คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #83 : Chapter 78 :: Jongin...It's me...
Chapter 78
Jongin...It’s Me...
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ตุ่บ!!!
ร่างของชายหนุ่มร่วงลงมาจากรั้วสูงพร้อมกับกลิ้งลงไปตามเนินหิมะก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาตั้งหลักแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ข้างอย่างหวาดระแวง มีดดาบที่ตกอยู่บนพื้นถูกเก็บขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจว่าปืนพกกระสุนหมดที่เคยยิงกราดเมื่อครู่นี้อยู่ส่วนไหนของโลก
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!!”
เสียงของพวกมันยังคงโหยหวนอยู่ฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าเหล่าผีดิบปีนมาฝั่งนี้ไม่ได้นอกจากว่าพวกมันจะเหยียบหลังกันเพื่อส่งผู้นำมาไล่ฟัดเขา ลู่หานหอบหายใจหนัก ร่างกายบางส่วนกำลังชาเพราะความหนาว มันทำให้รู้สึกเจ็บเพียงแค่เอามือบีบเบา ๆ
ชายหนุ่มถอดถุงมือออก เขาเห็นว่าฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นริ้วแดงเพราะการปีนรั้วเมื่อครู่นี้ เสียงโหยหวนทำให้เส้นเลือดตรงขมับกระตุก มันสร้างความหงุดหงิดให้เขาจนอยากปีนข้ามกลับไปฟันหัวมันเรียงตัวจริง ๆ
สองขาก้าวถอยหลังทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากรั้วสูงเบื้องหน้า เมื่อกี้เขาเกือบถูกพวกมันกัดเข้าให้แต่โชคดีที่กระสุนในรังเพลิงเหลืออยู่นัดสุดท้ายพอดี ลู่หานปิดเปลือกตาลง นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเกือบลงนรกตามที่มินซอกไล่อยู่บ่อย ๆ แต่พูดก็พูดเถอะ...ทั้งที่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิตแบบนี้ แต่เพราะไอ้กองหิมะตามทางนั่นแหละที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการหลบหนี
แต่ยืนตั้งสติยังไม่ได้เท่าไหร่ชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ ก็รู้สึกวูบเหมือนถูกผลักลงเหว ร่างทั้งร่างตกลงไปในน้ำเย็นเฉียบก่อนที่เขาจะตะเกียกตะกายขึ้นมากับการพลาดตกสระว่ายน้ำที่มีน้ำแข็งแผ่นบางเกาะอยู่บนพื้นผิวน้ำโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่าความหนาวเย็นของมันเล่นปราดไปถึงขั้วสมองได้อย่างรวดเร็ว
“แค่ก ๆ”
ชายหนุ่มโยนมีดดาบขึ้นมาก่อนจะพาร่างตัวเองขึ้นจากสระน้ำอย่างทุลักทุเล ริมฝีปากหยักสั่นไม่หยุดกับความหนาวเย็นที่เสื้อผ้าชุดหนาได้ห่ออุ้มน้ำเอาไว้ ลู่หานรีบถอดเสื้อกันหนาวออกแล้วโยนลงพื้นก่อนจะเก็บอาวุธแล้วเดินตัวสั่นไปหยุดอยู่หน้าบ้าน
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะส่องดูว่ามีตัวอะไรอาศัยอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหมุนลูกบิดพร้อมกับชี้มีดดาบเข้าไปเมื่อประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นก็คือซากศพของชายวัยกลางคนที่มีปืนอยู่ในมือนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นพร้อมกับเลือดสีเข้มที่แห้งกรังอยู่ตามพรม
ส่วนทางด้านขวามีซากศพผู้หญิงนอนกอดศพเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ไว้แนบอก แน่นอนว่าทั้งคู่เสียชีวิตเพราะถูกยิงเจาะหัว ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้ยากก็พอจะเดาออกว่าผู้ชายคนนี้คงปลิดชีวิตสองคนนั้นก่อนจะลงมือยิงตัวตายตาม
สภาพศพไม่ได้แห้งกรัง คาดว่าทั้งสามคนคงประคับประคองลมหายใจมาได้นานพอสมควร พอเห็นว่าไม่มีผีดิบที่จะต้องจัดการลู่หานเลยกอดร่างตัวเองที่มีเพียงแค่กางเกงยีนส์หนัก ๆ กับเสื้อฮู้ดแขนยาวสีเทาที่ช่วยไม่ให้เขาหนาวตายเข้ามาในบ้านพร้อมกับกระชากผ้าม่านผืนใหญ่อย่างแรงจนมันหลุดออกมาทั้งราว
“...” ริมฝีปากนั้นยังคงสั่นไม่หยุด ลู่หานตวัดผ้าม่านพันรอบตัวก่อนจะคุกเข่าแล้วงอตัวเข้าหากันพร้อมซบหน้าผากลงกับพื้น เขากำลังจะหนาวตายอยู่แล้ว ถึงจะไม่เคยไปขั้วโลกเหนือมาก่อนแต่น้ำในสระนั่นคงเย็นพอ ๆ กันน่ะแหละเขามั่นใจ
ชายหนุ่มสั่นเป็นเจ้าเข้า เขารู้สึกได้ถึงอาการปวดจี๊ดตรงขมับเพราะความหนาวราวกับว่ามันระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ หากเขาไม่ทำให้ร่างกายอบอุ่นเดี๋ยวนี้ กลิ่นเหม็นเน่าของศพทั้งสามไม่มีผลกระทบกับคนที่กำลังเผชิญอยู่กับความหนาวนัก ลู่หานค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นแล้วมองไปยังทางเดินที่เชื่อมต่อเข้าไปข้างในตัวบ้านก่อนจะก้มลงเก็บมีดดาบขึ้นมา
มือข้างหนึ่งกำผ้าม่านไว้ตรงช่วงอกส่วนอีกข้างเล็งอาวุธไปยังเบื้องหน้า หยดน้ำเย็นจากปรอยผมร่วงลงพื้นพร้อมกับเสียงรองเท้าที่ก้าวไปตามแผ่นไม้ แต่เสียงไหนก็ไม่ชัดเท่ากับเสียงลมหายใจเข้าออกของตัวเขาในตอนนี้
พอเข้าไปถึงห้องครัวลู่หานก็ตรงไปยังเตาแก๊สพร้อมกับบิดสวิตซ์อย่างไม่รีรอ ทันทีที่เห็นไฟลู่หานก็ก้าวเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับยื่นมือเข้าไปอัง เขาใช้เวลาอยู่กับการเพิ่มความอบอุ่นอยู่ราว ๆ ห้านาทีภาพใครอีกคนก็ลอยเข้ามาในหัว เด็กคนนั้นที่วิ่งหนีตายไปอีกทางหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
ถึงตอนนี้จะยังคงหนาวสั่นอยู่ แต่มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมายืนคิดอย่างใจเย็นว่าเซฮุนจะเป็นยังไงบ้างโดยที่ไม่ออกไปตามหา ลู่หานปิดเตาแก๊สแล้วปล่อยให้ผ้าม่านร่วงลงพื้นก่อนจะตรงไปยังประตูบานหนึ่งซึ่งคิดว่าจะเป็นห้องนอน
แกร่ก ๆ
“ห่าเอ้ย...” ได้แต่สบถอย่างหัวเสียกับประตูที่ถูกล็อกเอาไว้ ลู่หานมองลูกบิดแค่ครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วเข้าไปถีบมันอย่างแรง แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพังมันได้ภายในครั้งเดียว ชายหนุ่มทำอยู่อย่างนั้นประมาณสี่ครั้งประตูก็เปิดออก
รองเท้าบูทหนังหุ้มข้อทิ้งรอยน้ำเอาไว้ทุกย่างก้าว เป้าหมายหลักที่เข้ามาในห้องนี้คือการหาเสื้อผ้าชุดใหม่ มันคงไม่ดีแน่หากว่าเขาจะปล่อยให้ตัวเปียกนาน ๆ ทั้งที่ข้างนอกอากาศติดลบกี่องศาก็ไม่รู้
ชุดผู้หญิงวัยทำงานถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนจะหันไปเปิดอีกตู้เพื่อหาเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ลู่หานไม่มีเวลาเลือกมากนัก เขาหยิบจับชุดที่พอจะใส่ได้โยนทิ้งไว้บนเตียงก่อนจะใช้เท้าทั้งสองข้างช่วยกันถอดรองเท้าออก สองมือกำชายเสื้อฮู๊ดไว้แล้วถอดมันทิ้งลงพื้นและตามด้วยกางเกงยีน
เสื้อไหมพรมสีน้ำเงินเข้มตัวโคร่งถูกสวมเข้าไปอย่างรวดเร็วและตามด้วยเสื้อโค้ทสีดำครึ่งตัว ขนาดของมันน่าจะ XL หรืออาจจะใหญ่กว่านั้น แต่ยังไงเสียเขาก็ต้องการความอบอุ่นมากกว่าความพอดี กางเกงยีนส์ทั้งสี่ตัวถูกโยนทิ้งลงพื้นเพราะใส่ไม่ได้ มันหลวมเกินไปสำหรับผู้ชายไซส์เตี้ยอย่างเขา สุดท้ายทางออกที่ดีที่สุดคือกางเกงวอร์ม ลู่หานผูกเชือกตรงเอวให้แน่นแล้วก้มลงเก็บรองเท้าขึ้นมาเทน้ำที่ขังอยู่ข้างในออกจนหมดพร้อมกับเขย่าสามสี่ทีเป็นการปิดท้าย
กลิ่นเหม็นสาบตามเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกหยิบออกมาใช้นานไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดนัก ลู่หานรีบออกมาจากบ้านแล้วมองหาทางที่จะออกไปตามหาเซฮุน แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ทางเดิมที่เพิ่งวิ่งหนีมาเมื่อครู่นี้ เพราะตรงนั้นเต็มไปด้วยพวกผีดิบสร้างปาร์ตี้ขนาดย่อมมากเกินสิบตัว
ประตูทางออกบ้านอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้นัก ถึงจะรีบออกมาข้างนอกแต่เขาก็ยังคงสังเกตสิ่งรอบข้างอย่างรอบคอบ เส้นผมสีเข้มยังคงเปียกระโครงหน้ากับสายตาที่มองไปยังเป้าหมายซึ่งกำลังเดินลากขามาหาเขา
“ฮือออ...”
