คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #78 : Chapter 73 :: One Shot (Part 2)
Chapter 73
One Shot (Part 2)
พลั่ก!
“ลุกขึ้นมา!”
ทหารหนุ่มที่ยืนเฝ้ายามอยู่ละแวกนั้นหันไปตามเสียงแล้วก็พบกับชายคนหนึ่งล้มลงไปกองบนพื้นเพราะถูกถีบเข้าอย่างแรง จงอินยันตัวลุกขึ้นแล้วถอนหายใจ เขาไม่ได้อารมณ์สุนทรีย์มากพอที่จะหันไปมองหนังหน้าไอ้หอกหักเจ้าของฝ่าตีนที่ซัดเข้ากลางหลังเขา
นี่หรือที่มันบอกว่าต้องแกล้งแสดงละครให้สมบทบาท มีเตะต่อยบ้างแต่จะทำเบา ๆ นี่คือเบามือเบาตีนของมึงแล้วใช่ไหมครับห่าลาก กูล่ะอยากหันไปตบกะโหลกมึงสักดอกแต่กลัวจะเสียแผนเอา
“ต้องสั่งสอนกันหน่อย” หันไปหัวเราะพร้อมกับเหวี่ยงมือไปกลางอากาศโชว์นายทหารที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนจะเข้าไปตบหัวเพื่อนซี้ในคราบนักโทษ “ชักช้าชิบหาย กูบอกให้ลุกขึ้น”
“...สัดเอ้ย”
“นั่น นั่น มีบ่น กูบอกให้ลุก!!” ขึ้นเสียงซะด้วย จะถูกจับก็เพราะมึงแอคติ้งเกินจริงเนี่ยแหละ ถ้าเดินไปเฉย ๆ ไม่ต้องแสดงท่าทีอะไรก็จบแล้ว “เดี๋ยวพามันไปให้ลูกพี่กระทืบต่อ ปากดีไง บอกว่าตีนเดียวไม่พอ” ลู่หานหันไปตบบ่านายทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงนั้นก่อนจะผลักหลังจงอินให้เดินไปข้างหน้า
ตอนนี้แบคฮยอนกำลังเดินหลังตามทหารเพื่อตรงไปยังโรงนอนชายสำหรับการหาที่พักหลอก ๆ ในวันนี้ เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างประหม่า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาทำอะไรเกินความสามารถ ถึงในใจจะคอยย้ำบอกอยู่เสมอว่าอย่าคิดอย่างนั้น เพราะถ้าหากเขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดใหม่ จะไม่มีบยอนแบคฮยอนคนที่ท้อแท้ทั้งแต่ยังไม่เริ่มอีกต่อไป โดยเฉพาะเรื่องเพื่อนที่มีการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ใกล้ปลายจมูกแบบนี้
แบคฮยอนปิดเปลือกตาลงแล้วถอนหายใจเพื่อตั้งสติ เขาต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อไม่ให้คนพวกนี้จับพิรุธได้ ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อหันไปเห็นค้นที่คุ้นหน้าคุ้นตาถึงสองคน แม้ว่าคนหนึ่งจะแปลงโฉมเป็นชายในเครื่องแบบแล้วก็ตามทีเถอะ เพราะต่อให้ลู่หานจะมาในรูปแบบชุดประดาน้ำเขาก็จำท่าทางกร่าง ๆ แบบนั้นได้อยู่ดี
ทั้งคู่สบตากันก่อนที่จงอินจะหันมาเห็นน้องเล็ก สภาพทั้งสามในตอนนี้ไม่ต่างกันนัก พวกเขาต่างถลึงตามองกันและกันอย่างตกใจ สิ่งแรกที่แบคฮยอนรู้คือตอนนี้ลู่หานช่วยจงอินออกมาได้แล้ว และทางนี้ทหารก็มีเยอะพอสมควร ไหนจะพวกที่กำลังทยอยออกมาจากทางด้านขวานี่อีก แบคฮยอนกลอกตามองล่อกแล่กกลัวว่าพวกทหารจะหันไปเห็นเลยทำท่าปัดมือพร้อมกับขยับปากไล่ให้สองคนนั้นรีบหนีไปจากตรงนั้นซะ
“อ...โอ้ยย...”
“หือ”
“พี่...ช่วยผมด้วย โอ้ย...” แบคฮยอนกำเสื้อลายพรางหิมะของอีกคนเอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็กุมท้องตัวเอง เด็กหนุ่มปั้นหน้าเจ็บแล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงไป
“เป็นอะไรไปล่ะไอ้หนู”
“ผมปวดท้อง...ขอกินข้าวก่อนแล้วค่อยเข้าไปโรงนอนได้ไหมครับพี่”
“โรงนอนก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง อดทนอีกหน่อยไม่ได้หรือไง?” ทหารหนุ่มมองคาดโทษคนตัวเล็กที่กำลังเบะปากทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้ถ้าเกิดไม่ได้กินข้าวเดี๋ยวนี้
“พี่ไม่เคยอดข้าวหลาย ๆ วันเหรอครับ...” แบคฮยอนพูดเสียงแผ่ว “ห้านาทีก็ได้ นะครับพี่ ให้ผมกินข้าวเถอะ” เด็กน้อยว่าพร้อมกับกลอกตาไปทางด้านข้างเพื่อดูว่าลู่หานกับจงอินไปหรือยังก่อนจะหันกลับมามองทหารคนเดิมอีกครั้งเมื่อพบว่าสองคนนั้นยังเดินออกไปได้ไม่ไกลนัก
“ฉันก็มีเรื่องที่ต้องไปทำเหมือนกัน ไม่ได้ว่างมานั่งเป็นพี่เลี้ยงเด็กทั้งวันหรอกนะ”
“ผมเข้าใจครับ แล้วผมก็เกรงใจพี่มาก ๆ เลยด้วย แต่ช่วยพาผมไปกินข้าวก่อนได้ไหมครับ...นะ...” แบคฮยอนกระตุกชายเสื้อคนตัวโตกว่า สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากพี่แบคโฮแล้วเขาก็ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร
ทหารหนุ่มยืนชั่งใจ เขาเห็นว่าคิ้วทั้งสองข้างของคนตรงหน้าแทบจะผูกกันอยู่แล้ว เด็กคนนี้ทำให้นึกถึงลูกชายของเขาที่อายุน้อยกว่าไอ้เด็กนี่อยู่หลายปี ถึงจะหน้าตาไม่เหมือนกันสักนิดแต่ก็อดนึกถึงไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเป็นอยู่ยังไงบ้าง
“ก็ได้ แค่ห้านาทีนะ”
“ครับ!”
“จงอิน!”
“ดีใจที่ได้เจอพวกนายนะแต่ว่านี่ไม่ใช่เวลาถามตอบเรื่องรอยเท้าบนหน้าฉัน” อี้ฟานยังไม่ทันได้ปริปากก็ถูกห้ามเสียก่อน
“รีบจูบทักทาย รีบวางแผน เดี๋ยวกูออกไปดูต้นทางให้” ลู่หานถอยออกไปยืนดูลาดเลาเพื่อให้ทั้งสามคนตกลงกัน
“ตอนนี้เซฮุนอยู่ที่ไหน?” ชานยอลไม่รอช้า เขายิงคำถามแรกที่จงอินพร้อมจะตอบ ชายหนุ่มหลุบตาลง ทั้งคู่รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่กำลังจะพูดถึง
“ในศูนย์วิจัย พวกมันไม่ได้ต้องการแค่เลือด”
“...”
“ฉันพร้อมรับคำด่าของพวกนายทุกอย่าง แต่ขอร้องล่ะ ช่วยฉันพาเด็กคนนั้นออกมาได้ไหม?” เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแววตากับประโยคขอร้องหลุดออกมาจากปากจงอิน ทั้งคู่ยืนนิ่งก่อนที่อี้ฟานจะวางปืนพกลงบนมืออีกคนแล้วตบบ่าเบา ๆ
“พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยคุณสองคน” จงอินก้มลงมองปืนในมือตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้น “ไม่ว่าคุณจะเลือกทางถูกหรือผิด เราก็พร้อมที่จะเข้าใจ”
“...”
“มันไม่ผิดที่คุณเลือกเชื่อในความหวัง เราทุกคนต่างเคยทำเรื่องผิดพลาด โดยเฉพาะผม” ชานยอลยิ้มบาง ๆ ขณะมองหน้าอีกฝ่าย “และผมอยากให้คุณเลือกที่จะแก้ไขมากกว่าปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น”
“...”
