คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #72 : Chapter 68 :: Empty (END OF SEASON 2)
Chapter 68
Empty ( END OF SEASON 2 )
รุ่งเช้าของวันใหม่ มันไม่ได้พิเศษไปกว่าวันอื่น ๆ กลับกันแล้วยังกลายเป็นฝันร้ายตอนตื่นสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะครูสาวที่แทบจะไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาเพียงเล็กน้อย มันทำหน้าที่ส่องแสงสว่างให้กับโลกกลม ๆ ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนกับทุกวัน
เธอง่วนอยู่กับถุงดำจำนวนมากที่กองอยู่หลังบ้าน มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าอู๋อี้ฟานและคนอื่น ๆ ต้องช่วยกันขนมันขึ้นท้ายกระบะเอาไปทิ้งข้างนอก แต่เช้านี้ไม่...มีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่กำลังจัดการทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวเอง
กลิ่นเหม็นจากของเสียในถุงไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแย่อย่างเคย แน่ล่ะ ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากทนกับกลิ่นขยะจำนวนมากแบบนี้ ประตูท้ายกระบะถูกปล่อยลงก่อนที่หญิงสาวจะยกถุงขยะทั้งหมดขึ้นไป เธอไม่ได้หยุดพักหรือปาดเหงื่อตามขมับที่ซึมออกมาแม้ว่าอากาศโดยรอบจะหนาวเหน็บจนต้องสวมเสื้อเพิ่มอีกชั้น
ใจหนึ่งก็อยากรีบทำให้มันเสร็จ ๆ แต่อีกใจก็อยากยืดเวลาออกไปให้นานกว่านี้ เพราะถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอคงต้องสติแตกเพราะความคิดในหัวซึ่งมีแต่เรื่องของลูกศิษย์ที่เพิ่งจากไป มือทั้งสองข้างยังคงยกถุงเข้าไปชิดด้านในสุดอย่างไม่ลดละ ได้แต่คิดว่าหลังจากนี้เธอจะหาอะไรทำต่อดีเพื่อที่จะให้ไม่ว่าง
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ครูสาวหันไปตามต้นเสียงแล้วก็เห็นบุรุษพยาบาลหนุ่มยืนยิ้มอยู่ข้างรถ เธอมองแก้วเซรามิกซ์สีดำที่ปิดฝาเอาไว้ในมืออีกคนแค่ครู่เดียวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา
“ตื่นเช้านะคะ”
“แต่ก็ยัง – สายกว่าคุณ” อี้ชิงยิ้มน้อย ๆ แล้วก็รู้สึกอยากจะเพ่นกระบาลตัวเองแรง ๆ สักทีที่ดันยิ้มออกมาในเวลาแบบนี้ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าปาร์คกาฮีกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าและคงไม่รู้สึกดีขึ้นเพราะเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าเขาแน่ ๆ
แทบนับครั้งได้ที่เขากับเธอจะมองหน้ากันโดยปราศจากลักยิ้มบนแก้ม นั่นคือช่วงเวลาที่ทั้งคู่สนใจกับการเรียนการสอนภาษาเกาหลี อี้ชิงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ยิ่งเห็นหญิงสาวออกแรงเยอะแบบนั้นเขาก็ทำท่าจะเข้าไปช่วยแต่เธอดันเงยหน้าขึ้นมาก่อน
“เมื่อเช้าฉันเห็นคุณหลับอยู่บนโซฟา” อี้ชิงอ้าปากค้างเมื่อนึกคำพูดที่เป็นภาษาเกาหลีไม่ออก เขาขมวดคิ้วกลอกตาไปทางด้านข้างขณะใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับไป
“เลือก – บรรยากาศครับ”
“เปลี่ยนบรรยากาศค่ะ”
“อ้อ นั่นแหละใช่เลย – ผมจะพูดแบบนั้น – ถูกต้อง” อี้เม้มปากแล้วหันหน้าไปข้างหลังก่อนจะถอนหายใจกับความงี่เง่าของตัวเองที่ปล่อยออกมาแต่เช้า ปกติก็พูดภาษาเกาหลีไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว พอใช้มันในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม
“มินซอกนอนดิ้นเหรอคะ?”
“อ้อ? เปล่าครับเปล่า – มินซอกนอนนิ่งมาก ๆ” อี้ชิงยิ้มเจื่อนแล้วยื่นมือข้างที่ว่างไปข้างหน้าเมื่ออีกคนกำลังจะลงจากท้ายกระบะ แต่กาฮีชูมือทั้งสองข้างขึ้นระดับหัวไหล่เป็นเชิงบอกว่ามือเธอสกปรกและไม่ควรจะสัมผัสกับใคร อี้ชิงถึงได้ชักมือกลับ
“คุณอยากพูดอะไรหรือเปล่าคะ?” ทันทีที่ลงมาถึงพื้นเธอก็ถามคนที่ยังคงยืนถือแก้วเซรามิกซ์อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดที่จะดื่มมันหรือเดินออกไปจากตรงนี้ บุรุษพยาบาลหนุ่มกลอกตาไปทางด้านข้างแค่ครู่เดียวเขา มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ สำหรับการเรียบเรียงคำพูดดี ๆ สุดท้ายเขาก็เดินไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับยื่นแก้วไปให้เธอ “คะ?”
“Only for you.” (สำหรับคุณครับ)
หญิงสาวมองแก้วสีดำที่มีฝาปิด ข้างในนั้นอาจจะเป็นกาแฟที่เธอชอบดื่ม ซึ่งถ้าเป็นก่อนหน้านี้ปาร์คกาฮีคงรับมันมาง่าย ๆ แล้วตบท้ายด้วยการโค้งหัวขอบคุณตามมารยาท แต่ตอนนี้เธอไม่พร้อมที่จะดื่มมันด้วยเหตุผลที่ว่าเธอมักจะปวดหัวทุกครั้งหากดื่มกาแฟในวันที่พักผ่อนน้อยเกินไป
“มันคือน้ำชาครับ”
“...”
“ดื่มตอนที่ยังร้อน – นะครับ” อี้ชิงพยักหน้าพร้อมกับยื่นแก้วไปอีกครั้งกึ่งยัดเยียด ซึ่งเขายอมรับว่ามันเป็นวิธีที่ไม่สมควรเลยสักนิด แต่ในสถานการณ์แบบนี้สิ่งที่เขาทำได้ดีนั่นไม่ใช่การพูดโน้มน้าวจิตใจเพื่อให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น เพราะจางอี้ชิงคงไม่มีความสามารถขนาดนั้น
เมื่อคืนนอนไม่หลับจนต้องออกมาเดินป้วนเปี้ยนเพราะเป็นห่วงใครอีกคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้าม เดินวนไปวนมาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีไหม สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่มองประตูห้องเธออยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเท่านั้น
กว่าจะปิดเปลือกตาได้ก็เกือบตีสี่ นับประสาอะไรกับคนเป็นครูที่เพิ่งเสียลูกศิษย์คนสนิทไป อี้ชิงค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าเธอคงรู้สึกแย่จนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเลยลุกออกมาหาอะไรทำแต่เช้า
กาฮีถอดถุงมือออกแล้วพาดไว้กับท้ายรถก่อนจะยื่นมือมารับแก้วเอาไว้ เขามองคนตรงหน้าแล้วยิ้มตามมารยาทซึ่งอี้ชิงก็ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะฉีกยิ้มให้อย่างมีความสุข ชาในแก้วกำลังร้อนได้ที่จนต้องถือด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อรับความอบอุ่น
“การปิดฝาแก้วไว้ – ทำให้ความหอมไม่หายไป” อี้ชิงมองคนตรงหน้าที่กำลังดมกลิ่น “ถึงชาอังกฤษ – จะนิยมดื่มกันตอนบ่าย – แต่ประโยชน์ของมัน – ดีมาก ๆ เลยนะครับ” ชายหนุ่มยังคงพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายฟังเป็นภาษาเกาหลี เธอยิ้มน้อย ๆ แล้วเริ่มจิบชา
“หอมดีค่ะ”
“ดี – ต่อสุขภาพด้วยครับ”
“ยังไงเหรอคะ?” เธอเงยหน้ามองอีกคนพร้อมกับจิบชาไปด้วย
“มันช่วยกระตุ้น – หัวใจ – ช่วยทำให้เหนื่อยน้อยลง – ทำให้คุณสดชื่น – และที่สำคัญ – ชะลอความแก่ด้วยนะครับ” ทันทีที่พูดจบครูสาวก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนพูดอะไรผิดไปโดยที่ไม่รู้ตัว “อ่า...ผมพูดผิดเหรอ”
“เปล่าค่ะ ขอบคุณนะคะอี้ชิง” เธอส่ายหน้าเล็กน้อยพลางมองชาร้อนในแก้วที่ลดไปเพียงนิดเดียว ช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เธอหลุดพ้นออกจากห้วงของความคิด มันทำให้ปาร์คกาฮียิ้มได้ แต่ท้ายที่สุดลักยิ้มบนใบหน้าเธอก็จางหายไปอยู่ดี
ไม่มีใครพูดอะไรอีก หากเป็นก่อนหน้านี้หญิงสาวคงลองเชิงอีกฝ่ายด้วยการยิงคำศัพท์ภาษาเกาหลีไปให้จางอี้ชิงได้ลนลานเล่น ๆ แต่วันนี้เธอไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะปั้นหน้าปกติเพื่อสนทนากับใคร
“ฉันต้องไปทำมื้อเช้าแล้วล่ะค่ะ ขอตัวนะ” เธอโค้งหัวเล็กน้อยและไม่รอให้อีกคนตอบกลับมา อี้ชิงทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังห่างออกไปจากตรงนี้โดยที่ทำอะไรไม่ได้
“คยองซู”
“...”
เจ้าของชื่อหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นบยอนแบคฮยอนยืนอยู่ตรงนั้น และเพียงแค่ครู่เดียวที่ทั้งคู่สบตากันคยองซูก็เป็นฝ่ายหันกลับไปเสียก่อน
เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่หน้าหลุมฝังศพ คาดว่าอีกคนคงใช้เวลาอยู่ตรงนี้มาสักพักใหญ่ ๆ เพราะเขารู้สึกตัวตั้งแต่คยองซูลุกออกจากเตียง ได้ยินเสียงประตูเปิดเข้า เปิดออก อีกทั้งเสียงดึงลิ้นชักแล้วทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นอยู่ครู่หนึ่งซึ่งคำตอบก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว มันคือภาพของอึนจีที่คยองซูเคยสเก็ตให้ ตอนนี้มันอยู่ในกรอบรูปอย่างดี
“ฉันไปขอกรอบรูปจากเจ้าหน้าที่จงแด ดีอย่างนึงตรงที่เขาไม่คิดให้ฉันทำอะไรสักอย่างเพื่อแลกกับมัน” คยองซูมองไปยังป้ายหลุมศพเก่า ๆ ซึ่งมันดูน่าเวทนาเกินกว่าจะปักอยู่ตรงนั้น เขาได้แต่คิดว่าอึนจีควรได้รับการฝังศพตามพิธีตามศาสนาอย่างถูกต้องและสลักชื่อลงบนหินอย่างสวยงาม “ฉันพูดเล่นน่ะ ต่อให้เขาใช้ให้ฉันทำ ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอก”
“อย่าหายไปเงียบ ๆ แบบนี้อีกได้ไหม?” นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่โดคยองซูหายตัวไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ และเขาก็เป็นห่วงจนต้องเดินตามมาถึงที่นี่
“นี่ฉันกำลังตกอยู่ในสภาวะน่าเป็นห่วงเหรอ” เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย เขานั่งลงยอง ๆ พลางจัดกรอบรูปให้ตั้งอยู่ในระดับพอดี เพื่อกันไม่ให้มันตกไปกองอยู่ใต้หิมะหากว่าคืนนี้ลมแรง
“ทุกคนที่นี่ก็น่าเป็นห่วงทั้งนั้น” แบคฮยอนมองคยองซูที่กำลังหันไปเก็บก้อนหินมาวางเรียงรอบหลุมศพอย่างใจเย็น
“งั้นก็ผ่านฉันไปได้เลย” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ “นายจะห่วงใครก็ได้ยกเว้นฉัน”
เขาไม่ได้รู้สึกดีที่ต้องมาพูดเรื่องนี้ แต่ถ้าคนใกล้ตัวที่สุดอย่างโดคยองซูช่วยทำตัวเป็นปกติบ้างเขาก็คงไม่ต้องกังวลอย่างที่เป็นอยู่ มันก็จริงที่บยอนแบคฮยอนไม่มีสิทธิ์บังคับให้คนอื่นทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ แต่สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นนักหรอก
“เพราะอะไร”
“เพราะนายกำลังดูถูกความปอดแหกของฉันอยู่ไงล่ะ”
“...”
