คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #75 : Chapter 70 :: Tell me the truth
Chapter 70
Tell me the truth
เวลาตามนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้แปดโมงโมงสี่สิบแปดนาที
และเขา
กำลังอยู่ไม่สุข
ลู่หานนั่งกระดิกขาเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ระเบียงหน้าบ้าน ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นจงแดกับซูโฮที่กำลังช่วยกันตักหิมะออกให้พ้นทาง ส่วนซีวอนนั่งจิบกาแฟคุยกับอี้ฟานอยู่ริมแม่น้ำ ที่เห็นเพราะเดินเอื่อยเฉื่อยไปถึงตรงนั้นแล้วก็เพิ่งวกกลับมานั่งง่อยอยู่ตรงนี้นี่แหละ
พอเข้าไปบ้านหลังแรกก็เห็นมินซอกเดินออกมาพร้อมกับคยองซู จะอ้าปากทักสักหน่อยแต่ตะคริวเสือกแดกปากซะก่อน ตัดภาพมาอีกทีสองคนนั้นก็เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็ดีแหละครับ เจริญพวง แต่ถ้าถามถึงแบคฮยอนหรือคนอื่น ๆ น่ะเหรอ ถามทำไมครับ? นี่คนนะไม่ใช่ Google Search จะได้รู้ไปซะทุกอย่าง
ไอ้เทากับพ่อรูปหล่อปาร์คชานยอลยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ขอจัดให้มันสองคนอยู่ในกลุ่มประเภทเสี่ยงโดนตีนเหมือนกัน ไม่ว่าจะตอนแดกข้าวหรือแม้แต่เดินสวนกันเฉย ๆ ก็ยังกวนส้นตีนได้ทั้งที่ไม่ปริปากพูด
แล้วเขาล่ะ? ตอนนี้ลู่หานต้องทำอะไรบ้างครับ เสบียงก็ไม่ต้องออกไปหา นี่ว่างจนแทบจะแกะสลักเล็บขบให้เป็นรูปเทพีเสรีภาพอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นอยู่มันทำให้นึกย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่ยังไงโดยที่ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดกับเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแบบนี้
อ้อใช่ ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องชีวิตเขาแทบจะไม่เคยพบเจอคำว่าว่าง ต้องดิ้นรนหาเรื่องใส่ตัวอยู่ตลอดซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสิบแปดมงกุฎป่ะครับ แต่ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ แล้วรอการกลับมาของสองคนนั้นแน่
กลับเข้าไปค้นลิ้นชักในบ้านเอาปืนพกออกมาเช็คแม็กกาซีน พอเรียบร้อยแล้วก็เหน็บมันไว้ข้างหลังก่อนจะคว้าเอากล่องกระสุนสำรองกับแม็กกาซีนเปล่ามาวางบนเตียง ลู่หานใช้เวลาไปกับการยัดลูกกระสุนใส่แม็กอยู่พอสมควร
ถ้าถามว่าตอนนี้ในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ก็คงตอบว่า ‘ไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่าต้องไปที่นั่นเพื่อพาพวกมันสองคนออกมาให้ได้’ เรื่องตายหรือเรื่องหลบตีนหนีออกมาค่อยเอาไว้คิดตอนถึงเวลาก็ยังไม่สาย ถ้าโชคดีหน่อยมันก็คงดีถ้าคนพวกนั้นจะยอมปล่อยให้เพื่อนของเขาออกมาง่าย ๆ แทนที่จะต้องมีการต่อสู้จนเลือดตกยางออก จะหาว่าผู้ชายอย่างลู่หานไม่มีหัวคิดก็ได้ แต่คนเราย่อมมีวิถีทางเอาตัวรอดไม่เหมือนกันและที่เขาทำมาตลอดมันก็คือวิธีที่เข้าท่าที่สุดแล้ว
ก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่น เขาไม่จำเป็นต้องเอาอะไรติดตัวไปมากกว่าปืนพก กล้องส่องทางไกล มีดที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวระยะประชิดและไรเฟิล สองขาก้าวออกมาข้างนอก ถึงลู่หานจะไม่ชอบแบบนี้ก็เถอะ แต่เขาก็ต้องบอกใครสักคนให้รับรู้ก่อนจะออกไปฉายเดี่ยว และคนที่ดูเข้าตาที่สุดก็คงไม่พ้นอี้ฟาน
“เฮ้ยอี้ฟาน...อ้าวเวร...” ประโยคหลังแผ่วลงทันทีที่เห็นว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญ(ในสายตาเขา)นั่งอยู่ด้วย ชายหนุ่มทั้งสามคนที่กำลังใช้เวลาอยู่กับความเงียบข้างริมแม่น้ำหันมามองเจ้าของเสียงนั้นเป็นตาเดียวกันแล้วก็เห็นลู่หานยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ไม่ห่างมากนัก
ห่าเอ้ย! ตอนแรกก็เห็นว่าอยู่กันสองคนไม่ใช่เหรอวะ แล้วไอ้ชานยอลโผล่หัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูครับดู ทั้งที่รู้แล้วว่าใครมาแทนที่จะหันกลับไป มึงจะสำรวจโลกหรือกระโดดลงไปดำน้ำก็เอาครับไม่ต้องมามองหน้ากู
ทั้งที่มันก็ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่แต่ไหงถึงรู้สึกตีนกระตุกอยู่เป็นพัก ๆ ก็ไม่ทราบได้ ถ้ารู้ว่ามันเฟดตัวมาอยู่ตรงนี้จ้างก็ไม่เดินมาให้เพลียตีนหรอกครับ สู้หันไปขออนุญาตก้อนหินตรงกองไฟหน้าบ้านยังเข้าท่ากว่าเยอะ
“กาแฟซักถ้วยไหมลู่หาน?” ผู้ชายในชุดเฟอร์ครบเซ็ทยกถ้วยเซรามิกส์ลวดลายผู้ดีอังกฤษขึ้นมา ร่างโปร่งส่ายหน้าเนือย ๆ เขาไม่ได้อารมณ์สุนทรีย์ขนาดจะเดินไปหย่อนดากนั่งข้าง ๆ ไอ้ชานยอลเพื่อชนแก้วกันแล้วพูดว่า ‘เชียส~’ แน่ ๆ
“มีอะไรหรือเปล่า?” อี้ฟานถาม ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ยังมีคนสนใจว่าเขาไสหน้ามาถึงที่นี่ทำไม
“มี เข้าเรื่องเลยนะ ฉันมาเพื่อบอกว่าจะออกไปตามไอ้จงอินกับเซฮุน”
“หืม?” เอาล่ะครับ คราวนี้แม่งมองมาทางนี้พร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คิดภาพผู้ชายสามคนกำลังขมวดคิ้ว มันแปลกตรงไหนกับเรื่องที่เพิ่งพูดออกไป
“นี่วันที่หกแล้วนะ มันนานเกินไป” ลู่หานกำลังหงุดหงิดที่จะต้องมาอธิบายเหตุผลร้อยแปดให้คนพวกนั้นฟัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาขี้หมาแห้งยังมีค่ามากกว่าคำพูดจากปากเขา ซึ่งมันหมายความว่าต่อให้ชักแม่น้ำทั้งโลกมาพูดมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
“เอาเถอะ ฉันมาเพื่อบอกแค่นี้แหละ ไปนะ” พูดจบก็หันหลังกลับ แต่ก้าวออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดยืนกับที่เมื่อได้ยินเสียงใครอีกคน
“เดี๋ยว”
มึงอีกแล้วเรอะ!