“ผมว่าพวกคุณต้องเร่งมือหน่อยแล้วล่ะ พวกทหารเริ่มกระจายกันเป็นจุด ๆ แล้ว” เสียงของเทาเรียกสติทั้งสามคนกลับคืนมา จงอินเงยหน้าขึ้นไปบนกำแพงสูง เขาเห็นว่าเด็กคนนั้นกำลังส่องกล้องทางไกลเพื่อสังเกตการณ์ให้
“ก่อนอื่นฉันควรให้พวกนายรู้ก่อนว่าที่นี่มีอะไรบ้าง” ทันทีที่จงอินพูดจบทั้งสามคนก็นั่งลงยอง ๆ ก่อนที่ลู่หานจะวิ่งเข้ามาสมทบ ชายหนุ่มปาดหิมะออกให้เรียบเท่า ๆ กันก่อนจะเอากิ่งไม้กับก้อนหินมาวางไว้เป็นจุด “ตรงนี้คือโรงนอนชาย ส่วนตรงนี้คือจุดที่เราอยู่ และนี่คือศูนย์วิจัย”
“แล้วอันนี้ล่ะ?” ลู่หานชี้เศษก้อนหินที่วางอยู่ใกล้มือเพื่อนสนิทพร้อมกับฉายแววตาสงสัยสุด ๆ
“หินไว้ปาหัวพ่อมึงน่ะ เก็บไว้เป็นที่ระทึกได้นะ”
“อู้ย กูล่ะเจ็บแทนแก ระทึ๊กระทึก” อี้ฟานกับชานยอลเงยหน้าขึ้นมองสองเพื่อนซี้ที่มาถึงก็เริ่มลับฝีปากกัน จงอินตบกระบาลลู่หานไปทีนึงก่อนจะหันไปสนใจกับแผนที่บนพื้นหิมะอีกครั้ง
“ปัญหาคือทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้า” จงอินวางหินก้อนเล็กทั้งสองก้อนลงไป
“ไม่มีทางอื่นที่จะเข้าไปได้แล้วเหรอวะ เช่นประตูหลังไรงี้”
“กูว่าไม่น่ามีว่ะ ขนาดตอนเอาคนเจ็บเข้าไปข้างในยังต้องใช้ทางนั้น แสดงว่ามันต้องมีแค่ทางเดียว”
“คนเจ็บ?” ชานยอลเลิกคิ้วถาม
“มีลุงแก่คนนึงเป็นลมชัก เขาถูกพวกทหารพาเข้าไปในนั้นแล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย ฉันไม่รู้นะ บางทีอาจจะมีหมอกะโหลก ๆ รอรักษาอยู่ข้างในก็ได้ หรือนายคิดว่าไง?” จงอินมองหน้าอีกคนที่กำลังขมวดคิ้วใช้ความคิดอยู่
“ถ้าจัดการทหารตรงปากทางเข้าได้ ปัญหาอีกข้อคือจะผ่านประตูนี้ไปได้ยังไง” อี้ฟานเอาเศษไม้ชี้ไปยังก้อนหินซึ่งเป็นพิกัดของศูนย์วิจัย
“ฉันจัดการเอง” ทั้งสามคนหันไปทางลู่หาน “ตอนนี้คิดให้ได้ก่อนว่าจะล่อมันสองคนยังไง”
ในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายกระจายกันอยู่เป็นจุด ๆ พวกเขาต่างสนใจแต่ถาดอาหารตรงหน้าโดยที่ไม่คิดจะหันไปสนทนากับคนรอบข้าง เด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้ามาทางด้านในอย่างไม่เร่งรีบ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดก่อนจะสะดุดตากับใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตามลำพังตรงโต๊ะยาวทางด้านในสุด
“พี่ครับ เดี๋ยวผมไปโรงนอนพร้อมคนอื่นก็ได้ พี่ไปทำงานต่อเถอะ” แบคฮยอนหันไปยิ้มให้คนตัวโตกว่า ทหารหนุ่มขมวดคิ้วมองอีกคนก่อนจะกลอกตาไปทางผู้คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินข้าว “ผมจะได้ทำความรู้จักกับคนที่นี่ไปด้วยไง ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะครับ”
เด็กหนุ่มไม่ทิ้งเวลาให้อีกคนปริปากพูดอะไรอีกเขาก็เดินไปรับถาดหลุม ตอนนี้ซากโจ๊กเหลืออยู่แค่ก้นหม้อ สภาพของมันดูไม่ได้เลยสักนิดแต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคุณป้าที่กำลังตักข้าวต้มแล้วยื่นแก้วน้ำดื่มให้เขา
แบคฮยอนเลือกไปนั่งโต๊ะเดียวกับชายวัยกลางคนที่หน้าตาดูไม่น่ากลัวนักถ้าเทียบกับใครหลาย ๆ คนที่นี่ เด็กหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะโค้งหัวให้เพื่อเป็นการทักทาย ในขณะที่คนพวกนั้นเจียดเวลาหันมามองหน้าเขาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
“พรุ่งนี้เวรแกออกไปหาเสบียงหรือเปล่า”
“ใช่ บอกตรง ๆ เลยนะว่าฉันนึกปอดแหกขึ้นมาว่ะ” แบคฮยอนค่อย ๆ ตักข้าวต้มเหลวเข้าปาก ตอนนี้เขากำลังจับใจความกับเรื่องที่คนพวกนี้กำลังพูดถึงอยู่
“ทำไม? แกกลัวเป็นเหมือนไอ้แดฮงหรือไง?”
“ใช่ ภาพของมันยังติดตาฉันอยู่เลย”
“เหอะ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่หว่า ใครจะไปอยากตายกันล่ะ?”
“แต่ที่พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าไม่อยากตายไม่ใช่เหรอวะ?”
“ใช่ แต่เรามีทางเลือกมากกว่านี้หรือเปล่า?” ชายคนนั้นเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง แบคฮยอนแอบชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่ถือช้อนค้างไว้ “ออกไปเสี่ยงข้างนอกก็ต้องหาที่พักใหม่ หาทำเลใหม่ ไม่มีอาวุธอีกต่างหาก อย่างน้อยการออกไปหาเสบียงกับพวกทหารก็ยังมีปืนให้ใช้ป้องกันตัว”
“ฉันรับไม่ได้จริง ๆ ว่ะ...โลกมันมาถึงจุดบัดซบที่สุดแล้ว”
“...”
“เมียฉันกับน้องสาวแก”
“หยุด อย่าพูดถึงเธอ”
“ฟังนะไอ้หน้าโง่...เราต้องไปจากที่นี่”
“...”
“ฉันไม่อยากตายเหมือนไอ้แดฮง แล้วก็ไม่อยากตื่นมาเพื่อรับรู้ว่าต้องออกไปหาเสบียงมาให้ไอ้หอกหักทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ญาติพี่น้องฉันหรือเปล่าก็ไม่...”
“...”
“ถ้าแข็งข้อก็โดนพวกมันซ้อม...เหมือนกับไอ้หมอนั่น” แบคฮยอนชะงักมือไว้แค่นั้นแล้วตั้งใจฟัง “ขนาดไอ้แก่ที่เข้าไปห้ามยังเกือบโดนกระทืบไปด้วย คิดสภาพแกกับฉันสิ” ชายหนุ่มพยักเพยิดหน้าไปทางชายแก่ที่นั่งอยู่ตามลำพัง
“แกจะเสียงดังมากเกินไปแล้วนะ”
ครืด...
ทั้งสองคนมองเด็กหนุ่มที่จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืน แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะโค้งหัวให้แล้วยกถาดหลุมออกมาจากตรงนั้น ใช่ว่าทนฟังต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะตอนนี้บยอนแบคฮยอนสามารถประติดประต่อเรื่องได้ส่วนหนึ่งแล้วและมันคงจะได้เรื่องกว่าหากว่าเขาเข้าหาชายแก่คนนั้นแทนที่จะนั่งฟังต่อไป
สองขาก้าวไปหาเป้าหมายที่อยู่ตรงด้านในสุด เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะวางถาดข้าวลงบนโต๊ะ เสียงสแตนเลสกระทบกับแผ่นไม้เรียกความสนใจจากชายแก่ให้เงยหน้าขึ้น เปลือกตาเหี่ยวย่นค่อย ๆ ปรือมองคนตรงหน้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นเพ่งมอง
แบคฮยอนยิ้มเจื่อน ๆ เขาโค้งหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย พอได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ แล้วก็รู้สึกแย่ขึ้นมา เขาไม่อยากคิดเลยว่ารอยถลอกตรงโหนกแก้มชายแก่คนนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุผลที่ผู้ชายสองคนนั้นคุยกันหรือเปล่า?
