ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #70 : Chapter 66 :: Damage

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.2K
      110
      20 มิ.ย. 57

    ? Tenpoints!

     

     

     

    Chapter 66

    Damage




     

     

    ทันทีที่รถขับกลับมาถึงอุทยานลู่หานก็ลงจากรถเป็นคนแรก แบคฮยอนขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังคนที่นั่งปั้นหน้าหงุดหงิดมาตลอดทั้งทางก่อนจะหันไปมองอี้ฟานที่เพิ่งเปิดประตูรถออกมา ระหว่างทางพวกเขาก็คิดไม่ตกกับเรื่องค่ายทหารที่ลู่หานเล่าให้ฟัง

    ความกังวลที่สามารถทำให้รถทั้งคันเงียบได้ทั้งที่อยู่กันตั้งห้าคน ไม่มีใครเดินเข้าไปในบ้าน พวกเขาเพียงแค่ยืนอยู่กับที่แล้วมองชายหนุ่มที่คาบมวนบุหรี่ไว้ในปากแล้วจุดสูบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในหัวมีคำถามว่าเพราะอะไรจงอินถึงได้ไว้ใจคนแปลกหน้าที่ถือปืนกลเป็นอาวุธแล้วยอมเสี่ยงไปถึงถิ่นมันแบบนั้น

     

     

    ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจในครั้งนี้

     

     

    อี้ฟานเดินไปหาคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งขอนไม้ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นคนอื่น ๆ ก็ออกมาจากบ้านด้วยความประหลาดใจที่เห็นรถจอดอยู่เพียงคันเดียว จงแดเกาหัวแล้วมองกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังมีสีหน้าคิดไม่ตกอยู่

    ทำไมกลับกันเร็วจังเลยล่ะ แล้วจงอินกับเซฮุนไปไหน?

    ...

    นั่งก่อนเถอะครับ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาเล่าสักหน่อย ทันทีที่ชานยอลพูดจบ ทุกคนรวมถึงกลุ่มเด็กอายุสิบแปดต่างแยกย้ายกันหาที่นั่งก่อนที่จงแดจะก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นในยามบ่าย

    ความอึดอัดโรยตัวพร้อมกับบุหรี่ที่ส่งกลิ่นอบอวลไปโดยรอบ ลู่หานไม่คิดจะขอโทษหรือปลีกตัวไปสูบห่าง ๆ จากตรงนี้ จะว่าไปแล้วเขาไม่คิดจะทำอะไรมากกว่าการอัดมะเร็งเข้าปอดแล้วปล่อยให้ความหงุดหงิดคลายตัวออกมาพร้อมควัน

    เราไปถึงห้างสรรพสินค้าแล้วบังเอิญเจอพวกอัปรีย์ยิงพวกกัดคน เสียงปืนเรียกให้พวกมันแห่มาพวกเราเลยต้องหนี เซฮุนกับจงอินโดนไล่ต้อนไปอีกทางจนไปเจอกับทหารคนหนึ่ง เทาเป็นคนอธิบายเหตุการณ์เบื้องต้นอย่างคร่าว ๆ

    เขาสองคนถูกจับไปเหรอ?อึนจีโพล่งขึ้นมาอย่างตกใจก่อนที่เทาจะส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วหันไปทางลู่หานเป็นเชิงบอกให้เล่าต่อ

    มวนบุหรี่ถูกปล่อยลงบนหิมะจนดับไปในวินาทีถัดมา ลู่หานลูบใบหน้าพลางถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้สึกเป็นห่วงสองคนนั้นจนทนนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ จากประสบการณ์ที่เคยผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มาไม่ว่าจะเป็นการถูกเผาบ้าน ตอนบุกเดี่ยวไปช่วยถึงค่ายนัมจุนหรือแม้แต่ตอนที่จงอินยอมเสียสละตัวเองเพื่อให้พวกเขาทุกคนหนีขึ้นเรือไป มันทำให้เขาไม่คิดที่จะไว้ใจใครง่าย ๆ อีก