ลู่หานถอนหายใจ จะเป็นอะไรไหมถ้าเกิดเขาจะขานตอบกลับไปทั้งที่ยืนหันหลังให้มันแบบนี้ มึงจะรั้งกูไว้ทำซากอ้อยอะไรล่ะครับปาร์คชานยอล พระเอกซีรี่ส์เหรอ จางกึนซอกมากไหม
“ผมเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงพวกเขา แต่การบุกเข้าไปที่นั่นคนเดียวผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วย” ฟังจบถึงกับขึ้นเลยครับ นี่รีบหันควับกลับไปมองผู้ชายตัวสูงกว่าเขาแค่ไม่กี่เซนต์ด้วยสายตาหาเรื่องหน่อย ๆ
“ขอโทษนะครับ ใครขอความเห็น” ลู่หานแค่นหัวเราะ มึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเสนอแนวทางให้กูครับปาร์คชานยอล เชิญออกไปจากระยะสายตากูได้ ณ บัดเดี๋ยวนี้ “แล้วใครบอกว่ากูจะเข้าไปฉายเดี่ยว มั่วล่ะมึงอ่ะ”
จริงอยู่ที่ลู่หานเป็นคนค่อนข้างหยาบคาย แต่มันก็แค่กับบางคนเท่านั้นยกตัวอย่างเช่นไอ้จงอินกับไอ้ห่าเทา พอมาถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาไม่ได้พูดดี ๆ กับปาร์คชานยอล แต่เอาเถอะ คนอย่างมันไม่โดนบาทาลูบพักตร์ก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว
“ผมเห็นคุณเหน็บปืนไว้ข้างหลัง”
มึงจะตาดีไปไหนสาดดดดดดดดดดดด ช่วยทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ได้ไหม นี่ก็จับผิดจังเลย หน้ากูเหมือน Photo Hunt มากเหรอ แล้วน้ำเสียงของมันก็สุดจะธรรมดาหรรษา แต่สายตาที่มองมาอย่างกับจะบอกว่า
‘มึงมันโง่ครับลู่หาน แถได้กะโหลกกะลาสุด ๆ มีแต่ควายดูไบเท่านั้นแหละที่จะพกปืนก๊อง ๆ เดินรอบบ้านแบบนี้ ถ้ามึงกล้า มึงเจ๋งมากก็หาเรื่องแถมาเลย กูพร้อมบวกมึงเสมอ กระจอก’
“เหรอ” พอหลุดออกจากโลกมโนแล้วลู่หานทำตาเหลือกแต่ริมฝีปากกำลังยกยิ้มกว้าง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ปาร์คชานยอลก็ดูเหมือนว่าจะวิ่งแซงหน้าเขาอยู่ตลอดเวลา
“อาจจะเป็นปืนเด็กเล่นก็ได้” ไม่รู้ว่าจะขอบคุณน้ำใจของซีวอนดีไหมที่อุตส่าห์หวังดีช่วยแก้ต่างให้ทั้งกูที่ไม่ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำพูดของมันทะแม่ง ๆ อยู่ดี “เด็กกับของเล่นเป็นของคู่กันอยู่แล้ว”
ขอบคุณครับ...ถุ้ยยยยยยยยยยยยยย!!!
“เออ ชานยอลมันพูดถูก ฉันจะหลุดเดี่ยวไปที่นั่นแล้วบู๊แหลกลานชนิดว่าเอาน้ำมันราดละจุดไฟเผาแม่งให้มอดไหม้ทั้งบางไปเลย” ถ้าไอ้จงอินได้ยินแบบนี้แม่งคงแซวว่าเขาเป็นตุ๊ดแน่ ๆ ที่เอาแต่พูดประชด เอาเหอะครับ พอมองหน้าไอ้ชานยอลทีไรความรู้สึกอยากเป็นคนมีเหตุผลมันก็มลายหายไปในพริบตาทุกทีเลยสิ
“ผมอยากให้คุณมานั่งนี่ก่อน ยืนนาน ๆ ไม่เมื่อยหรือไงหืม?” ซีวอน ไอ้พ่อหม้ายลูกติดจิตงุ่นง่าน นั่งแดกกาแฟเงียบ ๆ ไปครับไม่ต้องมายุ่งกับกู
“ยืนตรงนี้ก็โอเคมาก” ลู่หานยืนเอามือไขว้หลังท่านักฟุตบอลตอนร้องเพลงชาติข้างสนาม
“ผมเห็นด้วยกับชานยอลนะ” อี้ฟานก็เห็นดีเห็นงามไปกับมันอีกคน เออดีครับ ไม่เคยจะขัดใจกันเลย “ผมรู้ว่าคุณเอาตัวรอดเก่ง แต่เรามาปรึกษาหารือกันก่อนดีกว่าไหมว่าควรทำยังไง อย่างน้อยก็น่าลงเสียงโหวต” มาถึงตอนนี้แล้วยังใจเย็นกันได้อีก ต้องรอให้แม่งลากศพมันสองคนมาเทกระจาดถึงหน้าอุทยานก่อนเหรอถึงจะทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย
“ยังต้องปรึกษาอะไรอีก รู้ไหมว่าฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนของไฟทุกครั้งที่หย่อนตูดนั่งบนเก้าอี้”
“งั้นมานั่งนี่สิลู่หาน รับรองว่าไฟที่ก้นคุณจะดับลงเพราะความเย็นยะเยือกของมัน” ซีวอนผายมือไปยังหิมะบนพื้น ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจจนอยากจะปากสั่นระริกแล้วน้ำตาไหลเป็นสายน้ำตอนหันไปสบตากับมัน
“ขอบใจนะซีวอน”
“ยินดีกว่านี้หามีไม่”
เขาปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก เพราะไม่ว่าจะอธิบายยังไงคนพวกนั้นก็ยังมีท่าทีว่าควรจะใจเย็นต่อไปอยู่ดี
“ถ้าอยากรอต่อไปก็เชิญเลยครับ” ลู่หานเดินถอยหลังขณะมองไปยังชายหนุ่มทั้งสาม เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่คนพวกนั้นไม่ได้กระตือรือร้นกับเรื่องนี้เลย “เพราะถ้าฉันติดอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะอยู่สบายดีหรือสภาพแย่จนดูไม่ได้ ฉันก็อยากให้คนที่นี่นึกเป็นห่วงเป็นใยฉันเหมือนกันว่ะ”
ประโยคตัดพ้อของลู่หานทำให้ผู้ชายตัวสูงทั้งสามรู้สึกผิดขึ้นมา ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยที่จงอินกับเซฮุนหายไปนานขนาดนี้ แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือการรอ เพราะถ้าให้คิดเหมือนลู่หานผลลัพธ์ที่ออกมามันคงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดแน่ อีกอย่างคนที่จะเดือดร้อนเพราะเกิดการปะทะนั่นไม่ใช่แค่คนในกลุ่มที่ตัดสินใจเข้าไปช่วย แต่ที่นั่นยังมีคนธรรมดาอีกครึ่งร้อยอย่างที่จงอินเคยบอก และคนเหล่านั้นหลบหนีไปอยู่ในค่ายเพื่อหาทางรอด
“งั้นผมจะไปกับคุณ” คนที่เพิ่งหันหลังให้ต้องหยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น “และมันหมายความว่าวันนี้เราจะไปดูลาดเลากันก่อน” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เขาไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่กับการได้ยินเสียงของปาร์คชานยอล
นี่อยากจะตอบไปเหลือเกินว่าที่พกปืนไว้ติดตัวเนี่ยไม่ใช่ว่าจะหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงป้าง ๆ ให้ตายเรียบทั้งค่ายหรอกนะครับ กูพกเผื่อกรณีฉุกเฉิน จริง ๆ ก็ตั้งใจจะไปดูลาดเลาเหมือนกันแหละห่า
“ขอเวลาผมเตรียมตัวสิบนาที” ร่างสูงไม่ได้หันมามองเขาหรือแม้แต่จะหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อหันหน้าคุยกันอย่างจริงจัง แต่ที่มันทำคือการพูดลอย ๆ เดินตัวเบาไปหน้าตาเฉยราวกับจะบอกว่า ‘ดีดดิ้นมากนักใช่ไหม งั้นมึงรออยู่นี่ เดี๋ยวกูจะพามึงไปจัด’
ลู่หานหันกลับไปมองผู้ชายสองคนนั้นพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น แบสองมือออกเป็นเชิงขอความเห็นแต่ซีวอนกลับทำท่าเดียวกันกับเขา สีหน้าของมันตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กวนส้นตีนกว่านี้หามีไม่ พอหันไปทางอี้ฟาน หมอนั่นก็พยักหน้าเบา ๆ อย่างกับจะบอกว่าไปกับไอ้ห่านั่นน่ะดีแล้ว อย่าคิดที่ฉายเดี่ยวเลย
“ห้านาทีพอ! ช้ากว่านี้กูไม่รอนะเว้ย!”