“ฉันไม่มีทางหนีเข้าไปในป่าเพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ หรือวิ่งออกไปข้างนอกเพราะไม่อยากทนมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” คยองซูหยัดตัวลุกขึ้นสบตากับคนตรงหน้าด้วยแววตาเฉยชา “ยังมีอีกหลายคนที่น่าเป็นห่วงกว่าฉัน...โดยเฉพาะนาย บยอนแบคฮยอน”
ยังคงรู้สึกแย่กับการจากไปของจองอึนจี เด็กผู้หญิงที่มักจะเข้ามาเกาะแขนเขาแล้วพูดจาน่ารักให้ได้ยิ้มอยู่เสมอ เขาไม่สบายใจและคงไม่มีทางกลับมาเป็นปกติได้อย่างง่าย ๆ ทุกคนที่นี่ก็คงเช่นกัน บรรยากาศโดยรอบดูอึมครึม หลายคนเริ่มทยอยออกมานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก และอีกหลายคนที่เลือกอยู่ในห้องไม่ออกมาสุงสิงกับใคร
อี้ชิงถอนหายใจอีกครั้งขณะกำลังถกเถียงกับความคิดในหัวว่าจะต้องทำยังไงปาร์คกาฮีถึงจะรู้สึกดีขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากอันดับต้น ๆ สำหรับคนที่มองโลกในแง่ร้ายอย่างถึงขีดสุดอย่างเขาที่เคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาก่อน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางมองไปรอบข้าง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงพูดคุยแม้ว่าพวกเขาจะนั่งอยู่ด้วยกัน มันชัดเจนว่าไม่ใช่แค่ครูสาวที่กำลังเศร้า และเขาก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนเยียวยาเรื่องนี้ได้นอกจากเวลา
แต่การปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่คนเดียวตามลำพังมันคงไม่ดีแน่ เพราะครั้งหนึ่งตอนที่เขาเคยคิดอยากตายก็ยังมีบยอนแบคฮยอนที่คอยอยู่ข้าง ๆ จนกระทั่งได้รู้จักกับคนอื่น ๆ จางอี้ชิงถึงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งกับครอบครัวนี้ และเขาก็ได้รู้ว่าการตายมันยังไม่ใช่หนทางสุดท้ายของชีวิต
มินซอกตื่นแล้ว คนตัวเล็กกำลังยกลังกระดาษออกไปข้างนอก เขาทั้งคู่สวนทางกันโดยที่ไม่ได้พูดอะไร มากสุดก็แค่สบตาให้รู้ว่าเห็นการมาของอีกฝ่ายแล้วก็หลบทางให้เดิน ถึงปัจจุบันเขาจะเป็นรูมเมทกันแต่ใช่ว่าบทสนทนาระหว่างทั้งคู่จะเกิดขึ้นบ่อย จางอี้ชิงเข้าใจว่ามนุษย์เราไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าหาคนอื่นได้ครบทุกคน มันต้องมีบ้างที่คุยกันถูกคอจนเรียกได้ว่าสนิทและบุคคลที่ทำได้แค่คุยแบบขอไปที
บ้านหลังแรกเงียบเหลือเกิน ทั้งที่มีผู้คนอยู่ข้างนอกแต่กลับรู้สึกเคว้งอย่างน่าใจหาย ความอึดอัด ความเศร้า ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคือผลกระทบของการจากไปของเด็กผู้หญิงคนเดียวภายในบ้าน ไม่ว่าจะมองไปมุมไหน จางอี้ชิงก็รู้สึกว่าควรเห็นเธออยู่ตรงนั้น กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างที่เธอเคยเป็น
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องครัว เขาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าเมื่อพบว่าปาร์คกาฮีไม่ได้เปิดหน้าต่างออกขณะทำอาหาร เธอก้มหน้าก้มตาทำในความมืดซึ่งมีเพียงแค่แสงสว่างจากประตูหลังบ้านเท่านั้นที่สามารถทำให้มือเธอเฉียดฉิวมีดคมได้ กาฮียังคงสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอยู่โดยที่ไม่รู้การมาของเขา หรือบางทีเธออาจจะรู้แต่ก็แกล้งทำเป็นเฉย
อี้ชิงเปิดหน้าต่างออกให้แสงสว่างเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นกาฮีก็ไม่ได้หันมาทักทายหรือกล่าวขอบคุณที่เขาช่วยเปิดหน้าต่างให้เพราะอาจจะอ้างว่ามือเธอไม่ว่าง อาหารหลายอย่างอยู่ในจานเรียบร้อยแล้ว มันคือเนื้อกวางส่วนที่เหลือจากเมื่อวานนี้ ซุปในหม้อกำลังเดือด เธอหันไปคนมันให้เข้ากันก่อนจะกลับมาสนใจกับเนื้อบนเขียงที่หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วส่วนหนึ่ง
ยืนมองอยู่แค่ครู่เดียวก็เดินไปหยิบจับถ้วยชามสแตนเลสออกมาเตรียมก่อนจะเอื้อมไปเปิดตู้ที่อยู่เหนือศีรษะเพื่อเอาช้อนและตะเกียบ จางอี้ชิงยังคงหันไปมองคนข้าง ๆ เป็นระยะถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเปิดบทสนทนาก่อน วูบหนึ่งเขาได้แต่คิดว่าอะไรที่น่าอึดอัดมากที่สุดในตอนนี้ระหว่างความเศร้าหรือว่าตัวเขาเองกันแน่?
“อ่ะ!”
“คุณกาฮี!” บุรุษพยาบาลหนุ่มวางของที่อยู่ในมือลงแล้วรีบเข้าไปดูมือหญิงสาวที่เพิ่งถูกมีดบาด เธอยืนห่อไหล่นิ่วหน้าเจ็บก่อนที่อี้ชิงจะประคองเธอไปที่ซิงค์ล้างมือแล้วเอื้อมไปหยิบเอาขวดน้ำเปล่ามาล้างแผลให้อย่างไม่รีรอ
“...”
“...”
ทุกอย่างเงียบ...มีเพียงแค่เสียงน้ำที่รินออกมาจากปากขวดเท่านั้นที่เขาและเธอได้ยิน สายตาของอี้ชิงยังคงจับจ้องอยู่กับเลือดสีสดที่ไหลออกมาจากปลายนิ้วชี้อีกคนอย่างไม่ละสายตา มีดบาดค่อนข้างลึกจนเนื้อแหว่งออกมา เธอได้ยินเสียงคนตรงหน้าถอนหายใจเบา ๆ ตอนนี้ปาร์คกาฮีถึงได้รู้ตัวว่าเธอกำลังอยู่ในสภาวะอ่อนแอจนน่ารำคาญ
“ขอโทษค่ะ”
“คุณขอโทษผมทำไม?”
“ไม่รู้สิ ในหัวฉันมันมีแต่คำนี้อยู่เต็มไปหมด” หญิงสาวมองปลายนิ้ว ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันเทียบกับการสูญเสียไม่ได้เลยสักนิดเดียว ชั่ววินาทีนั้นได้แต่คิดว่าถ้าหากคนที่ต้องตายคือเธอมันอาจจะดีกว่านี้ เธอยอมทำทุกอย่างหากว่ามันแลกกับการให้อึนจีมีชีวิตอยู่ต่อ แต่มันคงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่คงเป็นไปไม่ได้ “ปกติทุกเช้าอึนจีจะเข้ามาเป็นลูกมือ ช่วยฉันทำอาหาร”
“...”
“เธอยืนอยู่ตรงซิงค์ข้างหลังคุณ ส่วนฉันก็หันหลังแบบนี้ ทุกทีที่ฉันเผลอเธอจะแอบหยิบกินก่อนจนฉันต้องตีมือแรง ๆ แต่อึนจีก็ไม่เคยเข็ด” ครูสาวยิ้มบาง ๆ เขารู้ว่าเธอกำลังพยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนักระหว่างเผชิญหน้ากับเขา “มันเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอคะ...?”
“...”
“เมื่อวานอึนจียังเข้ามากอดฉันแล้วพูดว่า ‘สวัสดีปีใหม่ค่ะ หนูรักครูนะ’ อยู่เลย...”
“...”
“ทำไมถึงต้องเป็นเธอ...”
“...”
“อึนจียังเด็กอยู่แท้ ๆ” สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ไม่ไหว เธอปล่อยโฮออกมาอย่างหนักโดยไม่กลัวว่าคนตรงหน้าจะมองเธอยังไง อี้ชิงปล่อยมือออกเมื่อเลือดจากปลายนิ้วเรียวนั้นหยุดไหลแล้ว เขามองเธออยู่แค่ครู่เดียวก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างคนตรงหน้าเข้ามากอด
ร่างของกาฮีสั่นเทาในอ้อมกอดของเขา อี้ชิงไม่ได้ออกแรงกระชับกอดมากไปกว่านั้น เขาทำเพียงลูบหัวเธอเบา ๆ หวังให้รู้สึกดีขึ้นหากได้ระบายออกมาด้วยน้ำตา
ติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...
เสียงเข็มวินาทีคือสิ่งเดียวที่หวงจื่อเทาได้ยินมาตลอดทั้งคืน หลายครั้งที่เบนสายตาไปมองมันและสุดท้ายก็หันกลับมาสนใจกล้องดิจิตอลในมือ เขาทำอย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ไม่คิดจะลุกขึ้นไปทิ้งกายนอนพักผ่อนอย่างที่ควร
วูบหนึ่งของความว่างเปล่าที่ลอยเป็นฟองอากาศในหัว เทารู้สึกเหนื่อยแทนเข็มวินาทีที่เดินทวนเข็มอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุดพักจนกว่าถ่านจะหมด มันต่างจากเขาในตอนนี้ที่เพียงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ แต่กลับรู้สึกเหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับตัว
ตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว?
อืม...ช่างหัวมันเถอะ
กว่าจะรู้ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นก็ตอนที่แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เด็กหนุ่มรู้สึกอยากขอบคุณและขอโทษลู่หานในคราเดียวกันเมื่อหมอนั่นหอบผ้าหอบผ่อนออกไปนอนโซฟาข้างนอกเพื่อให้เขาจมอยู่กับความเศร้าตามลำพังอย่างสมใจตั้งแต่เมื่อคืน
ลำพังตรงมุมห้องเงียบ ๆ คนเดียว
ความรู้สึกในตอนนี้นอกจากแสบตากับปวดหัวแล้วเขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีก ถ้าไม่นับอาการทางความรู้สึก สิ่งเดียวที่เยียวยาเด็กหนุ่มให้หลุดพ้นจากความเป็นจริงได้ก็คือกล้องดิจิตอลซึ่งกำลังฉายคลิปวิดีโอที่เขาเป็นคนถ่าย บรรยากาศในวันคริสต์มาสอบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทุกคนต่างมีความสุขเหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นข้างนอกอุทยาน
‘เอากล้องไปห่าง ๆ หน้ากูทีเถอะ’
จงอินดันกล้องออกไปในขณะที่ลู่หานโผล่หน้าเข้ามาในเฟรมพร้อมขมวดคิ้วทำมือเป็นรูปไนกี้ตรงปลายคาง อี้ฟานแค่ยิ้มน้อย ๆ แล้วยกขวดเบียร์ขึ้นในขณะที่ชานยอลเลือกจะเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้ว่ากล้องกำลังจับภาพอยู่
ทุกคนกำลังสังสรรค์ ผู้ใหญ่กับเด็กแบ่งฝั่งกันเป็นสองส่วน เพื่อนของเขานั่งจับกลุ่มอยู่อีกฝั่งกำลังหัวเราะกันอย่างลืมหายใจโดยเฉพาะจองอึนจี เด็กผู้หญิงที่สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น...คนที่ตกหลุมรักรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอ
เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวว่ากำลังยิ้มขณะซูมกล้องไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวาย เสียงหัวเราะ ทุก ๆ อย่างของอึนจีล้วนแต่เป็นความสุขของหวงจื่อเทา แม้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอจะเป็นใครอีกคนที่เรียกว่าคู่แข่งหัวใจ ไม่ได้โทษแบคฮยอนที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดกับภาพบาดตา กลับกันแล้วยังรู้สึกชื่นชมหมอนั่นอยู่ลึก ๆ ที่กล้าบอกความรู้สึกให้อึนจีได้รู้โดยที่ไม่กลัวว่าจะถูกปฏิเสธเหมือนอย่างที่เขาเป็น
แต่วินาทีนั้นดูเหมือนว่ารอบข้างจะพร่ามัวไปหมด เขามองเห็นเพียงแค่คน ๆ เดียวที่กำลังชูสองนิ้วตอนมองกล้อง วันนั้นหวงจื่อเทาถึงได้เชื่อว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้หญิงจะชอบกล้อง เธอพองแก้ม ทำตาโต ชูสองนิ้วคาดตา บางครั้งก็ทำปากจู๋อย่างที่เขาเคยบ่นไปไม่รู้กี่ร้อยครั้งว่ามันน่าเกลียด ซึ่งคำพูดทุกอย่างมันตรงข้ามกับความรู้สึก...
‘ให้ฉันถ่ายมั่งดิ’
‘ไม่ เดี๋ยวกล้องพัง ถอยไปห้าง ๆ ครับช้าง’
‘เฮ้ย น่านะ~ ให้ฉันเล่นบ้าง’
เทาจำไม่ได้ว่ากลอกลับมาตรงช่วงนี้แล้วกี่รอบ ถ้าเป็นม้วนฟิล์มหนังเชื่อว่าแผ่นคงลายจนกระตุกและมันคงไม่ดีแน่ถ้าในอนาคตเขาจะดูมันไม่ได้อีก เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เพื่อปาดน้ำตาออกไป ยิ่งได้ยินเสียง ยิ่งได้เห็นภาพเคลื่อนไหว เขาก็ยิ่งอยากให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน
“ฉันคิดถึงเธอ...อึนจี”
ร้องไห้อีกแล้วเหรอหวงจื่อเทา? เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นหยดน้ำของความเจ็บปวดก็ล้นออกมาจนไหลจากทางหางตาอยู่ดี ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้เขาอาจจะเป็นบ้าทุกครั้งที่นึกได้ว่าอึนจีได้จากไปแล้วโดยที่จะไม่มีวันกลับมาอีก ภาพในความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน ตั้งแต่ทุกอย่างเริ่มต้นจากคำว่าเพื่อนจนมาถึงวินาทีนี้ที่เขาเรียกมันว่าความรัก มันเคยทำให้หวงจื่อเทามีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น...
ความทรงจำที่สวยงามกลับกลายเป็นความเจ็บปวด...
ขายาวทั้งสองข้างหดเข้าหาตัว เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่คิดจะเช็ดมันออก วิดีโอยังคงเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เทาไม่ได้สนใจแถบหลอดสีแดงตรงมุมด้านบนที่บ่งบอกว่าแบตจะหมดลงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
‘ไอ้~เจ๊ก~~’
พรึ่บ!
“...”
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อกล้องดับไปต่อหน้าต่อตาราวกับถูกปลุกจากฝันให้ตื่นมาพบความจริง เทาพลิกกล้องไปมาราวกับคนไม่เคยใช้งานมันมาก่อน เขาลนลานกดเปิดอีกครั้งแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นแสงสว่างสีขาวขึ้นบนจอ แต่ก็แค่วินาทีเดียวเท่านั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปเมื่อกล้องดับลง
“ติดสิ...”
เทาเขย่ากล้องเหมือนคนเสียสติ ทุกอย่างพร่ามัวเพราะน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง จอสี่เหลี่ยมสีดำเปรียบเหมือนกับความหวังในตอนนี้ มันริบหรี่ สิ้นหวัง มันกำลังบอกให้เด็กหนุ่มเดินออกมาจากอดีตที่กลับไปแก้ไขไม่ได้
เทากำกล้องดิจิตอลไว้ด้วยมือเดียวก่อนจะง้างขึ้นสุดแขน อารมณ์โทสะที่ขุ่นมัวอยู่ในใจกำลังบีบให้เขาทำลายมันทิ้งเพราะทนรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ มือของเขากำลังสั่น ตอนนี้ระยะห่างพื้นไม้กับกล้องดิจิตอลอยู่ไม่ห่างกันมากนักเมื่อเด็กหนุ่มค้างมือไว้กลางอากาศ
แต่สุดท้ายแล้วหวงจื่อเทาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำลายความสุขสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่...