    ทหารคนนั้นชื่อจูจีฮุน แต่ชื่อของมันไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่มันต้องการหรอก ลู่หานพูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ อี้ฟานตบบ่าคนข้าง ๆ เป็นเชิงปลอบใจ มันบอกว่าที่ค่ายนั้นมีผู้รอดชีวิตอยู่เกินครึ่งร้อยแถมมีทหารคอยเฝ้ายามสารพัด หน้าที่ของมันคือออกลาดตระเวนตามหาคนปกติและคนที่ต่างจากคนอื่น

    คนที่ต่างจากคนอื่นมันเป็นยังไง? ซีวอนที่ยืนกอดอกอยู่ห่าง ๆ ถามขึ้นมา

    แบบนี้ไง ลู่หานผินหน้าไปทางหวงจื่อเทาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แบคฮยอนคนที่ถูกกัดแล้วไม่เป็นเหมือนพวกข้างนอกนั่น

    ...

    มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับ ซูโฮเบิกตาอย่างตกใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหาคนเป็นพ่อแล้วเงยหน้าขึ้นถามเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน ซีวอนเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงทำได้แค่ใช้ความเงียบเป็นตัวตอบคำถามลูกชายเท่านั้น

    แล้วเซฮุน... เสียงของครูสาวแผ่วเบาราวกับอุทานหากแต่ทุกคนที่อยู่โดยรอบนั้นได้ยินชัดเจนทุกคนยกเว้นสองพ่อลูก พวกเขาต่างรู้อยู่แล้วว่าเทากับเซฮุนอยู่ในสถานะบุคคลพิเศษที่ถูกกัดแล้วไม่เปลี่ยน แต่ที่ไม่รู้ก็คือเพราะเหตุผลใดทำไมทั้งคู่ถึงมีชีวิตรอดมาได้

    จงอินต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ จงแดพูดเบา ๆ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างคิดไม่ตก

    ทหารคนนั้นบอกว่าที่ค่ายเป็นศูนย์วิจัยย่อยซึ่งปลีกย่อยออกมาจากโซลอีกที เหตุผลที่ตามหาคนที่ถูกกัดแล้วไม่ติดเชื้อก็คือต้องการเลือดไปทดลองเพื่อทำการผลิตยารักษา อี้ฟานอธิบายต่อก่อนที่คนอื่น ๆ จะเป็นกังวลมากไปกว่านี้

    หมายความว่าเซฮุนต้องเสียสละตัวเองงั้นเหรอ? ทุกคนหันไปมองคยองซู สีหน้าของเด็กหนุ่มเรียบเฉยแต่คำพูดนั้นกลับทำให้ทุกคนเกิดคำถามขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้

    มันบอกว่าต้องการแค่เลือด ลู่หานตอบสั้น ๆ เขาไม่คิดจะพูดความยาวสาวความยืดมากไปกว่านั้นถึงแม้ว่าจูจีฮุนจะอธิบายเหตุผลให้ฟังแล้วก็ตาม

    เป็นไปได้เหรอว่าต้องการแค่เลือด? คยองซูยังคงจุดประเด็นความสงสัยขึ้นมา

    เขาบอกว่าคนที่ให้เลือดแล้วก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติน่ะครับ กลายเป็นแบคฮยอนที่ต้องแจงความเข้าใจให้หลังจากฟังลู่หานเล่าตอนระหว่างทางขากลับเพราะไม่มีใครตอบอะไรออกมา

    เป็นไปไม่ได้ อี้ชิงส่ายหน้าช้า ๆ จากที่ฟังปาร์คกาฮีแปลบทสนทนาให้ฟังเป็นระยะเขาถึงต้องแย้งขึ้นมาในทาง...วิทยาศาสตร์... อี้ชิงไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้ทุกคนที่นี่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ เพราะมันมีโอกาสน้อยมากว่าการทดลองจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เลย

    อี้ชิงพูดถูก ชานยอลเสริม ร่างสูงเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งแล้วมองหน้าบุรุษพยาบาลหนุ่มที่มีความเห็นเดียวกัน ตอนที่ฟังลู่หานเล่าให้ฟังบนรถเขาทำได้เพียงแค่เงียบไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา การทดลองเป็นเรื่องใหญ่ มันไม่ง่ายเหมือนการเจาะเข็มที่ปลายนิ้วเพื่อตรวจหากรุ๊ปเลือด