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชายหนุ่มตื่นมาเข้าครัวแต่เช้า การตื่นตั้งแต่ฟ้ามืดไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา มันน่าแปลกที่คิมจงอินไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเหมือนตอนอยู่อุทยาน แต่พอทบทวนทุกอย่างแล้วก็ได้คำตอบ
ข้อแรกอาจจะเป็นเพราะไม่คุ้นที่ ข้อสองเป็นห่วงเซฮุน ข้อสามคนในโรงนอนชายแม่งนอนกรนประสานเสียงกันอย่างกับวงออเครสตร้า ข้อสี่คิดมาก ไอ้เหี้ย ทุกสิ่งล้วนแต่ทำให้กูนอนไม่หลับเข้าใจไหม
ทั้งสี่คนเตรียมมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ถึงจะแค่ทำข้าวต้มเหลว ๆ ก็เถอะแต่มันก็ทำให้กล้ามขึ้นได้เหมือนกัน กว่าจะเคี่ยวเสร็จให้ได้ปริมาณมากพอก็ล่อไปหลายชั่วโมงอยู่ ตอนนี้ผู้คนกำลังทยอยกันเข้ามาในโรงอาหารโทรม ๆ ที่โต๊ะไม้ยาวเก่า ๆ กับเก้าอี้พลาสติกวางระเกะระกะ เขาเริ่มจะคุ้นหน้าใครหลาย ๆ คนเพราะพวกเขาเลือกนั่งตรงที่เดิมเหมือนกับทุกวัน
เด็กผู้ชายคนหนึ่งคอยแจกถาดหลุมให้คนที่กำลังต่อแถวเข้ามา หน้าที่ของจงอินคือตักข้าวต้มใส่หลุมใหญ่ ส่วนจินฮีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยตักกิมจิกระป๋องให้ จะว่าไปแล้วมันก็แค่หยิบนึงที่กินคำเดียวหมด แต่เพียงแค่นั้นมันก็เพิ่มรสชาติได้หากว่าเอาไปคลุกกับข้าวต้ม
ผู้คนที่นี่เหมือนหุ่นยนต์ พวกเขาไม่มีการทักทายกันจนอดคิดไม่ได้ว่าการมากินข้าวมันก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ทุกคนต้องทำ จงอินถอนหายใจเบา ๆ เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำอยู่เหลือเกิน ทำไมเขาต้องมาทำเรื่องแบบนี้ทั้งที่มันไม่จำเป็น จงอินเริ่มรู้สึกได้ว่าความอดทนของเขาใกล้มาถึงจุดขีดสุดแล้ว คิดว่าการขอเข้าไปเจอเซฮุนควรได้รับอนุมัติสักทีหลังจากพลาดมาหลายครั้ง
“เหนื่อยไหม?”
“...”
จงอินหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าคำถามนี้ไม่ได้ส่งมายังเขา ใบหน้าคมหันไปทางขวาแล้วก็พบว่ามีทหารสามนายแซงคิวมาข้างหน้าสุดพร้อมกับถือถาดหลุมเปล่า ๆ ไว้ในมือ มันคงไม่แปลกอะไรถ้าพวกมันสามคนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาเพื่อเอาข้าวต้ม แต่ที่มันทำอยู่คือการยืนจ้องยูจินฮีด้วยสายตาแทะโลมอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ค่ะ”
“เหรอ ถ้าเหนื่อยก็พักนะรู้ไหม?”
“ค่ะ ขอบคุณ” เธอก้มหน้าหลบตาทหารทั้งสาม พอเห็นอย่างนั้นพวกมันก็ย้อนกลับมาหาเขาพร้อมกับยื่นถาดหลุมมาตรงหน้าจนคนที่ยืนต่อแถวอยู่ต้องถอยออกไป
คิมจงอินได้แต่ลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นเอาไว้ มันคงไม่เข้าท่าหากเขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามไอ้เชี่ยสามตัวนี้ว่า
‘ตอนเป็นพลทหาร ครูฝึกไม่เคยสอนเรื่องระเบียบวินัยให้พวกมึงหรือไง?’
แต่ถ้าพูดแบบนั้นพนันได้เลยว่าทุกอย่างคงไม่จบด้วยการถูกกระทืบด้วยรองเท้าคอมแบทสามคู่ ใช่ว่าคิมจงอินจะกลัวการสู้แบบสามต่อหนึ่ง แต่การอยู่เฉย ๆ โดยไม่มีเรื่องราวผิดใจกับใครระหว่างรอเซฮุนมันคงเป็นเรื่องที่ดีกว่า
เสียงทัพพีกะเทาะกับถาดหลุมสแตนเลสทำให้นายทหารเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์นัก ถึงคิมจงอินจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันแต่พวกเขาก็พอจะรู้สึกได้ว่ากำลังถูกกวนประสาทอยู่
“โทษที วันนี้เคี่ยวนานเกินไปข้าวต้มเลยเหลวอย่างกับขี้แบบนี้ ทน ๆ กินหน่อยนะ” พูดจบก็กะเทาะทัพพีเป็นครั้งสุดท้าย
โทษทีว่ะ ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็อดกวนส้นตีนกลับไปไม่ได้จริง ๆ
ทหารทั้งสามนายถอยออกไป พวกมันดูไม่พอใจกับคำพูดปั่นประสาทของเขา สังเกตได้จากถาดหลุมที่ถูกโยนทิ้งลงกลางวงจนคนแก่ที่กำลังนั่งกินข้าวต้มอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วเวลาหนึ่งก่อนจะหันกลับไปกินข้าวต้มอย่างเดิมทันทีที่ทหารทั้งสามออกไปจากโรงอาหารแล้ว
“คุณกำลังทำให้พวกเขาไม่พอใจนะ”
“รู้ วันหลังผมก็อยากให้คุณตอบโต้ด้วยวิธีนี้เหมือนกัน อย่าปล่อยให้พวกมันรู้สึกว่าอยู่เหนือกว่าคุณสิ” จินฮีมองคนข้าง ๆ ที่กำลังตักข้าวต้มใส่ถาดหลุมให้คนที่ต่อแถวเข้ามาเรื่อย ๆ เธอรู้สึกเป็นกังวลกับสิ่งที่จงอินทำลงไป
“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง”
“คุณทำได้” จงอินหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย “คนที่อ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อเสมอ จำไว้”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรอีก เธอเข้าใจความหมายที่จงอินกำลังสื่อเป็นอย่างดี จะว่าไปแล้วตลอดเวลาที่เธอกับสามีหนีหัวซุกหัวซุนมาก็เคยผ่านเรื่องราวแย่ ๆ มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นการตอบโต้พวกทหารก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงอย่างเธอถนัด ยูจินฮีได้แต่หวังว่าสามีของเธอจะออกมาจากศูนย์ทดลองภายในเร็ววัน
“ลุงไปนั่งเถอะ เดี๋ยวผมเอาไปให้” เขาบอกชายผมหงอก เห็นยืนหลังค่อมแบบนี้แล้วก็สงสาร คิมจงอินไม่ใช่ผู้ชายแสนดี แต่เขาก็ไม่ใจร้ายพอขนาดว่าเห็นคนลำบากตรงหน้าแล้วจะไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
ชายแก่พยักหน้า ก่อนจะค่อย ๆ พาร่างเหี่ยวย่นของตัวเองไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ จงอินเริ่มเร่งมือเพื่อให้ทุกคนได้กินข้าวกันไว ๆ ส่วนเขาก็จะได้ไปจัดการเรื่องขอพบเซฮุนสักที
ใช้เวลาไม่นานนักร่างหนาก็วางถาดหลุมลงบนโต๊ะ ชายแก่เงยหน้าขึ้นแล้วรับช้อนที่อีกคนยื่นให้ ชายหนุ่มหยัดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มตักข้าวต้มเข้าปาก ทุกอิริยาบถของเขาอยู่ในสายตาของชายผมหงอก
ชายแก่หลุบลงมองถาดหลุมของตัวเองและของอีกคนแล้วก็พบว่าถาดของเขามีกิมจิมากกว่าที่เคยได้แต่ถาดของจงอินนั้นไม่มี เขาไม่ได้เอ่ยปากถามอีกคนว่าทำแบบนี้ทำไม บางทีเด็กคนนี้อาจจะนึกสงสารเลยให้คนแก่งั่กอย่างเขาได้มีโอกาสกินเยอะ ๆ ก่อนตายก็ได้
“พ่อหนุ่ม” จงอินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว จนถึงตอนนี้ชายแก่ยังไม่ได้ตักข้าวต้มเข้าปากสักคำ “มาที่นี่คนเดียวเหรอ?”