ทุกคนยกเว้นกาฮี มินซอก เทา และคยองซูที่ไม่ได้อยู่หน้ากองไฟในเวลาอาหารเช้า พวกเขาต่างสงสัยเมื่อเห็นเพียงแค่อี้ชิงกับอี้ฟานที่ช่วยกันยกถาดออกมา เซฮุนลุกขึ้นไปช่วยแจกจ่ายถ้วยสแตนเลสที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยข้าวสวย ส่วนแบคฮยอนก็เช่นกัน ช้อนและตะเกียบถูกส่งต่อไปให้แต่ละคนอย่างรู้งาน
“คุณกาฮีล่ะครับ?” เซฮุนถามเมื่อไม่เห็นคนทำอาหารออกมาร่วมด้วย
“เธอเพิ่งกลับไปพักผ่อนน่ะ” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ เพียงแค่นั้นคนอื่น ๆ ก็ตัดความคาใจไปได้แล้วข้อหนึ่ง ไม่มีใครคิดจะลุกจากที่นั่งเพื่อไปตามคนที่เหลืออกมากินข้าวด้วยกัน ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงแต่เหมือนทุกคนจะรู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาคงไม่สามารถโน้มน้าวทั้งสี่คนให้มาร่วมวงได้ และคงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนต่างเงียบแล้วสนใจกับถ้วยในมือ แม้กระทั่งซีวอนที่มักจะสร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ เขาแค่หันไปคีบอาหารให้ลูกชายกินเท่านั้น บางคนเอาแต่จ้องมองข้าวโดยไม่คิดจะตักเข้าปาก ในขณะที่ลู่หานเป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะเจริญอาหารที่สุด
“เข้าใจนะว่ากำลังเศร้า แต่ร่างกายคนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ จะออกไปหาเสบียงแต่ละครั้งก็ต้องใช้พลังงาน” จงอินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท เขาไม่ได้เอ่ยปากต่อว่าลู่หานที่พูดจาไม่รื่นหูในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังอยู่ในสภาวะใจเสีย
เซฮุนมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเคี้ยวอย่างใจเย็น ทั้งที่ปกติจงอินจะใช้เวลาไปกับการกินข้าวเพียงแค่ไม่กี่นาทีเพราะต้องรีบไปทำเรื่องอื่นต่อ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ใช่...ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปเหมือนกับวันปีใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น
เพื่อนของเขาเคยปฏิญาณตนว่า ‘ปีใหม่แล้วฉันจะกลายเป็นคนใหม่ ฉันจะตั้งใจเรียน จะเป็นคนที่ดีขึ้น’ แต่มันไม่เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มันน่าสลดจนยากจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน หรือแม้กระทั่งการพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น สีหน้าลู่หานในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนอื่น เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอยู่แค่ครู่เดียวก็ลุกออกไป
“คยองซูล่ะแบคฮยอน?” เสียงของจงอินทำให้เด็กน้อยถือช้อนค้างอยู่ท่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบซึ่งคนเป็นพี่ไม่ได้เซ้าซี้ จากแววตาของแบคฮยอนก็พอจะเดาได้ว่าเด็กคนนี้รู้แต่เลือกที่จะไม่พูด
“เดี๋ยวผมไปตามเทานะครับ” เซฮุนวางช้อนกับตะเกียบแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านหลังที่สอง ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาตั้งใจจะไม่ไปรบกวนเวลาส่วนตัวของเทา แต่พอนึกขึ้นได้ว่าหมอนั่นยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็เป็นห่วง
ก๊อก ๆ
“ฉันเข้าไปนะ”
เคาะประตูตามมารยาทเพียงสองครั้งแล้วหมุนลูกบิดเข้าไป ก่อนหน้านี้คิดไว้ว่าหลังจากเปิดประตูแล้วสิ่งแรกที่เห็นคือเพื่อนตัวสูงกำลังหลับอยู่หรือไม่ก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดาผิดทั้งหมด
เซฮุนยืนนิ่งขณะมองไปยังอีกคนที่กำลังรูดซิบกระเป๋าเป้แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะถอดเสื้อตัวเดิมออกแล้วใส่ตัวใหม่ที่หนากว่าเข้าไป เทาไม่ได้สนใจการมาของคนเป็นเพื่อน ร่างสูงดูเร่งรีบจนอดไม่ได้ที่จะถาม
“นายจะไปไหน” ร่างบางจ้องอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เทาไม่ได้เดินมาเพื่อคุยด้วย แววตาของร่างสูงในตอนนี้กำลังบ่งบอกว่าเซฮุนกำลังขวางทางอยู่
“หลบหน่อย”
เซฮุนรู้สึกว่ากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับหวงจื่อเทา เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังเพื่อนตัวสูงที่สะพายกระเป๋าเป้เดินออกไปโดยที่ไม่หันมาอธิบายอะไรเลยสักคำเดียว พอเห็นอย่างนั้นเซฮุนก็ได้แต่วิ่งตามหลังไปติด ๆ
“...”
ทุกคนมองทั้งคู่เป็นตาเดียวกัน ได้ยินเสียงจงแดตะโกนเรียกให้ไปกินข้าวแต่หวงจื่อเทากลับทำหูทวนลมแล้วเดินต่อไป เซฮุนหันไปมองคนอื่น ๆ ที่มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาทำได้เพียงแค่ยกมือเป็นเชิงบอกว่าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง
จงอินหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงเมื่อจู่ ๆ เทาก็เข้าไปในรถ เห็นเซฮุนยืนก้มหน้าคุยกับอีกฝ่ายผ่านกระจกรถแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็รีบอ้อมไปเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับในเวลาถัดมาหลังจากได้ยินเสียงสตาร์ทรถ
“เฮ้!” เขาตะโกนเรียกรั้งท้ายรถเก๋งสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป หวงจื่อเทาไม่คิดที่จะเหยียบเบรกแล้วชะโงกหน้าออกมาบอกกล่าวสักนิดว่าจะออกไปไหน เผื่อว่าไอ้เด็กนั่นต้องการให้คนเป็นสิบที่อยู่ตรงหน้ากองไฟสบายใจขึ้นบ้าง
ทุกคนต่างประหลาดใจกับอีกมุมหนึ่งของเทาที่พวกเขาไม่เคยเห็น จะว่าอยู่ในสภาวะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็คงไม่ถูกซะทีเดียว บางทีเด็กนั่นอาจแค่ออกไปขับรถเล่นเพื่อบรรเทาความโศกเศร้าหลังจากสูญเสียเพื่อนสนิทไป ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้างแต่พอคิดดูอีกทีแล้วหวงจื่อเทาก็คงไม่คิดทำอะไรโง่ ๆ
“เทา”
เจ้าของชื่อไม่ได้ขานตอบ หลังจากจอดรถแล้วร่างสูงก็สะพายกระเป๋าเป้เดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่คิดจะหันมาอธิบายอะไรสักคำ เทาดึงมีดพกออกมาไว้ถือเป็นอาวุธ นั่นหมายความว่าเขาเตรียมมาพร้อมสำหรับการต่อสู้ ตอนนี้โอเซฮุนได้รู้จุดประสงค์หนึ่งแล้วว่าการที่หวงจื่อเทามาที่นี่นั่นไม่ใช่เพราะต้องการสถานที่เงียบ ๆ เพื่อนั่งสงบสติ แต่คนตัวสูงอาจแค่ต้องการฆ่าพวกกินคนระบายอารมณ์หลังจากพบการสูญเสีย
สุดท้ายเซฮุนก็ต้องเดินตามหลังไปอย่างปฏิเสธไม่ได้เพราะเขาคงไม่ได้คำตอบหากว่ายังคงยืนอยู่ที่รถ และหมอนั่นคงไม่หันมาถามไถ่ว่าจะเอายังไง วินาทีนี้หวงจื่อเทาคงเลือกทำตามใจตัวเองมากกว่าหันมาถามความเห็นคนที่พ่วงมาด้วยอย่างเขา
“มาที่นี่ทำไม” ทันทีที่เดินตามทันก็ถามในสิ่งที่อยากรู้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงถอนหายใจ เทาอาจจะรำคาญมาก เพราะตลอดทั้งทางตอนนั่งรถมาด้วยกันหมอนี่ก็เอาแต่เงียบแม้ว่าเขาจะถามไปแล้วถึงห้าครั้งแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ
“ถ้าจะไปด้วยกันก็ช่วยเงียบ ๆ ได้ไหม”
“นายจะให้ฉันตามไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้จุดหมายเลยน่ะเหรอ” ร่างบางหันไปมองถนนแล้วก้าวข้ามเสาไฟฟ้าที่ล้มขวางทางอยู่ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเพื่อนอีกครั้ง
“ฉันขอให้นายมาด้วยหรือไงกัน?”
“ไม่ นายไม่ได้ขอให้ฉันมาด้วยเลยหวงจื่อเทา” เด็กหนุ่มหยุดยืนแล้วมองคนตัวสูงที่เดินนำหน้าต่อไป ตอนนี้โอเซฮุนก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน ใช่แล้ว...หมอนั่นน่ะพูดถูกว่าไม่มีใครขอให้เขามาที่นี่ด้วยเลย และเหตุผลของโอเซฮุนก็คงไม่สำคัญสำหรับคนที่คิดอยากอยู่คนเดียวตามลำพัง
“เอารถกลับไปได้นะ”
“เราจะกลับพร้อมกัน” เด็กหนุ่มพูดเสียงเรียบ แววตาของเซฮุนตอนนี้ดูตัดพ้ออย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หวงจื่อเทาถึงรู้ว่ากำลังพูดให้อีกคนรู้สึกไม่ดี
“โอเค” เทาถอนหายใจพลางเลียริมฝีปากขณะใช้ความคิด “ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้น แล้วก็ขอโทษที่เงียบมาตลอดทั้งทาง”
“ขอบคุณที่ยังรู้สึกได้”
“นี่มันใช่เวลาที่เราจะมาต่อล้อต่อเถียงกันหรือไง หันไปดูรอบ ๆ ตัวสิ?” เทาอ้าแขนออกพลางมองไปรอบข้างซึ่งรายล้อมไปด้วยตึกแถวที่สภาพทรุดโทรมไปตามกาลเวลา มีทั้งร้านเสริมสวย ร้านอาหารและร้านขายอุปกรณ์ มันรกร้างจนน่ากลัวเมื่อไม่พบตัวกินคนสักตัวเดินเพ่นพ่านอยู่ละแวกนี้เลย
“นั่นแหละที่ฉันอยากรู้ว่านายมาที่นี่ทำไม”
“...” เทาถอนหายใจอีกครั้ง มันคงเป็นการแสดงออกทางด้านอารมณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ ร่างสูงเดินถอยหลังไปทีละก้าวก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกให้เพื่อนตัวบางเดินตามมา ซึ่งเซฮุนก็ไม่มีข้อกังขาใด ๆ เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจว่าหากเดินไปอีกสักห้าสิบเมตร หวงจื่อเทาอาจจะยอมปริปากพูดเรื่องที่เขาคาใจออกมาบ้างสักคำ
ทั้งสองคนเดินไปเรื่อย ๆ พวกตัวกินคนส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามกระจกภายในร้านต่าง ๆ และแน่นอนว่าที่มันยังส่งเสียงคำรามเพราะร่างกายยังคงต้านทานความหนาวเหน็บได้อยู่ในขณะที่บางตัวอาจจะนอนแข็งใต้หิมะบนถนน
ทางเดินที่ดีที่สุดในตอนนี้คือฟุตปาธ พวกเขาเลี่ยงที่จะเดินลุยหิมะไปตามทางหลังได้รู้จากจงอินวันนั้นว่าพวกกินคนแช่แข็งก็มีพิษสงไม่ต่างจากตัวอื่น ผีดิบที่เดินเพ่นพ่านส่งเสียงร้องโหยหวนให้เห็นยังน่าอุ่นใจมากกว่าพวกที่อยู่ใต้หิมะ ที่เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันอยู่ตรงไหนและมีกี่ตัว
เซฮุนคว้าเอาไม้ถูพื้นเก่า ๆ ที่วางพิงอยู่ข้างถังขยะมาถือไว้เป็นอาวุธเพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวมาเหมือนอย่างคนตรงหน้า ไม่กี่อึดใจทั้งสองคนก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ติดกับโรงแรมแห่งหนึ่ง มันคือที่ ๆ พวกเขาเคยมาหาเสบียงเมื่อก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นความสงสัยของเซฮุนเลยยิ่งเพิ่มมากขึ้นว่าเดิมว่าทำไมเทาถึงมาที่นี่?
ร่างสูงเดินนำหน้าพร้อมกับส่องไฟฉายเข้าไปในความมืด เสียงเหยียบกระจกทำให้คนที่เดินกระชับไม้ถูพื้นอยู่ข้างหลังเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าอาวุธในมือเขาไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้พวกมันได้เลยสักนิด ที่ทำได้อาจจะแค่ฟาดให้เสียหลักหรือยกขึ้นตั้งการ์ดเท่านั้น
ฉึ่ก!
เซฮุนเพิ่งรู้สึกว่าหวงจื่อเทาเก่งเรื่องด้านป้องกันตัวไม่แพ้คนอื่น ๆ เลย ร่างบางเห็นว่าหมอนั่นฆ่าผีดิบในความมืดทั้งที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันยืนอยู่ตรงนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เซฮุนได้มีโอกาสดูเพื่อนตัวสูงแสดงความสามารถอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทั้งคู่ค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ ในฐานะผู้ตามถือว่าเทาผ่านเกณฑ์การเป็นผู้นำแล้วถ้าไม่นับเรื่องบุ่มบ่ามออกมาโดยไม่ปรึกษาใคร
เสียงโหยหวนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้และเชื่อว่าคงมีพวกมันอยู่รวมกันมากพอสมควร ถึงจะถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนแต่ใช่ว่าทั้งสองคนจะไม่ตายเพราะถูกรุมกัดกิน เซฮุนกวาดสายตาไปรอบตัว เห็นเงาตัวเองอยู่หน้ากระจกร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมแล้วก็สะดุ้งตกใจอยู่เล็กน้อย
ทางขวามีพวกมันยืนอยู่ประปราย ถือว่าเป็นข้อดีที่พระเจ้าให้เขาและพวกกินคนมาอย่างเท่าเทียมกันคือการมองไม่เห็นอีกฝ่ายในความมืด เทาหันกลับมาก่อนจะยัดไฟฉายใส่มือเซฮุน เขาชี้นิ้วไปข้างหน้าเป็นเชิงบอกให้ร่างบางส่องไฟฉายเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปจัดการกับพวกมันที่อยู่กันสองตัวได้อย่างง่าย ๆ
“ฮือออ...”