“นั่นแกเองเหรอไอ้หนุ่ม...”
“อ...ครับ?” แบคฮยอนเบิกตาเล็กน้อยเมื่อถูกอีกฝ่ายทักทายด้วยประโยคนี้
“เป็นยังไงบ้าง...พวกมันยอมปล่อยแกออกมาแล้วเหรอ?” ชายแก่เพ่งมองเขา
“เอ่อ...คุณลุงครับ...” แบคฮยอนเลียริมฝีปากแล้ววางมือลงบนโต๊ะ “ผมไม่ใช่คนที่คุณลุงกำลังพูดถึง”
“...”
“แต่คน ๆ นั้นใช่ผู้ชายที่ชื่อคิมจงอินหรือเปล่าครับ?”
“...”
“ผู้ชายผิวสีแทนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน...คุณลุงกำลังพูดถึงเขาอยู่ใช่ไหม?” ชายแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองหน้าอีกคน มือเหี่ยวย่นค่อย ๆ กำเข้าหากันก่อนที่แบคฮยอนจะเลื่อนมือไปวางบนหลังมือนั้น “เขาเป็นเพื่อนผม”
“...”
แบคฮยอนจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง เขาพอจะรู้ว่าชายแก่กำลังตกใจที่ได้ยินเขาพูด แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีหรือรุ่นราวคราวเดียวกันและไม่เคยถูกทำร้ายมาก่อนสาบานให้ตายเลยว่าบยอนแบคฮยอนจะใช้วิธีพูดให้มันอ้อมค้อมมากกว่านี้
“คุณลุงช่วยเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ...ว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ทหารสองนายหันไปตามเสียงปรบมือที่ดังมาจากทางด้านซ้าย แล้วก็พบกับทหารนายหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกวักมือเรียกเขาทั้งคู่ เขาชี้หน้าตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้ว บอกตรง ๆ ว่าทหารนายนั้นเขาไม่คุ้นหน้าเลยสักนิดเดียว
“อะไรกันวะ?”
“มึงรู้จักเหรอ?”
“ไม่”
พอเห็นว่าทหารทั้งสองไม่ยอมมา เขาเลยเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ชายหนุ่มมองทั้งคู่สลับกันก่อนจะเอามือไขว้หลังแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าทหารทั้งสองนาย
“ทำไมเมื่อกี้กูเรียกแล้วพวกมึงไม่ยอมไป”
“...” ทั้งสองคนถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ บอกตรง ๆ เลยว่าไม่รู้จะตอบคำถามไอ้ทหารกิ๊กก๊อกยศเดียวกันกับพวกเขาด้วยประโยคไหนถึงจะไม่งงมากไปกว่านี้
“เราเฝ้ายามอยู่”
“เฝ้ายาม?” เขาหัวเราะก่อนจะหันกลับมามองหน้าทั้งคู่อีกครั้ง “แล้วการยืนทำหน้าโง่อยู่ตรงนี้กับการโดนนายทำโทษมึงจะเลือกอะไร”
“...” ทั้งคู่หันไปมองหน้ากันอีกครั้งกับคำขู่ของอีกฝ่าย พอเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังคล้อยตามลู่หานก็หันไปทางด้านข้าง “นายยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกมึงยังชักช้าอยู่จะหาว่ากูใจร้ายไม่ได้นะ”
“นาย...นายอะไรวะ?” ทหารทั้งสองหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงในชุดลายพรางซึ่งยืนหันหลังอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก สิ่งที่เขาเห็นก็คือควันบุหรี่ที่ลอยไปตามกระแสลมหนาวที่พัดผ่านเท่านั้น
“นายเพิ่งย้ายมาจากค่ายทางทิศตะวันตก กูจะไม่บอกให้พวกมึงขี้หดตดหายมากไปกว่านี้ ทางที่ดีพวกมึงควรย้ายก้นไปรายงานตัวก่อนที่นายจะอารมณ์ขึ้น” ลู่หานโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับพูดลอดไรฟัน “มึงไม่รู้หรอกว่าตอนถูกบุหรี่จี้หัวนมแม่งแสบมากแค่ไหน ห่า รีบไป!”
พอได้ยินคำขู่ที่ระดับความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งคู่เลยหันไปปรึกษากันเงียบ ๆ ลู่หานไม่รู้ว่าการตอแหลในครั้งนี้จะได้ผลหรือเปล่าแต่ไม่ว่าต้องกระชากลากคอหรือด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาก็ต้องลากพวกมันสองตัวออกจากตรงนี้ไปให้ได้
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างจากปากชายแก่คนนั้นแบคฮยอนก็เดินออกมาหยุดยืนอยู่ตรงฟุตปาธซึ่งเต็มไปด้วยหิมะที่ถูกกวาดมากองไว้ตรงนี้ เด็กหนุ่มยืนนิ่ง เขาไม่สามารถหลุดออกจากความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวได้เลย
‘แกเสี่ยงเข้ามาที่นี่เพื่อช่วยไอ้หนุ่มนั่นน่ะเหรอ...’
‘คิดดีแล้วหรือไง...การออกไปจากที่นี่มันไม่ใช่เรื่องยากก็จริง แต่เหตุผลมันก็ต้องมีน้ำหนักมากพอที่พวกมันจะยอมปล่อยไปเหมือนกัน...’
‘เพื่อนของแกโดนหมายหัวแล้ว...มันไม่ปล่อยไปง่าย ๆ หรอก...’
‘ถ้ามันรู้ว่าแกเข้ามาที่นี่เพราะอะไร...คนที่จะเดือดร้อนก็คือแก...ไอ้หนุ่ม’
แบคฮยอนปิดเปลือกตาลง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่นี่จะเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เสียอีก โชคดีที่ลู่หานช่วยจงอินออกมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกทหารคงใช้วิธีสกปรกอย่างที่เขาคาดไม่ถึงแน่ ๆ
นึกแล้วก็เป็นห่วง ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง จะเข้าไปในศูนย์วิจัย...ได้...แล้ว...หรือ...ยัง...นะ...
แบคฮยอนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่เมื่อพบว่าคนที่ยืนคุยอยู่กับทหารตรงปากทางเข้าศูนย์วิจัยนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากลู่หาน เขาไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นอาจจะหาวิธีเข้าไปข้างในแต่ว่าไอ้ท่าทางที่ทำอยู่มันมีพิรุธสุด ๆ
“เดี๋ยวตรงนี้กูยืนเฝ้าให้ ไม่ต้องห่วง” พูดอีกครั้งเพื่อย้ำน้ำหนักการตัดสินใจ เพียงไม่กี่วินาทีลู่หานก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสุดท้ายแล้วพวกมันก็ยอมเดินไปจากตรงนี้เพื่อที่จะไปรายงานตัวกับ ‘นาย’ ที่ยืนรออยู่ฝั่งนั้น
ลู่หานยืนอยู่ตรงปากทางเข้าพร้อมกับไขว้แขนไว้ข้างหลัง ริมฝีปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยขณะมองไปยังถนนเบื้องหน้าซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปมาโดยที่ไม่สงสัยเลยว่ามีคนแปลกหน้าหลุดเข้ามาข้างในแล้ว แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าแบคฮยอนยืนทำหน้าเครียดอยู่ตรงริมฟุตปาธ
“ทำอะไรวะนั่น?”
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีทหารทั้งสามนายก็ตรงมาทางนี้พร้อมกับนักโทษที่เขาเพิ่งลากออกมาจากห้องเก็บของ ใช่...ฟังไม่ผิดหรอกว่าสามคน เพราะหนึ่งในนั้นคือปาร์คชานยอล คนที่เขาตอแหลไปว่าเป็นนายอะไรสักอย่างมาจากทิศไหนก็ไม่รู้
“โห ไปแค่ห้านาทีกลับมาปุ๊บหน้าเปลี่ยนเลย หล่อขึ้นนะเนี่ย” ลู่หานทำปากจู๋กะพริบตาปริบ ๆ มองคนในเครื่องแบบ
“กวนส้นตีน”
“ใครพูดกับมึงครับ กูพูดกับอี้ฟาน” เขาเบะปากใส่ไอ้เด็กเขียวที่ตอนนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารเหมือนกับอี้ฟานเช่นกัน ทั้งสองคนไม่รอช้า เขายืนประจำที่แทนทหารสองนายอย่างแนบเนียนหลังจากจัดการมัดมือมัดปากสองคนนั้นไว้ตรงหลังตึกนั้นเรียบร้อยแล้ว
“ดูแลตัวเองด้วย” อี้ฟานมองชายหนุ่มทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ถ้าตรงนี้สถานการณ์ไม่ดีก็หนีออกไปก่อนได้เลยนะ” จงอินมองทั้งสองคนด้วยความลำบากใจ ตอนนี้อี้ฟานกับเทารับหน้าที่ยืนเฝ้ายามตรงจุดนี้ ส่วนเขากับชานยอลและลู่หานนั้นจะเข้าไปข้างในศูนย์วิจัย ไม่มีการตบบ่าเพื่อให้กำลังใจ พวกเขาเพียงแค่มองหน้ากันก่อนที่ทั้งสามคนจะก้าวเข้าไปตามทางเดินยาวเบื้องหน้า
“พาเซฮุนออกมาให้ได้ล่ะ”
จงอินหยุดชะงักก่อนจะหันไปตามต้นเสียง หวงจื่อเทาไม่ได้หันมามองเขาหลังจากพูดประโยคเมื่อครู่ ลู่หานเข้ามาดันหลังจงอินเพื่อให้ดูสมจริงหากว่ามีกล้องวงจรปิดตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“มึงต้องบอกมันว่ายังไงวะ”
“บอกว่ากูโดนกัดแล้วไม่เปลี่ยน”
“เอางั้นเลย?”