“เปล่า” เขาก้มหน้าลงกินข้าวต้มต่อ ท่าทางเร่งรีบจนอดสงสัยไม่ได้
“แล้วมากับใครล่ะ”
“เด็กผู้ชายคนนึงที่ถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยน”
“...”
“ผมอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก พอถึงตอนนั้นคงไม่มีใครมาเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำให้ลุงแบบนี้”
“ฉันก็คงเหมือนกัน” จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้าวต้มที่กำลังจะถูกตักเข้าปากค้างอยู่ท่านั้น “อีกไม่นาน”
“ลุงพูดอะไร?”
ชายแก่ไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่แววตาที่มองมานั้นเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด คิมจงอินไม่สามารถคาดเดาได้ว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ยอมรับเถอะว่าคำพูดของตาแก่นี่ทำให้เขาเกิดความสงสัยจริง ๆ
บทสนทนาไม่ได้คืบหน้าไปกว่านั้น จงอินปล่อยให้ชายแก่ใช้เวลาอยู่กับข้าวต้มในถาดหลุมต่อไป ส่วนเขาก็ออกมาข้างนอกแล้วตรงไปหาจูจีฮุนที่กำลังคุยกับทหารนายหนึ่งอยู่ข้างรถจี๊ฟ จงอินยืนรออยู่ห่าง ๆ เมื่ออีกฝ่ายรู้ถึงการมาของเขาแล้ว
จีฮุนตบบ่าทหารหลังจากคุยธุระเรียบร้อย เขาเดินมาหาอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย จงอินคิดว่าจีฮุนก็คงรู้ว่าเขามาที่นี่เพราะอะไร
“ทานข้าวเช้าแล้วเหรอครับ?”
“ทุกอย่างเรียบร้อย และตอนนี้ฉันว่างมากพอที่ไปจะนั่งดูโอเซฮุนหลับในห้องพักได้เป็นชั่วโมง” ทันทีที่พูดจบคนฟังก็หลุดขำออกมาเบา ๆ จูจีฮุนไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจกับคำพูดของเขากลับกันแล้วหมอนี่ยังทำเหมือนว่ามันเป็นมุขตลก
“โอเคครับ งั้นเราไปเยี่ยมเซฮุนกัน” ชายหนุ่มว่าก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางตึกสีขาว จงอินถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเขาก็จะได้เจอเด็กคนนั้นสักทีหลังจากรอมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
ทั้งคู่เดินไปตามทาง เสียงทหารตะโกนข้ามหัวกันทำให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดโดยไม่รู้ตัว บรรยากาศเดิม ๆ ที่พบเจออยู่ทุกวัน เขารู้สึกรำคาญและสงสัยว่าทหารพวกนี้มันไม่กลัวพวกผีห่าซาตานแห่มากันหรือไง แต่พอเห็นกำแพงสูงเท่าคนสองคนยืนต่อตัวกันก็ได้คำตอบ อย่างน้อยพวกมันก็ปีนเหมือนลิงค่างไม่ได้
“จูจีฮุน”
“ครับ?”
“ให้เลือดมันนานขนาดนั้นเลยหรือไง?” ถึงจะความรู้น้อย แต่สิ่งที่เป็นอยู่มันก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าการให้เลือดมันยาวนานขนาดนั้นเลยหรือไงกัน
“มันไม่นานหรอกครับ เอาล่ะ ผมจะอธิบายให้คุณฟัง อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิ” จีฮุนวางมือลงบนไหล่หนาพร้อมกับบีบเบา ๆ เพื่อให้คนข้าง ๆ ผ่อนคลาย “ในนั้นมีนักวิทยาศาสตร์อยู่แค่สามคน ห้องทดลองก็มีแค่ห้องเดียว แต่คนที่เป็นเหมือนเซฮุนก็มีเยอะพอสมควร”
“กี่คน”
“ตอนนี้มีแปดคนครับ”
“เยอะดีนี่”
“ใช่ และพวกเขาก็ต้องผลัดกันออกไปให้เลือด” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “นั่นหมายความว่าความหวังของเรามีเยอะมากขึ้นโดยไม่ต้องออกไปเสี่ยงดวงข้างนอกว่าจะได้เจอคนที่ถูกกัดแล้วไม่เป็นไรกี่คน แต่ผมไม่ได้หมายความว่าเจอคนปกติแล้วมันไม่ดีนะ”
“รีบแก้ตัวเชียวนะ” จงอินแค่นหัวเราะ สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขณะมองไปยังตึกสีขาวเบื้องหน้าที่เข้ามาใกล้ทุกที
“ก็คุณดูเหมือนว่ากำลังจับผิดผมอยู่นี่”
“งั้นเหรอ ไม่บอกคงไม่รู้”
“คุณโกรธผมหรือไง” ร่างสูงถามในท่าทีสบาย “ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้หรอก เข้าใจผมเถอะ” พอดูออกว่าที่จงอินเป็นแบบนี้ก็เพราะไม่พอใจที่ไม่ได้เจอเซฮุนสักที
“หลังจากได้เจอเด็กนั่นแล้วจะพิจารณาอีกที”
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าปากทางเข้าตึกสีขาว จูจีฮุนเข้าไปคุยกับทหารทั้งสองนายและการที่ชายหนุ่มชุดลายพรางพยักหน้ารับนั่นก็เป็นสัญญาณที่ดี
“ก่อนเข้าไปต้องตรวจร่างกายนิดหน่อย คุณไม่มีอาวุธใช่ไหม?” จีฮุนหันมาถามก่อนที่ทหารนายหนึ่งจะเข้ามาลูบ ๆ คลำ ๆ ตามตัวเขา จงอินอ้าแขนออกเพื่อให้สะดวกต่อการค้นหาพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไขควง?”