    หมายความว่าไอ้หอกนั่นโกหกเหรอวะ? เทาถาม

    แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาโกหก หรือว่าในนี้มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้เฉพาะทางที่สามารถยืนยันได้ว่าวิธีไหนมันถูกต้อง ซีวอนท้วง ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนอื่นวิเคราะห์แต่ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ เขาไม่อยากให้คนกลุ่มนี้คิดไปเองทั้งที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง

    จริง ๆ แล้วจงอินมันบอกว่าแค่อยากไปดูค่ายนั้นให้เห็นกับตา หลังจากปล่อยให้ความอึดอัดทำงานไปช่วงเวลาหนึ่งลู่หานเลยพูดทำลายความเงียบขึ้นมาอาจจะถูกอย่างที่ซีวอนพูด

    ...

    ก่อนหน้านี้ฉันเป็นแค่โจรกระจอก นายสามคนเป็นนักธุรกิจ คุณเป็นครู นายเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน นายเป็นบุรุษพยาบาล ส่วนพวกนายก็แค่นักเรียนนักศึกษา ในนี้ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าการทดลองมันทำกันยังไง ลู่หานมองหน้าทุกคนบางทีไอ้ทหารนั่นอาจจะพูดถูก

    ทุกคนยังคงเงียบ สถานการณ์ในปัจจุบันมันเป็นเรื่องยากที่จะไว้ใจผู้คนด้วยกัน พวกเขาได้แต่ภาวนาว่าจงอินกับเซฮุนจะปลอดภัยกลับมา

    หรืออาจจะเป็นเรื่องแหกตาทั้งหมดก็ได้

     

     

     

     

    สิ้นสุดความรอคอยเมื่อรถคันคุ้นตาขับเข้ามาในอุทยานหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง แทบจะทุกคนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจงอินกับเซฮุนลงมาจากรถครบทั้งสามสิบสองโดยที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส ชายหนุ่มหันไปหาอีกคนที่กำลังมองมาที่เขาเพราะทำตัวไม่ถูก สายตาของทุกคนกำลังมองมาเป็นตาเดียว แต่จงอินแค่พยักหน้าให้เซฮุนทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ไอ้ลู่หานเล่าให้ฟังหมดแล้วใช่ไหม?

    ถ้าพูดถึงความบ้าบิ่นของคุณล่ะก็ใช่ จงแดพูดด้วยโทนเสียงปกติ เขาไม่ได้โกรธการตัดสินใจของจงอินแต่รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อยก็คือการที่ผู้ชายคนนี้ให้เพื่อนร่วมทางที่เหลือกลับมาแล้วไปเสี่ยงในค่ายนั่นกันแค่สองคน

    ทุกคนดูเหมือนน้ำท่วมปากสำหรับการถามถึงข้อเท็จจริงที่สงสัยกันมาพักใหญ่ แน่นอนจงอินรู้ เขากวาดสายตาไล่มองทุกคนอย่างช้า ๆ แล้วจึงโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ

    สรุปว่าค่ายนั้นมีอยู่จริง

    ...

    ทุกคนอึ้งกับคำตอบของจงอิน เซฮุนเดินไปนั่งที่ว่างข้าง ๆ อึนจีแล้วก็พยักหน้าช้า ๆ เมื่อถูกถามว่าเรื่องที่พูดเป็นความจริงหรือเปล่า

    เป็นค่ายที่ดูดีทีเดียวล่ะ มีทหารเฝ้ายามบนหอคอย มีกำแพงแข็งแรงล้อมรอบ มีศูนย์วิจัยเล็ก ๆ” เขานึกภาพสิ่งที่ได้พบเจอมาในหัวและเล่าออกไปเท่าที่นึกได้ “และที่สำคัญคือมีไฟฟ้าใช้

    “....”