เซฮุนส่องไฟไปอย่างรู้งาน เขาไม่ได้เสยขึ้นสูงจนเกินไปเพราะมันอาจจะเป็นการเรียกให้พวกผีดิบแห่กันมาที่นี่ทั้งที่เขาสองคนแทบจะไม่ได้ส่งเสียงเลยด้วยซ้ำ เทาถีบตัวที่ยืนหันหลังจนเซไปข้างหน้าก่อนจะเข้าไปแทงหัวอีกตัวในทันที เด็กหนุ่มไม่เสียเวลาไปกว่านั้น เขาชักมีดกลับแล้วตรงเข้าไปล็อกคอผีดิบตัวเมื่อครู่จากข้างหลังแล้วแทงหัวเข้าอย่างแรง
เทาหอบหายใจเล็กน้อย เขาสะบัดเลือดออกจากปลายมีดก่อนจะพยักหน้าเรียกให้เซฮุนเดินเลียบไปทางขวาด้วยกัน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นพวกกินคนสี่ตัวขวางทางอยู่ข้างหน้าประมาณสิบเมตร มันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะจัดการมันทั้งหมดด้วยมีดเล่มเดียวในขณะที่เซฮุนมีเพียงแค่ไม้ถูพื้นโง่ ๆ อยู่ในมือ
ร่างสูงยืนใช้ความคิดแค่ครู่เดียวก็ค่อย ๆ ย่องไปทางซ้ายและต้องผ่านวงกลมจุดศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยราวเสื้อผ้าลดราคาที่บางส่วนล้มกระจัดกระจายไม่เป็นท่า ทั้งสองคนนั่งยอง ๆ เทาให้เวลาตัวเองเพียงสามวินาทีในการตั้งสติก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูลาดเลา เซฮุนคว่ำไฟฉายลงพื้น มันคงดีกว่าหากว่าถ้าที่นี่มีแสงสว่างน้อยที่สุด
“ฉันนับสามแล้วรีบข้ามไปหลบหลังบูธร้านเครื่องประดับตรงนั้นนะ” เทาหันมาสั่งการแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มขยับปากพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมาระดับหัวไหล่ก่อนจะดันหลังเพื่อนตัวบางให้ข้ามไปก่อน
เซฮุนข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ผีดิบสี่ตัวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ยังคงไม่รับรู้ถึงการมาของเขาทั้งคู่ ร่างบางโผล่หน้าออกไปเพียงเล็กน้อย เขาช่วยเพื่อนตัวสูงสังเกตการณ์ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ข้ามมาได้
“บ้าเอ้ย ทำไมพวกมันถึงมีกันเยอะขนาดนี้วะ”
“ห้างสรรพสินค้าไม่ใช่ข้างถนนชานเมืองที่จะได้เห็นมันแค่ตัวสองตัวนี่” เซฮุนขยับปากพูดเบา ๆ
“เลิกประชดฉันสักนาทีเถอะ ถือว่าขอร้อง” ทั้งคู่สบตากันเพื่อสงบศึก เขาก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าเซฮุนกำลังโกรธที่เขาไม่ยอมอธิบายอะไรให้ฟังเลยสักอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นหวงจื่อเทาก็อยากให้เพื่อนคนนี้เข้าใจบ้างว่าเขาไม่ได้มีอารมณ์ที่จะพูดหรือแสดงสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นปกติทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น
เทาชะโงกหน้าออกไปดูอีกครั้งแล้วก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นได้ เซฮุนมองอีกคนที่หันหน้าเข้าหาบูธเครื่องประดับแล้วค้นถาดกำมะหยี่สีดำที่เต็มไปด้วยกำไลและแหวนเงินหลากหลายรูปแบบ เขาส่องไฟฉายเพื่อช่วยให้ความสว่างในขณะที่เทากำลังเลือกของอย่างตั้งใจ
“จะเอาไปทำอะไร”
“ดึงความสนใจพวกมันไง” นัยน์ตาเรียวยังคงจับจ้องอยู่กับแหวนในมือเป็นสิบ ๆ วง แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนก็ไม่ได้ดั่งใจเพราะแหวนมันเบาเกินกว่าที่จะเอาไปใช้งานได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
ระหว่างนั้นก็หันไปสะดุดตากับอะไรบางอย่าง มันคือจี้เงินวงกลมที่รูปร่างเหมือนกัน ร่างบางหยิบมันมาดูใกล้ ๆ มันดูราบเรียบไม่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนกับชิ้นอื่น ๆ ตั้งแต่เกิดมานี่คงเป็นครั้งแรกที่โอเซฮุนสนใจเครื่องประดับคู่รัก
เทามองเพื่อนตัวบางบางที่กำลังไล้นิ้วหัวแม่มือบนจี้เงินเบา ๆ เขาไม่ได้ต่อว่าอีกคนที่กำลังสนใจอยู่กับจี้ในมือทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
“อยากได้เหรอ”
“ห...หา...” เซฮุนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจให้เขาหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ แบบนี้
“จี้คู่” เทามองของที่อยู่ในมือเพื่อนแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “มันคงสวยถ้าคนสองคนใส่ด้วยกัน” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเซฮุน ตั้งแต่ไหนแต่ไรหวงจื่อเทาเคยคิดว่าการใช้ของคู่กับคนรักมันเป็นเรื่องไร้สาระอย่างที่สุด แต่หลังจากเริ่มชอบอึนจีความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป จนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มก็ได้แต่คิดในใจว่าถ้ามีโอกาสได้ใส่แหวนคู่กับเธอบ้างก็คงดี
ร่างสูงเอื้อมไปหยิบสร้อยสีดำที่แขวนโชว์อยู่ทางด้านขวามาวางไว้บนมือเพื่อน เซฮุนมองอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ได้รับรอยยิ้มเศร้า ๆ กลับมาเป็นคำตอบ
“ถ้าอยากได้ ก็ใส่มันไว้เถอะ เผื่อว่าสักวันนายอาจจะได้ให้มันกับใครสักคน”
ใครสักคนงั้นเหรอ...
ถ้าพูดถึงของที่จะต้องใช้คู่ คนเดียวที่โอเซฮุนนึกถึงก็คือคิมจงอิน ร่างบางมองจี้เงินวาววับยามกระทบกับแสงไฟฉายราวกับว่ามันก็ต้องการให้เขาเลือกมันไป เด็กหนุ่มใช้เวลาคิดเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็เอื้อมไปหยิบสร้อยอีกเส้นมาใส่กระเป๋า ตอนนี้เทากำลังตกใจในสิ่งที่เขากำลังทำ
“ไปกันต่อเถอะ” เพิ่งเห็นเซฮุนยิ้มหลังจากเอาแต่ขมวดคิ้วตั้งแต่ขึ้นรถ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถามต้นสายปลายเหตุเพราะยังมีสิ่งสำคัญมากกว่านั้น
เทาถือกำไลข้อมือโลหะไว้พลางมองออกไปยังทางเดินที่มีพวกกินคนอยู่ถึงสี่ตัว มันกลายเป็นอุปสรรคที่น่ารำคาญเมื่อพวกมันยืนห่างกันออกไปแทนที่จะยืนเกาะกลุ่มกันอย่างที่เขาอยากให้เป็น จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ก็อยู่ไม่ห่างจากที่ ๆ เขาอยู่มากนัก ถ้าผ่านมันทั้งสี่ตัวไปได้ทุกอย่างก็คงง่ายขึ้น
ร่างสูงขว้างกำไลไปอีกทาง เสียงโลหะกระทบพื้นหินขัดถึงจะเบาบางแต่ก็เรียกความสนใจตัวที่อยู่ใกล้ให้ถอยออกจากตรงนั้น เทาโยนอันที่สองไปเพื่อย้ำพิกัดเดิม ตัวที่สองและตัวที่สามเริ่มให้ความสนใจกับต้นเหตุของเสียง และนั่นเป็นจังหวะที่เขาทั้งสองคนจะผ่านพ้นไปได้จากตรงนี้แต่ต้องกำจัดตัวที่สี่ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวงจื่อเทา
ข้างในร้านมีศพนอนจมกองเลือดไส้ทะลักอยู่บนพื้น กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นเหม็นอับ รอบข้างเต็มไปด้วยกล้อง DSLR หลากหลายยี่ห้อที่ถูกวางตกแต่งอย่างสวยงามบนชั้นตู้กระจก แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปสำรวจทางด้านใน ร่างที่เคยนอนแน่นิ่งก็เงยหน้าขึ้นมาส่งเสียงร้องโหยหวนพร้อมกับเอื้อมมือตะกุยรองเท้าของเขา เทาก้มลงมองมันอย่างเวทนา เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นทำท่าจะเหยียบแต่เซฮุนห้ามไว้ก่อน
“ฮือออ...”
“รองเท้าจะเลอะเปล่า ๆ”
“...”
เซฮุนพูดถูก การเหยียบหัวตัวกัดคนด้วยวิธีเดียวกับปาร์คชานยอลในวันนั้นมันเท่มากในสายตาเขา แต่ผลเสียของมันคือคราบเลือดและกลิ่นคาวที่จะเกาะติดอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะความสะอาดมัน เทานั่งลงยอง ๆ แล้วกดปลายมีดลงไปบนหัวผีดิบที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะออกแรงตรงข้อมือให้กดเข้าไปจนสุดด้าม
ร่างสูงขอไฟฉายจากคนที่อยู่ข้างหลังก่อนจะส่องไปรอบ ๆ เพื่อหาต้นเหตุที่จัดการกับซากศพบนพื้น ถ้าถูกกัดกินขนาดนี้เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยไอ้หมอนี่คงไม่ได้อยู่ตามลำพัง ขายาวค่อย ๆ ก้าวเข้าไปอย่างใจเย็น ความเงียบโดยรอบเพิ่มความกดดันให้ทั้งคู่เป็นอีกเท่าตัวกับภัยที่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนในความมืด
แกร่ก...แกร่ก...
ร่างสูงหยุดเดินทันทีที่เสียงเหยียบเศษกระจก ไฟฉายในมือค่อย ๆ ส่องจากปลายเท้าขึ้นไปตามสัดส่วนคนตรงหน้าซึ่งถ้าจะเรียกให้ถูกก็คงต้องพูดว่า ‘อดีตมนุษย์’ ชายหนุ่มร่างผอมสูงในสภาพเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเข้มโชกเลือดกับกางเกงยีนส์ขาดเข่า ใบหน้าซูบตอบ เบ้าตาลึกโบ๋ข้างหนึ่ง ขากรรไกรเคลื่อนขยับทันทีที่เห็นเหยื่อตรงหน้า เสียงครางในลำคอแหบพร่าพร้อมกับศีรษะที่เอนเอียงเมื่อเริ่มก้าวขาออกมา
เซฮุนหันกลับไปมองข้างหลังเป็นระยะ ถึงจะเข้ามาในร้านได้แล้วแต่ใช่ว่าที่นี่จะปลอดภัยเมื่อภายนอกเต็มไปด้วยพวกกินคนเป็นร้อยเป็นพันที่กระจายกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เทาไม่ได้ยืนตั้งหลักรอให้ผีดิบเดินเข้าหา เขายัดไฟฉายใส่มือเซฮุนอีกครั้งแล้วตรงไปยังซากศพเดินได้ตรงหน้าก่อนจะกำกลุ่มผมที่เหนียวเป็นสังกะตังไว้พร้อมกับแทงปลายมีดลงไปที่กลางหน้าผากอย่างแรงในครั้งเดียว
กลิ่นศพเหม็นเน่าจนต้องเบือนหน้าหนี เทาค่อย ๆ ปล่อยร่างผีดิบที่เพิ่งตายซ้ำสองลงไปอย่างช้า ๆ แทนที่จะปล่อยให้มันล้มคว่ำใส่ตู้กระจกจนแตก ถ้าขืนเป็นอย่างนั้นเขาทั้งคู่คงต้องรีบเผ่นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดหากว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนถึงหน้าร้าน
เทายื่นมือมาขอไฟฉายอีกครั้ง แทบจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาผลัดกันถือไฟฉายอันเดียวมาตลอดทั้งทาง ร่างสูงส่องไฟสังเกตการณ์อีกรอบเพื่อให้แน่ใจก่อนจะเดินเข้าไปทางด้านในแล้วค้นของในตู้กระจก
“คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ฉันควรได้รู้ว่าเรามาที่นี่ทำ...” ยังถามไม่ทันจบประโยคเซฮุนก็ต้องกลืนคำพูดลงคอไปหมดเมื่อเห็นเทาวางกระเป๋าเป้ลงบนตู้กระจกแล้วเอากล้องดิจิตอลออกมาวางไว้ข้าง ๆ
เทาจัดการมันอย่างรวดเร็ว เขาใช้มือทั้งสองข้างกำแบตเตอรี่หลายขนาดขึ้นมาวางไว้ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเลือกมันมาใส่กับกล้องดิจิตอล เซฮุนยืนนิ่ง เขามองเพื่อนตัวสูงอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่านี่หรือคือจุดประสงค์ที่หวงจื่อเทาเสี่ยงตายมาถึงที่นี่
เพื่อแบตเตอรี่กล้องดิจิตอล?
“ก้อนไหนล่ะ ก้อนไหน...” เทาพึมพำ เขากำลังลนลานเพราะไม่รู้ว่าขนาดไหนถึงจะเข้ากันได้กับกล้องตัวนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อไฟฉายที่วางอยู่ข้าง ๆ ถูกใครอีกคนช่วยถือไว้ให้ มันเพิ่มความสว่างจากตรงนี้ได้มากขึ้นซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ
ความพยายามของเทาไม่สูญเปล่า เขายิ้มกว้างเมื่อการลองผิดลองถูกเป็นผลสำเร็จทันทีที่กล้องเปิดติด ทุกการกระทำ ทุกอย่างที่เทากำลังเป็นนั้นอยู่ในสายตาของเซฮุน ร่างบางยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงกับการที่เพื่อนเป็นแบบนี้
เทากำลังเสียใจเรื่องที่อึนจีจากไป ใช่ ทุกคนก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันเหมือนกับคนสติแตกที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลืมความเศร้า และมันจะเป็นอย่างนั้นได้จริง ๆ เหรอในเมื่อหวงจื่อเทาก็เคยสูญเสียเพื่อนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ก้อนละครึ่งหลอด น่าจะอยู่ได้สักวันนึง” เทาพูดกับตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม “ฉันต้องเอามันกลับไปเยอะ ๆ” เด็กหนุ่มก้มลงควานเอาแบตเตอรี่ยี่ห้อนี้ขึ้นมายัดใส่กระเป๋าจนหมดทั้งชั้น เขาหันมาดูขนาดและขยับริมฝีปากอ่านชื่อยี่ห้อมันซ้ำอีกครั้งก่อนจะเดินไปดูตู้อื่นเผื่อว่ายังมีเหลือให้เก็บอีก
“เทา”
“มาช่วยฉันหาหน่อยสิเซฮุน”
“...”