ฟึ่บ!
ศีรษะกลมตกลงบนฟุตปาธก่อนจะกลิ้งไปหยุดอยู่ข้างถังขยะเก่า ลู่หานไม่เสียเวลาหยุดยืนดูว่าปากของมันยังคงพะงาบ ๆ อยู่แม้ว่าหัวจะหลุดออกจากร่างแล้วก็ตาม ชายหนุ่มยืนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งตรงมุมถนน ทางเลือกเดียวที่จะทำให้เขาไปต่อได้คือวิ่งตรงไปเพราะทางนั้นมีพวกกินคนอยู่แค่เจ็ดแปดตัว นั่นก็นับว่าน้อยแล้วถ้าเทียบกับพวกมันที่ยืนเกาะกลุ่มกันเป็นฝูงอยู่ทางด้านซ้าย
โชคดีที่พวกผีดิบที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้ยืนใกล้กันมากนักเพราะฉะนั้นการฆ่ามันเลยไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ลู่หานถูจมูกเบา ๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงรู้สึกหนาวอยู่แต่มันก็ไม่แย่เท่ากับตอนตกลงไปในสระว่ายน้ำ สองขาวิ่งไปเรื่อย ๆ พร้อมกับจัดการผีดิบที่ขวางทางเดินจนกระทั่งมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าหมู่บ้าน
ลู่หานหยุดยืนอยู่กับที่ขณะสายตายังคงจับจ้องไปยังรถเก๋งที่จอดอยู่เบื้องหน้าแต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของใครอีกคนที่เขาบอกให้มารอตรงนี้ ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ข้างประตูรถแล้วเปิดออก แน่นอนว่าเด็กคนนั้นไม่ได้นอนขดตัวอยู่เบาะหลังเพราะความหวาดกลัวหรือแม้แต่การงีบหลับระหว่างรอ
ลู่หานกวาดสายตาไปรอบ ๆ ทางเข้าหมู่บ้าน เขาได้แต่คิดว่าบางทีเซฮุนอาจจะแวะไปทำธุระส่วนตัวละแวกนี้หรือนั่งรออยู่ที่ไหนสักแห่ง
“เซฮุน!”
เป็นเพราะตรงนี้ไม่มีพวกมันชายหนุ่มถึงได้กล้าส่งเสียงเรียกอีกคน และเขาก็มั่นใจว่ามันดังพอที่จะทำให้ใครสักคนสะดุ้งได้ แต่สิ่งที่ได้ตอบรับกลับมามีเพียงแค่ความว่างเปล่า ลู่หานเดินไปหยุดอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน ไม่น่า...เขาไม่อยากคิดไปในทางแง่ร้ายเลยจริง ๆ ให้ตายเถอะ
แต่เหมือนยิ่งห้ามสมองก็ยิ่งคิดให้เลยเถิดไปไกล ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่ภาพของเด็กหนุ่มที่ถูกวิ่งไล่ต้อนไปจนถูกพวกมันรุมกัด และยิ่งภาพมันชัดเท่าไหร่ขาทั้งสองข้างที่เคยก้าวอย่างช้า ๆ ก็เปลี่ยนเป็นวิ่งในทันที
“เซฮุน!!!”
ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าจะมีผีดิบไอ้อีตัวไหนโผล่ออกมาลองดีกับมีดดาบของเขา ลู่หานกวาดสายตาไปโดยรอบไม่เว้นแม้แต่บนชั้นสองของตัวบ้าน แต่พอลดระดับสายตาลงก็พบกับสิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม ถังน้ำมันที่อยู่บนพื้นกับซากศพผีดิบที่อยู่ตรงนั้นเขาไม่ได้จำผิดแน่เพราะเป็นคนยื่นให้เด็กกรงหมาเองกับมือ
ตัวกินคนจากทุกทิศทางเริ่มโผล่หน้าออกมาให้เห็นแล้ว แม้ว่ามันจะไม่เยอะเท่ากับพวกที่วิ่งไล่ต้อนเขาไปจนถึงทางตันเมื่อครู่นี้ แต่มันก็เยอะมากพอที่จะไล่กวดเด็กที่สุขภาพไม่เต็มร้อยให้จนมุมได้ ลู่หานยืนนิ่ง เขายังไม่ละสายตาออกห่างจากถังสีขาวนั้นราวกับถูกสะกดจิต
“ไม่จริงน่า...”
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
“กลับมาแล้ว”
เสียงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวคนน้องรีบออกมาเปิดประตูรถบ้านแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่ามีใครอีกคนตามมาด้วย ซูยอนหันไปมองหญิงสาวที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่ก่อนจะกวักมือให้เดินมาดูด้วยกัน
“มีอะไร?”
“เขาพาใครมาด้วยก็ไม่รู้...” ซูยอนกระซิบ พอได้ยินอย่างนั้นยูริก็ดันคนตัวเล็กกว่าให้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังก่อนจะเอื้อมไปคว้าสปาต้าที่ติดอยู่กับผนังไว้แต่ไม่ได้เอามันลงมาในทันที
“นายพาใครมาน่ะ?” เป็นคนน้องที่ตะโกนถามก่อน จงอินหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นเสียทีเดียวกับคำพูดไอ้เด็กนี่
“สวัสดีครับ” เซฮุนโค้งหัวให้กับหญิงสาวทั้งสอง แน่นอนว่ามันทำให้พวกเธอตกใจกับมารยาทที่อีกฝ่ายมอบให้ “ผมชื่อโอเซฮุน”
“พาเขามาทำไม?” ควอนยูริไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ เธอมองจงอินด้วยสายตาคาดโทษที่พาคนแปลกหน้ามาด้วยทั้งที่เตือนไม่รู้ตั้งกี่ร้อยครั้งแล้วว่าอย่าเชื่อใจใคร
“ผมรู้จักเขา” ประโยคนี้ของเด็กหนุ่มเรียกความสนใจกับสองสาวได้เป็นอย่างดี เซฮุนหันไปมองหน้าจงอินอีกครั้งก่อนจะหันกลับเข้าหาสองพี่น้อง “เขาชื่อคิมจงอินครับ” จากที่ได้ฟังคร่าว ๆ ระหว่างทางเขาถึงได้รู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้ได้ช่วยจงอินเอาไว้โดยที่พวกเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจงอินชื่ออะไร
“คนรู้จักงั้นเหรอ” ซูยอนถามเสียงแผ่ว แน่นอนว่าการทำให้ใครสักคนเชื่อในคำพูดของคนแปลกหน้ามันเป็นเรื่องยากในขณะที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว
“ครับ” เซฮุนยิ้มเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้โกหก “ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาขอบคุณพวกคุณที่ช่วยจงอินเอาไว้” เจ้าของชื่อถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่ได้รู้สึกดีนักที่ไอ้เด็กคนนี้กำลังพยายามทำเหมือนว่าซาบซึ้งในบุญคุณของสองพี่น้องเสียเต็มประดา “หลังจากขอบคุณแล้วผมก็อยากจะขอพาเขากลับไป”
“...”