    ไม่แปลกถ้าที่นั่นมีศูนย์วิจัยอยู่ หลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมชั่วอึดใจ ชานยอลก็พูดขึ้น เขาคิดว่าที่นั่นคงมีที่ปั่นไฟขนาดใหญ่

    พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องที่มันพูดเป็นความจริงแทบทุกอย่างถ้าไม่นับเรื่องที่มันจะตกรถน่ะนะ เพราะสุดท้ายแล้วจงอินก็ต้องขับพาหมอนั่นกลับไปที่ค่าย พาเดินชมบ้านเรือนและที่สุดท้ายคือหน้าทางเข้าศูนย์วิจัย เขาไม่ได้คิดจะขอเข้าไปสำรวจภายในเพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นขนาดนั้น

    คุณได้บอกเรื่องเซฮุนกับเขาหรือเปล่า? จงอินหันไปทางชานยอลแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องที่ทุกคนห่วงที่สุด

    ฉันเข้าไปที่นั่นในฐานะผู้เยี่ยมชมบ้านตามใบปลิวโฆษณาน่ะ

    แล้วที่นั่นเป็นยังไงบ้าง อี้ฟานถาม

    ก็ดีนะ อยู่กันเป็นสังคมใหญ่ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ คุยกันไม่นานฉันก็ขอตัวกลับหมอนั่นก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมขอให้อยู่ด้วยหรืออะไร

    ทุกคนดูจะอยากรู้ความคิดเห็นของจงอินและเซฮุนเป็นพิเศษ และถ้าเขาคล้อยตาม นั่นคงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สำหรับทุกคนในที่นี้ว่าจะเอายังไงต่อ สุดท้ายแล้วลู่หานก็แสดงออกว่าเขาเดือดเนื้อร้อนใจที่สุด

    แล้วมึงจะไปป่ะล่ะครับ? จงอินมองไปยังเจ้าของเสียงที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยอยู่ด้านหลังสุด เขาเพียงแค่ไหวไหล่แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

    ไปทำไมวะ อยู่ที่นี่ก็สบายแล้ว

    ควาย ลู่หานเบ้ปากแล้วลุกขึ้นเดินผิวปากออกไปจากตรงนั้น ทุกคนมองตามหลังชายหนุ่มที่ตรงไปยังทางลงแม่น้ำแล้วก็ได้แต่หันมาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ทีนี้ก็หมดปัญหาไปหนึ่งเรื่องแล้ว จงอินไม่ได้เก็บเรื่องค่ายนั่นมาใส่ใจอย่างที่พวกเขาคิดกันไปไกล

    คงหายงิดแล้วมั้งน่ะ เทาว่า

    งิดไรวะ

    ตามประสาตุ๊ดครับ มันเป็นห่วงมึง เด็กตัวสูงหัวเราะ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายจากความอึดอัด แต่ละคนต่างลุกขึ้นแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่จงอินกับอี้ฟานเท่านั้น

    คราวหลังขอความเห็นจากผมด้วยก็ดีนะ

    ครับพี่ จงอินโค้งหัวลงต่ำก่อนจะเงยหน้าขึ้น อี้ฟานได้เพียงแค่ส่ายหน้าแล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ กับท่าทีประชดประชันของอีกฝ่าย

     

     

     

     

     

     

    พลาด!”

    เฮ้ย!”

    ฮ่า ๆ

    อึนจีกุมท้องขำหลังจากแกล้งคนที่กำลังตั้งใจยิงธนูแต่สุดท้ายก็พลาดเป้า แบคฮยอนหันไปมองคาดโทษเด็กสาวซึ่งดูเหมือนว่าจะสะใจมาก เขาย่นจมูกใส่ก่อนจะดึงลูกธนูออกมาใหม่เพื่อซ้อมต่อระหว่างรอคนอื่น ๆ เตรียมของให้พร้อมในการออกไปข้างนอก

    หลังจากที่ออกไปเสียเที่ยววันนั้นเลยกลายเป็นว่าพวกเขาต้องออกไปล่าสัตว์แทนที่จะขับรถออกไปไกล ๆ เพื่อหาเสบียง มันเหมือนเป็นทางเลือกที่ไม่เลวในการลดความเสี่ยง เช้านี้จงอินตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกโวยวายของเด็ก ๆ ที่ซ้อมยิงธนูอยู่หน้าบ้านราวกับว่าจะให้เสียงเหล่านั้นกระชากเขาลงจากเตียงแทนนาฬิกาปลุก