“ทางเดียวที่จะเข้าไปได้โดยที่ไม่ถูกซักไซ้”
ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ ใช่อย่างที่คิดไว้จริง ๆ ว่าตรงนี้มีกล้องวงจรปิดติดอยู่พร้อมกับแผงจอมอนิเตอร์เล็ก ๆ ที่ฉายภาพพวกเขา
“เรามาส่งคน” ชานยอลเลือกที่จะพูดสั้น ๆ มากกว่าการอธิบายความยาวสาวความยืดกับเรื่องที่เขาไม่รู้จริง ชายหนุ่มทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่แค่ครู่เดียวประตูก็เปิดออก
“อิ่มแล้วก็ต้องออกกำลังกายกันสักหน่อย”
“เอาสิ คันไม้คืนมืออยู่พอดี”
“ป่านนี้มันจะตื่นยังวะ แต่ช่างเถอะ มึงไปเอาน้ำมาด้วย กระทืบตอนมันนอนสั่นคงสะใจดีพิลึก ฮ่า ๆ”
แบคฮยอนเบิกตากว้างก่อนจะหันไปทางทหารทั้งสามนายที่กำลังจะข้ามไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งเขาจำได้ว่าตรงนั้นเป็นที่ ๆ ลู่หานพาจงอินหนีออกมา และมันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าเกิดว่าคนพวกนี้เข้าไปข้างในแล้วไม่เห็นจงอินอยู่ในนั้น แบคฮยอนยืนลนลาน เขาหันซ้ายขวาก่อนจะรีบวิ่งตามไปแล้วทรุดลงตรงหน้า
ตุ่บ!!
“ช...ช่วยผมด้วย...โอ้ยยยยยยยยย” ทหารทั้งสามขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่มที่กุมท้องตัวเองพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายบนพื้นหิมะ
“อะไรของมันวะ...”
“นั่นสิ”
“ผมปวดท้อง...โอ้ยยยยยยยยยย” แบคฮยอนยังคงดิ้นพล่านเกลือกกลิ้งอยู่กับหิมะพร้อมกับหรี่ตามองทหารทั้งสามนายที่กำลังมองมาที่เขา
“ปวดท้องก็ไปขอยาสิวะ” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อทั้งสามคนเดินผ่านเขาไปอย่างหน้าตาเฉย แบคฮยอนรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะคลานเข้าไปกอดขาทหารนายหนึ่งเอาไว้
“เฮ้ย เป็นบ้าอะไรของมึงเนี่ย!”
“ผมกำลังจะตายแล้วจริง ๆ ...พี่ครับ ขอร้องล่ะพาผมไปห้องพยาบาลที ผมปวดท้อง”
“ปล่อย!”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้า จังหวะนั้นก็แอบชำเลืองไปทางด้านศูนย์วิจัยตอนนี้มีเพียงแค่ทหารสองนายยืนอยู่ตรงนั้น...แล้วลู่หานล่ะ หมอนั่นหายไปไหนแล้ว?
“พี่ครับ...ผมปวดท้องจริง ๆ”
“ปวดก็เรื่องของมึงสิ” ขายาวสะบัดแขนเด็กหนุ่มออกอย่างไม่ใยดี เขาได้ยินเสียงสบถคำหยาบสารพัดที่หลุดออกมาจากชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังเดินผ่านไป...แย่แล้วล่ะ...เขาจะทำยังไงดี?
“ขอให้ช่วยแค่นี้ไม่ได้เหรอวะ?!”
ทั้งสามคนหยุดกึกก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น แบคฮยอนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเมื่อเห็นแววตาของทหารทั้งสามนายที่มองมาทางนี้ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงคอมแบทที่ย่ำผ่านหิมะบนพื้นแต่ทำไมเขากลับรู้สึกได้ถึงเสียงของมัน คนตัวเล็กหน้าซีดเผือด สองขาค่อย ๆ ก้าวถอยหลังในขณะที่คนตรงหน้ากำลังเดินเข้าหาเขาอย่างไม่ลดละ
“เมื่อกี้มึงขึ้นเสียงใส่ใครนะไอ้เตี้ย?”
แบคฮยอนส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวไหล่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ ไม่สิ...เขาน่ะตั้งใจใช้วิธีนี้หยุดทหารทั้งสามคนนั่นแหละ เพราะคิดไม่ออกแล้วจริง ๆ ว่าจะห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าไปในห้องนั้นได้ด้วยวิธีไหน แน่นอนว่าวิธีนี้มันได้ผล...และผลลัพธ์ของมันก็คือ...
“อ่ะ!”
“มึงอยากโดนใช่ไหม?”
“ฮ่า ๆ”
คนตัวเล็กหน้าหันไปอีกทางเพราะถูกผลักหัว เขาได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของทหารอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างคนตรงหน้าเขา แบคฮยอนหันกลับเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ
“กูไม่เห็นจะคุ้นหน้ามึงเลย ไปมุดอยู่รูไหนมาวะ?”
“ค...คือ...ผม”
“ติดอ่างไงสัด ถามทำไมไม่ตอบ?” พูดจบก็ผลักหัวคนตรงหน้าไปอีกที แบคฮยอนยืนนิ่ง เขาไม่ได้ตอบโต้ทั้งทางคำพูดและการกระทำ
ทหารหนุ่มแค่นหัวเราะ เขาตบหัวคนตัวเล็กไปทีนึงแล้วส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะหันกลับเข้าหาเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น เขาไม่คิดจะจัดเผ้าผมให้เข้าที่ สองมือกำหมัดแน่นพลางมองไปยังแผ่นหลังของทหารทั้งสามคนก่อนจะถอดสายสะพายกระเป๋าออกแล้วเขวี้ยงใส่หัวอีกฝ่ายอย่างแรง
พลั่ก!!!
“...”
ร่างสูงกัดฟันกรอด เขาชักจะหมดความอดทนกับไอ้เด็กหอกหักที่ทำให้เขาเสียเวล่ำเวลาไปอย่างน่าโมโห ทหารอีกคนหันไปมองหน้าเพื่อนก่อนจะหันไปทางเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“กูว่ายำไอ้เด็กนั่นก่อนแล้วค่อยไปอัดไอ้ห่านั่นต่อดีกว่าว่ะ”
“เอาดิ”
“...”
ชายหนุ่มทั้งสามเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า ยิ่งเห็นสายตาอวดดีของไอ้เด็กเมื่อวานซืนแล้วก็อยากจะหัวเราะให้ก้องโลก ตัวก็เท่าลูกหมายังจะกล้าทำให้เขาอารมณ์เสียอีก
“ถ้ามึงไม่เก่งสุด ๆ ก็คงเป็นคนที่โง่สัด ๆ เลยคิดว่างั้นไหม?” ร่างสูงโน้มหน้าลงมาใกล้พร้อมกับกำกลุ่มผมดำไว้ แบคฮยอนนิ่วหน้า ศีรษะเอนเอียงไปตามแรงดึงก่อนจะเหวี่ยงหมัดไปมั่วซั่วและคนตรงหน้าก็หลบได้ทุกครั้ง
“ฮ่า ๆ มึงดูมันสิ”
“ตลกชิบหาย”
“ปล่อย!”