“แบบนี้ยี่ห้อแคนนอนนะ”
เทาชะงักมือก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่คว้าข้อมือเขาเอาไว้ ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรแม้กระทั่งตัวเขาที่อยากชักสีหน้าแล้วถามไปว่า ‘นึกบ้าอะไรถึงได้มาขัดจังหวะการหาของสำคัญแบบนี้ โอเซฮุน?’
“ในนี้มีอะไรเหรอ” ร่างบางชูกล้องดิจิตอลขึ้นมา พอเทาเห็นอย่างนั้นก็รีบกดปิดทันที แน่นอนว่าแบตเตอรี่คือยาดีที่สุด และเขาต้องการเก็บมันไว้เพื่อเปิดดูในเวลาคิดถึงอึนจีเท่านั้น
“เอาคืนมา” เทาชักสีหน้าเมื่ออีกฝ่ายเอากล้องไปซ่อนไว้ข้างหลัง ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ร่างบางจะทำตามคำขอหากว่าเขายังคงเอาแต่เงียบแบบนี้ “เซฮุน”
“ในเมื่อนายยังต้องการแบตเตอรี่ ฉันก็ต้องการคำตอบเหมือนกัน”
“จะเซ้าซี้ไปเพื่ออะไร มันไม่สำคัญสำหรับนายหรอก”
“กับการที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ที่นี่ เวลานี้ มันไม่สำคัญงั้นเหรอหวงจื่อเทา?”
“...”
“ไม่ใช่แค่นายคนเดียว ทุกคนก็เจ็บกับเรื่องอึนจีเหมือนกัน อย่าทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงได้ไหม?” เทาขบกรามแน่น เขาจ้องหน้าเซฮุนด้วยแววตาที่อีกฝ่ายไม่เคยเห็นมาก่อน
“อย่า...เอาความรู้สึกของฉันไปเปรียบเทียบกับคนอื่น”
“...”
“นายยังไม่รู้จักคำว่าความเจ็บที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ...” เขารู้สึกได้ถึงความโกรธที่ร่างสูงกำลังแสดงออกมาทางสายตา เซฮุนเบือนหน้าหลบไปอีกทาง สุดท้ายเขาก็ยอมคืนกล้องให้โดยที่ไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีก
“จริงอย่างที่นายพูด”
“...”
“ใครจะเข้าใจความเจ็บปวดที่แท้จริงเท่ากับคนที่เจอกับมันเอง” เซฮุนหันหน้ากลับมามองอีกฝ่าย รู้สึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ ที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งที่เทาก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าเขาเคยเจอกับอะไรมาบ้าง “แต่เรื่องแบบนี้มันวัดกันที่จำนวนครั้งไม่ได้หรอกนะ...”
“...”
“เจ็บก็คือเจ็บ ต่อให้คนสำคัญตายจากไปแค่คนเดียวมันก็เจ็บเหมือนกัน” เสียงเซฮุนกำลังสั่น และมันทำให้หวงจื่อเทาได้รู้ว่าเขาทำตัวเป็นกบในกะลามาตลอดที่คิดว่าคนที่เสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุดคงไม่พ้นใครนอกจากเขา
“นายอยากรู้ไปทำไม รู้แล้วมีอะไรดีขึ้นมา”
“มันอาจจะไม่ดีขึ้นในทันที แต่การมีเพื่อนอย่างฉันอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ นายมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ” หวงจื่อเทาได้รู้แล้วว่าโอเซฮุนเป็นคนมีความสามารถเรื่องการพูดกดดันให้คนอื่นรู้สึกผิด เพราะเขากำลังเป็นอย่างนั้น เด็กหนุ่มหลุบตาลงแล้วถอนหายใจ ทั้งที่ต้องการอยู่กับความเศร้าเงียบ ๆ แต่หมอนี่ก็ทำให้เขาต้องพูดมันจนได้
“ข้างในนี้มีคลิปวิดีโอ” เสียงของเทาเบาลงราวกับว่าเขากำลังเหนื่อยที่จะต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยคำพูดแล้ว “คลิป...ที่เต็มไปด้วยผู้หญิงที่ฉันชอบ”
“...”
“เหตุผลมันพอจะฟังขึ้นหรือยังกับการที่ฉันมาที่นี่?”
ทั้งคู่แยกกันหาแบตเตอรี่เพิ่ม ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องใช้ไฟฉายอันเดียวกันแล้วเพราะเทาเพิ่งเจอสมาร์ทโฟนที่อยู่ในลิ้นชักข้างล่างตู้เครื่องคิดเงิน โชคดีที่มันปิดเครื่องเอาไว้เลยยังเหลือแบตเตอรี่ให้ใช้อยู่อีกประมาณ 20% ซึ่งมันก็มากพอสำหรับเขาในตอนนี้
เทาไม่คิดจะอธิบายต่อหลังจากนั้น เขามั่นใจว่าโอเซฮุนฉลาดพอที่จะโยงเรื่องเองได้เพียงแค่เขาพูดไปไม่กี่ประโยค มีเพียงแค่เสียงเลื่อนตู้กระจกเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในเวลานี้ เด็กหนุ่มไม่ได้คิดว่าเรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อจองอึนจีมันจำเป็นจะต้องเก็บเป็นความลับ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเที่ยวประกาศปาว ๆ ให้คนอื่นรับรู้
เป็นอีกครั้งที่หวงจื่อเทารู้สึกโกรธตัวเองหลังจากบอกความในใจของตัวเองให้คนอื่นฟัง มันตอกย้ำราวกับหอกแหลมคมว่าเขาผิดที่ไม่ยอมบอกกับเธอแบบนี้ตอนที่ยังมีโอกาสอยู่ เพียงแค่คิดไปว่าถ้าได้คบกับอึนจีจริง ๆ หวงจื่อเทาค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าเขาคงไม่ปล่อยให้เธอออกไปล่าสัตว์ด้วยกันเพราะความเป็นห่วง เด็กหนุ่มเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์คืบหน้า ความเป็นส่วนตัวมักจะลดลงตาม และสิ่งที่เพิ่มขึ้นคือการออกคำสั่ง ความเอาแต่ใจ ไปจนถึงความงี่เง่า ซึ่งหวงจื่อเทาคงเป็นอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด
และเขาคงใช้มันกับผู้หญิงอย่างจองอึนจีไม่ได้
“ตรงนั้นฉันเก็บหมดแล้วล่ะ” เซฮุนยืนอยู่ตรงหน้าตู้กระจกกับกระเป๋าเป้ใบนั้น ร่างบางไม่ได้หันมามองเขาราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ควรจะทำ
“ตรงนี้ก็เหมือนกัน” เทาลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซฮุน มีเพียงแค่ตู้กระจกเท่านั้นที่คั่นกลางระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนเอาไว้ เขาไม่ได้มองหน้ากันและปล่อยให้ความอึดอัดค่อย ๆ กัดกินไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง
“ขอโทษนะ”
“...”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านายชอบอึนจี”
“นายไม่ผิดหรอก เพราะแม้แต่ยัยนั่นก็ยังไม่รู้” เทายิ้มบาง ๆ ขณะจัดของในกระเป๋าให้เรียบร้อย
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลย” เซฮุนมองอีกฝ่าย ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ปะปนกันไปหมด ทั้งรู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้ ทั้งรู้สึกผิดที่เป็นคนจุดชนวนความเศร้าทั้งที่เทาก็คงพยายามเลี่ยงที่จะพูดมันอย่างถึงที่สุด ร่างสูงเพียงแค่ถอนหายใจออกมา เขาลูบต้นคอระหว่างใช้ความคิดก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ที่อัดแน่นไปด้วยแบตเตอรี่ที่เก็บมาได้
“ครูเคยบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือประสบการณ์ชีวิต มันจะทำให้เราเข้มแข็ง” เทาจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง “ในทีแรกฉันเชื่ออย่างนั้น เราขุดหลุมฝังศพเพื่อนทั้งน้ำตา สวดภาวนาให้พวกเขาไปสู่สุขติ แต่ยิ่งนานวันไปฉันกลับรู้สึกได้แต่ความอ่อนแอ”
“...”
“ฉันมันอ่อนแอ ปกป้องใครไม่ได้เลยสักคนเดียว” เสียงของเทากำลังสั่น สีหน้าและน้ำเสียงของร่างสูงมีผลกระทบกับเขาอยู่ไม่น้อย ตอนนี้เซฮุนกำลังรู้สึกจมดิ่งไปกับความเศร้าอีกครั้งหลังจากผ่านพ้นมันมาได้เพียงแค่คืนเดียว
มันคือความเศร้าอย่างหนึ่งซึ่งยากที่จะยอมรับ คือความตายที่ไม่รู้จักจบสิ้น ถึงแม้ว่าโลกนี้จะอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีพวกกัดคน ไม่มีการตายเพราะติดเชื้อ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องพบเจอกับมันอยู่ดี ถ้าเลือกได้โอเซฮุนก็ขอใช้ชีวิตอย่างคนปกติ มีการตื่นนอนตอนเช้าไปโรงเรียน สนุกกับเพื่อน กลับบ้านไปใช้เวลากับครอบครัว หรือแม้แต่การใช้เวลาอยู่กับคนที่เขารัก
การใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความกลัวแบบนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนรอบข้างจะตายจากไปเมื่อไหร่ ทุกคนมีโอกาสพลาดในขณะที่เขากับหวงจื่อเทาไม่...อย่างที่ได้คุยเรื่องนี้เมื่อคืนก็จบด้วยการมอบอ้อมกอดอุ่น ๆ ให้กันและกันเท่านั้น จงอินไม่ยอมให้เขาได้พูดเรื่องการไปค่ายอีก และเขาก็ไม่ได้ดื้อแพ่งที่จะพูดต่อไป เพราะคิดว่าตอนนั้นมันคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบที่คิดออกมาตอนกำลังรู้สึกแย่
แต่พอเห็นเทาตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วก็ต้องย้อนกลับไปคิดอีกครั้งว่าจุดจบของการมีชีวิตอยู่คืออะไรกันแน่? ต้องให้คนกลุ่มหนึ่งออกไปเสี่ยงตายกับการหาเสบียงเพื่อแลกกับการมีลมหายใจอยู่ในวันต่อ ๆ ไป วันไหนโชคดีก็รอดกลับมาได้ แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่คนที่ต้องเจ็บปวดกับการมีชีวิตอยู่คือคนที่ยังเหลืองั้นเหรอ?
ได้แต่ภาวนาว่าต้องมีสักวันที่โลกจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม มันคือสิ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อ แต่เมื่อไหร่กันล่ะที่ความหวังของเขาจะเป็นจริงเข้าสักวัน ในเมื่อทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกสิ่งที่พบเจอเป็นอันดับแรกนั้นไม่ใช่เพื่อนมนุษย์แต่กลับเป็นพวกผีดิบที่พร้อมจะกัดกินคนเพราะความหิวโหย
เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เหลืออยู่มันค่อนข้างที่จะเสี่ยง แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังหวั่นใจกับความหวังที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เด็กหนุ่มได้แต่คิดว่า ถ้าหากเขาไม่ยอมทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ แล้ววันหนึ่งจงอินต้องจากไปเขาจะทำยังไง?
พอถึงตอนนั้นเขาอาจจะต้องตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับหวงจื่อเทาในตอนนี้ก็ได้...
“เทา”
“อืม”
“เรา...ไปค่ายทหารกันไหม”
ท่อนฟืนแยกเป็นสองส่วนหลังจากถูกผ่าด้วยขวาน อู๋อี้ฟานใช้เวลาอยู่ตรงนี้มานานพอสมควรกับการสร้างประโยชน์ในวันที่เขาไม่ต้องออกไปหาเสบียง แน่นอนว่าฟืนเป็นสิ่งสำคัญในการก่อกองไฟ และในฤดูหนาวแบบนี้ยิ่งขาดไม่ได้
ชายหนุ่มหันไปทางอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ จางอี้ชิงกำลังมองหน้าเขาอยู่ บนตักมีหนังสือกายวิภาคที่เปิดค้างไว้โดยที่ไม่ได้อ่าน ในสถานการณ์แบบนี้ทุกคนต่างหาอะไรทำเพื่อที่จะให้ตัวเองไม่ว่าง
เช่นเดียวกับแบคฮยอนและซูโฮที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงม้านั่งข้างบ้าน เด็กทั้งสองคนหันมาคุยกันในบางครั้งยามที่นึกบทสนทนาขึ้นมาได้และซูโฮเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอ มินซอกกับคยองซูนั่งวาดรูปอยู่ในบ้านหลังแรกซึ่งเอาจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่การขีดเส้นลากไปเรื่อย ๆ ตามหน้ากระดาษสีขาวเท่านั้น ปาร์คกาฮียังคงนั่งกอดเข่าอยู่เงียบ ๆ ตรงมุมหัวเตียง เธอไม่ได้หลับไปอย่างที่อี้ชิงเข้าใจ
ส่วนจงอิน ลู่หาน ชานยอล จงแดและซีวอนนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน มีบ้างที่ให้มวนบุหรี่เป็นตัวช่วยเมื่อถึงคราวที่สองคู่กัดหันไปสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ คนที่นั่งคั่นกลางอย่างจงอินก็ต้องรับหน้าที่ส่งต่อบทพูดเพราะไม่อยากให้สถานการณ์น่าอึดอัดไปกว่านั้นระหว่างรอการกลับมาของเซฮุนและเทา
น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ชานยอลยอมทนนั่งหายใจใกล้ ๆ ลู่หานโดยที่ไม่ลุกหนีไปก่อน ซึ่งในแง่ของคนที่เคยมีเรื่องบาดหมางกันก็ได้แต่คิดว่าไอ้หมอนี่คงทนฝืนอยู่เพราะไม่อยากกลายเป็นไอ้ขี้แพ้เหมือนคราวนั้น และคนอย่างลู่หานก็จะไม่ยอมเสียหน้าเหมือนกัน ในเมื่อมันหล่อมาเขาก็จะเหี้ยกลับ เอาดิ
“ผมช่วย” อี้ชิงวางหนังสือลงแล้วลุกไปโกยเอาท่อนไม้ขึ้นมาแนบอก อี้ฟานยิ้มบาง ๆ แล้วพยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังระเบียงบ้านหลังที่สามซึ่งมีท่อนไม้ที่เหลือกองอยู่แล้ว
จังหวะนั้นเองทุกคนก็หันไปสนใจกับรถที่เพิ่งขับเข้ามา โดยเฉพาะจงอินที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าบันไดทางเดินลง ร่างหนาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเซฮุนเปิดประตูรถลงมาในขณะที่เทาเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปทางด้านหลังแล้วเดินเร็วมากจนคนที่ไปด้วยกันต้องวิ่งตาม
“เทา!”
“พอสักทีเถอะ!”
ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นเด็กตัวสูงทั้งสองคนต่างขึ้นเสียงใส่กันและกัน จากมุมนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าเซฮุนกำลังพยายามรบเร้าบางอย่างหากแต่เทาไม่เห็นด้วย เด็กตัวสูงถอนหายใจหนัก ๆ แล้วเดินออกมาจากตรงนั้นแต่ร่างบางก็วิ่งไปขวางทางไว้อยู่ดี เทาเบือนหน้าหลบไปอีกทาง สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่สู้ดีนักที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก” เทามองหน้าเพื่อนตัวบาง เซฮุนเอาแต่พูดถึงเรื่องไปค่ายทหารตั้งแต่ออกมาจากห้าง พยายามชักแม่น้ำทั้งโลกมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาใจอ่อน ในขณะที่เขาปฏิเสธอย่างชัดเจนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าไม่
“นายรู้ได้ยังไงว่ามันไม่ได้ในเมื่อเรายังไม่ได้ลองเลยสักครั้ง”
“ลองงั้นเหรอ? นายกับไอ้จงอินเป็นคนบอกพวกเราเองว่าที่ค่ายนั่นเคยมีการทดลองไปแล้ว และมันไม่สำเร็จ”
“การทดลองมันเริ่มต้นจากการลองผิดลองถูก อย่างที่เคยบอกว่าเลือดของคนอื่น ๆ ไม่ได้ผลนั่นหมายความว่าเขายังต้องการคนที่เป็นเหมือนเราอีกเพื่อการทดลองที่สูงขึ้น”
“ไม่จริงหรอก” นัยน์ตาของเทาแดงก่ำแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะแข็งกร้าวยืนยันถึงการไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูดออกไป “โลกนี้มันเกินเยียวยาแล้วเซฮุน”
“...”
“ถ้าช่วยได้อึนจีก็คงไม่ตาย”
กาฮีวางมือลงบนไหล่มินซอกกับคยองซูหลังจากได้ยินเสียงทั้งสองคนดังเข้าไปถึงทางด้านใน รวมถึงคนอื่น ๆ ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ด้วย จงอินเป็นฝ่ายเดินเข้ามาก่อนและตามด้วยคนที่เหลือ พวกเขาควรห้ามทั้งคู่ไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นเรื่องใหญ่โต
“เกิดอะไรขึ้น?” จงอินมองหน้าเซฮุนกับเทาสลับกันไปมาหากแต่ทั้งสองคนกลับจ้องหน้ากันโดยที่ไม่ละสายตาไปไหน
“มึงช่วยอธิบายให้เซฮุนฟังทีสิว่าโลกนี้มันเกินเยียวยาแล้ว มีแต่พวกติดเชื้อเต็มไปหมด”
“มันคือเหตุผลที่เราควรจะไปที่นั่นไง...” เซฮุนพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติที่สุด เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กันที่ต้องพบเจอกับฝันร้ายทั้งที่ยังตื่นอยู่แบบนี้
“เหตุผลของนายมันไปกับฉันไม่ได้โอเซฮุน” เทาส่ายหน้าช้า ๆ “มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ฉันกับนายก็เป็นแค่คนที่พระเจ้าเลือกให้อยู่ต่อเพื่อมองคนรอบข้างตายไปทีละคนเท่านั้นแหละ...” ถึงจะมองคนตรงหน้าแต่คำพูดกลับทิ่มแทงหัวใจเขาเสียเอง หวงจื่อเทาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการกลั้นน้ำตาเอาไว้
“แต่...”
“เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรเหรอ?” เด็กหนุ่มหันไปข้างหลังมองหน้าเรียงคน ยิ่งได้ยินคำว่าความหวังจากปากโอเซฮุนเท่าไหร่เขาก็ยิ่งเกลียดคำนี้มากเท่านั้น “ไหนตอบให้ผมรู้สึกมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปหน่อย...”
มินซอกมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังแสดงออกในมุมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จริงอยู่ที่เทาเป็นคนอ่อนไหว หมอนั่นเคยยืนร้องไห้ในวันที่ยืนมองซากศพเพื่อนมากมายในโรงเรียน เคยโทษตัวเองเพราะช่วยเพื่อนเอาไว้ไม่ได้ตอนออกไปเสี่ยงหาเสบียงด้วยกัน แต่พอเห็นเทาเป็นแบบนี้แล้วเขาก็สงสารจนทำอะไรไม่ถูก
“...” มินซอกหันไปมองอีกคนที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้าง ๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลู่หานไม่ได้หันมายิ้มให้กำลังใจหรือพูดอะไรสักคำ นัยน์ตาคู่นั้นกำลังทอดมองไปยังเบื้องหน้าในขณะที่ปลายนิ้วชี้ค่อย ๆ เกี่ยวกับนิ้วก้อยของเขาอย่างช้า ๆ สัมผัสนี้เบาบาง ราวกับบอกให้รู้ว่ายังมีคนชื่อลู่หานอยู่ตรงนี้ในเวลาที่คิมมินซอกรู้สึกแย่
และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือผลักไสไป...
“พระเจ้าเล่นตลกกับเราเสมอ ท่านจะพรากคนที่เรารักไปและทิ้งให้เราทนอยู่กับความเจ็บปวด”
“...”
“เดาไหมล่ะว่าใครจะตายเป็นคนต่อไป” เป็นประโยคที่เสียดแทงใจทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคนพูดเอง กาฮีเข้าไปหาเด็กหนุ่มตัวสูงที่เบือนหน้าหลบไปทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนที่เธอจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาเบา ๆ
ต่อให้หวงจื่อเทาไม่พูดแบบนี้พวกเขาก็เข้าใจดีอยู่แล้ว กับเรื่องความสูญเสียหรือแม้แต่เรื่องความตายที่พวกเขากลัวนักกลัวหนา ที่ยังไม่รู้เลยว่าระหว่างการตายของตัวเองหรือการทนดูคนอื่นตายที่จะเจ็บปวดมากกว่ากัน บางคนได้ให้คำตอบว่าการตายอาจเจ็บแค่ครั้งเดียว แต่การทนดูคนที่เขารักตายจากไปทีละคนนี่สิเจ็บยิ่งกว่า
“เกิดอะไรขึ้น?” จงอินกระซิบถามคนข้าง ๆ ที่กำลังตาแดงไม่แพ้หวงจื่อเทา เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหันหน้าเข้าหาอีกคน
“ผมจะไปค่ายนั้นครับ”
“...”
“และผมอยากให้เทาไปด้วยกัน”
“พอสักทีเถอะ ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เสียงของเทากำลังสั่น เขาเริ่มจะทนไม่ไหวกับการที่ต้องฝืนยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา มันนานมากแค่ไหนแล้วที่หวงจื่อเทาต้องฝืนเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่นในขณะที่เขานั่นแหละคือคนที่อ่อนแอมากที่สุด
เขาปกป้องใครไม่ได้ แม้กระทั่งผู้หญิงที่เขารัก หวงจื่อเทาก็ปกป้องเธอเอาไว้ไม่ได้...
“คุณพูดอะไรน่ะเซฮุน?” พอได้ยินจากปากอีกคนชานยอลเลยถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่คราวนั้นก็นั่งคุยกันหน้ากองไฟแล้วว่าจะไม่มีการไปที่ค่ายทหารแล้ว
“ถ้ามีหนทางแก้ไขมันก็น่าลองดูสักครั้งไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อมันไม่มีผลเสียอะไร” เซฮุนพยายามอธิบายถึงความตั้งใจของเขา
“คุณรู้ได้ยังไงว่ามันไม่มีผลเสีย หรือเพียงแค่ได้ฟังจากปากทหารคนหนึ่ง?” ชานยอลยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจในครั้งนี้ ซึ่งคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
“แต่ชานยอลครับ...ในเมื่อผมคือความหวังสุดท้ายที่จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ คุณจะให้ผมอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไรเลยเหรอ” คำพูดและน้ำเสียงของเซฮุนทำให้ชานยอลไม่ได้โต้กลับไปอีก ร่างสูงหลุบสายตาลงก่อนจะหันไปสบตากับอี้ชิงคนที่แสดงออกตั้งแต่วันนั้นว่าไม่เห็นด้วยเหมือนกัน
“ไปบังคับเทาแบบก็ไม่ถูกนะเซฮุน แต่ผมก็ไม่คัดค้านความต้องการของคุณเหมือนกัน” ทุกคนหันไปทางหน้าซีวอนที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลัง มีเพียงแค่ผู้ชายคนนี้ที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา “ในเมื่อคุณบอกว่าคนที่ได้รับการถ่ายเลือดไปทดลองจะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แล้วค่ายนั้นก็อยู่กันเป็นชุมชนอีกทั้งยังพร้อมเปิดประตูต้อนรับเป็นอย่างดี มันก็ไม่แปลกถ้าคุณจะเชื่อในสิ่งที่เห็น”
“...”
“ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณและถ้ามีการโหวตเกิดขึ้นผมจะไม่ห้าม แต่...” ร่างสูงเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “ถ้าเกิดมันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดขึ้นมา นั่นหมายความว่าคุณได้เอาชีวิตไปเสี่ยงถึงที่เองนะ?”
“ผมรู้ครับ” เซฮุนเข้าใจในสิ่งที่ซีวอนสื่อออกมาทั้งหมด เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนตัวสูงที่กำลังมองหน้าเขาอยู่ ถึงเทาจะไม่เห็นด้วยกับทางเลือกนี้แต่เขาก็ยังมีความคิดว่าการไปที่ค่ายนั่นมันคือความหวัง อย่างน้อยก็อยากลองดูสักครั้ง ดีกว่าการปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง
“คิดดีแล้วแน่เหรอเซฮุน” แบคฮยอนถามย้ำ เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่อยากให้เพื่อนเลือกทางนี้ ไม่รู้หรอกว่าค่ายที่ว่ามันเป็นยังไง มันอาจจะดีอย่างที่เซฮุนพูดก็ได้แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากที่จะวางใจ
“ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนาย เด็กกรงหมา” ลู่หานเสริม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการย้ายเข้าไปอยู่พักอาศัยที่นั่นหรือการให้เลือดเพื่อเอาไปทดลอง เพราะประสบการณ์ที่พวกเขาผ่านมาตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มันทำให้เชื่อใจคนอื่นได้ยากจริง ๆ
“ลองคิดดูให้ดี ๆ นะเซฮุน ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก” อี้ฟานพูดเตือนสติ ร่างสูงไม่ได้ลงความเห็นว่าการตัดสินใจของเซฮุนเป็นเรื่องผิดหรือถูก แต่เขาอยากให้เด็กคนนี้ทบทวนให้ดีก่อน
เซฮุนหันไปหาคนข้าง ๆ จะว่าไปแล้วมีแค่ซีวอนเท่านั้นที่เห็นด้วย สีหน้าของจงอินในตอนนี้ก็ดูลำบากใจไม่แพ้คนอื่น ๆ เลย บางทีจงอินอาจจะต่อว่าที่เขาขุดเรื่องนี้มาพูดอีกครั้งทั้งที่มันควรจะจบไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
“ฉันให้นายตัดสินใจอีกครั้ง” เขาเข้าใจความหมายทั้งคำพูดและแววตาที่จงอินกำลังสื่อออกมา นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนี้ได้ให้โอกาสเขาคิดใหม่เหมือนอย่างที่อี้ฟานพูด ทุกคนกำลังมองมาและคาดหวังว่าเด็กหนุ่มจะล้มเลิกความคิดนั้นไป
“ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราเองก็มีทางเลือกไม่มากนัก” ร่างบางเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งราวกับว่าเขาต้องใช้ความพยายามในการพูดให้ทุกคนเข้าใจ “แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่อยากสูญเสียใครไปอีก”
ประโยคที่แสดงออกได้ถึงความสิ้นหวัง ราวกับว่าเซฮุนยอมเสี่ยงในครั้งนี้เหมือนกับคนไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่รู้คือพวกเขายังมีชีวิตอยู่เพื่อรอดูคนรอบข้างจากไปทีละคนและมันคือความจริง อย่างที่เทาพูดว่ามันต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอีกแน่ ซึ่งเขาไม่ต้องการที่จะพนันว่าใครจะเป็นรายต่อไป
คราวนี้กลายเป็นจงอินที่กำลังถูกมองเป็นตาเดียวกัน แน่นอนว่าการตัดสินใจของผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลสำหรับเซฮุนมากที่สุด อย่างที่ทุกคนเข้าใจว่าทั้งคู่สนิทกันมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ และจงอินก็ดูแลเซฮุนเป็นอย่างดี
“ฉันไม่เห็นด้วยที่นายจะไปค่ายทหารคนเดียว” ร่างหนามองหน้าคนข้าง ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะตกใจกับประโยคเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย เขาหันไปหาคนอื่น ๆ และปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วอึดใจ
“เพราะฉะนั้นฉันจะไปกับเซฮุนเอง”
บนรถอบอวลไปด้วยความอึดอัด มันเงียบจนลู่หานต้องเอื้อมมือไปกดเปิดเพลงที่ใส่แผ่นคาเอาไว้ คิดว่าอย่างน้อยมันน่าจะทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้นได้บ้าง ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเขาทั้งสามคนไม่มีใครเลยที่จะพูดประโยคปลายเปิดออกมาก่อน อาจจะเป็นเหตุผลกาก ๆ สักข้อที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก็ได้ แต่ไอ้จงอินกลับเอาแต่ทอดสายตามองถนนเบื้องหน้า ส่วนเด็กกรงหมาก็นั่งเงียบ ๆ อยู่เบาะหลัง
ใช่ เขาอาสามาส่งสองคนนี้แทนอี้ฟานเอง ถึงจะไม่ปริปากถามว่าทำไมถึงได้เลือกทางนี้ทั้งที่คนอื่นไม่เห็นด้วยก็เถอะ แต่เขาก็ยังอยากฟังข้อแก้ตัวจากปากเพื่อนสนิทบ้างสักคำไม่ใช่แค่ความอึดอัดที่มีให้กันแบบนี้
ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อใจไอ้จงอิน แต่มันก็น่าจะห่วงตัวเองบ้าง จะบอกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้แต่มันจริงอย่างที่ไอ้เทาพูดปิดท้ายก่อนเดินเข้าบ้านว่า ‘ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อพิทักษ์โลก เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมเสี่ยงไปที่นั่นเพื่อแลกกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหน’
เพราะความโหดร้ายของโลกในปัจจุบันทำให้เขาขอเลือกเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าหากผู้ชายอย่างลู่หานถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนเหมือนเด็กทั้งสองคน เขาก็คงเลือกทางเดียวกับเทา แน่นอนว่าการอยู่กับทุกคนไปจนถึงวินาทีสุดท้ายมันดีกว่าการเข้าไปในห้องทดลองเพื่อให้เลือดหรืออะไรก็ตามแต่ ลู่หานไม่ใช่ซุปเปอร์แมน อุลตร้าแมน ไอแรนแมน หรือห่าเหวยอดมนุษย์ทั้งหมดทั้งปวง เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถกู้โลกได้
มันจริงที่ผู้ชายอย่างเขาเป็นคนความรู้น้อย แต่คิดว่าขั้นตอนการทำแบบนั้นมันน่าจะอันตรายเกินกว่าจะกลับมาเดินเหินได้อย่างปกติอย่างที่มันพูด และชานยอลกับอี้ชิงผู้ซึ่งมีความรู้อัดแน่นเต็มหัวก็โต้แย้งออกมาให้เห็นอยู่ ซึ่งจะหาว่าเขาลำเอียงก็ได้ที่ยอมเข้าข้างไอ้หล่อนั่นสักครั้งเพราะเหตุผลของมันฟังขึ้น
“มองทางไว้จะได้จำทางกลับถูก”
“กูไม่โง่ขนาดนั้น” ลู่หานตอบทั้งที่ยังทอดสายตาออกไปข้างนอกกระจกรถ เป็นประโยคที่เหมือนจะขบกัดอยู่นิด ๆ จงอินรู้ว่าคนข้าง ๆ ไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับการตัดสินใจในครั้งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปล่อยให้เซฮุนไปที่นั่นตามลำพังไม่ได้
“ก็ดีแล้วที่มึงฉลาด”
“มากกว่ามึงด้วย”
“กูล่ะดีใจแทนพ่อแม่มึงจริง ๆ ที่มีลูกเก่งแบบนี้ คารวะสามจอก” ลู่หานฟึดฟัดพ่นลมหายใจออกทางจมูก เขาไม่ได้ตลกไปกับประโยคกวนส้นตีนของคนขับเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำยังทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมอีกด้วย
“กูถามจริงเหอะสัด” สุดจะทนแล้ว ลู่หานหันหน้าเข้าหาเพื่อนก่อนจะชำเลืองมองเซฮุนที่นั่งมองอยู่ข้างหลัง
“ถามเล่น ๆ ก็ได้ เผื่อมึงอยากหัวเราะ”
“ตอนนี้หน้ากูเหมือนตลกคาเฟ่มากไหมล่ะ จริงจังสักเรื่อง” ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นลู่หานมุมแบบนี้ จงอินยิ้มขำก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนซี้ที่คิ้วทั้งสองข้างแทบจะผูกเข้าหากันอยู่แล้ว
“ว่ามา”
ลู่หานไม่ได้ยิงคำถามไปในทันที ชายหนุ่มหลุบตาลงแล้วใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดในหัว ซึ่งมันมีแต่เรื่องแง่ลบไปซะหมด ทั้งที่บางทีโลกอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หากว่าการทดลองได้ผล แต่เขาทำใจคิดในแง่ดีแบบนั้นไม่ไหวจริง ๆ
“ถ้าเกิดการทดลองไม่สำเร็จล่ะ”
“ก็กลับอุทยานดิ”
“แล้วถ้าเกิดมันไม่ปล่อยให้มึงสองคนกลับล่ะ”
“...”