“ว่าไงนะ?” จงอินหันไปมองคนข้าง ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วหากแต่ร่างบางกลับไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย “กูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่ไป” เซฮุนยังคงมองไปยังหญิงสาวทั้งสองคนเพื่อรอคำตอบ ซูยอนหันไปทางจงอินเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงแล้วร่างหนาก็ส่ายหน้า
“ครอบครัวของเรารอคุณอยู่ที่บ้าน”
“กูฟังมึงพูดเรื่องนี้มาตลอดทั้งทาง แต่กูก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอวะว่ากูยังไม่รู้สึกอยากกลับไปตอนนี้” เขาเริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ต้องเถียงกับไอ้เด็กนี่ทั้งที่พูดไปแล้วไม่รู้กี่รอบ เพราะต่อให้กลับไปที่บ้านก็ใช่ว่าเขาจะรู้สึกอยากปฏิสัมพันธ์กับใครสักคนที่ทิ้งให้เขาเกือบตายอยู่ตรงนั้น
“แต่เขาบอกว่าเป็นครอบครัวของนายนะ” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ เขารู้สึกได้ว่าซูยอนกำลังตัดพ้ออยู่ลึก ๆ เซฮุนมองชายหญิงที่กำลังสบตากันอย่างมีความหมาย ซึ่งเขาได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
“ฉันจะอยู่ที่นี่”
เซฮุนยืนนิ่ง เขาพยายามไม่เงยหน้าขึ้นมองคนสองคนที่กำลังคุยกันอยู่และปล่อยให้เขาเป็นเพียงแค่อากาศที่โรยตัวอยู่โดยรอบ ควอนยูริมองเด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอปล่อยมือออกจากสปาต้าแล้วลงมาจากรถบ้านพร้อมกับสำรวจเด็กหนุ่มอย่างพินิจ
“งั้นผมก็จะอยู่ที่นี่ด้วย” เสียงของเซฮุนเรียกความสนใจจากทั้งสามคนให้หันไปมอง เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากแล้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ผมจะไม่ไปไหนถ้าไม่มีคุณ”
“...”
“...”
“โทษนะ แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็ก แค่หาเสบียงมาเลี้ยงสองคนนี้ฉันก็จะแย่อยู่แล้ว” ควอนยูริว่าแล้วหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนแปลกหน้า “ครอบครัวมารับก็กลับไปซะสิ”
“อ้าว ทำไมพูดงี้ล่ะ”
“มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้นายจำความได้เร็วขึ้น แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เคยเป็น ไม่ใช่การปักหลักอยู่กับผู้หญิงสองคนแล้วให้เขาหาของกินมาประเคนถึงที่”
“ยูริ...” ซูยอนจับแขนอีกคนเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงขอให้หยุด จงอินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า ต่อให้มันจะไม่ใช่ครั้งแรกกับการโดนหยามบวกกับผลักไสให้ไปไกล ๆ ก็เถอะ แต่คราวนี้มันมากเกินไปแล้วจริง ๆ
“จงอิน!”
คำพูดทุกอย่างก็ถูกกลืนลงคอไปหมดเมื่อหญิงสาวที่เพิ่งได้รู้ชื่อเมื่อครู่นี้ตะโกนรั้งจงอินเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปาก เซฮุนมองตามแผ่นหลังชายหญิงคู่นั้นที่เดินหายไปตรงหลังรถบ้าน เขาไม่สามารถขยับขาไปไหนได้เลย โอเซฮุนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะยืนอยู่ตรงไหนของโลกใบนี้
“เฮ้” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่าผู้หญิงที่ชื่อยูริยังคงยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน “นายเป็นญาติกับหมอนั่นจริง ๆ น่ะเหรอ?”
“ไม่ใช่ญาติครับ จริง ๆ แล้วเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดเรื่องน่ะ...” เซฮุนไม่มีแม้แต่กระใจจะอธิบายมากไปกว่านี้ เขาเห็นว่าหญิงสาวนั่งลงบนขอนไม้พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เขานั่งลงเช่นกัน
“ชื่ออะไรนะ?”
“เซฮุนครับ”
“อายุเท่าไหร่”
“สิบแปด”
“อืม” ยูริมองคนตรงหน้าเพื่อเก็บรายละเอียด แน่นอนว่าการมีผู้ชายเข้ามาอยู่ในระยะอันตรายแบบนี้มันผิดกฎที่เธอเคยตั้งเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะมาร้ายอย่างที่เคยเจอ “ฉันชื่อควอนยูริ ส่วนยัยนั่นชื่อจองซูยอน”
“...” เซฮุนโค้งหัวอีกครั้งกับการแนะนำอย่างเป็นทางการ
“ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ ว่าแต่หมอนั่นชื่ออะไรนะ?”
“จงอินครับ คิมจงอิน”
“อ้อ...”
“มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะ” เด็กหนุ่มนั่งลงกับขอนไม้แล้วจ้องมองไปยังกองไฟที่มอดดับไปแล้วและเหลือเพียงแค่เถ้าถ่านที่ทิ้งไว้ให้ดู
“จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะ ท่าทางหมอนั่นไม่ได้ยินดีเลยสักนิดที่ได้เห็นหน้านาย”
“นั่นสิครับ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร”
“เมื่อก่อนเขาสันดา...อ่า...นิสัยแบบนี้หรือเปล่า?” เธอถามพร้อมกับหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ จนถึงตอนนี้สองคนก็ยังไม่ออกมา และต่อให้ผลลัพธ์จะออกมายังไงสาบานให้ตายเลยว่าควอนยูริจะไม่มีทางเดินไปที่นั่นเพื่อพูดว่า ‘ขอโทษ’ กับผู้ชายเฮงซวยคนนั้นแน่
“เปล่าครับ”
“...”
“เขาต่างจากคนที่ผมเคยรู้จัก”
ยูริยังคงมองอีกคนที่กำลังพูดถึงผู้ชายคนนั้นที่อยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งเดือน เธอก็พอจะรู้ว่าเหตุผลหลัก ๆ ที่หมอนั่นไม่ยอมกลับไปด้วยเพราะเหตุผลอะไร ควอนยูริไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกและเด็กคนนี้ก็คงเช่นกัน
“แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งจงอินคนเดิมจะกลับมา” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้นให้ผมอยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะยอมกลับกับผมได้ไหมครับคุณยูริ?”
“ใจเย็นหน่อยสิ นายกำลังทำให้ฉันกลัวนะ”
“ก็เย็นแล้วนี่ไง พี่สาวเธอน่ะสุด ๆ ไปเลยให้ตายเถอะ” ชายหนุ่มว่าแล้วเบี่ยงหน้าหลบมือเล็กที่กำลังช่วยแกะผ้าก๊อซออกให้ พอเห็นว่าอีกฝ่ายดื้อซูยอนเลยฟาดมือลงบนแขนแกร่งไปทีนึง “โอ้ย!”
“สำออย”
“ก็ลองมาโดนตีบ้างไหมล่ะ?”
“อยากตีก็ตีสิ” หญิงสาวเชิดหน้าแล้วแบมือ จงอินก้มลงมองก่อนจะจับมือเธอเอาไว้แล้วก้มลงไปหอมฟอดใหญ่
“นี่!”
“หมั่นเขี้ยว”
“ฉวยโอกาสอีกแล้วนะ เดี๋ยวจะโดน” ซูยอนมองคาดโทษแล้วง้างมือขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วดึงเข้ามายืนใกล้ ๆ
“โดนอะไร จูบเหรอ?”
“...”
“หืม?” ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่คงมีแค่จงอินคนเดียวนั่นแหละที่กำลังยิ้มเจ้าเล่ห์ ซูยอนพยายามชักมือกลับแต่อีกฝ่ายกลับดึงร่างเธอเข้าไปปะทะอกแกร่งพร้อมกับกอดเอวคอดเอาไว้
“นี่ เดี๋ยวพี่ยูริมาเห็น”
“ไม่เห็นหรอก ยัยนั่นอยู่กับ...อืม...นั่นแหละ” จู่ ๆ ก็รู้สึกแปลก ๆ กับการที่จะต้องเรียกชื่อเด็กคนนั้น ใช่ เขาจำได้ว่าเด็กนั่นชื่อโอเซฮุน แต่ทำไมแค่การเรียกชื่อมันถึงได้ดูเป็นเรื่องยากขึ้นมาก็ไม่รู้
“นายไม่ไปคุยกับเขาหน่อยเหรอ ยังไงก็คนเคยอยู่ด้วยกัน”
“ก็คุยแล้วไง หรือเธอจะให้ฉันเสแสร้งแกล้งทำเป็นดีใจที่เห็นคนที่เคยทิ้งฉันไว้ให้ตายตรงนั้นล่ะ?”
