั่นเดินลงมา
“ฉันเคยเห็นหน้าไอ้หมอนั่นในฝัน” จงอินหันไปกระซิบเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซฮุนหันมาสบตากับอีกฝ่ายแล้วยิ้มบาง ๆ
“เขาคือเพื่อนสนิทของคุณครับ”
ถึงจำไม่ได้ว่าเคยมีความทรงจำกับ ‘เพื่อน’ มากแค่ไหน แต่การเห็นหน้าอีกฝ่ายในครั้งนี้มันรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก ไอ้ความรู้สึกตื้นตันใจในอกนี่มันคืออะไรกัน?
“...”
“...”
จงอินรับอ้อมกอดจากอีกคน ความรู้สึกที่เป็นอยู่มันไม่ต่างจากตอนกอดไอ้เด็กเตี้ยเมื่อครู่นี้สักเท่าไหร่ เขารู้สึกได้ถึงไอร้อนที่อยู่ตามร่างกายของคนตรงหน้า คาดว่าไอ้หมอนี่คงป่วยหนักเอาเรื่องถึงต้องมีคนคอยยืนประกบอยู่ข้าง ๆ แบบนี้
“นี่มึงจริง ๆ เหรอวะ...”
“...”
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ ‘คิมจงอิน’ ที่ทุกคนรู้จักหรือเปล่า ถึงปากจะบอกว่าไม่อยากกลับมาที่นี่เพราะยังเคืองเรื่องที่ถูกทิ้งให้รอความตายอยู่ในป่า แต่มันน่าแปลกจริง ๆ ที่พอหันไปมองคนรอบข้างแล้วกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
หรือมันอาจจะจริงอย่างที่โอเซฮุนพูด...ว่าไม่มีใครอยากทิ้งเขาไว้อย่างที่เคยคิด?
“พอเถอะ” จงอินผละตัวอีกฝ่ายออก แน่นอนว่ามันทำให้ลู่หานเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่ทั้งตัวเขาและไอ้เวรนี่ไม่ค่อยแสดงความรักกันด้วยการกอด เพราะทุกครั้งที่มีการแตะต้องตัวกันเกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายต่างก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าขยะแขยงกันและกัน แต่นี่มัน...?
“เอาล่ะ ก่อนอื่นขอคุยธุระด้วยหน่อย นายใช่ไหมอู๋อี้ฟาน” จงอินชี้ไปยังชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ข้าง ๆ ไอ้เด็กเตี้ยที่เพิ่งกอดเขาไปเมื่อตอนแรก
“ผมอยู่นี่” ถึงจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นผู้ชายคนนี้ถึงได้สับสนแม้กระทั่งชื่อของคนในครอบครัวแต่อู๋อี้ฟานก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
“อ้อ เออ คืองี้นะ” จงอินเกาท้ายทอยพลางหันไปขอความช่วยเหลือจากเซฮุน คนที่บอกกับเขาระหว่างทางว่า ‘ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น’
“ไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้ช่วยหาที่พักให้กับเธอทั้งสองคนก่อนได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มหันไปทางคนที่อายุมากที่สุด ซึ่งพวกเขาไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องหาที่พักให้ผู้หญิงสองคนนี้ แต่สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือมันเกิดอะไรขึ้นกับคิมจงอิน?
“คุณสองคนพักห้องเดียวกับฉันก็ได้นะคะ” ปาร์คกาฮีเสนอพร้อมยิ้มให้ผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตร แน่นอนว่าเธอรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่มีผู้หญิงเพิ่มมาอีกถึงสองคน
“เธอว่าไง?” จงอินหันไปถามซูยอนก่อน และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่โอเคกับข้อเสนอของครูสาว สีหน้าของปาร์คกาฮีเจื่อนลงทันทีที่เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธเบา ๆ
“ฉันอยากอยู่กับพี่สองคนน่ะค่ะ...”
“อ่า...”