“ตอบ”
“มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก”
“กูไม่ได้ถามว่ามันจะเกิดขึ้นไหม กูแค่ต้องการให้มึงตอบในสิ่งที่กูอยากรู้”
จงอินเงียบ เขาไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เมื่อมันคือความกังวลลึก ๆ ที่ยังหวั่นใจอยู่ว่าถ้าหากเป็นอย่างที่ลู่หานพูดจริง ๆ เขาและเซฮุนจะทำยังไง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ให้ความหวังที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเป็นฝ่ายตัดสินใจ เขายอมเสี่ยงกับมันหากว่าทุกอย่างอาจจะดีขึ้นในอนาคต
“ถ้าเป็นอย่างนั้นกูก็ฝากมึงดูแลทุกคนด้วย”
“ฝากห่าไรมึง” เสียงของลู่หานดังขึ้น ได้แต่จ้องหน้าเพื่อนสนิทที่ยังคงบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทาง พอถึงตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเผลอขึ้นเสียงใส่เพราะอารมณ์โทสะ
เซฮุนทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ เขารู้สึกผิดตั้งแต่ก่อนก้าวขาขึ้นมาบนรถ สายตาทุกคนที่มองมานั้นยังจำได้ดี เด็กหนุ่มใช้เวลายืนอยู่ตรงนั้นหลายนาที มองหน้าทุกคนที่ส่งเขาขึ้นรถราวกับว่ามันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน
แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจว่าความหวังนั้นจะได้ผล โอเซฮุนเลือกจะไปทั้งที่รู้สึกกลัวทุกอย่างไปหมด กลัวตาย กลัวความผิดพลาด และที่สุดแล้วคือการลาจากซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็น แต่ที่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะว่าเขารักและผูกพันกับทุกคนมากเกินกว่าที่จะทนมองใครตายจากไปเพราะถูกกัดอีกแล้ว
“มึงจะไปกี่วัน”
“อาจจะสองสามวัน คงไม่น่านานไปกว่านั้นหรอก”
“แล้วถ้านานกว่านั้นล่ะ”
“กูก็คงต้องอยู่ต่อไป”
“...” ได้ยินเสียงถอนหายใจของลู่หานแม้ว่าจะมีเพลงคลอดับความอึดอัดอยู่เบา ๆ จงอินหันไปหาคนข้าง ๆ อีกครั้ง เขาคิดไม่ออกเลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงกับชีวิตที่ไม่ได้อยู่กับทุกคน
“ตั้งแต่รู้จักคนมาเป็นร้อยเป็นพัน มึงเป็นคนแรกที่กูยอมรับว่าเก่ง เพราะฉะนั้นมึงต้องดูแลทุกคนให้ได้ เข้าใจป่ะสัด” จงอินพูดขณะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปทางขวา
“กูไม่ได้ต้องการคำชม”
“นอยด์จังเลยนะครับ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูไม่เปลี่ยนใจ”
“นาทีนี้กูไม่สนหรอกว่ามึงจะเปลี่ยนใจไหม มึงแม่งคิดอะไรโง่ ๆ แดกทำไมข้าวให้เสียของ ทำไมไม่ไปแดกหญ้าโน่น ควายเอ้ย” ลู่หานบ่นก่อนจะยกขาขึ้น
“ถ้าเลือดของเซฮุนเอาไปทดลองจนทำเป็นยารักษาพวกกินคนได้แล้วมึงจะขอบคุณกูนะ”
“แต่ก่อนพูดว่าขอบคุณ ขอส่งมอบเอาตีนกูไปแดกครับ” ปรายตามองเพื่อนที่กำลังยิ้มขำอยู่ ดูก็รู้ว่ามันพยายามทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
“ถ้ามีใครรังแกคนของเรามึงต้องจัดการนะสัด อย่าเก็บมันไว้”
“สั่งเสียทำไมครับ มึงจะตายในอีกชั่วโมงข้างหน้าเหรอ พระเอกหนังสงครามมากไหม” ลู่หานไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่าย เขาเลือกที่จะทำหูทวนลม ไม่อยากรับรู้กับประโยคที่เหมือนการสั่งเสียล่วงหน้า
“กูจะกลับไป”
“...”
“จะไม่มีใครตายอีกแล้ว” จงอินพูดก่อนจะเหยียบเบรกเมื่ออีกสองร้อยเมตรข้างหน้าคือค่ายทหารที่เขาเคยมาเมื่อก่อนหน้านี้และไม่คิดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
ความเงียบโรยตัวเพียงไม่กี่วินาทีกับช่วงเวลาเปลี่ยนเพลงถัดไป ทั้งสามคนไม่มีใครพูดออกมาอีกแม้กระทั่งคนที่อยากพูดมากที่สุดในเวลานี้อย่างจงอิน ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากฝากลู่หานไว้ เพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุด แต่ถ้าพูดแบบนั้นก็เหมือนกับว่าเขาได้เลือกทางที่ผิด แม้ว่าคิมจงอินจะเคยเข้าไปข้างในนั้นและพบว่าทุกอย่างปกติดีก็ตาม แต่ความน่ากลัวของมนุษย์ในปัจจุบันนี้มันไม่สามารถดูกันได้จากภายนอกเพียงแค่ไม่กี่นาที
“ไปกันเถอะเซฮุน” หันไปบอกคนที่อยู่ทางด้านหลังแล้วร่างบางก็สะพายกระเป๋าเป้ทั้งสองใบออกมาข้างนอกรถ ในกระเป๋ามีเพียงแค่เสื้อผ้าชุดเดียวสำหรับเปลี่ยนในวันถัดไป เพราะทั้งคู่คิดว่าจะรีบกลับอุทยานทันทีที่ให้เลือดเรียบร้อยแล้ว
ร่างโปร่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขารู้ดีว่าไม่มีคำพูดไหนที่จะทำให้ลู่หานรู้สึกดีขึ้นได้ และการแสดงออกว่ารู้สึกผิดหรือบอกว่าขอโทษก็คงไม่ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ดีขึ้นเหมือนกัน จงอินลงจากรถ เพียงแค่อึดใจอีกคนก็เดินตามมา เขามีโอกาสได้มองหน้าลู่หานจัง ๆ เพียงแค่เสี้ยววินาทีอีกฝ่ายก็เดินอ้อมมาเปิดประตูที่นั่งคนขับ
ทั้งคู่มองใครอีกคนที่กำลังถอยรถออกจากตรงนั้นโดยที่ไม่กล่าวลาเลยสักคำเดียว ลู่หานกลับไปแล้ว ท่าทางจะโมโหมากจนแทบไม่อยากทนมองหน้าเขาทั้งคู่นาน ๆ จงอินมองรถที่ขับออกไปไกลจนลับสายตา เขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วหันกลับมามองหน้าคนข้าง ๆ
เซฮุนเองก็คงรู้สึกผิดไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่คิมจงอินทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการยิ้มให้กำลังใจ แววตาของเซฮุนน่าสงสาร มันต่างจากครั้งแรกที่เขาเคยเจอเด็กคนนี้ ในตอนนั้นแววตาคู่นี้ช่างว่างเปล่า
ค่ายทหารอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปอีกแค่นิดเดียวก็ถึง แต่ทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ตรงนี้แล้วมองไปยังจุดหมายปลายทาง รู้สึกใจหายแปลก ๆ กับการที่ต้องเข้าไปทั้งที่ยังมีเรื่องไม่สบายใจอัดแน่นอยู่เต็มอก
“เราต้องแยกกันใช่ไหมครับ” เซฮุนมองหน้าเขา จงอินพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะรับกระเป๋าเป้มาสะพาย “ถ้าผมให้เลือดเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะได้ออกมาเจอคุณใช่ไหม”
“แน่นอนสิ” เขายังคงยิ้มให้คนตรงหน้า เซฮุนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหลับตาลง เด็กหนุ่มกำลังทำใจให้สบายก่อนที่จะเข้าไปในค่ายทหาร จงอินวางมือลงบนศีรษะคนตรงหน้า เขาเพียงแค่ลูบเบา ๆ เท่านั้นเพื่อให้เซฮุนรู้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ “กลัวเหรอ”
“ครับ...”
“นายอยู่กับใคร ยังมีอะไรต้องกลัวอีก?” พอเห็นจงอินขมวดคิ้ว ร่างบางก็หลุดหัวเราะออกมา นั่นสินะ...อยู่กับคน ๆ นี้แล้วเขายังกลัวอะไรอีก
ลู่หานชะโงกหน้าออกไปข้างนอกหลังจากจัดการผีดิบแขนขาดที่ยืนอยู่ข้างทางไปตัวหนึ่ง เพราะทันทีที่หักเลี้ยวโค้งเข้ามาเขาก็ดับรถแล้วออกมาข้างนอกเพื่อวกกลับไปดูว่าสองคนนั้นเข้าไปในค่ายหรือยัง มันก็ตลกดีหรอกที่ทำเป็นปากดีตีมึนใส่มันทั้งสองคนแต่สุดท้ายแล้วก็ระเห็จกลับมาแอบดูแบบนี้
ก็คนมันไม่สบายใจนี่หว่า อย่างน้อยก็อยากเห็นกับตาว่าพวกมันเดินเข้าไปในค่ายได้อย่างสวัสดิภาพโดยที่ไม่ถูกกระชากลากดึงหรือเอาปืนจ่อหัวขู่ให้เข้าไปข้างในทันทีที่ปริปากบอกว่าโอเซฮุนถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยน แต่จะให้ยืนล่ำลาแบบนั้นก็ไม่เอาเหมือนกัน ตลกตายห่าใครจะไปพูดสั่งเสียกาก ๆ แบบนั้น จะมีก็แค่คนขี้แพ้ไอ้จงอินเท่านั้นแหละ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะทำให้ผู้ชายอย่างลู่หานหงุดหงิดไปหมด เพราะจากระยะตรงนี้มันมองเห็นได้ไม่ชัดอย่างที่ควร เขากลับไปที่รถแล้วเปิดประตูท้ายเพื่อหยิบไรเฟิลออกมา ในเมื่อไม่มีกล้องส่องทางไกลก็คงต้องใช้ไอ้นี่แหละ
แต่พอเห็นชัด ๆ แล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อมันสองคนยังยืนสบตากันอยู่ ลู่หานถอนหายใจหนัก ๆ แทบจะนับครั้งไม่ได้แล้ว มึงช่วยทำอะไรสักอย่างกับตัวเองทีเถอะ ถ้าไม่เดินกลับมาก็จูงมือกันเข้าไปซะไม่ใช่ยืนสวีทพลอดรักกันอยู่ตรงนั้นให้กูหวั่นใจเล่น ๆ ห่าเอ้ย กูอยากจะดึงโบลแล้วเหนี่ยวไกจริง ๆ
จงอินคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว มันคงไม่เข้าท่าหากว่าเขาทั้งสองคนยังคงยืนอยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แทนที่จะรีบเข้าไปแล้วรีบออกมา แต่ยังไม่ทันก้าวออกไปไหนร่างหนาก็หันกลับเข้าหาอีกฝ่ายเมื่อถูกรั้งแขนเอาไว้ จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเซฮุนกำหมัดขึ้นมาตรงระดับใบหน้าเขา
“อะไร?”
หลังจากได้ยินคำถามร่างบางก็คลายมือออกก่อนที่สร้อยเส้นสีดำที่คล้องอยู่ตรงนิ้วกลางจะถูกปล่อยลง จงอินมองจี้วงกลมสีเงินที่แกว่งไปมาตรงระดับใบหน้าเขาก่อนจะเบนสายตาไปหาคนตรงหน้าที่กำลังยิ้มจนตาหยี
“อะไร”
“ผมให้ครับ”
“อ่า?” จงอินยังคงทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันไม่แปลกเกินไปหน่อยเหรอกับการที่เขาถูกทำแบบนี้ทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน “โทษนะ? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนเซอร์ไพร์สอยู่?”