“ไหน มึงปวดท้องใช่ไหม?” ร่างสูงยิ้มมุมปากพลางมองอีกคนหัวจรดเท้าก่อนจะซัดหมัดเข้าตรงกลางท้องอย่างแรงจนเด็กหนุ่มงอตัวลงเพราะความจุก
“ฮ่า ๆ ๆ”
แบคฮยอนค่อย ๆ ทรุดตัวลงคุกเข่า สองมือกุมท้องตัวเองเอาไว้ก่อนจะล้มลงไปนอนขดตัวบนพื้นหิมะ ร่างเล็กเคลื่อนไหวตัวไปตามแรงที่ถูกเท้าเขี่ย ตอนนี้ทุกอย่างพร่ามัวไปหมดเพราะน้ำตาคลอ แต่เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็ชัดขึ้นเมื่อเขากะพริบตา ภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังยืนมุงอยู่โดยรอบ
“นั่นไอ้เด็กที่เพิ่งมาใหม่นี่หว่า...”
“เวรเอ้ย มันไปทำอีท่าไหนให้โดนกระทืบวะนั่น?”
“ตัวแค่นั้นจะทนไหวเหรอ?”
เขาได้ยินทุกอย่าง...แต่ถ้าจะให้คลานไปขอร้องให้คนพวกนั้นหยุดก็คงไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นพวกจงอินต้องถูกไล่ล่าทั้งค่ายแน่ พอคิดได้เด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้นแต่คราวนี้มันไม่ยากลำบากมากนักเมื่อมีทหารอีกสองนายเข้ามาช่วยหิ้วปีกเขาให้ลุกยืน
“มึงชื่ออะไร”
“ชื่อเหมือนพ่อแกไง”
“...”
ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง เขาแค่นหัวเราะกับคำตอบของเด็กที่ไม่รู้จักว่าความตายเป็นยังไงก่อนจะกัดฟันกรอดแล้วเอื้อมมือเข้าไปกำคอเสื้อคนตัวเล็กเอาไว้
“มึงอยากตายใช่ไหม?”
“คนที่สมควรตาย...ก็คือพวกแก”
“เหอะ ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแท้ ๆ เห็นทีว่ามึงคงไม่ได้ตายเพราะถูกพวกนรกข้างนอกกินแล้วล่ะมั้ง?”
“แกก็เหมือนกัน...” แบคฮยอนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าว เขากำลังตัวสั่นไปหมดเพราะความหวาดกลัวที่กำลังเผชิญอยู่ ร่างเล็กถลาไปตามแรงกระชากคอเสื้อ ส้นเท้าของเขาลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะถูกชกหน้าอย่างแรงจนล้มลงไป
“บ้าเอ้ย!”
มินซอกละสายตาจากลำกล้องไรเฟิลก่อนจะสบถอย่างหัวเสียหลังจากที่แบคฮยอนหลุดพ้นออกจากพิกัดสายตาไปแล้วเพราะบ้านเรือนที่ขวางทางอยู่ ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดอะไรอยู่ถึงได้เข้าไปแลกแบบนั้น ตอนนี้เขาก็มองไม่เห็นคนอื่น ๆ แล้วด้วย
เด็กหนุ่มตัดสินใจปีนต้นไม้ลงไป ใช้เวลาพอสมควรเพราะมันคงไม่ดีแน่หากว่าเขาตกต้นไม้ลงมาขาหักจนกลายเป็นภาระคนอื่นแทนที่จะได้เข้าไปช่วย สุดท้ายมินซอกก็ลงมาถึงพื้นโดยสวัสดิภาพโดยไม่มีบาดแผลใด ๆ
คนตัวเล็กกระชับสายสะพายไรเฟิลแล้วรีบวิ่งข้ามฝั่งไปตามทาง ไม่นานนักก็มาถึงจุดที่พวกลู่หานใช้เป็นทางปีนเข้าไปข้างใน เด็กหนุ่มยืนตั้งสติให้ดีหากว่าจะเข้าไปข้างใน อันดับแรกที่คิมมินซอกควรบอกตัวเองให้รู้เอาไว้ว่าตัวเขานั้นไม่มีฝีมือเรื่องการป้องกันตัวระยะประชิดเลย ถ้าหากว่าเขาเจอพวกมันแบบจัง ๆ แน่นอนว่าเขาคงแพ้อย่างขาดลอย
ก่อนอื่นคงต้องเข้าไปช่วยคนที่อยู่ข้างในก่อน เรื่องต่อสู้ระยะประชิดหรือวิธีหนีเอาตัวรอดค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน
ภาพทุกอย่างนั้นอี้ฟานกับเทาเห็นชัดเต็มสองตาแต่ทั้งคู่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมองอยู่เงียบ ๆ แบคฮยอนพยายามลุกขึ้นและถูกต่อยจนล้มลงไปกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นภาพที่ทำให้เขาทั้งคู่เจ็บปวดมากจริง ๆ
“เทา!”
“คุณจะปล่อยไว้แบบนั้นน่ะเหรอ หมอนั่นจะไม่ไหวอยู่แล้ว!” เด็กตัวสูงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งกร้าวเมื่อถูกคว้าแขนเอาไว้ อี้ฟานส่ายหน้าช้า ๆ เป็นเชิงห้าม
“ถ้าคุณเข้าไปตอนนี้ ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่จะลำบาก”
“...”
“ผมก็เป็นห่วง แต่ถ้าเข้าไปช่วยเขา...พวกเราจะตายกันหมด”
“แม่งเอ้ย!!!”
เทาสะบัดแขนออกก่อนจะเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพราะทนมองภาพตรงหน้าต่อไปไม่ไหว เขาต้องสติแตกแน่ ๆ ถ้าเกิดหันไปเห็นว่าแบคฮยอนกำลังนอนจมกองเลือดโดยที่ไม่มีใครคิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้เลยสักคนเดียว
รู้สึกประหม่าจนต้องบอกตัวเองให้ตั้งสติ ชานยอลกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตการณ์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นกล้องวงจรปิด ไม่ถึงสองนาทีเลยด้วยซ้ำกับการเก็บรายละเอียดพื้นที่ชานยอลก็ต้องหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าคอมแบท ร่างสูงดันตัวจงอินให้ไปยืนชิดกับผนังเมื่อมีทหารสองนายตรงมาทางนี้
“ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะพาคนเข้ามา”
“จำได้ว่าบอกไปแล้ว บางทีการประสานงานที่นี่อาจจะแย่ลง แต่มันใช่ปัญหาสำหรับเรื่องนี้หรือเปล่า?” ชานยอลพูดเสียงเรียบขณะมองหน้าทหารทั้งสองคนที่ยืนเพ่งมองเขาราวกับว่ากำลังจับผิดอยู่
“เปล่า” ใช้เวลาคิดคำตอบอยู่หลายอึดใจ ลู่หานเลือกที่จะเงียบแล้วให้ชานยอลเป็นฝ่ายจัดการแทน ก็พอรู้ว่าปากตัวเองไวมากแค่ไหน มันคงไม่ดีหากว่าเขาทำให้เสียแผนทั้งที่เพิ่งเข้ามาถึงข้างใน
“ผมมาเพื่อให้เลือด คนข้างนอกบอกว่าให้เสร็จแล้วก็ออกไปได้เลย” ทหารทั้งสองหันไปมองหน้ากัน วูบหนึ่งเขาเห็นว่าริมฝีปากนั้นยกยิ้มขึ้นก่อนที่คนหนึ่งจะเอาบางอย่างออกมา
“ไหนขอตรวจดูหน่อย” ทหารนายหนึ่งดันแผงอกลู่หานออกให้พ้นทางก่อนจะทาบเครื่องตรวจเชื้อไปตามร่างกายของจงอิน เสียงคลื่นแผ่วเบานั้นทำให้ทหารอีกนายมองทั้งสามคนสลับกันไปมาด้วยความสงสัย แน่นอนว่าถ้าคนตรงหน้าติดเชื้อ...เครื่องตรวจจับต้องมีเสียง
เครื่องตรวจเชื้อค่อย ๆ เลื่อนลงไปจนถึงหน้าขา จงอินยกมือขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการตรวจ ชานยอลหันไปสบตากับทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะหันไปส่งสายตาบอกให้ลู่หานเตรียมตัว
ไม่เสียเวลามากไปกว่านี้ ร่างสูงซัดหมัดเข้าเต็มโหนกแก้มอีกฝ่ายจนเซไปชนกับผนังด้านข้าง จังหวะนั้นลู่หานก็ถีบคนที่กำลังใช้เครื่องตรวจเชื้อจนไถลไปกับพื้นหินขัดเงาก่อนที่จงอินจะพลิกตัวหันกลับเข้าไปซัดหมัดซ้ำ ๆ และตามด้วยลู่หานที่ดึงเทปกาวแบบผ้าออกมาสุดความยาวแล้วพันรอบปากและข้อมือของอีกฝ่าย
“อื้อ!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“รีบลากเข้าไป กล้องวงจรปิดกำลังหันมาทางนี้แล้ว”
“ว่าไงนะ?” ลู่หานเลิกคิ้วมองชานยอล แต่ถึงอย่างนั้นเขาทั้งสามคนก็ช่วยกันลากทหารเข้าไปตรงมุมอับที่เป็นทางขึ้นบันไดหนีไฟ “นี่มึงพากูล่อมันต่อหน้ากล้องวงจรเปิดเลยเรอะ?”