“เว่อ พวกเขาไม่ได้ทิ้งนายสักหน่อย”
“เธอรู้ได้ไง?”
“ก็ดูจากสีหน้าเด็กคนนั้น เขาดูเสียใจนะที่นายไม่สนใจเขาเลย หัดพูดดี ๆ กับคนอื่นบ้างเถอะ โลกเราก็เหลือคนน้อยลงไปทุกทีแล้ว” ซูยอนว่าแล้วเขี่ยปลายจมูกอีกคนเบา ๆ
“เออน่า”
“เข้าใจไหม ออกไปแล้วพูดกับเขาดี ๆ ด้วย”
“ครับ ๆ รู้แล้ว”
“ดีมาก” หญิงสาวยิ้มก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาใกล้ ๆ
“ได้ยินนะว่าเมื่อกี้เธอเรียกชื่อฉัน”
“...”
“ชอบชื่อนี้หรือเปล่า?”
“ถามบ้าอะไร” ซูยอนหดคอหลบเมื่อปลายจมูกโด่งกำลังโน้มลงมาคลอเคลียแก้มเธอ
“หันหน้ามาหน่อยสิซูยอนนา”
“พอเลย” หญิงสาวประนิ้วชี้กับริมฝีปากอีกฝ่ายที่เข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกันแล้ว เธอส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “มันเร็วไป”
“นิดหน่อยเอง เธอปฏิเสธฉันมาหลายครั้งแล้วนะซูยอน”
“ฉันเป็นผู้หญิง คงไม่กอดจูบกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่เดือนเดียว เพราะฉะนั้นถ้านายชอบฉันจริง ๆ ล่ะก็...นายก็ต้องรอได้” เสียงหวานกระซิบข้างหูก่อนจะผละตัวออก
“แล้วจะต้องให้รออีกนานแค่ไหนกัน?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก บางครั้งซูยอนก็เหมือนจะเล่นด้วย แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ค้างเติ่งแบบนี้ทุกทีสิ
“เมื่อฉันพร้อม” หญิงสาวยิ้มแล้วผลักออกแกร่งออกเบา ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น ทิ้งใครอีกคนให้ยืนหัวเสียอยู่คนเดียวโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก
“อ้าว เด็กนั่นหายไปไหนแล้วล่ะ? กลับไปแล้วเหรอ?” พอเดินออกมาแล้วไม่เห็นคนที่ตามมาด้วยก็มองหาแต่ยูริกลับไม่ตอบ เธอเพียงแค่หันมามองเขาครู่เดียวแล้วก็หันไปลับมีดต่อ หรือว่าไอ้เด็กโข่งมันจะวิ่งหนีกลับอุทยานอะไรนั่นไปแล้ววะ
“เด็กคนนั้นชื่อเซฮุน ถึงสมองจำอะไรไม่ได้ก็ควรยัดเรื่องใหม่ ๆ เข้าไปบ้าง ไม่ใช่เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องลามก”
“อื้อหือ...” เหมือนถูกมือล่องหนตบหน้า ขนาดอยู่ตรงนั้นยัยนี่ยังรู้อีกเหรอว่าเขาแอบทำอะไรอยู่ข้างหลังรถบ้าน “แล้วซูยอนล่ะ?”
“ห่างกันสักห้านาทีก็ได้มั้ง” จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ไม่ว่าจะพูดอะไรผู้หญิงคนนี้ก็ดักทางไปหมด
แต่เพียงแค่อึดใจเดียวคนที่ถามถึงเมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่อยู่ในมือ จงอินมองอีกฝ่ายแล้วก็พอจะเดาออกว่าเด็กนั่นไปล้างหน้าเอาคราบเลือดออก
“สรุปจะอยู่ที่นี่ว่างั้น?”
“ครับ” เซฮุนเดินไปหยุดอยู่ข้างรถบ้านแล้วผึ่งผ้าขนหนูที่ควอนยูริให้ยืมเอาไว้ก่อนจะหันกลับมา “ผมจะออกไปหาเสบียง”
“...”
“...”
ทั้งสองคนมองหน้าเด็กหนุ่มเป็นตาเดียวกัน เซฮุนเดินไปหาหญิงสาวที่กำลังลับมีดอยู่ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ
“ผมขอยืมอาวุธหน่อยได้ไหมครับ พอดีว่ามีดผมตกระหว่างทาง” ได้ยินอย่างนั้นยูริก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วพิจารณาว่าควรจะให้ยืมดีไหม เพราะสภาพเด็กคนนี้ดูแล้วไม่น่าจะเอาตัวรอดเก่งพอที่จะออกไปหาเสบียงตัวคนเดียวได้
“เอาสิ” เธอยื่นด้ามสปาต้าให้แล้วหันส่วนคมเข้าหาตัว เซฮุนรับมาถือไว้แล้วหันไปมองจงอินอีกรอบ แน่นอนว่ามันทำให้ร่างหนารู้สึกอึดอัดที่เด็กนั่นเอาแต่มองเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
“ผมจะรีบกลับมา”
“ระวังตัวด้วยล่ะ” หญิงสาวพูดส่ง ๆ ไปแต่มันก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ดีกับการที่เขาจะอยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัย “เป็นเด็กอายุแค่นี้ยังมีความคิดออกไปหาเสบียงมาเผื่อคนอื่น”
“...” จงอินถอนหายใจ ไอ้ครั้นจะโดนว่าโดนประชดเขาก็ไม่ได้ซีเรียสมากมายหรอกนะ แต่ถ้ามันถี่เกินไปก็ทำให้เขาหงุดหงิดได้เหมือนกัน
“ลูกผู้ชายก็ต้องอย่างนี้แหละ รีบไปรีบกลับมาล่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะปรายตามองไปยังใครอีกคนที่ยืนหัวเสียอยู่ตรงนั้น
เพียงแค่อึดใจเดียว คิมจงอินก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง ทั้งคู่สบตากันก่อนที่เขาจะก้มลงมองหญิงสาวที่ปั้นหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่ทำได้เพียงแค่นั่ง ๆ นอน ๆ หรอกนะ เพราะก่อนหน้านี้ชายหนุ่มก็อาการสาหัสกว่าจะลุกมาเดินเหินได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่พอกลับมาใช้ชีวิตแล้วมันก็เป็นเรื่องยากเพราะโลกนี้ไม่ได้มีแต่มนุษย์นี่แหละ
งั้นเดี๋ยวจะทำให้เห็นเองว่าเขาทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
“ฉันจะไปกับหมอนี่เอง”
“ว้าว ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย...” ยูริแค่นหัวเราะ ขนาดเมื่อกี้ออกไปหาเสบียงยังไม่ได้อะไรติดตัวมาเลยสักอย่างเดียว
“...” เซฮุนไม่ได้ห้าม กลับกันแล้วเขาก็อยากให้คนตรงหน้าไปด้วยกัน เพราะการออกไปหาเสบียงแต่ละครั้งมันอาจจะทำให้จงอินจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง...สักนิดก็ยังดี
“ไหนล่ะอาวุธ” ชายหนุ่มมองซ้ายขวา เขารู้ว่าตอนนี้จงอินกำลังหงุดหงิดเพราะถูกยั่วโมโห แต่ควอนยูริกลับทำหูทวนลม
“คุณยูริมีกล่องอุปกรณ์ซ่อมรถไหมครับ”
“หืม?” เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ถามทำไม?”
“ผมขอยืมไขควงหน่อย”
ทันทีที่ขับเข้ามาถึงอุทยานลู่หานก็ลงจากรถ เบื้องหน้ามีปาร์คกาฮีกับจางอี้ชิงที่นั่งอ่านหนังสือกันอยู่หน้ากองไฟพร้อมกับเหล่าเด็ก ๆ อายุสิบแปด ส่วนคนอื่น ๆ ไปอยู่ไหนมันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะอยากรู้ บุรุษพยาบาลหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวแปลก ๆ
ถึงเขาจะไม่ใช่คนความจำดีขนาดนั้นแต่ก็พอรู้ว่าชุดที่ลู่หานใส่อยู่มันไม่ใช่ชุดเดียวกับตอนก่อนออกไป ชายหนุ่มหันไปทางรถที่เพิ่งจอดเมื่อครู่นี้ เขาก็จำไม่ผิดอีกนั่นแหละว่าเห็นโอเซฮุนออกไปพร้อม ๆ กัน
“เซฮุนล่ะคะ?”
“...”