“โทษที อาชีพเก่าเป็นช่างซ่อมรถน่ะ นี่ก็จะยึดเหรอ?” จงอินมองอีกฝ่ายแล้วทำหน้าเนือย
“แน่นอนอยู่แล้ว ไอ้นี่มันสามารถแทงหัวคนตายได้ไม่รู้หรือไง?” นายทหารมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษ จงอินเลิกคิ้วขึ้น ประโยคเมื่อครู่มันค่อนข้างที่จะระคายหูอยู่พอสมควร
“จริงดิ เพิ่งรู้นะเนี่ย”
“ยึดไว้ก่อนแล้วกัน”
“คืนด้วยนะ ชิ้นนี้หวงมาก เผื่อได้เอาไปแทงหัวใครสักคน” เขาเห็นว่าเส้นเลือดตรงขมับทหารหนุ่มกระตุกอยู่นิด ๆ หลังจากเห็นรอยยิ้มของเขา
“เชิญ” ทหารทั้งสองนายถอยหลังออกคนละก้าว ชายหนุ่มมองไปยังเบื้องหน้า ประตูเหล็กใหญ่บานนั้นคงเป็นปราการสุดท้ายที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับเขา จงอินเดินไปข้างหน้า เขารู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อยกับการที่จะได้เจอเซฮุนในรอบหลายวัน ได้แต่หวังว่าเด็กคนนั้นจะยังปกติดี
“จีฮุน! เกิดเรื่องที่โรงนอนชาย รีบมาเดี๋ยวนี้เลย!” เสียงตะโกนจากข้างหลังทำให้ทุกคนหันไปมอง เจ้าของชื่อไม่รอช้า เขารีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ได้ยินเสียงทหารสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ ทั้งคู่ดูชั่งใจว่าจะทิ้งการเฝ้ายามตรงนี้แล้วไปช่วยสมทบอีกแรงดีหรือเปล่า จงอินมองกลับไปข้างหลัง สถานการณ์เบื้องหน้าอีกทั้งเสียงของทหารสองนายทำให้เขาลังเลว่าจะเดินเข้าไปในศูนย์วิจัยเลยหรือว่าจะกลับไปดูเหตุการณ์ที่โรงนอนชายดี
ที่นั่นเกิดอะไรขึ้น? นี่คือคำถามแรกที่ผุดเข้ามาในหัว
“แม่งเอ้ย”
ริมฝีปากหยักสบถแล้วคว้าเอาไขควงจากมือทหารหนุ่มก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในค่ายเพียงแค่คิดว่าที่นั่นอาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นจนทหารพวกนั้นต้องเหนี่ยวไกยิง และมันคงไม่ดีแน่หากว่าเสียงปืนดังจนพวกผีดิบมากมายแห่กันมาที่นี่ ภาพตอนโรงเรียนแตกเมื่อคราวนั้นเขายังจำได้ดี มันแพร่เชื้อไวมากจนทำให้คนบริสุทธิ์ตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
จงอินแหวกทางผู้คนที่ยืนมุงข้างในแล้วก็เห็นชายแก่คนหนึ่งกำลังนอนชักกระตุกอยู่บนพื้นโดยที่มีทหารหนุ่มที่มีผ้าสีขาวรูปกากบาทคาดอยู่ตรงต้นแขนบ่งบอกว่าเป็นแพทย์สนามคอยดูอาการให้ อีกทั้งยังมีเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งสะอื้นกอดหญิงวัยกลางคน เขาได้ยินเด็กคนนั้นสะอื้นจนพูดไม่ได้ศัพท์
แววตาของหญิงวัยกลางคนแดงก่ำ กลอกมองไปมาราวกับระแวงอะไรสักอย่าง บางทีผู้หญิงสองคนนั้นอาจจะเป็นแม่ลูกกัน แล้วตาแก่นั่นก็เกิดบ้าทำอะไรสักอย่าง แต่อีกหนึ่งข้อสงสัยว่าพวกเธอเข้ามาในโรงนอนชายเพื่ออะไร?
“ถึงคิวตาแก่นั่นแล้วสินะ...”
“หุบปาก อย่าพูดให้พวกมันได้ยินเชียว”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะหันไปหาชายวัยกลางคนที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ สีหน้าสองคนนั้นไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงที่กำลังกอดเด็กสาวคนนั้นแนบอกเลยสักนิด จงอินหันไปมองรอบข้าง ตอนนี้ทุกคนกำลังกลัวอะไรกันอยู่ ทั้งที่ชายแก่คนนั้นนอนแน่นิ่งจนถูกหามขึ้นเปลไปแล้ว
“หลบทางหน่อย” ทุกคนถอยออกพลางมองชายแก่ที่ถูกหามออกไปโดยทหารสองคน
คนที่เคยยืนมุงอยู่ก่อนหน้านี้กำลังทยอยแยกย้ายกันออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง จงอินยืนนิ่ง เขากำลังเรียบเรียงความคิดในหัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร และพอมองเข้าไปในโรงนอนชายก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นกับเด็กอีกคนหายไปแล้ว
ปึง!
เสียงประตูรถปิดลงทันทีที่เครื่องยนต์ดับ ชานยอลมองไปยังใครอีกคนที่กำลังเปิดประตูหลังแล้วคว้าเอาไรเฟิลกับกล้องส่องทางไกลออกมาเตรียมพร้อมก่อนจะเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่คิดจะหันมาเรียกเขาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
แต่สิ่งที่ปาร์คชานยอลคาดหวังไว้มันคงสูงเกินไป พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินห่างออกไปทุกทีแล้วเลยเปิดประตูรถออกก่อนจะตามไปอย่างไม่เร่งรีบ แน่นอนว่าระหว่างทางเขาทั้งคู่ไม่มีใครเปิดบทสนทนาออกมาเลยสักคำเดียว
จะมีก็แค่เสียงลู่หานแหกปากประสานเสียงกับเพลงที่เปิดลั่นรถเท่านั้นแหละ เพลงไหนร้องได้ก็โอเคหรอกนะ แต่บางเพลงที่ร้องไม่ได้แต่พยายามดำน้ำนี่สิ ได้ยินแล้วนึกอยากจะหูหนวกขึ้นมายังไงอย่างนั้น
ชานยอลมองแผ่นหลังของใครอีกคน แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าลู่หานแต่ก็พอจะเดาออกว่าในหัวผู้ชายคนนั้นคงเต็มไปด้วยทางหนีทีไล่หากว่ามีเรื่องที่ต้องวิ่ง ขายาวหยุดอยู่กับที่เมื่ออีกคนฉีกไปทางขวาพร้อมกับยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เพียงแค่ครู่เดียวลู่หานก็หันมากวักมือเรียกให้เขาไปหลบหลังพุ่มไม้ด้วยกัน
“ครับ?”
“เพิ่งคิดได้ว่าเราควรจะดูลาดเลาก่อนให้พวกมันเห็นการมาของเรา” ลู่หานพูดขณะส่องกล้องทางไกล
“นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณมาตลอดทั้งทางว่าคนพวกนั้นคงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่กับการที่คุณเดินเข้าไปในนั้นทั้งที่ถืออาวุธครบมือแบบนี้ เราควรสังเกตการณ์ให้รอบคอบก่อน”
“มึงไม่ได้จะพูดแบบนี้ อย่ามาเอาความดีความชอบได้ป่ะ เงียบปากแล้วฟังกูคอมมานด์ เข้าใจไหม?” ลู่หานหันไปชี้หน้าสั่งการคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ชานยอลปั้นหน้านิ่ง จะว่าไปแล้วเขาก็ชินที่ต้องเซ็งกับความเผด็จการของผู้ชายคนนี้มานานแล้ว
“ครับ แล้วไงต่อ?” ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นความพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่หิ้วไอ้หอกนี่มาด้วยทั้งที่เขาทั้งคู่ก็ไม่ได้กินเส้นกันเลยสักนิดเดียว
“ปีนต้นไม้เป็นเปล่า?”
เสียงต้นไม้เขย่าเมื่อทั้งสองคนปีนขึ้นมาสูงมากพอแล้ว หิมะจากกิ่งก้านใบไม้ที่ร่วงลงมาทำให้ต้องสะบัดหัวออกก่อนจะมองไปยังค่ายทหารที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นการที่เขาจะมองเห็นได้ก็ต้องพึ่งกล้องส่องทางไกลอยู่ดี
“ขอผมสักอย่าง” ลู่หานหันไปมองอีกคนที่ยืนเกาะต้นไม้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับยื่นมือมาทางนี้ เห็นแล้วก็อยากหัวเราะให้ฟันหัก หล่อมากใช่ไหมมึงอ่ะ พอขึ้นมาอยู่ที่สูงขาก็สั่นระริกเชียว
แต่พูดก็พูดเถอะ กูเองก็ไม่ได้เทพไปกว่ามันเลย พอก้มลงไปข้างล่างเท่านั้นแหละนี่ขี้แทบหยอด ส่วนขาไม่ต้องพูดถึง สั่นไปกี่ริกเตอร์อย่าให้วัด ลู่หานกอดต้นไม้ไว้แน่น ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมชีวิตกูต้องเกิดมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
“ตาดีไม่ใช่ไง? จำเป็นต้องพึ่งกล้องส่องทางไกลด้วย?”