“ตรงไหนก็มีกล้องวงจรปิดทั้งนั้น จะเห็นได้ว่ามันเลื่อนไปทางด้านซ้ายแล้วก็กลับมาทางด้านขวา และตอนที่ลงมือเป็นจังหวะที่มันหันไปทางขวาพอดี ผมคำนวณแล้ว” จงอินกับลู่หานหันไปมองหน้ากันก่อนจะหันไปทางคนตัวสูงซึ่งกำลังไพล่แขนนายทหารที่นอนราบอยู่บนพื้นไว้ข้างหลังก่อนจะมัดข้อมือไว้ด้วยเทปผ้า
“กูว่าแม่งน่ากลัวกว่าทหารทุกคนในค่ายนี้อีก...”
“อันนี้กูเห็นด้วย” สองเพื่อนซี้กระซิบกันและแน่นอนว่าคนถูกพาดพิงได้ยินชัดเต็มสองหู ชานยอลเก็บเครื่องตรวจเชื้อติดมือมาด้วยแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทั้งคู่ลุกขึ้นได้แล้ว
“เอาล่ะ เรามาตกลงกันหน่อย”
“ว่ามา”
“ถ้าเราไปช่วยเซฮุนพร้อมกันทั้งสามคน ถ้าถูกจับได้จุดจบคือตายแน่นอน แต่ถ้ากระจายกันไปผมคิดว่าแบบนั้นมันคงง่ายต่อการช่วยเซฮุนมากกว่า” ชานยอลพูดเมื่อพวกเขาทั้งสามคนเข้ามาข้างในได้แล้ว ตอนนี้ตรงหน้าทางเดินยาวที่เงียบสงบ และมีตู้ลิฟท์ที่คล้ายกับลิฟท์ที่เอาไว้ขนของอยู่ตรงสุดทาง
“หมายความว่าถ้าแยกกันไปแล้วใครจะตายห่าก็ช่าง ขอแค่ช่วยเซฮุนไว้ได้ใช่ไหม?”
“จงอิน คุณไปช่วยเซฮุนนะ” ชานยอลไม่ฟังเสียงของลู่หาน เขาบอกคนตรงหน้าพร้อมกับให้แม็กกาซีนเพิ่มไปอีกสองชุดพร้อมกับไฟฉายแบบติดหน้าอก
“แล้วพวกนายล่ะ?”
“ผมกับลู่หานจะเข้าไปปิดกล้องวงจรปิดกับระบบไฟฟ้า ถ้าหนีท่ามกลางความมืดแน่นอนว่าเราได้เปรียบกว่า”
“มึงจะปิดแบบไหนครับ ไหนบอกพี่มา”
“ไว้จะบอก” ชานยอลพูดติดรำคาญแล้วเดินนำไปข้างหน้าเพื่อตรงไปยังลิฟท์ขนของ ร่างสูงกดปุ่มสีแดง เพียงแค่ไม่กี่วินาทีตัวลิฟท์ก็เลื่อนขึ้นมา
เพียงแค่ครู่เดียวทั้งสามคนก็ลงมาถึงชั้นใต้ดิน เบื้องหน้าคือทางเดินที่สามารถแยกไปได้ถึงสองทาง พื้นที่เหยียบอยู่ทำด้วยกรงเหล็กแข็ง ถ้าก้มลงไปก็สามารถมองเห็นท่อระบายน้ำได้อย่างชัดเจน
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นอ่านป้าย นึกขอบคุณอยู่ในใจที่ที่นี่ไม่ใจร้ายกับคนแปลกหน้าอย่างพวกเขาจนมากเกินไป มันเป็นเรื่องดีสำหรับเขาเมื่อเห็นคำว่า ‘Control Room’ อยู่ทางด้านซ้าย
“เห็นทีว่าคุณคงต้องไปทางด้านขวาแล้วล่ะ”
“อืม ระวังตัวด้วยนะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงให้กลับมาเจอกันที่นี่ แต่ถ้าพลาดก็เจอกันข้างนอกเลยแล้วกัน”
“กูอุตส่าห์มาช่วย อย่าสาระแนตายล่ะสัด” ลู่หานเลิกคิ้วมองเพื่อนก่อนที่จงอินจะยักคิ้วให้
ทั้งสองหนุ่มค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่ต่างมีปืนพกอยู่ในมือและแน่นอนว่าเขาจะไม่ใช้มันเด็ดขาดหากไม่จำเป็น ซึ่งลู่หานก็ไม่มั่นใจว่าการฆ่าคนในวันนี้มันเป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่
“ถอยออกมา เดี๋ยวกูเดินนำเอง”
“อยู่ตรงนั้นดีแล้วครับ” ชานยอลหันไปมองคาดโทษอีกฝ่ายที่เอาแต่ร้องจะเป็นผู้นำอยู่ได้ ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าพอลู่หานนำทางทีไรก็เป็นเรื่องเสียทุกที
“พอกูออกไปสด มึงจะได้ยิงป้องกันกูไง”
“อย่ามาสั่งผม”
“โห กูอยากคุยกับมึงตายเลยมั้งเนี่ย สำคัญตัวเองไปไหมหื้ม?” ลู่หานบุ้ยปากแล้วเลิกคิ้วมองแผ่นหลังคนตัวสูง
“ช่วยเดินเงียบ ๆ ทีเถอะ”
“โทษทีว่ะ ถ้าเป็นใบ้แล้วจะทำให้แล้วกัน”
ชานยอลถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะดันหน้าอีกคนเอาไว้เมื่อทั้งคู่เดินมาจนถึงหัวมุมของทางเดิน ลู่หานรีบแกะมือคนตัวสูงกว่าออกไปแล้วขมวดคิ้วมองอย่างหงุดหงิด
มึงเป็นส้นตีนไรอี๊กกกกกกกกกกกก
“มีทหารอยู่ตรงนั้นคนนึง”
“แล้ว”
“เก่งไม่ใช่เหรอครับ ไหนแสดงให้ดูหน่อยว่าคุณสามารถจัดการกับทหารคนนั้นได้โดยที่เราทั้งคู่จะไม่โดนจับหลังจากนี้” ชานยอลยิ้ม ลู่หานถึงกับขึ้นเลยครับ นี่มึงสบประมาทกูชัด ๆ ร่างโปร่งชี้หน้าอีกฝ่ายเป็นเชิงบอกให้รอดูให้ดี ๆ ก่อนจะขยับเสื้อแล้วเดินตัวเบาออกไป
ไม่นานนักลู่หานก็เดินกลับมา จากสภาพแล้วดูหอบเล็กน้อยคาดว่าคงมีการต่อสู้เกิดขึ้นและเขาก็ไม่ได้อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้จัดการทหารนายนั้นด้วยวิธีไหน ชานยอลโผล่หน้าออกไปดูลาดเลาแล้วก็พบว่าทางโล่ง
ทั้งคู่เดินไปอย่างไม่เร่งรีบ เขาเห็นว่าตรงทางด้านในสุดมีกล้องวงจรปิดตั้งอยู่ อันดับแรกคือเขาต้องเข้าไปปิดระบบกล้องเสียก่อนที่จะหาห้องควบคุมระบบไฟฟ้า ทันทีที่หยุดอยู่หน้าห้อง ‘Control Room’ ลู่หานก็ไม่รอช้า เขาย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อใช้เหล็กสองเส้นในการงัดประตู เพียงแค่ไม่กี่วินาทีลูกบิดก็หมุนออกได้
ชานยอลเล็งปืนเข้าไปข้างในแล้วก็ต้องลดปืนลงเมื่อพบว่าชายอ้วนคนหนึ่งได้นั่งหลับอยู่หน้าโต๊ะซึ่งมีจอมอนิเตอร์จำนวนมากอยู่เบื้องหน้า และนับว่าเป็นโชคของพวกเขาที่ไอ้หมอนี่ไม่ได้ตื่นอยู่ ร่างสูงพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้อีกคนไปจัดการก่อนที่เขาจะเดินไปหยุดอยู่หน้าแผงควบคุม
“เอาไง ตัดไฟเลยไหม?”