“ขอโทษนะ แต่ถ้าไม่สะดวกเราจะนอนในรถบ้านก็ได้” ยูริว่าพร้อมกุมมือซูยอนเอาไว้
“ได้ไงกัน มันน่าจะมีห้องว่างสำหรับผู้หญิงสองคนอยู่บ้างสิ?” จงอินกวาดสายตามองไปรอบตัว บ้านที่อยู่ตรงหน้าก็ใช่ว่าจะเล็กซะที่ไหน แถมอยู่ติดกันตั้งสามหลัง คนก็มีอยู่แค่นี้ทำไมจะหาห้องไม่ได้ “งั้นให้สองคนนี้นอนห้องที่ฉันเคยอยู่ก็ได้”
“...” พูดจบทุกคนก็หันไปทางเซฮุนพร้อมกัน เด็กหนุ่มยืนนิ่งเงียบ เขาไม่ได้โต้แย้งกลับไปเลยสักคำเดียว
“ฉันเคยอยู่บ้านหลังไหนล่ะ?”
“หลังตรงกลางน่ะ”
“เหี้ยไรของมึงเนี่ยจงอิน ไอ้สัด” ถึงเสียงจะแหบพร่าแต่ลู่หานก็ไม่ได้ออมน้ำเสียงที่จะก่นด่าเพื่อนสนิทที่กำลังแสดงออกมาทางคำพูดอย่างน่าเกลียด เขาเห็นว่าสีหน้าเซฮุนตอนนี้มันแย่มากแค่ไหน เพียงแค่คนอื่นไม่ทันสังเกตเห็นเท่านั้น
“อะไร? ก็แค่หาที่นอนให้คนที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้” จงอินหันไปขมวดคิ้วมองคนที่โอเซฮุนบอกว่าคือเพื่อนสนิทของเขา
“ฉันส้นตีนอะไรของมึง มานึกอยากสุภาพอะไรเอาตอนนี้วะห่า แค่ก ๆ!!” มินซอกคว้าแขนคนข้าง ๆ เอาไว้ อันที่จริงก็อยากจะห้ามตั้งแต่แรกหรอกนะ แต่พอเห็นว่าจงอินลงมาจากรถก็อดที่จะบอกลู่หานไม่ได้ เป็นไงล่ะ...พอรู้เรื่องก็ฝืนตัวเองให้ลุกจากเตียงจนได้
“จงอินเขาจำอะไรไม่ได้ครับ”
“ว่าไงนะ?”
ทุกคนหันไปทางเซฮุนอีกครั้ง จงอินถอนหายใจแล้วเสยผมขึ้น แม้แต่ตัวเขายังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มายืนทำหน้าโง่อยู่ตรงนี้มันสมควรแล้วหรือเปล่า? คนที่แสดงออกว่างงที่สุดในตอนนี้คงไม่พ้นไอ้คนที่ชื่อลู่หานกับไอ้เด็กที่โผกอดเขาเป็นคนแรก ส่วนผู้ชายตัวสูงทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงผมสั้นประบ่าคนนั้นยังคงเก็บอาการได้ดี
“ไว้ผมจะอธิบายให้ฟัง...แต่ตอนนี้คุณสองคนเก็บของเข้าไปในบ้านหลังนั้นก่อนนะ” เซฮุนหันไปบอกหญิงสาวทั้งสองคนก่อนจะหันกลับไปทางอี้ฟาน ชานยอล และกาฮีอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด “พวกคุณไปรอผมในบ้านหลังแรกก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามไป”
“เอายังไง?” มินซอกถามคนป่วยที่ยังคงขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิทอย่างไม่ละสายตา แน่นอนว่าลู่หานส่ายหน้าเป็นคำตอบ คนตัวเล็กถึงได้ช่วยพยุงร่างโทรม ๆ ไปบ้านหลังแรกแทนที่จะกลับไปนอนซมบนเตียง
ทุกคนมองเซฮุนสลับกับจงอินแค่ครู่เดียว จากแววตาที่เคยฉายแววอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยราวกับว่าคิมจงอินเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งมันก็ไม่แปลกนัก คิดซะว่าแฟร์ ๆ แล้วกันเพราะเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับคนพวกนี้สักเท่าไหร่ ถึงจะมีบางครั้งที่รู้สึกอุ่นใจแปลก ๆ บ้างก็ตามที
ยูริกับซูยอนคว้ากระเป๋าเป้ออกมาแค่สองใบ พวกเธอไม่จำเป็นต้องขนย้ายอะไรมากมายเพราะทุกอย่างมีในรถบ้านอยู่แล้ว แบคฮยอนอาสาพาสองพี่น้องไปที่ห้องของจงอินในเมื่อเซฮุนไม่ว่าอะไร แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็หันกลับไปมองเพื่อนเป็นระยะ