“จำเป็นครับ กรุณาแบ่งมาให้ผมด้วย” ดูมันดิ ทำหน้าซีเรียสมาจากไหน กูร้องขอให้มาด้วยกันหรือเปล่าก็ไม่ ทำหน้าบึงตึงใส่แบบนี้เดี๋ยวกูปืนลั่นใส่สักดอกแล้วจะหนาวขี้
“กลัวเหรอวะ” ลู่หานยิ้มล้อแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ขำ เขาหุบยิ้มลงแล้วเอาถอดสายคล้องกล้องส่องทางไกลออกมาคอ “รับดี ๆ นะ ถ้าตกมึงต้องลงไปเก็บเอง”
“ถ้าคุณฉลาด คุณจะโยนให้ผมรับได้พอดี” อ้าวสัดนี่ พูดงี้ขอยืมปากไปฝากตีนหน่อยได้ไหมล่ะ
ลู่หานหรี่ตามองอีกฝ่ายที่อยู่ต้นไม้ข้าง ๆ ทำท่าเล็งยึกยักอยู่ในทีจนชานยอลมันทำหน้าอยากเสกระเบิดขวดใส่เขานั่นแหละถึงได้โยนไปให้มัน
“ถ้าคุณไม่พูด ผมไม่พูด ท่าจะเป็นเรื่องดี”
“โห กูอยากคุยกับมึงตายเลยแหละมั้งครับเนี่ย ใจเย็นไว้ลูกพ่อ อย่าเพิ่งสั่น...” ลู่หานพูดกับมือตัวเองที่กำลังสั่นจนเว่อเกินจริงพลางมองอาฆาตคนตัวสูงที่ส่องกล้องทางไกลอยู่ต้นไม้ข้าง ๆ ห่านี่แม่งคารมณ์เรียกตีนจริง ๆ
“มีทหารเฝ้าอยู่ตรงหอคอยสองคน ตามจุดหน้าบ้านพักก็มีแต่ไม่มากเท่าที่ควร มีตึกสีขาวอยู่ทางด้านในสุด ผมคิดว่าที่นั่นอาจจะเป็นศูนย์วิจัยที่จงอินเคยบอก” พอได้ยินอีกฝ่ายบรรยายเป็นฉาก ๆ ลู่หานก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขารีบถอดสายสะพายปืนไรเฟิลออกมาแล้วตั้งท่าส่องกล้องแต่ยิ่งลนลานเท่าไหร่ปืนก็ทำท่าจะตกลงไป
“เออ กูเห็นเหมือนมึงเด๊ะเลย ตรงนั้นมีคนอยู่ด้วยว่ะ เห็นป่ะที่กำลังหอบของเข้าไปในบ้าน”
“ทางขวาหรือทางซ้ายครับ?”
“เอ้า ทางซ้ายมีคนแบกของป่ะล่ะ...เออ มีว่ะ” คำด่าถูกกลืนลงคอไปหมดเมื่อพบว่าไม่ได้มีแค่ผู้ชายคนเดียวที่กำลังยกของเข้าไปในบ้านพัก ทั้งคู่ละสายตาออกจากกล้องพลางมองค่ายทหารด้วยตาเปล่า
“เจอไอ้จงอินไหม”
“ไม่”
“นรกละ”
“บางทีเขาอาจจะอยู่ในบ้านสักหลังก็ได้”
“มึงโลกสวยเหรอ” ลู่หานเหล่มองอีกคน “งั้นแสดงว่าไอ้เชี่ยนั่นคงกำลังจะเดินออกไปรอรถเมล์หน้าปากซอยสินะ” เขาชี้ไปยังผีดิบตัวหนึ่งที่กำลังโซเซไปตามถนนแล้วสะดุดล้มหน้าคะมำลงกับหิมะก่อนจะตะเกียกตะกายคลานต่อไป “สงสัยเหนื่อยจะใช้ขาเดิน” ลู่หานเบ้ปากปั้นหน้าปั้นตากวนประสาทใส่คนตัวสูง
“เอาที่สบายใจครับ”
“กูจะสบายใจกว่านี้ถ้าได้มาคนเดียว”
“งั้นผมขับรถกลับดีไหม? ตอนนี้ก็พอจะจำทางได้แล้ว” ร่างสูงหันไปยิ้มให้ ซึ่งขอพูดตรงนี้เลยว่าเป็นรอยยิ้มที่กวนส้นตีนที่สุดในโลก “หรือถ้าคุณมีพลังวิเศษจะเสกให้ผมกลับอุทยานก็ได้นะ”
มึงนี่น้อออออออออออออออออออออออออออออออ
พลังวิเศษที่หน้ามึงเถอะครับ อดใจไว้ลู่หาน อดใจไว้...
“ถามจริงเหอะ” ลู่หานหันไปสนใจกับลำกล้องไรเฟิลอีกครั้งและชานยอลก็เช่นกัน “ที่มึงกวนตีนแบบนี้เพราะแอบชอบกูอยู่ใช่ไหม”
“...”
“ที่พูดไม่ใช่ไรนะ กูรู้สึกได้ไง คือเมื่อก่อนอย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย พวกเก้งกวางไก่กาอาราเล่ก็ชอบกูทั้งนั้น พวกมันบอกว่ากูหน้าหวานว่ะ ได้ยินทีมีตีนกระตุก” ลู่หานยังคงพูดเป็นต่อยหอยไม่ได้หันไปมองใครอีกคนที่กำลังทำหน้าเนือยเหมือนปลิงโดนเกลือเลยสักนิด
“ครับ”
“แต่มึงเข้าใจอารมณ์ป่ะว่าคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้ กูก็ไม่ได้อยากหน้าหวานป่ะวะ จะแมนไม่แมนของแบบนี้มันอยู่ที่ใจเว้ย ซึ่งกูจะบอกมึงว่าอย่าริอาจคิดแบบนั้นเชียว” ลู่หานยิ้มพร้อมกับหันมากระดิกนิ้วชี้ไปมา
“รู้สึกดีขึ้นไหมครับหลังจากพูดจบ”
“กูจะไม่ตอบคำถามนี้ มันจะเป็นการทำร้ายจิตใจมึงจนเกินไป แต่เอาเถอะ ถือว่ากูได้พูดแล้วมึงจะได้เลิกหวัง”
“เจ็บนะครับ”
“หัวใจมึงน่ะเหรอ” ลู่หานหันไปหาชานยอลที่ลดกล้องส่องทางไกลลงก่อนจะหันมาสบตากับเขา
“เปล่าครับ ผมหมายถึงว่าถ้าถูกถีบตกต้นไม้คงเจ็บน่าดู”
ลู่หานสตั้นท์ไปเกือบครึ่งนาที ประหนึ่งมีเข็มนาฬิกาดังติ๊ก ๆ อยู่ข้างหู หลอกด่ากูหน้าตายแบบนี้สู้เคี้ยวขี้แล้วพ่นใส่หน้ากูยังจะดีกว่า ตอนนี้ปาร์คชานยอลหันไปสนใจกับกล้องส่องทางไกลอีกแล้ว และเขาจะน้อยหน้าไปไม่ได้ งานนี้ลู่หานผู้กล้าแกร่งต้องเป็นคนเจอไอ้จงอินก่อน
“ผมเห็นจงอินแล้ว”
ซั๊ซ!!!
ลู่หานตั้งไรเฟิลพร้อมกับส่องลำกล้องหาเป้าหมายทันที เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เห็นเพื่อนสนิทกำลังยืนคุยกับทหารนายหนึ่งอยู่ จะหาว่าคิดไปเองก็ได้ แต่ตอนนี้สีหน้าของมันดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
“เซฮุนล่ะ?”
“ผมยังไม่เห็น”
“ยังไงกันวะ...” เขาพึมพำกับตัวเองทั้งที่ยังไม่ละห่างจากเป้าหมาย จงอินยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าทหารจะเดินออกไปจากตรงนั้นแล้ว ร่างหนาเสยผมขึ้นแล้วยืนใช้ความคิดก่อนจะเดินหายไปไหนก็ไม่รู้ “อ้าวเห้ย!”