สองขาหยุดยืนอยู่กับที่เหมือนกับคนร้ายที่ถูกจับกุมได้และรอบข้างรายล้อมไปด้วยตำรวจทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก คนแรกที่เห็นคืออี้ฟานกับชานยอล ในมือแกร่งนั้นมีสมุดเล่มหนึ่งกับปากกา คาดว่าสองคนนั้นคงวางแผนอะไรสักอย่างซึ่งคงไม่รู้ถ้าไม่เข้าไปขอดู
แต่ประเด็นตอนนี้อยู่ที่ตัวเขา คำถามของปาร์คกาฮีเมื่อครู่นี้เป็นเหมือนเสียงปืนที่เรียกให้ทุกคนออกมาหน้าบ้าน ลู่หานไม่ได้ตอบคำถาม สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่กับชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองที่กำลังมองหาเซฮุนอยู่
“ลู่หาน”
“...”
“เซฮุนอยู่ไหน?”
“...”
ลู่หานไม่กล้าตอบคำถาม เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวต่อการถูกกดดัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขามักจะตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกครั้งลู่หานเชื่อว่าตัวเองไม่ผิด เขามีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นถึงคนรอบข้างจะไม่เห็นด้วย แต่คราวนี้ไม่...
เขาน่ะผิดเต็ม ๆ เลย...
“คือ”
“...”
“ฉันขับไปถึงหน้าหมู่บ้านแล้วน้ำมันก็หมด ก็เลยคิดว่าจะหาเสบียงในหมู่บ้านก่อนแล้วค่อยถ่ายเอาน้ำมันจากรถที่จอดอยู่แถว ๆ นั้น แต่ว่า...” ลู่หานเม้มริมฝีปาก เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้คนพวกนี้เข้าใจได้ “เราเจอพวกกินคน พวกมันแห่เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันเลยให้เซฮุนไปถ่ายเอาน้ำมัน ส่วนฉันก็พยายามต้านมันเอาไว้”
“...”
“แต่พวกกินคนทำสัญญาณกันขโมยดัง”
“...”
“ฉันบอกให้เซฮุนหนีไปก่อน แล้วเราเลยคลาดกันตั้งแต่ตอนนั้น”
“มึงให้เซฮุนหนีไปคนเดียวได้ไงวะ ก็เห็นอยู่ว่าสภาพหมอนั่นไม่ได้พร้อมที่จะวิ่งหนีตาย?” เสียงของหวงจื่อเทาเหมือนกับค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางหัว ลู่หานกำหมัดแน่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องนั้น เพราะนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเป็นกังวล
“ใจเย็นก่อน” ชานยอลปรามเด็กหนุ่มที่กำลังมองคาดโทษคนตรงหน้า
“แล้วมึงก็ทิ้งเซฮุนไว้ที่นั่นแล้วหนีกลับมาคนเดียวเนี่ยนะ?” เด็กตัวสูงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง ลู่หานเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เขาเริ่มจะทนไม่ไหวที่ไอ้เด็กเวรนี่เอาแต่พาลเขาอยู่ได้
“มึงคิดว่าคนอย่างกูจะทำแบบที่มึงว่าเหรอไอ้ลูกหมา กูก็ต้องตามหาเซฮุนอยู่แล้ว แต่มันไม่เจอไงสัด กูหามันไม่เจอ!” อี้ฟานเข้ามายืนคั่นกลางเอาไว้เมื่อลู่หานทำท่าจะเดินเข้าหาอีกฝ่าย พอเห็นแบบนั้นเทาเลยเดินลงมาจากบ้านก่อนจะหยุดอยู่กับขั้นบันไดเมื่อถูกชานยอลคว้าไหล่เอาไว้
“ทำไม่ทำก็เห็น ๆ กันอยู่ เป็นไงล่ะห่า อยู่ดีไม่ว่าดีออกไปรนหาที่ตาย ถ้ามึงอยู่เฉย ๆ เซฮุนจะออกไปกับมึงไหม”
“อ้าว พูดแบบนี้มึงลงมาต่อยกับกูเลยดีกว่าสัด พูดอย่างกับกูเป็นคนชวนมันไปตาย!” ลู่หานชี้หน้า ตอนนี้ทุกคนต่างยืนมองภาพชายหนุ่มที่กำลังจะเข้าไปต่อยกันแต่ได้อี้ฟานกับชานยอลเข้ามาขวางเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะเข้าไปยุ่งด้วย
“ใจเย็นกันก่อนเถอะ เวลาแบบนี้ทะเลาะกันแล้วมันได้อะไรขึ้นมา?” ไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะเห็นอี้ฟานขึ้นเสียงแบบนี้ “คุณไม่เห็นเขาใช่ไหมลู่หาน?” คำถามของอีกฝ่ายเจ้าตัวเข้าใจดีว่า ‘เห็น’ นั้นคืออะไร
“ไม่ ฉันไม่เห็น”
“ตราบใดที่ยังไม่เห็นเซฮุน เราก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาตายแล้ว” อี้ฟานพูดให้ทุกคนได้ยินก่อนจะกลับมามองหน้าลู่หานอีกครั้ง “หมู่บ้านที่คุณไปมันกว้างมากแค่ไหน?”
“ไม่กว้างมาก แต่ก็วิ่งเหนื่อยพอสมควร”
“ดี งั้นเราจะกลับไปตามหาเขา” อี้ฟานตบบ่าอีกฝ่ายและดูเหมือนว่าลู่หานจะเห็นด้วยเป็นอย่างมาก “คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเดินออกจากตรงนั้น เขาต้องรีบเปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็เตรียมอาวุธเพื่อไปสู้กับพวกกินคนแล้วตามหาเซฮุน
“ชีวิตนี้ไม่ต้องทำห่าอะไรแล้วล่ะ คนนึงหาย อีกคนก็ออกไปตาม แล้วก็มีคนตาย เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” เสียงของหวงจื่อเทาทำเอาคนที่กำลังจะเดินกลับไปบ้านหลังที่สองหมดความอดทน ลู่หานหันหลังกลับมาสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับขบกรามแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์
“เออ คราวหน้าถ้ากูหายตัวไปช่วยกลับมาบอกทุกคนด้วยนะว่ากูมีความสุขมากแล้วก็ไม่ต้องออกตามหากู”
“ได้ แล้วกูจะจำคำพูดมึงไว้” เทามองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง ถึงคนอื่นจะไม่พูด ไม่โต้แย้งว่าเขาผิดที่กำลังเถียงกับคนอายุมากกว่า แต่เขาก็รู้ว่าสายตาทุกคนในตอนนี้นั้นเขาเป็นเหมือนเด็กที่กำลังพาลทุกอย่างโดยไม่ยอมฟัง ซึ่งเขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้
“ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้หรอก คุณควรใจเย็นหน่อย” ชานยอลพูดกับเด็กตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แน่นอนว่าคำพูดของเขาสามารถปรามเทาเอาไว้ได้ชั่วเวลาหนึ่ง
“ไอ้ห่าเทา” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น ลู่หานกำลังมองมาทางนี้พร้อมกับสีหน้าชวนหาเรื่อง “จำไว้นะ ว่าถ้ามึงหายตัวไปกูจะเป็นคนแรกที่ดีใจกับเรื่องนี้”
“...”
ทุกคนมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินไปบ้านหลังที่สอง ประตูถูกปิดเสียงดังก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของคนที่อยู่ข้างนอก เทาเบี่ยงตัวหลบมือแกร่งที่วางอยู่บนไหล่เขาแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่มีใครรั้งเอาไว้
ชานยอลมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ข้างล่าง ถึงอี้ฟานจะเก็บอาการได้ดีสักแค่ไหนแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากทุก ๆ เรื่องที่อีกฝ่ายแบกรับเอาไว้ผ่านทางสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่าตอนนี้แผนการออกหาเสบียงในครั้งต่อไปที่อยู่ในสมุดเล่มนั้นจะถูกล้มเลิกและแทนด้วยการออกไปตามหาเซฮุน
“พวกคุณจะออกไปตอนนี้เลยเหรอคะ?” กาฮีกับอี้ชิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอี้ฟาน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะฟ้ามืดแล้วแน่นอนว่าการออกไปเสี่ยงตอนกลางคืนมันไม่ใช่วิธีที่เข้าท่านัก
“ถ้าเซฮุนยังอยู่ในหมู่บ้าน มันคงไม่ยากที่จะหาที่อบอุ่น แต่ถ้าไม่...” อี้ฟานเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “เพราะฉะนั้นมันคือเหตุผลที่ผมควรต้องรีบไปช่วยเขา”
“ผมจะไปเตรียมอาวุธให้” แบคฮยอนว่าแล้วซูโฮก็เดินตามไปช่วยรุ่นพี่อีกแรง
“ถ้ามีกฎสำหรับที่นี่ก็อาจจะดีนะ ส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ชอบการบังคับนักหรอก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ผมคิดว่าทุกคนไม่ควรทำตามใจตัวเองถ้าผลลัพธ์ที่ตามมามันจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ซีวอนพูด เขายืนกอดอกมองชายหญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแล้วก็พูดต่อ “ถึงจะเป็นวิธีที่ไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่กับการที่ต้องบังคับให้คนอื่นทำตาม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาปลอดภัย แล้วคนที่เหลือก็จะสบายใจไปด้วย”
“อย่างเช่นอะไรล่ะ กฎที่ว่าของคุณ” จงแดถาม
“ถ้าไม่ใช่คนที่ออกไปหาเสบียงเป็นประจำอย่างพวกคุณ เด็กพวกนั้นก็ควรได้รับคำอนุมัติก่อนออกไปไหนมาไหน” ซีวอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่บ่อยนักที่ทุกคนจะเห็นเขาในรูปแบบนี้ “ที่หวงจื่อเทาพูดก็ไม่ผิด แต่เด็กคนนั้นเลือกใช้คำไม่ถูกทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาแค่ต้องการสื่อว่าทุกคนที่นี่ไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้กันและกันโดยการทำตามใจตัวเอง เพราะพวกคุณเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วกับการตามหาคนที่หายไปและทุกครั้งก็จบด้วยการเลือดตกยางออก ไม่ว่าจะเป็นคุณ...หรือคุณ”
ซีวอนมองไปยังอี้ฟานกับชานยอล และทั้งคู่ก็ไม่ได้แย้งขึ้นมาว่ามันไม่เป็นความจริงที่ร่างสูงพูดก็ถูกต้องแล้วเพราะอี้ฟานเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเองกับปาก
“แล้วถ้าไม่เจอเซฮุน – พวกคุณ – จะทำยังไง?” อี้ชิงถามขึ้นมา และมันเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังเป็นกังวลอยู่แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่พูดถึงเพราะไม่อยากตัดกำลังใจตัวเอง “ถ้าเกิดว่า – พวกคุณไปที่นั่น – แล้วมีใครสักคน – หาย – ไปอีก?”
“จะไม่มีใครหายไป”
ทุกคนหันไปทางชานยอลที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ อี้ฟาน ในเมื่อมีการตกลงแล้วว่าจะเอายังไง อีกทั้งลู่หานก็กำลังวิ่งออกมาจากบ้านหลังที่สองเพราะฉะนั้นคงไม่จำเป็นที่จะต้องรออะไรอีก
“ไปกันเถอะอี้ฟาน งานนี้เราต้องลุยกันสามคน”
“ตอนนั้นกูได้ยินเสียงปืน”
หลังจากเงียบมาตลอดทั้งทางจงอินก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เซฮุนหันกลับไปมองคนที่เดินตามอยู่ข้างหลังก่อนจะกลับมาสนใจทางเดินเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยหิมะ
“ลู่หานเป็นคนยิงน่ะครับ”
“ไอ้คนที่มึงบอกว่าเป็นเพื่อนกูน่ะนะ?” สิ้นสุดคำถามเซฮุนก็พยักหน้าพร้อมกับขานตอบในลำคอ
“แต่เราคงกลับไปหาเสบียงที่นั่นไม่ได้แล้ว พวกมันมีเยอะมากเกินไป มันคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องปีนรั้วข้ามมา”
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ” จงอินถอนหายใจ ถ้าเกิดเขาไปเร็วกว่านี้นิดนึงเชื่อว่าคงได้วิ่งหนีหางจุกตูดแน่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้เขาเดินมาขนาบข้างร่างบางตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ตอนแรกคุณจะเข้าไปในนั้นเหรอครับ?”
“ใช่ ยัยโหดนั่นบอกว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ ๆ ฉันก็เลยต้องไป”
“โชคดีแล้วที่คุณไม่ได้เข้าไปหาเสบียงที่นั่น” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ
“พูดก็พูดเถอะ กูรู้สึกไม่สบายใจว่ะ”
“ที่ผมอยู่ที่นี่เหรอครับ” เซฮุนหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย เขามองเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าของจงอินเท่านั้น
“เปล่า คือ...ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหันมามองเด็กตัวสูงเป็นระยะ “กูไม่สบายใจที่จำอะไรไม่ได้เลย เออ อันนี้เป็นมาทั้งเดือนแล้ว แต่อีกเรื่องคือความรู้สึกอึดอัด ที่มันทำให้กูรู้สึกว่าตัวเองเหี้ยนี่มันคืออะไร?”
“คุณอยากเล่าไหม?”
“...”
“ผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะ เมื่อก่อนเราชอบผลัดกันระบายเรื่องที่ไม่สบายใจ” ชายหนุ่มหันหน้าเข้าหาร่างบางอีกครั้ง แน่นอนว่าเด็กคนนี้กำลังทำให้เขารู้สึกไปในทางบวกตั้งแต่สองนาทีที่แล้ว
“ที่มึงถามว่าจำไม่ได้เหรอว่าก่อนหน้านี้กูเคยรักใครน่ะ”
“...”
เซฮุนหยุดยืนกับที่และมันทำให้อีกคนหยุดเดินด้วย จงอินหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังราวกับว่าเรื่องที่เขากำลังจะพูดมันเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจฟัง
“ผมฟังอยู่ครับ”
“อืม” จงอินหลุบตาลงแล้วเรียบเรียงคำพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าร่างบางอีกครั้ง “มึงหมายความว่ากูมีคนรักอยู่แล้วเหรอวะ?”
“...”
“...”
เกือบสิบวินาทีเห็นจะได้ที่เซฮุนเงียบไปหลังจากได้ยินคำถาม จงอินได้แต่ภาวนาว่าขอให้คนตรงหน้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรู้สึกแย่กับตัวเองมากไปกว่านี้
“ถ้าผมตอบว่าใช่...คุณจะเชื่อไหม” คำถามของเซฮุนนั้นแผ่วเบา เด็กหนุ่มกลัวเหลือเกินกับคำตอบของคนตรงหน้า จงอินก็ใช้เวลาคิดอยู่เกือบนาที ซึ่งเขาก็พอจะรู้ว่าคำตอบมันจะมาในทางไหนแต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังรอ
“อืม...นี่คือเหตุผลนึงที่กูไม่อยากกลับไปที่นั่น”
“...”
“ถ้าเรื่องที่มึงพูดเป็นความจริง กูก็ไม่อยากกลับไปแล้ว”
“...”
“กูจำคนที่กูรักไม่ได้ ถ้าเจอเขาอีกครั้งกูคงแสดงออกว่ารักเขาไม่ลงเหมือนกัน”
“...”
“ในหัวของกู” จงอินเคาะขมับตัวเองขณะมองหน้าอีกฝ่าย “ไม่มีเรื่องราวของคน ๆ นั้นอยู่เลยสักนิดเดียว...”
มันเป็นเรื่องยากถ้าหากว่าเขาจะกลับไปอุทยานที่ว่านั้นกับเด็กคนนี้เพื่อไปเจอคนรักโดยที่เขายังจำหน้าเธอไม่ได้เลย ไม่มีแม้แต่เรื่องราวของผู้หญิงที่ไหนนอกจากสองคนนั้นที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเจอ
“คุณแค่จำไม่ได้...” เสียงของเซฮุนเบาลงอย่างน่าประหลาด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำหน้าเหมือนคนกำลังเจ็บปวดราวกับว่าเป็นเรื่องของตัวเอง “แต่สักวันหนึ่งคุณก็ต้องจำได้...”
“...”
“ถ้าคุณเจอเขา ใช้เวลาอยู่กับเขา มันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอครับที่จะไม่นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น” เด็กหนุ่มยังคงไม่ลดละความพยายาม และจงอินก็ไม่ได้ตอกกลับมาด้วยคำพูดแรง ๆ อย่างที่เคยเป็นเมื่อชั่วโมงก่อนหน้านี้
“ถ้ามันเป็นอย่างที่มึงพูดจริง ๆ งั้นกูขอก็อยู่ที่นี่ดีกว่า”
“...”
“กูไม่อยากรู้สึกแบบนั้นกับคนสองคนพร้อมกัน”
“...”
ร่างบางยืนนิ่ง คำพูดของจงอินมันดูธรรมดาแล้วก็ไม่ได้พูดเพราะรู้ว่าคน ๆ นั้นคือเขา ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ กับประโยคนี้ มันคือการอธิบายให้ฟังถึงสถานะที่เป็นอยู่ แต่คงมีแค่โอเซฮุนคนเดียวที่รู้สึกเจ็บไปทั้งใจ
“คุณชอบคุณซูยอนใช่ไหมครับ”
“...”