ทุกคนเดินเข้าไปในบ้านหลังแรกเพื่อรอเซฮุนไขข้อข้องใจให้ ปัจจุบันเหลือเพียงแค่เด็กตัวสูงกับผู้ชายที่จำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ที่ยังคงยืนอยู่ข้างรถ ความเงียบที่โรยตัวอยู่โดยรอบสร้างความอึดอัดให้อีกเป็นเท่าตัว ตอนนี้คิมจงอินกำลังรู้สึกแย่เพราะสายตาของคนรอบข้างที่มองมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าถ้ามีตัวเลือกดี ๆ ให้สักสองสามข้อเขาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาวะทำตัวไม่ถูกอย่างที่เป็นอยู่
แม้กระทั่งไอ้เด็กโข่งที่เคยทำตัวจู้จี้น่ารำคาญจนเผลอรู้สึกดีไปด้วยแล้ว เพราะคิดว่าระหว่างเขากับโอเซฮุนคงไม่ใช่แค่คนรู้จักกันเผิน ๆ แน่นอน อย่างน้อยมันก็คงมากพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งแสดงออกถึงความพยายามที่จะพาเขากลับมาทั้งที่จะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ในสถานการณ์ที่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
แต่โอเซฮุนกำลังทำหน้าเศร้า ซึ่งเขาไม่ชอบเลย
“เป็นอะไร”
“ผมต้องไปคุยกับพวกเขาแล้ว”
“ฉันถามทำไมไม่ตอบ” จงอินคว้าแขนเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วดึงให้กลับมายืนอยู่ที่เดิม โอเซฮุนก็ยังคงไม่หันมามองหน้าเขา “ไม่ได้ยินที่ถามหรือไง?”
“ผมได้ยินครับ”
“ได้ยินก็ตอบสิ ทำไมต้องให้ถามหลายรอบ?” เขากำลังหงุดหงิดเพราะเด็กคนนี้เป็นครั้งที่ล้านในระยะเวลาสองวัน ซึ่งมันไม่ดีเลยสักนิด โอเซฮุนเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงกล้าเข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขา?
“ต่อให้คุณจะจำผมไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงแบบนี้”
“...”
“ผมก็มีความรู้สึกเหมือนคุณซูยอน ต่อให้คุณไม่อยากรักษาน้ำใจผมเท่ากับเธอ แต่ก็อย่าทำร้ายความรู้สึกผมมากไปกว่านี้เลยนะครับจงอิน”
“...”
“ตอนแรกผมคาดหวังไว้สูง แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ” เซฮุนแกะมืออีกคนออก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายคนนี้ “แค่คุณกลับมาอยู่ที่นี่ผมก็พอใจแล้ว”
“นายเป็นคนยังไงกันแน่โอเซฮุน?”
“...”
“เดี๋ยวก็แสดงออกว่าทำเพื่อฉันได้ทุกอย่าง เดี๋ยวก็ทำเหมือนไม่สนใจ สรุปมันยังไงกันแน่?”
“...”
“...”
นี่มันเรื่องตลกร้ายชัด ๆ ที่คิมจงอินกำลังรู้สึกผิดหลังจากเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอขึ้นเสียงใส่เด็กคนนี้อีกแล้ว และมันคงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ถ้าเกิดโอเซฮุนตะโกนด่าเขากลับมาบ้าง ไม่ใช่ยืนก้มหน้าเงียบ ๆ แบบนี้
“ผมขอเวลาครึ่งชั่วโมง แล้วจะออกมาคุยกับคุณเรื่องห้องพัก”
“อ่าฮะ” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกง ถึงจะรู้สึกผิดแต่การพูดว่าขอโทษมันก็ไม่ใช่นิสัยของคิมจงอินคนปัจจุบัน “สองพี่น้องนอนห้องฉัน นั่นหมายความว่าฉันต้องย้ายไปนอนห้องนายใช่ไหม?” จงอินมองแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากตรงนี้ได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว “หรือนายพักอยู่กับคนอื่น?”