“ข่าวดีคือจงอินยังอยู่ครบสามสิบสอง”
“ไม่ครบ เพราะเรายังหาส่วนที่สามสิบสามไม่เจอ” ลู่หานยังคงส่องลำกล้องไปทั่วเพื่อหาเซฮุน แต่ก็ไม่พบร่องรอย “ไหนคนฉลาดช่วยวิเคราะห์หน่อยดิว่าตอนนี้เด็กกรงหมามันอยู่ไหน”
“กับสิ่งที่ไม่รู้คงเอาคำว่าฉลาดมาใช้ไม่ได้มั้งครับ”
“เออ งั้นเดามา” เริ่มจะงิดอีกรอบแล้วครับ มึงช่วยคล้อยตามกูสักนิดไม่ได้หรือ นี่ก็จะยื่นขามาขัดกูท่าเดียวเลย พ่อมึงเป็นสก๊อตไบร์ทไงคว๊าย
“เขาอาจจะอยู่ในศูนย์วิจัย”
“ไปอยู่ทำไมในนั้น”
“ผมไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากเดาด้วย”
“โหย สักนิดเถอะครับพี่ เห็นว่าฉลาดกว่าก็ช่วยชี้ทางสว่างให้ได้สบายใจหน่อย”
“คุณจะอยากได้ยินทำไมในเมื่อคุณมีสิ่งที่อยากเชื่ออยู่แล้ว” ไรเฟิลแทบตกต้นไม้ ลู่หานถอนหายใจหนัก ๆ แล้วหันไปมองใครอีกคนที่กำลังเพ่งมองไปยังค่ายทหาร “พูดเพื่อให้สบายใจไปก็เท่านั้น ถ้าสุดท้ายความจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิดคนที่จะผิดหวังก็คือคนที่ชอบหาเรื่องปลอบใจตัวเอง”
“พล่ามไรครับ”
“มันคือคำคาดเดาที่ผมมีให้คุณครับ” ชานยอลคล้องกล้องส่องทางไกลไว้กับคอตัวเองก่อนจะค่อย ๆ ปีนลงต้นไม้ แม่งจะรีบลงไปทำไมวะ ยังไม่เจอเซฮุนเลยนะเว้ยควายเอ้ย! “ขอเดาว่าตอนนี้คุณกำลังด่าผมในใจเป็นคำหยาบสักประโยคหนึ่ง”
“ว่ามา”
“ไอ้ควาย?”
“ผิด กูด่ามึงว่าไอ้สัด คราวนี้มึงก็เลือกได้เลยว่าอยากเป็นอะไร นี่เป็นการด่าที่ใจกว้างสุด ๆ ที่กูพึงจะมีให้คนฉลาดอย่างมึงเลยนะ” มองอีกคนด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะพยุงร่างกุ๊ย ๆ ของตัวเองลงบนต้นไม้อย่างระมัดระวัง
“ขอบคุณครับ ผมอยากเกิดเป็นผึ้งอยู่พอดี” ฟังจบก็กระโดดลงมาถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ ลู่หานยืนหอบแดกเล็ก ๆ ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่าย
“ทำไมมึงถึงอยากเป็นผึ้ง” คงไม่วายได้ตอบแบบวิชาการมาให้กูเซ็งเล่นแน่ ๆ หรือถ้ามึงบอกว่าผึ้งน่ารักอิมเมจผู้ชายหล่อขรึมของมึงจะดับดิ้นสิ้นชีวาวายตรงนี้เลยนะปาร์คชานยอล
“เพราะผมอยากต่อยปากคุณน่ะครับลู่หาน”
บ่ายแก่ ๆ ตอนนี้เขากำลังช่วยทหารยกของที่หามาได้เข้าไปเก็บในคลังเสบียง จะว่าไปแล้วก็เสียเวลาทิ้งไปอย่างน่าเสียดายตั้งหลายชั่วโมงตั้งแต่ตอนที่คิดผิดวิ่งกลับมาโรงนอนชาย พอกลับไปหน้าทางเข้าศูนย์วิจัยอีกครั้งก็ได้คำตอบเหมือนกับทุกวันว่า ‘หมดเวลาเข้าเยี่ยมของวันนี้แล้ว’
แต่เรื่องนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่ไม่ยอมเข้าไปข้างในตั้งแต่แรก สุดท้ายก็ต้องมานั่งมองนาฬิกาให้ผ่านไปถึงวันพรุ่งนี้เร็ว ๆ และเขาได้บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ยอมพลาดเหมือนกับวันนี้แน่
สองขาหยุดกึกเมื่อมีบางอย่างดึงความสนใจจนต้องหันไปมองตรงทางเข้าศูนย์วิจัย ทหารสองนายที่เคยยืนขวางทางก้าวออกไปทางด้านข้างเพื่อให้ทหารอีกสองนายหิ้วเปลคนไข้เข้าไป พอจำได้ว่าคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากลุงที่นอนชักอยู่ในโรงนอนชายเมื่อก่อนหน้านี้
ความสงสัยก่อตัวอีกครั้ง มันไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจไปหน่อยหรือกับการที่ทหารจะหิ้วเปลคนไข้เข้าไปในศูนย์วิจัยแทนที่จะพาไปห้องพยาบาลเพื่อให้แพทย์สนามดูอาการ แต่เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้มากพอที่จะฟันธง บางทีพวกนักวิทยาศาสตร์หรือใครสักคนในนั้นอาจจะทำหน้าที่รักษาได้?
แต่ยังไงมันก็ดูแปลก ๆ อยู่ดี...
“เสร็จตรงนี้แล้วช่วยยกเก้าอี้ไปทิ้งหลังบ้านหน่อย เกะกะขวางทางจริง ๆ” ทหารบ่นอุบอิบ แต่จงอินก็ไม่ได้ขัดใจอะไร ตอนนี้คนอื่น ๆ ก็มีเรื่องที่ต้องทำ มันคงไม่ใช่ธุระแสนสาหัสหากว่าเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ก่อนพาร่างกรัง ๆ ของตัวเองกลับไปโรงนอนชายเพื่อนอนเอาแขนก่ายหน้าผาก
เอาเก้าอี้พลาสติกซ้อนทับกันจนสูงถึงช่วงคอก่อนจะยกมันออกไปจากคลังเสบียง ทำอย่างนั้นอยู่กระทั่งเริ่มขนรอบที่สาม จงอินยืนนิ่งสบตากับผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังพยายามดันเด็กสาววัยสิบขวบต้น ๆ ให้ปีนขึ้นไปบนรั้วกำแพงสูง สองคนนี้ที่นั่งกอดกันร้องไห้ในโรงนอนชายเมื่อกี้ไม่ใช่หรือไง?
“...”
“ปีนขึ้นไปเร็วลูก” คนเป็นแม่พยายามดันลูกสาวอย่างทุลักทุเล เธอหันกลับมามองหน้าเขาเป็นระยะแล้วสุดท้ายเด็กสาวก็ปีนข้ามออกไปได้
“แม่!”
“แม่กำลังจะข้ามไปเดี๋ยวนี้” รีบตอบกลับไปเมื่อได้ยินเสียงตะโกนข้ามมาจากอีกฝั่ง เธอค่อย ๆ เหยียบกล่องไม้พร้อมกับเอามือยึดตามรูรอยแตกของซีเมนต์เอาไว้เป็นหลักแล้วพยายามปีนขึ้นไป
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ยืนมองภาพตรงหน้าแทนที่จะเลือกทำอะไรสักอย่างระหว่างเดินหนีไปจากตรงนี้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่ก็ถามสักคำว่าทำไมถึงคิดออกไปทั้งที่ที่นี่ก็ปลอดภัยดีแล้ว?
“เฮ้ยคิมจงอิน!”