“จงอิน...”
ผมคือคน ๆ นั้น...ผมคือโอเซฮุนของคุณไงครับจงอิน...
“ทำไมมึงต้องทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ด้วยวะเด็กโข่ง”
“...” เด็กหนุ่มหลุบตาลง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาก็ตอนที่ถูกทัก เซฮุนหลังไปเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้คนตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร
“ผมชื่อเซฮุน...โอเซฮุนครับ”
“เออ รู้แล้ว”
“ครับ งั้นต่อไปนี้ช่วยเรียกชื่อผมได้ไหม” ยิ่งมองหน้าก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ จงอินกำลังไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว ไหนจะปลายจมูกที่ขึ้นริ้วแดงนั่น ถ้าจะอ้างว่าเพราะความหนาวเย็นมันก็ไม่น่าจะแดงไปถึงตาทั้งสองข้างแบบนั้น “เผื่อว่าจะช่วยให้คุณจำผมได้น่ะ...”
“...” จงอินไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่พยักหน้าส่ง ๆ แล้วเดินต่อไป เซฮุนได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นที่เคยกอดจากข้างหลัง แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่การยืนมองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
“ไม่ยักรู้ว่าจะมีบ้านคนอยู่ตรงนี้ด้วย”
“ก่อนอื่นคุณต้องดูให้ดีก่อนว่ารอบข้างมีพวกมันอยู่ไหม ข้อสำคัญคือห้ามเสียงดังเด็ดขาด เพราะพวกกินคนจะมาตามเสียงที่ได้ยินครับ”
จงอินหันไปฟังอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า ตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งที่อยู่ในป่า ร่างหนาก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกอีกคนจับเอาไว้ก่อนจะรู้สึกได้ถึงความเย็นของโลหะ มันคือไขควงที่เซฮุนขอยืมควอนยูริก่อนออกมา
“ตั้งสติ แล้วแทงเข้าที่หัว” ทั้งคู่สบตากันก่อนที่เซฮุนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ทันทีที่เห็นว่าจงอินกำลังมองสปาต้าในมือของเขากับไขควงในมือตัวเอง
“มันคืออาวุธที่คุณเคยถนัดที่สุดเลยนะ ไอ้นี่เทอะทะไปให้ผมถือดีกว่าครับ” เซฮุนว่าแล้วเดินไปข้างหน้าแต่ก็ถูกร่างหนาคว้าแขนเอาไว้ให้หันมามองหน้ากัน
“เมื่อกี้”
“...”
“จู่ ๆ ก็เห็นภาพ...” ร่างบางเบิกตากว้างแล้วหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“คุณเห็นอะไรครับ?”
“มันไม่ชัด...เห็นแค่ไฟไหม้”
“...”
“...”
“ไม่เป็นไร ค่อย ๆ คิดนะ” เซฮุนกำลังยิ้ม และนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้ยิ้มอย่างจริงใจที่สุด
ใช่แล้วล่ะ เซฮุนกำลังยิ้มอย่างมีความหวัง เขาไม่รู้ว่าไฟที่จงอินมองเห็นมันคือเหตุการณ์ครั้งไหนแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เด็กหนุ่มก้าวขาไปข้างหน้าแต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้อีก พอหันกลับไปก็พบว่าจงอินกำลังก้มหน้าอยู่
“ก่อนหน้านี้กูเคยเห็นท่าเรือ”
“...”
“ประภาคาร”
“...”
“กับประตูห้องที่กำลังเดินผ่าน...มีตัวเลขกำกับว่า 3002 กับ 3004”
โมเทล...
“นั่นคือสิ่งที่กูคิดออก”
“แล้วนึกถึงหน้าคนไม่ออกเลยเหรอครับ?”
“เคยนึกออกแต่มันก็ปวดหัวทุกที” สีหน้าของจงอินดูอึดอัด ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึก ๆ เซฮุนเลยประคองให้นั่งลงกับขอนไม้ เขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนวดขมับกับอาการปวดหัวที่แล่นปราดเข้ามาอีกแล้ว
“อย่ากดดันตัวเองนะครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” ร่างหนาละมือออกก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มขณะมองเขาอยู่เช่นกัน
“ก่อนหน้านี้กูกับมึงเป็นอะไรกันวะ”
“...”
‘ผมคือคนที่คุณรัก’
เซฮุนไม่ได้ตอบคำถามทันที เขากังวลว่าจะต้องตอบยังไงกับคำถามที่ชวนให้เขาต้องพูดโกหกเพื่อแลกมากับความสบายใจของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากเบา ๆ แล้วยิ้มให้
“คุณเคยช่วยผมไว้ เราหนีมาด้วยกันตั้งแต่ตอนเกิดเรื่อง”
“อ้อ...” จงอินพยักหน้า “แล้วกูคนก่อนหน้านี้เป็นคนยังไง?”
ทั้งคู่จ้องหน้ากัน อีกคนกำลังรอคำตอบ อีกคนกำลังคิดว่าควรจะอธิบายยังไงจงอินถึงจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เพราะแน่นอนว่าถ้าเกิดพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจงอิน ผู้ชายคนนี้คงไม่เชื่อแล้วตะเพิดเขาไปไกล ๆ แน่
“ก่อนอื่นเลย คุณไม่เรียกผมว่ามึง”
“...”
“เซฮุน...โอเซฮุน...คุณชอบเรียกผมแบบนี้”
“...”
“นายน่ะชอบทำให้ฉันโมโหอยู่เรื่อย...” เซฮุนสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับกดเสียงต่ำให้เหมือนกับเจ้าของคำพูด
‘ผมหลับแล้ว’
“โอเซฮุน”
‘หลับอยู่’
“หลับแล้วลิงที่ไหนตอบ หันหน้ามานี่”
จงอินนั่งมองอีกคนที่กำลังอมยิ้มขณะเล่าถึงตัวตนของเขาเมื่อก่อน ร่างหนาไม่เข้าใจอีกแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้อยากฟังต่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างเดียว
“เดี๋ยวไปเอาข้าวกับยามาให้ อย่าเพิ่งหลับนะ”
‘อะไรนะครับ?’
“อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ” เซฮุนหลุดขำออกมากับการที่เขากำลังพยายามทำเสียงให้ห้วน ๆ จงอินในวันนั้น วันที่เขาไม่สบายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ดุเขา
‘ฉันจะพูดให้ฟังอีกครั้งแล้วนายก็ไม่ต้องจำมัน เพราะฉันจะตอบทุกครั้งถ้านายจำมันไม่ได้’
แย่จัง...
“เซฮุน”
“...” เจ้าของชื่อหันไปมองคนข้าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา จงอินยังคงไม่ละสายตาออกจากเขาราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“โอเซฮุน”
“...”
“แบบนี้ใช่ไหม?”
“...” เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นแล้วพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มออกมา ร่างหนาเกาท้ายทอย เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกแปลก ๆ กับการที่ต้องปรับตัวเข้าหาร่างบางทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว
ทำไมถึงได้รู้สึกต่างกันกับเมื่อชั่วโมงที่แล้ว?
ไอ้ความรู้สึกที่ว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจมันมาได้ยังไงกัน?
“ขอโทษแล้วกันที่ก่อนหน้านี้เคยพูดไม่ดีด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนแรกที่รู้จักกันคุณก็ไม่ได้ทำดีกับผมนักหรอก” เซฮุนหัวเราะ
“ทำไม ฉันเคยต่อยหน้านายหรือไง?”
“แค่เกือบ ๆ น่ะครับ...” เด็กหนุ่มมือป้องปากข้างหนึ่งแล้วพูดเบา ๆ
“แสดงว่าก่อนหน้านี้นายคงเป็นคนที่กวนส้นตีนมาก”
“คุณก็ไม่แพ้กันหรอก”
“นั่นไง วอนแล้ว ๆ” จงอินเลิกคิ้วมองหาเรื่องแต่คนข้าง ๆ กลับเอาแต่หัวเราะ เซฮุนมองไขควงในมือหนาทั้งที่ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น
“เมื่อก่อนคุณเป็นผู้นำ ตัวกินคนตัวเดียวคุณสามารถจัดการมันได้ง่าย ๆ เลยนะ”
“แต่ตอนนี้ไม่แล้วไง ก็เห็นอยู่ว่าฉันเกือบโดนมันกัด”
“ขอโทษครับ ตอนนั้นผมไม่คิดว่าคุณจะลืมวิธีสู้กับมัน” เซฮุนพูดอย่างรู้สึกผิดแต่จงอินก็พยักหน้าส่ง ๆ เป็นเชิงว่าช่างมันเถอะ “แต่ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมจะสอนคุณเอง”
“แล้วถ้าฉันพลาดถูกกัดล่ะ?”
“ผมจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่ ๆ” ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จงอินมองมือเรียวที่ยื่นลงมาหาเขาก่อนจะเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ยังคงยิ้มอยู่ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมือนั้นไว้แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“นายพูดเหมือนว่าก่อนหน้านี้ฉันเก่งมาก”
“ผมจะไม่ชมคุณนะครับ ไม่อยากให้อิจฉาตัวเองคนเก่า”
“โถ น่าอิจฉาเหลือเกิน” ชายหนุ่มว่าแล้วมองตามแผ่นหลังร่างบางที่เดินนำไปข้างหน้า “นี่”
“ครับ?”
“ทำไมถึงทำขนาดนี้ทั้งที่มึง...ไม่สิ...ทั้ง ๆ ที่นายจะกลับไปโดยที่ไม่มีฉันก็ได้”
“...”
“บอกคนอื่นว่าฉันตายแล้วหรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเทือก ๆ นั้นน่ะ” จงอินขมวดคิ้วพร้อมกับหมุนข้อมือทำท่าประกอบในการอธิบายหากแต่อีกฝ่ายกลับมองเขาด้วยแววตาจริงจัง
“เพราะผมเคยสัญญากับคุณไว้ครับ”
“...”
“ว่าผมจะไม่ไปไหน”
“...”
พูดไม่ออกอีกแล้ว ทำไมไอ้เด็กคนนี้ชอบพูดอะไรแปลก ๆ ให้เขาต้องอึ้งด้วยวะ นี่มันคือวิธีพูดคุยกันของผู้ชายหรือไง หรือเขาคิดมากไปเอง?
“ผมจะเปิดประตูแล้วนะ ถ้าเกิดมีตัวอะไรโผล่มาอย่าลนลาน เข้าใจไหมครับ?” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับจับลูกบิดเอาไว้แล้วร่างหนาก็พยักหน้ารับ “งั้นผมขอบอกกฎให้คุณฟังก่อน”
“กฎ?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจแล้วเซฮุนก็ยิ้มให้กับเขา
“ครับ กฎเหล็กข้อแรกคือห้ามตาย”
“...”
“กฎข้อที่สองคือต้องมีสติ อย่าลนลาน”
“...”
“ส่วนกฎข้อที่สาม...” จงอินในตอนนี้ก็เหมือนเขาในตอนนั้นไม่มีผิด วันนั้นที่ทุกคนเข้าไปช่วยอี้ฟานในผับ แววตาคู่นั้นฉายแววสงสัยแต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้ ตอนนี้จงอินก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
‘นายต้องกลับมาหาฉัน’
“คุณต้องกลับมาหาผม”
“...”
“เคารพกฎด้วยนะครับ” เซฮุนยิ้มบาง ๆ แล้วหมุนลูกบิดออก ข้างในมืดสนิท เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยจนกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่าง...
“ฮือออ...”
“ชิบหายแล้ว มีพวกมันอยู่ข้างใน...” จงอินกำไขควงไว้มั่นในขณะที่เซฮุนเอื้อมไปเอาไฟฉายที่เหน็บอยู่ข้างหลังออกมาเปิดเพื่อส่องไปยังตัวบ้านแล้วก็พบผีดิบวัยชราตัวหนึ่งที่คลานอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มหันไปมองอีกฝ่ายอย่างรู้กันหากแต่จงอินกลับส่ายหน้า
“คุณได้เปรียบมัน” ร่างบางยังคงส่องไฟฉายใส่หน้าตัวกินคนที่ผิวหนังซูบตอบติดกระดูก มันกำลังคลานมาอย่างเชื่องช้าในขณะที่จงอินยังคงลังเลกับการเข้าไปฆ่ามัน “ถ้ามันลุกขึ้นเดินได้ คุณคงถูกกัดไปแล้ว”
“เออรู้แล้ว” จงอินขมวดคิ้ว เขาเห็นว่ามือนั้นกำลังสั่นตอนที่ก้าวขาไปใกล้ ๆ
“ตรงหัวมันนะครับ คุณต้องออกแรงหน่อยไม่งั้นไขควงจะแทงไม่เข้า”
“ครับคุณครู” เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ กับประโยคประชดประชันของคนตรงหน้า สุดท้ายแล้วจงอินก็แทงไขควงลงไปกลางหัวมันแล้วผละตัวออกมา
“ทำดีแล้วครับ”
“โว้ว...รู้สึกเหมือนฆ่าคนเลย”
“รู้สึกผิดเหรอ?”
“ไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ฉันฆ่าพวกมันเยอะแค่ไหนวะ?”
“นับไม่ถ้วน แต่ถ้าพูดแบบปลอบใจตัวเองหน่อยก็คิดไปเถอะครับว่าพวกเขาไม่ใช่คนแล้ว”
เด็กหนุ่มว่าแล้วเดินไปเปิดผ้าม่านออกเพื่อให้แสงสว่างส่องเข้ามา จงอินมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทุกย่างก้าวแล้วก้มลงดึงไขควงออกก่อนจะมองมันอย่างสงสัยว่าไอ้นี่น่ะเหรอที่เขาเคยใช้มันจนชิน
“เมื่อก่อนคุณเป็นช่างซ่อมรถ”
“ฟังดูไม่ค่อยมีอนาคตเท่าไหร่”
“แต่มันก็ทำให้คุณรอดมาถึงตอนนี้ได้นะ” เซฮุนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคน
“ตามนั้น” ร่างหนายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ถึงจะฆ่ามันตายแล้วแต่คุณจะวางใจเลยไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่ายังมีตัวอะไรอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า”
“ฉลาดนี่ งั้นเดินนำเลย” จงอินผายมือแล้วเซฮุนก็ทำตามอย่างว่าง่าย ร่างหนากวาดสายตามองไปรอบข้าง มีทั้งกรอบรูป นาฬิกาติดผนัง ไปจนถึงตู้ปลาเน่าซึ่งเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ แน่นอนว่ามันคือความแปลกใหม่ที่เขาก็ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจนัก เพราะก่อนเสียความทรงจำเขาก็คงเห็นพวกมันผ่านตามาเหมือนกัน
“จงอินครับ”
“หืม?” พอเห็นว่าร่างบางเดินเข้าไปลึกแล้วเขาถึงได้รู้สึกตัว แต่ยังไม่ทันก้าวขาก็ต้องล้มเลิกความคิดเมื่อเซฮุนเป็นฝ่ายเดินกลับมาหาเขาเอง เอาสิ คราวนี้จะบ่นว่าเขาใจลอยหรืออะไรอีกล่ะ?
“อย่าอยู่ไกลเกินกว่าระยะสายตาผมจะมองเห็นคุณได้...เข้าใจไหมครับ”
“...”
‘พวกมันขึ้นไปไม่ถึงชั้นสี่หรอก นายน่ะ...อย่าอยู่ห่างจากฉันเกินหนึ่งช่วงแขน ได้ยินที่พูดนะ?’
จงอินยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อประโยคนี้ลอยเข้ามาในหัวซึ่งเสียงนั้นมันไม่ใช่ใครนอกจากตัวเขาเอง บรรยากาศรอบข้างขาวโพลนอีกทั้งยังมัวจนมองเห็นอะไรไม่ชัด มันเป็นภาพลาง ๆ ว่ามีคนมากมายกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนั้น...
มันคือโอเซฮุน
TBC
อย่าเกลียดจงอินเลยนะคะ นางจำไม่ได้ ก็ต้องอินกับสิ่งที่ตื่นมาเจออยู่แล้ว TT_TT ทนนางไปอีกหน่อยนะอย่าเพิ่งทิ้งกัน ทุกอย่างมีเหตุผล เราไม่ได้ดึงเรื่องความจำมาเล่นง่อย ๆ แน่นอนค่ะTT_TT
ปล. [เช็คสถานะแจ้งโอน] #ficzombie SEASON 2 ได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ http://bit.ly/UZwNXA
[เช็ครายชื่อคนสั่งซื้อเสื้อ] #ficzombie https://docs.google.com/spreadsheets/d/1BEPBzqYWGYoHlOYNDnWZbs-arAAf9GsKqpIie6KM_8w/edit#gid=835673579
ปล. ยังโอนค่าฟิคได้อยู่นะคะ หมดเขตโอนสิ้นเดือนกันยานี้แล้วนะ เหลือเวลาอีก 1 เดือนจ้า รายละเอียดตามนี้เลย http://t.co/0rr5IpfULe
ความคิดเห็น