“ยังไม่ได้ ตอนนี้ต้องตัดกล้องวงจรปิดก่อน”
“ไหงงั้น? ตัดไฟไปเลยดิ ขั้นตอนเดียวจบ”
“ผมบอกว่าไม่ได้ไง ในห้องนี้ไม่มีเบรกเกอร์”
“โอ้วพระเจ้าจอร์ช” ลู่หานอยากจะเบ้ปากเป็นรูปโดมอิมแพคอารีน่า กูมาถึงที่นี่เพื่อพบว่าเบรกเกอร์ตัดไฟไม่ได้อยู่ห้องนี้งั้นหรือ
ชานยอลปล่อยให้ลู่หานบ่นเป็นหมีกินผึ้งเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ตรงนั้น ส่วนเขาก็ใช้เวลาศึกษาระบบอยู่หลายนาทีจนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเพราะไม่คุ้นชิน
“ไหวเปล่าวัยรุ่น”
“เดี๋ยวรู้ครับ”
“อู้ย รอเลย” ลู่หานหัวเราะก่อนจะโบกกะโหลกไอ้อ้วนที่อยู่ในสภาพปิดปาก ส่วนตัวมันนั้นถูกมัดเข้ากับเก้าอี้ด้วยเทปผ้าหลายทบ
ร่างสูงก้มลงมองคีย์บอร์ดสลับกับจอมอนิเตอร์ จอสี่เหลี่ยมมากมายหลายหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้กด YES NO และอีกหลายตัวเลือก ไม่นานนักชานยอลก็สามารถปิดระบบกล้องวงจรปิดได้สำเร็จ
“เหยดดด...” ทั้งคู่หันไปมองหน้ากัน และร่างสูงก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคำชมเชิงหยาบคายของอีกคนเลยสักนิดเดียว
“เอาล่ะ ต่อไปเราก็เดินตัวเบาออกไปได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วนะครับ”
เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้น สิ่งแรกที่พบเหมือนกับทุกวันก็คือแสงสว่างจากหลอดไฟสีขาว เด็กหนุ่มเหม่อลอย เขารู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่ช้าลงและลมหายใจแผ่วเบาที่ผ่อนเข้าออกอย่างเชื่องช้า
สิบสี่มกราคม...วันนี้วันเกิดของจงอิน...
แต่เขากลับอยู่ที่นี่เพื่อรอความตายโดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดหรือได้เจอหน้าผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งสุดท้ายเลย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทุกวันที่ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าโอเซฮุนได้แต่โทษตัวเองว่ามันเป็นความผิดของเขาเองที่เลือกให้ทุกอย่างมันมาในทางนี้
จริงอยู่ที่เขากลัวตาย แต่ที่กลัวมากกว่านั้นคือการได้รับรู้ว่าจงอินก็ต้องพบจุดจบเดียวกันกับเขา ซึ่งโอเซอุนไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นเลย เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลงก่อนจะหดขาเข้าหาตัว เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเหนื่อยกับการหายใจเข้าออก
“ผมขอโทษ...”
‘โอเซฮุน!!!’
จงอิน?
‘เฮ้! หูแตกหรือไง?! โอเซฮุน!!’
มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมากุมสร้อยเงินก่อนจะกำมันเอาไว้แน่น เสียงจงอินท่ามกลางความร้อนของเปลวไฟในบ้านอี้ฟานในวันนั้นเซฮุนยังจำได้ดี...เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ายังมีคน ๆ หนึ่งที่ยังอยากให้เขามีชีวิตอยู่
‘ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!’
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น เมื่อครู่นี้รู้สึกเหมือนจงอินมากระซิบอยู่ข้างหู นัยน์ตาเหม่อมองไปยังแสงสีขาวอีกครั้ง มันยังคงสว่างจ้าราวกับจะบอกเขาว่าอย่าเพิ่งท้อ
เซฮุนเบือนหน้าไปทางด้านขวาพลางมองฝ่ามือของตัวเอง ค่อย ๆ พลิกหลังมือและสิ่งแรกที่เห็นคือผ้าก๊อซกับสก๊อตเทปที่ติดเข็มเจาะน้ำเกลือเอาไว้ ร่างบางเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาแกะสก๊อตเทปออกอย่างปราณีต นัยน์ตากลอกมองไปยังประตูเหล็กที่ยังคงปิดสนิท มันคงไม่ดีแน่หากว่าทหารหรืออีทงเฮโผล่เข้ามาในตอนนี้และเห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ผ้าก๊อซมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อยตอนถูกเปิดออก เด็กหนุ่มมองปลายเข็มที่เจาะอยู่ก่อนจะตัดสินใจดึงมันออกในครั้งเดียวแล้วเอามือซุกเข้าไปใต้หมอนเมื่อเลือดมันซึมออกมา ความรู้สึกปวดหนึบจนเส้นเลือดกระตุกนั้นเขารับรู้ได้ดี เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ชักมือกลับก่อนจะดึงปลายเข็มออกจากสายน้ำเกลือ
มือที่กำลังสั่นเทาวางเข็มปลายแหลมลงบนผืนเตียงก่อนจะใช้เทปกาวส่วนหนึ่งปิดสายน้ำเกลือเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำหยดลงมา เซฮุนสอดมันกลับเข้าไปตรงหลังมือแล้วปิดด้วยผ้าก๊อซเช่นเดิม
ครืด...
รอดอย่างหวุดหวิด...เซฮุนวางหมอนทับลงบนรอยหยดน้ำเกลือที่หกเลอะเป็นต่างดวงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทหารหนุ่มที่กำลังตรงมาทางนี้พร้อมกับเตียงเหล็ก วันนี้เป็นอีกวันที่เขาต้องเข้าห้องทดลอง ซึ่งแต่ละครั้งที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยขัดขืนเลยนอกจากคราวนั้น...แต่ว่าวันนี้...
เด็กหนุ่มถูกประคองให้ลุกขึ้นไปนอนราบบนเตียงเหล็ก ตอนนี้นัยน์ตากำลังจับจ้องไปยังทหารที่กำลังเดินไปถอดถุงน้ำเกลือมาห้อยกับสายเหล็กที่อยู่บนหัวเขา จังหวะนั้นเองเซฮุนก็ลุกขึ้นนั่ง เขากำเข็มไว้แน่นก่อนจะทิ่มลงกลางต้นคออีกฝ่ายอย่างแรงซ้ำ ๆ
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
เลือดสีสดสาดกระจายทั่ว ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงไปบนเตียงเหล็กพร้อมกับนายทหารแต่ถึงอย่างนั้นมือของเขาที่กำเข็มแหลมเอาไว้ก็ยังคงซ้ำลงไปที่เดิมก่อนจะผละออกมาเมื่ออีกฝ่ายนอนแน่นิ่งไปแล้ว...
เซฮุนทรุดตัวลงไปกับพื้นพร้อมกับโกยอากาศเข้าปอด ถ้าเป็นเมื่อก่อนแน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ทำให้เขาเหนื่อยมากมายเท่าไหร่ เด็กหนุ่มมองเข็มในมือตัวเองก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าที่โชกไปด้วยคราบเลือดสีสด
พอตั้งสติได้ร่างบางก็ลุกขึ้นไปค้นตัวอีกฝ่าย สิ่งแรกที่เจอคือปืนพกกระบอกหนึ่งและมันก็มากพอแล้วสำหรับวินาทีนี้ เซฮุนเดินโซเซไปตามผนังก่อนจะเปิดประตูเหล็กที่ไม่ได้ถูกล็อกไว้ สองมือยกปืนขึ้นตั้งหลักพร้อมกับเล็งไปยังเบื้องหน้า เขาเห็นว่ามือมันกำลังสั่นและขาทั้งสองข้างก็เช่นกัน
โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีทหารยืนเฝ้าอยู่และจากที่สังเกตการณ์มาตลอดครึ่งเดือนเขาก็พอจะรู้ว่าทหารยืนอยู่ตรงจุดไหนบ้าง ยกเว้นแต่จุดที่เขาไม่เคยไป เด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งยันผนังไว้เป็นหลักขณะก้าวไปข้างหน้าก่อนจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากสุดทางเดิน
เซฮุนรีบพาตัวเองออกจากตรงนั้น เขาเห็นเงาบนพื้นมาก่อนตัวคน มันต้องแย่แน่ ๆ หากว่าคนพวกนั้นเห็นเขาเดินเพ่นพ่านอยู่ตรงนี้อีกทั้งยังมีศพทหารนายหนึ่งที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงเหล็กในห้องเขาอีกด้วย ร่างบางเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้น เขาจะต้องถูกทำร้ายด้วยวิธีไหนหากว่าถูกคนพวกนั้นจับได้?