เซฮุนยืนนิ่ง อาจจะครึ่งนาทีหรือน้อยกว่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คนที่ยืนรอหงุดหงิดได้ เด็กหนุ่มหันไปมองคนคุ้นเคยแต่ตอนนี้ระหว่างเขาสองคนนั้นไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าเลยสักนิด
“เปล่าครับ ผมไม่ได้พักอยู่กับใคร”
“แล้วห้องนายอยู่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวผมจะออกมาคุยเรื่องนี้กับคุณอีกที เข้าไปรอในบ้านก่อนนะครับ” เซฮุนชี้ไปยังบ้านหลังที่สองก่อนจะหันหลังกลับ แน่นอนว่ามันทำให้จงอินหงุดหงิดอีกแล้ว เขาวิ่งไปดักหน้าเด็กหนุ่มจนต้องหยุดฝีเท้า
“มันยากมากเหรอแค่บอกว่านอนอยู่บ้านหลังไหน”
“ไม่ยากครับ”
“ถ้าไม่ยากก็บอกมาสิวะ หรือว่าไม่อยากให้ใช้ห้องด้วยจะได้นอนในรถบ้าน” เขาเริ่มจะรำคาญความรู้สึกนี้เต็มทน ที่ทั้งโมโหและรู้สึกผิดไปพร้อม ๆ กันแบบนี้น่ะ ไอ้ความรู้สึกหลังนี่แทบอยากจะโยนทิ้งลงไปในหลุมลึกแล้วกลบด้วยหิมะหนา ๆ ซะให้รู้แล้วรู้รอด
“ที่ผมบอกให้รอก็เพราะว่าเราสองคนจะได้หาห้องใหม่”
“...”
“อาจจะเป็นบังกะโลเดี่ยวเหมือนที่จงแดเคยพัก ผมเห็นว่าห้องก็ไม่แคบมาก ถ้าปัดกวาดทำความสะอาดหน่อยก็เข้าไปอยู่ได้แล้ว”
“แล้วห้องของนายอยู่ไหน ทำไมถึงต้องหาห้องใหม่” จงอินลดระดับเสียงลง เขารู้สึกว่าจะขึ้นเสียงใส่เด็กคนนี้บ่อยเกินไปแล้ว และมันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้โอเซฮุนหงอยเป็นลูกหมาแบบนี้ก็ได้
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย คิมจงอินคนเจ้าอารมณ์กำลังรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ น่าแปลกนะที่พอนึกย้อนไปตอนแรกที่รู้จักกันแล้วเขากลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรตอนที่ผู้ชายคนนี้หยาบคายใส่นับครั้งไม่ถ้วน
กลับกันแล้วโอเซฮุนได้รู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว...
“ที่ผมต้องหาห้องใหม่...เพราะคุณยกห้องนั้นให้คุณซูยอนแล้ว”
“...”
“คราวนี้ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ...”
จงอินไม่ได้พยักหน้าหรือตอบอะไรกลับไป เขาเพียงแค่ยืนนิ่งจนกระทั่งเด็กคนนี้เดินสวนไป ความรู้สึกหวิวในใจนี่มันคืออะไรกัน มันเหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดเพียงแค่เห็นแววตาของอีกฝ่ายที่มองมา
แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิด...แต่มันคืออะไรบางอย่างที่คิมจงอินพยายามปิดกั้นตัวเองไม่ให้รับรู้ถึงความรู้สึกนั้นที่มีต่อโอเซฮุน...
TBC
จงอินใจร้าย
ขอบคุณ @Pinkkieeee ที่ช่วยแปลทรานส์ไทยเป็นอังกฤษให้นะครั้ฟ กราบบบบ
ความคิดเห็น