    สวัสดีวันปีใหม่นะหนุ่มน้อยอึนจีกระแซะแขนคนข้าง ๆ พร้อมกับมองทะเล้น แบคฮยอนหลุดขำออกมากับท่าทางแบบนั้นแล้วจิ้มหน้าผากมนเบา ๆ

    เช่นกันนะสาวใหญ่

    แบคฮยอนไม่ได้เสียเวลาคิดคำหวานซึ้งหรือตั้งใจจะสร้างโลกให้เป็นสีชมพู ยอมรับว่าระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาเขารู้สึกสับสนจนเลือกทำตัวไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติต่ออึนจีในลักษณะของคนพิเศษ หรือว่าการครุ่นคิดและสร้างคำถามให้ตัวเองในเรื่องเกี่ยวกับปาร์คชานยอล ตั้งแต่ตอนนั้นร่างสูงดูเหมือนจะพูดอะไร แต่จนถึงตอนนี้แล้วทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม

    เซฮุนน่า~ คยองซูโอป้าสวัสดีวันปีใหม่นะ!”

    ขนลุก เจ้าของชื่อลูบแขนป้อย ๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยเรียกโอป้าวันนี้นึกครึ้มอะไรขึ้นมา

    สวัสดีวันปีใหม่ เซฮุนยิ้มแล้วเดินมาฝึกซ้อมยิงธนูกับแบคฮยอน ตอนนี้เหลือแค่ผู้ใหญ่บางคนที่ยังจัดการธุระส่วนตัวไม่เสร็จ

    ปีใหม่ที่ผ่านมานายสามคนทำอะไรบ้าง

    อยู่กับครอบครัวน่ะ เธอล่ะ เซฮุนหันไปถาม

    อยู่หออ่ะดิ เด็กสาวเบ้ปากแล้วหันไปทางแบคฮยอน

    เหมือนเซฮุนนั่นแหละ แต่คืนนั้นฉันกับพี่ชายนอนดูหนังสยองขวัญกันจนดึก เราหลับคอพับไปตั้งแต่กลางเรื่องตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว

    แล้วนายล่ะคยองซู

    เลี้ยงสายรหัส คนถูกถามตอบเสียงเรียบ พอคิดได้ว่าเด็กพวกนี้ยังเรียนมอปลายและคงไม่เข้าใจเรื่องสายรหัสอะไรนั่นคยองซูถึงได้ยอมอธิบายต่อหมายถึงการดื่มเหล้าแบบตายไม่เอาเรื่องน่ะ

    ฉันไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ภาพลักษณ์นายกลายเป็นไอ้ขี้เหล้าเพราะคืนวันคริสต์มาสกับประโยคเมื่อกี้นี้ อึนจีขยับปากพูดเบา ๆ ทั้งที่สายตามองไปยังรุ่นพี่หน้าตายที่กำลังยิ้มน้อย ๆ อยู่ ทีงี้ล่ะยิ้มเชียวนะ

    จะว่าไปแล้วนายก็ดื่มเก่งกว่าที่คิดนะ แบคฮยอนหลับตาข้างหนึ่งแล้วตั้งท่ายิงธนู

    คนเราก็เป็นแบบนี้ ไม่ยอมถามแต่กลับคิดเอาเอง

    ฟังดูแย่จัง เซฮุนยิ้มขำในขณะที่แบคฮยอนทำหน้าเจื่อนกับคำพูดของคยองซู

    นายพูดเหมือนไม่เคยเดางั้นแหละ

    แต่ฉันไม่เคยบอกคนอื่นว่าเดานะ

    นายถูกเสมอ รูมเมท แบคฮยอนกลอกตาขึ้นแล้วหันกลับไปสนใจเป้าหมายเบื้องหน้าแทนที่จะดื้อต่อล้อต่อเถียงแบบไร้ทางชนะ ไม่ว่าใครก็เถียงคยองซูไม่ชนะทั้งนั้นแหละ