“ก็ใช่น่ะสิครับ” เซฮุนยิ้มขำกับท่าทางคนตรงหน้า จงอินพยายามปั้นหน้านิ่ง มันเป็นเรื่องน่าอายจริง ๆ ที่เขากำลังถูกเด็กนี่หัวเราะ
“ย่าห์ นายเห็นฉันเป็นผู้หญิงหรือไง?”
“ครับ?”
“อย่ามาตีหน้าซื่อไปหน่อยเลย เก็บไปซะ” เขาลดมืออีกคนลงก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นแล้วปล่อยให้อีกคนยืนทำตาปริบ ๆ อยู่คนเดียว พอเรียกสติกลับมาได้เซฮุนก็รีบวิ่งไปดักหน้าจงอินเอาไว้
“เดี๋ยวสิครับจงอิน คุณจะเมินผมไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ทำแบบนี้กับผู้หญิงบ่อยสินะ หึ...พ่อหนุ่ม ม.ปลาย สุดฮ๊อต” จงอินจิ๊ปากแล้วดันไหล่อีกคนให้พ้นทาง แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ยังไม่ลดละความพยายาม ร่างบางวิ่งไปขวางทางไว้อีกครั้งแล้วอ้าแขนออกกว้าง
“ผมยังไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร คุณเป็นคนแรก”
“โอ้โห ซึ้งสุด ๆ ไปเลย” จงอินปั้นหน้าปั้นตามองอีกฝ่ายก่อนจะเขี่ยปลายจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
“คุณไม่ชอบเหรอครับ”
“ชอบที่ถูกทำเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงน่ะเหรอ ต้องตอบแบบไหนถึงจะไม่ดราม่าล่ะหื้อ” พูดจบก็เดินต่อไป เซฮุนเดินขนาบข้างคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยที่ไม่สนใจหันมารับสร้อยที่เขาให้เลยสักนิด
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าคุณเป็นผู้หญิง คุณน่ะคิดไปเอง” ขายาวหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับเข้าหาเด็กเจ้าปัญหาอีกครั้ง
“ไม่ต้องมายอกย้อนเลย อยากใส่ทำไมไม่ใส่...เอง...ล่ะ...เออ...ก็...ดี” ไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ต้องกลายเป็นวัวเคี้ยวเอื้องเมื่อเจ้าตัวดันหยิบสร้อยออกมาจากคอเสื้อ และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือรูปร่างหน้าตามันเหมือนกันแบบไม่มีผิดเพี้ยน
“ใส่คู่กันนะครับจงอิน” อีกแล้ว เวลาจะขอร้องอะไรสักอย่างเป็นต้องทำหน้าแบบนี้ทุกทีสิ เขาใช้เวลาสบตากับโอเซฮุนไม่รู้ตั้งกี่วิ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะปฏิเสธไปแต่สุดท้ายเขาก็แพ้เด็กคนนี้อยู่ดี
ที่อยากปฏิเสธน่ะไม่ใช่อะไรหรอกนะ ถ้าเด็กนี่ยัดมันใส่มือเขาแบบส่ง ๆ ก็คงจะยอมใส่ให้ง่าย ๆ หรอก จะหาความโรแมนติกจากผู้ชายที่ชื่อคิมจงอินก็คงจะยากไปสักหน่อยนะโอเซฮุน
ร่างบางชักมือกลับเมื่อคนตรงหน้าทำท่าจะคว้าสร้อยไป พอเห็นอย่างนั้นคนที่ยอมเสียฟอร์มเลยเลิกคิ้วมองหาเรื่อง เซฮุนส่ายหน้าทั้งที่ยังยิ้มอยู่ก่อนจะแกะตะขอสร้อยออกแล้วก้าวมาข้างหน้า
“ผมขอแค่สิบวิ อย่าเพิ่งขยับนะ”
“...”
สุดท้ายคิมจงอินก็ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้อีกคนสวมสร้อยให้ ตอนนี้ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เซฮุนไม่ได้มองหน้าเขา เด็กคนนี้กำลังตั้งใจกับการเกี่ยวตะขอซึ่งมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาก็รู้สึกดี
“เนื่องในโอกาสอะไร”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากใส่คู่กับคุณน่ะ”
“เพิ่งรู้ว่านายก็มีมุมกิ๊วก๊าวเหมือนเด็กผู้หญิง”
“ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อยากใส่ของคู่กับคน ๆ นึงสักหน่อย” เซฮุนช้อนตามองคนตรงหน้าแค่ครู่เดียวก่อนจะหลุบตาลงอีกครั้ง จงอินหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะจับสร้อยของอีกคนมาดู
“ไปเอามาจากไหน”
“ในห้างครับ” ร่างบางจัดสร้อยหลังจากใส่ให้เรียบร้อยแล้วก่อนจะถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง จงอินก้มลงมองจี้เงินก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ถ้าเกิดว่าฉันทำหายล่ะ”
“ผมรู้ว่าจะไม่มีวันนั้น”
“...”
“ผมพร้อมแล้วครับจงอิน” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ราวกับว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการทุกอย่างแล้ว ชายหนุ่มก้าวเข้าหาอีกฝ่ายทั้งที่ยังสบตากันอยู่
เซฮุนเบิกตากว้างเมื่อถูกอีกคนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด นอกจากตอนนอนแล้วก็เป็นไม่กี่ครั้งที่จงอินกอดเขาแบบนี้ ร่างหนากระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น เขากำลังทำในสิ่งที่ห้ามตัวเองไว้ตลอดทั้งทางคือการแสดงออกถึงความกลัวให้เซฮุนได้เห็น มันคงจะดีถ้าเขาทั้งคู่เข้าไปในค่ายนั้นโดยที่ไม่ต้องพูดคุยกันมากมายแบบนี้เพราะมันทำให้เขาไม่อยากให้เซฮุนเข้าไป
“จงอิน”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูด”
“...”
ร่างบางค่อย ๆ ยกมือขึ้นกอดตอบ น่าแปลกที่อ้อมกอดนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวและอบอุ่นไปพร้อม ๆ กัน เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลงเพื่อรับสัมผัสนี้แล้วภาวนาว่าขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขอให้เลือดของเขาใช้ได้ผล ขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม...
หลังจากที่ยืนรออยู่เกือบห้านาทีประตูเหล็กบานใหญ่ก็เปิดออก ความรู้สึกแรกคือโล่งอกที่เห็นจูจีฮุนออกมาต้อนรับหลังจากเขาต้องตะโกนคุยกับทหารที่เฝ้ายามอยู่บนรั้วว่าต้องการพบหมอนั่น จีฮุนค่อนข้างดีใจที่เห็นการมาของเขาทั้งคู่ เขาถามไถ่ถึงความเป็นมาระหว่างเดินเข้าไปด้วยกันก่อนที่จงอินจะหันกลับไปมองประตูเหล็กที่กำลังปิดลง
จงอินอธิบายเรื่องเซฮุนให้ฟัง และแน่นอนว่ามันทำให้นายทหารนุ่มอึ้งไปเกือบครึ่งนาที สีหน้าของจีฮุนตกใจมากขณะมองไปยังเด็กตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“จริงเหรอเนี่ย?”
“ใช่ และที่เรามาในวันนี้ก็เพื่อทำตามที่คุณเคยบอก เรื่องบริจาคเลือดอะไรนั่น” จงอินพูดแล้วจีฮุนก็พยักหน้าเข้าใจ
“ไม่นึกเลยว่าจะเป็นคุณ ขอบใจมากนะเซฮุนที่คุณตัดสินใจมาที่นี่” จีฮุนวางมือลงบนไหล่เด็กหนุ่มก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ราวกับโล่งอก
“ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
“ช่วยได้มาก ๆ เลยต่างหาก คุณก็รู้ว่าคนที่ถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยนมีน้อยกว่าคนที่ถูกกัดแล้วตาย”
“ผมอยากตกลงกับคุณก่อน” จงอินแทรกบทสนทนาขึ้นมาและจูจีฮุนก็ไม่ได้ขัดอะไร “ทันทีที่ให้เลือดเรียบร้อยแล้ว ผมจะพาเซฮุนกลับทันที”
“คุณจะไม่พักอยู่ที่นี่ด้วยกันหรอกเหรอ?” นายทหารหนุ่มถาม
“ไม่ล่ะ เรามาเพื่อทำธุระ” พอได้ยินแบบนั้นจีฮุนก็พยักหน้ารับ “เราต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่?”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะวันสองวันล่ะมั้งเพราะตอนนี้เพิ่งมีคนเข้าไปก่อนเซฮุน อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย”
“แล้วผมต้องเข้าไปที่ศูนย์วิจัยเมื่อไหร่ครับ?”
“เข้าไปตอนนี้เลย เพราะเดี๋ยวต้องมีการตรวจร่างกายอีก วัดความดันอะไรเทือก ๆ นั้นน่ะ ว่าแต่พวกคุณทานข้าวกันมาแล้วหรือยัง?” จีฮุนมองทั้งสองคนสลับกันไปมา แล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า
“แล้วผมต้องรอที่ไหน?”
“ระหว่างรอเซฮุน ผมคงต้องให้คุณพักอยู่ห้องรวมกับคนอื่น ๆ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ผมไม่สามารถหาห้องเดี่ยวให้คุณได้เพราะที่นี่พลเรือนค่อนข้างเยอะพอสมควร” นายทหารหนุ่มค่อย ๆ เดินนำหน้าไปอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างนั้นพวกเขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ข้างเพื่อเก็บรายละเอียดที่นี่
“ไม่เป็นไร ผมไม่ซีเรียสเรื่องนั้น”
“เอาล่ะเซฮุน คุณพร้อมแล้วใช่ไหม?” จีฮุนหันกลับมาหาทั้งคู่ เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าจงอินโดยที่ไม่พูดอะไร ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็ไม่พร้อมทั้งนั้น “งั้นผมจะไปรอคุณอยู่หน้าทางเข้าศูนย์วิจัยนะ” นายทหารหนุ่มยิ้มแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยกันก่อนที่เซฮุนจะต้องแยกตัวไป
มีเพียงแค่หลังมือเท่านั้นที่สัมผัสกันและกัน เขาไม่สามารถจับต้องหรือแสดงออกได้มากไปกว่านี้ จงอินสำรวจกระเป๋าของคนข้าง ๆ ทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จริง ๆ แล้วเขาก็แค่หาเรื่องทำเพื่อเลี่ยงการมองหน้าโอเซฮุนนาน ๆ เท่านั้น
“จำกฎเหล็กได้ใช่ไหม?” เซฮุนพยักหน้ารับ เขาจำได้ดีกับกฎเหล็กทั้งสามข้อแม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกใช้ในสถานที่แบบนี้
ห้ามตาย มีสติ อย่าลนลาน และต้องกลับไปหากันและกัน...
“ผมไปนะ” เซฮุนกระชับกระเป๋าเป้แล้วเดินไปข้างหน้า แต่เพียงแค่สิบก้าวเท่านั้นเด็กหนุ่มก็หันกลับไปหาคนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “คุณรู้ไหมครับว่านอกจากการช่วยคนอื่นแล้วทำไมผมถึงอยากมาที่นี่”
“...”
“เพราะต่อให้ไม่มีผม คุณก็ยังอยู่ต่อไปได้” เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ สายตาของเขายังคงไม่ละจากผู้ชายคนนั้นที่ยังคงรอฟังเขาอยู่ “แต่ถ้าไม่มีคุณ...ผมอยู่ไม่ได้ครับ”
“...”
ถ้าโอเซฮุนคิดว่าประโยคเมื่อครู่มันจะมีผลกระทบกับเขาแล้วล่ะก็ ใช่ เด็กนั่นทำสำเร็จแล้ว คิมจงอินทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังคนตรงหน้าที่กำลังเดินห่างไปทุกที ทั้งที่ระยะห่างจากตรงนี้ก็ไม่ได้ไกลกันนัก รู้สึกโมโหอยู่ลึก ๆ ที่เซฮุนเล่นคิดเองเออเองโดยที่ไม่หันมาถามเขาสักนิดว่าเคยคิดแบบนั้นหรือเปล่า
“ถนัดนักล่ะเรื่องคิดแทนคนอื่น” จงอินพูดกับตัวเองเบา ๆ ตอนนี้จูจีฮุนกำลังพาเซฮุนเข้าไปข้างในศูนย์วิจัยที่มีนายทหารยืนเฝ้าปากทางอยู่ถึงสองคน “ฉันจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีนาย”
ทันทีที่เดินเข้าไปก็เห็นเซฮุนหันกลับมาทางนี้ ไม่มีการโบกมือให้เพราะมันไม่ใช่การลาจาก เขามองเด็กคนนั้นจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ประตูปิดลง จงอินกำจี้สร้อยคอเอาไว้พร้อมกับภาวนาอยู่ในใจ ขอให้สิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้น หรือไม่ก็อย่าให้เรื่องราวมันแย่ลงไปกว่านี้เลย
“มาพนันกันดีกว่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าความหวังมันมีอยู่จริงหรือเปล่า”
End Of Season 2
TBC
จบซีซั่น 2 แล้วค่ะ ก็ค้างอีกเช่นเคย (เพราะยังมีซีซั่น 3 ต่อ 55555)
ตื่นเต้นจังเลยค่ะ เพราะซีซั่น 3 คือภาคสุดท้ายแล้ว คือฟิคอะไรทำไมยาวยืดขนาดไหน ฟิคไตรภาค เหนื่อยแทนตัวละครเหลือเกิน
จะเกิดอะไรขึ้น ต่อไปจะเป็นยังไง อย่าลืมติดตามไปจนกว่าจะจบนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังคงอยู่กับเรา
ปล. ซีซั่น 2 จะเปิดให้โอนวันที่ 7 กรกฏาคม ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนเลยนะคะ ยาว ๆ สามเดือน ยืดเวลาไปเพราะเห็นว่าหลายคนช็อตกับคอนเอ็กโซค่ะ
ส่วนเรื่องรีปริ๊นท์ฟิคซอมบี้ซีซั่น 1 ตอนนี้เหลือเพียงแค่แบบหนังสือสองเล่มเท่านั้นนะคะ (คือไม่มีแบบกล่องขายแล้วจ้า) เพราะฉะนั้นใครอยากสั่งซื้อซีซั่น 2 ก็รบกวนสั่งรอบนี้ด้วยนะคะ เพราะเราจะไม่ทำกล่องรอบรีปริ๊นท์แล้ว ต้นทุนมันแพงจ้า <3
ความคิดเห็น