“อื้อ!!”
“ชู่ว์...”
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่ดึงเข้ามาในห้องเก็บของนั้นเป็นใคร มือหนาที่ปิดปากเขาไว้พร้อมกับปลายนิ้วเรียวอีกข้างที่แตะอยู่ตรงริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขาเงียบ เซฮุนน้ำตาคลอก่อนจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีจนร่างของเขาทั้งคู่เซถอยหลัง
“จงอิน!”
ชายหนุ่มกระชับคนในอ้อมกอดไว้แน่นพร้อมกับพรมจูบกลุ่มผมสีเข้มของคนตรงหน้า เปลือกตาปิดลงอย่างโล่งอกที่พบว่าเซฮุนไม่เป็นอะไร ทั้งคู่ค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นพร้อมกับบดเบียดเข้าหาอ้อมกอดของกันและกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก
“ไม่เป็นไรแล้ว...ไม่เป็นไร” จงอินกระซิบข้างหูคนที่กำลังสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอด รู้สึกได้ถึงมือทั้งสองข้างของเซฮุนที่กำเสื้อของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป มือหนาลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ จนกระทั่งเด็กหนุ่มสงบลง
“คุณเข้ามาได้ยังไงครับ...เขายอมให้คุณเข้ามาแล้วเหรอ”
“เปล่า” เซฮุนผละตัวออกมาสบตากับอีกคน จงอินยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอานิ้วหัวแม่มือไล้คราบเลือดออกจากแก้มคนตรงหน้า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ฉันมาที่นี่เพื่อพานายกลับอุทยาน”
“...”
“กลับบ้านเรานะ”
เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่น เพียงแค่กะพริบตาเบา ๆ หยดน้ำตาก็ไหลออกมา ทั้งรู้สึกผิดกับทุก ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินใจมาที่นี่และเรื่องที่เขาไม่ยอมเชื่อฟังคนอื่น แต่ก็ดีใจที่ได้เจอจงอินอีกครั้ง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะมองคนตรงหน้าที่กำลังถอดเสื้อกันหนาวมอมแมมออกมาใส่ให้เขา
“ใส่แขนเข้าไปเร็วเข้า” จงอินยังคงยิ้ม ดวงตาคู่นั้นไม่มีแววโกรธเคืองเลยสักนิดเดียว
เซฮุนทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่ายและนั่งอยู่เฉย ๆ เมื่อจงอินกำลังรูดซิปเสื้อให้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปแตะใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“คุณ...ไปโดนอะไรมาเหรอครับ”
“ฟัดกับหมามาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” จงอินจับมือเรียวที่ทาบอยู่บนแก้มเขาเอาไว้ก่อนจะหลับตาลง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาได้เจอเซฮุนจริง ๆ แล้ว เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายที่กำลังคลึงหลังมือเขาก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ แล้วใช้มืออีกข้างประคองหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา
“ถ้ากลับไปถึงอุทยานแล้วผมจะทำแผลให้นะ...”
“อืม” จงอินยิ้มพร้อมกับลูบหัวอีกคน “นายล่ะเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? แล้วคราบเลือดพวกนี้มาจากไหน?” เซฮุนก้มหน้าลงมองคราบเลือดที่แห้งกรังบนฝ่ามือตัวเองก่อนนิ่งไป
“ผม...เพิ่งฆ่าคนมา”
“...”
“เขาเป็นทหารที่มารับผมไปในห้องทดลอง...ผมฆ่าเขา...” จงอินลดมือลงมาก่อนจะค่อย ๆ กุมมือเซฮุนเอาไว้
“ไม่เป็นไร”
“...”
“ฉันรู้ว่าถ้าเลือกได้นายจะไม่ทำแบบนั้น”
“...”
“โลกมันเลวร้ายมาถึงขนาดนี้แล้ว การเป็นคนดีมันก็ไม่ได้ทำให้เรามีชีวิตรอดเสมอไปหรอก บางครั้งเราก็ต้องจำใจเลือกทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลย” พออีกฝ่ายพูดจบเซฮุนก็พยักหน้า ทั้งคู่เงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่จงอินจะลุกขึ้นแล้วประคองร่างอีกคนให้ลุกขึ้นตาม “เดินไหวใช่ไหม?”
“ครับ ผมไหว ว่าแต่เราจะออกไปยังไงเหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ ไอ้ลู่หานกับชานยอลกำลังจัดการอยู่”
“พวกคุณเข้ามาได้ยังไง ที่นี่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่เต็มไปหมด” เขาจำได้ว่าตอนเข้ามาในวันแรกสิ่งที่เห็นเยอะที่สุดก็คงเป็นกล้องวงจรปิด จงอินแง้มประตูออกไปแล้วกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“แล้วนายเดินออกมาจากห้องได้ยังไง ทางนั้นไม่มีกล้องเหรอ?”
“มีครับ”
“ถ้ามี มันคงไม่ปล่อยให้นายเดินเอ้อละเหยอยู่ตรงทางเดินนานขนาดนั้นแน่ ๆ” จงอินขมวดคิ้วขณะใช้ความคิด “อาจเป็นไปได้ว่าสองคนนั้นตัดระบบกล้องวงจรปิดเรียบร้อยแล้ว”
“อะไรนะครับ?”
“เอาล่ะ ฟังนะ” ชายหนุ่มวางมือทั้งสองข้างลงบนหัวไหล่อีกคนพร้อมกับมองเข้าไปในตาอีกฝ่าย “ข้างนอกมีอี้ฟานกับเทารออยู่ ถ้ามันช่วยไม่ได้จริง ๆ ก็ใช้มันซะ” จงอินวางปืนลงบนมืออีกฝ่ายพร้อมกับแม็กกาซีนสำรองก่อนจะก้มลงไปเก็บปืนที่เซฮุนหยิบติดมือมาด้วยเอาไว้ใช้เอง
“แล้วคุณล่ะครับ”
“ฉันจะไปกับนาย เมื่อกี้ก็แค่เผื่อไว้น่ะ อะไรจะเกิดขึ้นไม่มีใครรู้หรอก” จงอินยีหัวอีกคนเบา ๆ
ทั้งคู่จ้องหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายยังคงตื้นตันใจกับการที่ได้เจอกันอีกครั้ง จงอินโอบใบหน้าอีกคนไว้ก่อนจะโน้มเข้าไปกดจูบริมฝีปากอีกฝ่ายโดยไม่เปิดโอกาสให้เซฮุนได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลงก่อนจะกระชับกอดร่างอีกคนไว้แนบแน่นพร้อมกับเปิดริมฝีปากให้อีกฝ่ายได้รุกล้ำเข้ามา
สัมผัสของกันและกันทำให้รู้สึกปวดร้าวกับรอยฟกช้ำตามร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สำคัญมากไปกว่ารสจูบที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้ จงอินผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ใจจริงแล้วเขาอยากใช้เวลาทั้งวันเพื่อกอดเด็กคนนี้เอาไว้ เพื่อยืนยันว่าโอเซฮุนจะไม่ไปไหนอีกแล้ว แต่ก่อนสิ่งอื่นใดเขาต้องพาทุกคนออกไปจากค่ายนรกนี่ให้ได้เสียก่อน
“พร้อมแล้วหรือยัง”
“ครับ ผมพร้อมแล้ว”
“โอเค...เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
TBC
ตอนแรกว่าจะให้จบภายในแชปนี้เลยนะ แต่มันยาวมากจริง ๆ คุณขา
ขนาดตัดจบพาร์ทนี้ยัง 40 หน้าอ่ะ งงไปหมด ทำไมมันเยอะงี้ล่ะ สลับฉากไปมาคุณผู้อ่านงงไหมคะ อย่างงนะ อ่านดี ๆ 5555555555555555555
น้องแบครับบทหนักมากตอนนี้ มลินค่ะรู้สึกหน้าบวมแทนนางแล้ว (มลินคะ หน้ามึงอ้วนค่ะจบไหม) ในที่สุดไคฮุนก็ได้เจอกันแล้ว ทั้งหกเจ็ดแปดคนจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ จะเป็นยังไงต่อไป เดี๋ยวเราไปลุยกันต่อที่ One Shot (Part 3) กันนะคะ
ปล.ซื้อฟิคยัง ไม่ได้ไปคอนก็มาจ่ายที่เราก็ได้นะคะ เราจะเป็นผู้เสียสละรับเงินส่วนนั้นไว้เอง แต่ถ้าไปคอนแล้วก็ซื้อฟิคอีกก็ได้ค่ะ ฟินทั้งคอนฟินทั้งฟิคเนอะ #ขายของTime
ความคิดเห็น