“อ้อ!” ชายหนุ่มหลุดออกจากห้วงความคิดก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อผู้หญิงคนนั้นตกลงมาข้างล่างจนสะโพกกระแทกพื้นอย่างจังหลังจากได้ยินเสียงทหาร เธอลนลานหันมาทางนี้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว พอเห็นอย่างนั้นจงอินเลยรีบเดินออกไปข้างนอกเพื่อขวางทหารไว้ไม่ให้เดินเข้ามา “ไง?”
“ทำไมนานจังวะ? รู้ไหมว่ายังมีเก้าอี้ในคลังที่ยังไม่ได้เคลียร์ออกมาอีกตั้งเยอะ”
“รู้ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” พอได้ยินคำรับปากทหารนายนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น
จงอินยืนนิ่ง เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ช่วยเธอเอาไว้ อีกทั้งอาการลังเลว่าควรจะหันกลับไปดีหรือเปล่านี่อีก เขาน่าจะเดินออกไปจากตรงนี้แล้วปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างที่มันควรจะเป็น มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเก็บทุกอย่างมาใส่ใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพาเซฮุนกลับอุทยานเท่านั้น
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกเหมือนว่ายังไม่ตื่นจากฝันร้าย กำแพงซีเมนต์ กระจกบานใหญ่ตรงนั้น...เขา...ยังอยู่ที่เดิม
“เป็นยังไงบ้าง?”
เพิ่งรู้ว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วยก็ตอนได้ยินคำถามซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่ามันแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยหรือเปล่า เซฮุนหลุบตาลงมองนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่นั่งอยู่กับขอบเตียงพร้อมกับมองมายังเขาเช่นกัน ผู้ชายคนนี้ยังคงอยู่ในชุดกาวน์เหมือนกับทุกวัน เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามราวกับว่าจะให้แววตาบอกความรู้สึกทุกอย่าง ซึ่งมันได้ผล ตอนนี้อีทงเฮเบือนหน้าไปอีกทางเพราะแววตาคู่นี้
ความเงียบโรยตัว เซฮุนไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถามเรื่องที่อยากรู้หรือว่าเขากำลังสับสนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้จนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ภาพสุดท้ายที่จำได้คือตอนถูกฉีดยาสลบ ซึ่งมันเป็นสัญญาณเตือนว่าสถานภาพของเขาในตอนนี้มันไม่ปลอดภัยแล้ว
“คุณทงเฮ...”
“...”
“วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วครับ...”
“แปด” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบโดยไม่หันกลับมามองอีกคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงเหล็ก
“แปด...” เซฮุนกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เสียงน้ำเกลือที่หยดลงมาจากถุงเปรียบเหมือนกับจังหวะหัวใจของเขาที่เต้นช้าลงจนรู้สึกได้
ไม่รู้ว่าอีทงเฮมาเพื่ออะไรถ้าหากว่าจะนั่งเงียบ ๆ โดยที่ไม่คิดจะพูดหรืออธิบายเรื่องราวที่เขาควรรู้ให้ฟัง แน่นอนว่าเซฮุนอยากรู้ความเป็นไปของเรื่องที่เกิดขึ้นว่าทำไมที่นี่ถึงทำแบบนี้กับคนที่เต็มใจเพื่อมาช่วยเหลือ และเด็กหนุ่มคงไม่ได้คำตอบหากว่าไม่ถามออกไป
“คุณทำอะไรกับผม...”
“...”
“ทำไมถึงไม่ปล่อยผมไปทั้งที่ผมก็ให้เลือดคุณไปแล้ว...”
“...”
“พวกคุณ...ไม่ได้แค่ต้องการเลือดของผมใช่ไหม?”
“...”
นักวิทยาศาสตร์หนุ่มยังคงนั่งเงียบเหมือนในทีแรก แน่นอนว่าเขาได้ยินทุกคำถามจากปากเซฮุน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อความรู้สึกทุกอย่างกำลังตีกันจนสับสนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความน้อยใจ ความผิดหวังที่มีต่อที่นี่ เซฮุนเงยหน้าขึ้นก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อไม่พบกระเป๋าเป้ที่ควรจะวางอยู่ข้างตัวเขา
“กระเป๋าผมอยู่ไหน...” เด็กหนุ่มพยายามจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ถูกอีกคนห้ามเอาไว้ ทงเฮค่อย ๆ ประคองไหล่เซฮุนลงไปนอนเหมือนเดิม
“มันไม่อยู่ที่นี่แล้ว” พอได้ฟังคำตอบก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ อีทงเฮไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าพวกทหารเอามันไปทิ้งตอนเข้ามาค้นของในห้อง นักวิทยาศาสตร์หนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวในก่อนจะเอาบางอย่างออกมาวางไว้บนมืออีกคนที่ราบอยู่บนเตียง “มันคือสิ่งเดียวที่ผมเก็บเอาไว้ให้คุณ”
เห็นว่าเซฮุนกำลังจะร้องไห้ตอนกำสร้อยเส้นนั้นไว้ในมือ ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด มันไม่ใช่ครั้งแรกที่อีทงเฮเห็นภาพแบบนี้ มันนับครั้งไม่ถ้วนจนเขาควรรู้สึกชินกับมันได้แล้ว
ทงเฮก้มลงมองมือของอีกคนที่กำชายเสื้อกาวน์ของเขาไว้ มันเบาบางเหมือนคนไม่มีแรง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความต้องการของเด็กหนุ่ม
“ปล่อยผมไปเถอะ...”
“...”
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อตาย...” ทงเฮนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังวิงวอนขอความเห็นใจจากเขา
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย แค่การหายใจก็เหนื่อย เมื่อเปลือกตาปิดลงหยดน้ำแห่งความหวาดกลัวก็ไหลออกมาจากหางตา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้เขากลัวจนไม่อยากทนอยู่ที่นี่อีกต่อไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนเห็นทหารเข็นศพออกมา อีกทั้งคนพวกนั้นยังบังคับกักขังเขาไว้ที่นี่ ซึ่งทั้งหมดมันหมายความว่าเขาและจงอินถูกหลอก
ถึงโอเซฮุนจะยอมรับผิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความโง่เง่าของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากยอมรับบทลงโทษที่แสนสาหัสแบบนี้
“ได้โปรด...”
“พักผ่อนให้มาก ๆ”
ทงเฮไม่สนใจคำขอร้องจากปากอีกฝ่าย เมื่อพูดจบเขาก็แกะมือเด็กหนุ่มจากชายเสื้อกาวน์ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เสียงประตูเหล็กที่ปิดลงเหมือนกับเสียงปืนนัดแรกที่เขาได้ยินในวันเกิดเหตุ อีทงเฮยืนนิ่ง เขาไม่ได้ตรงไปที่ห้องทดลองหรือห้องทำงานส่วนตัวของเขา
“ทงเฮ!” นักวิทยาศาสตร์อีกคนยืนอยู่หน้าประตูห้องพร้อมกับเอกสารชุดหนึ่ง เขาชูมันขึ้นมาพร้อมกับเอานิ้วชี้เคาะเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าบางอย่างกำลังได้เรื่องแล้ว พอเห็นทงเฮพยักหน้ารับชายอีกคนเลยกลับเข้าไปในห้องทดลอง
เขาถอนหายใจ เสียงเดียวที่ดังเข้าโสตประสาทในตอนนี้คือเสียงของหัวปากกาที่ถูกกดเข้ากดออกซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ทงเฮหันหน้าเข้าหาห้องที่เพิ่งเดินออกมาก่อนจะมองร่างเด็กหนุ่มที่นอนขดตัวเข้าหากันอยู่บนเตียงเหล็กแคบ ๆ แต่เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็เดินออกมาจากตรงนั้น
เซฮุนกำลังร้องไห้ เขาเห็นทุกอย่างชัดเจนดี
TBC
ความสงสัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จงอินจะทำยังไง? แล้วเซฮุนจะเป็นยังไง ส่วนชานยอลกับลู่หานพอเห็นว่าเพื่อนยังอยู่ดีแล้วจะทำยังไง? อีทงเฮทำอะไร? ถามทำไม ฉันเป็นคนเขียน
#กางม่านบาเรียทันทีที่มีคนปารองเท้าใส่
ความคิดเห็น