    จุดจบของคนขี้แพ้ คนชนะหันไปมองอึนจีกับเซฮุนก่อนจะยิ้มขำแล้วแท็กมือกันเมื่อแกล้งอดีตน้องเล็กประจำกลุ่มสำเร็จ (แบคฮยอนไม่ได้ว่าอะไรถ้าซูโฮจะกลายเป็นน้องเล็กคนปัจจุบันแทนเขา)

    เจ๊กมา ๆ อึนจีสะกิดแขนทุกคนแล้วทำเป็นไม่สนใจผู้มาใหม่ที่เดินทอดน่องมาทางนี้พร้อมกับซองขนมขบเคี้ยวในมือ เทายืนขนาบข้างแบคฮยอนแล้วมองลูกธนูที่ยิงไปข้างหน้าแต่สุดท้ายก็พลาดเป้าอีกครั้ง

    คนตัวเล็กถอนหายใจเบา ๆ อย่างเสียดายก่อนจะเลิกคิ้วมองคนตัวสูงที่ป้ายมือลงบนเสื้อเขาแล้วฝากซองขนมไว้ หวงจื่อเทายักคิ้วแล้วยิ้มในแบบที่ผู้ชายจะสามารถหล่อที่สุดในชีวิตได้ออกมา

    พี่จะโชว์ให้ดู

    โอ้ย~ ฮ็อคอายมาก เก่งที่หนึ่ง อึนจีพูดลอย ๆ ขณะที่เทากำลังเล็งเป้าไปข้างหน้าทั้งที่ปากยังคงเคี้ยวขนมอยู่ ช่างปะไรล่ะ บอกแล้วพี่จะโชว์เหนือ

    ว้าว~” เซฮุนอุทานเมื่อลูกธนูเสียบเข้ากลางเป้าได้อย่างแม่นยำไม่มีพลาด เด็กตัวสูงยักคิ้วโชว์แล้วล้วงมือเข้าไปในซองขนมที่แบคฮยอนถือเอาไว้อย่างผู้ชนะ ไม่มีการพลาดและเสียฟอร์มใด ๆ ทั้งสิ้น ก็ไอ้เรื่องยิงธนูนี่ล่ะที่เขามั่นใจในความเก่งจนอยากลงทีมชาติไปให้รู้แล้วรู้รอด

    กินมั่งดิ...ไอ้เจ๊ก!” ยังไม่ทันได้แตะซองขนมก็ต้องแว๊ดใส่ไอ้คนตัวสูงที่เช็ดมือลงกับเสื้อของเธอได้อย่างหน้าตาเฉย เด็กสาวกัดฟันกรอดแล้วกระโดดตบหัวอีกฝ่ายเสียงดังแป๊ะจนคนข้าง ๆ สะดุ้งโหยง

    โอ๊ย! โดนช้างฟาด

    ไม่เอาน่าอึนจี <- แบคฮยอน

    เออ หัดเตือนแฟนนายมั่งนะว่าเป็นผู้หญิงอย่าเล่นหัวผู้ชาย เทาเบ้ปากมองเด็กสาวที่กำลังแค่นหัวเราะกับประโยคเมื่อครู่ เขาเล่นหูเล่นตาล้อเลียนอย่างน่าหมั่นไส้

    แฟนอะไรกัน เรา...

    จูบกันยังล่ะเตง

    ไอ้เจ๊ก!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

    อุ๊! ช้างตกมัน! เหวออ!!!”

    ชานยอลกับอี้ฟานได้แต่ยิ้มขำขณะที่เด็กสองคนกำลังวิ่งไล่ฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย มือแกร่งดันประตูท้ายกระบะขึ้นแล้วหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย จะว่าไปแล้วมันก็นานพอสมควรที่ทั้งคู่ไม่ได้หันหน้าคุยกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ แม้ว่าจะอยู่ห้องเดียวกัน

    คุณไม่ไปด้วยกันเหรอ?

    ครับ ผมว่าจะพาอี้ชิงเข้าไปหาของในเมืองสักหน่อย อีกอย่างไปกันเยอะแบบนี้ผมกลัวว่าสัตว์จะหมดทั้งป่าไปเสียก่อน อี้ฟานหัวเราะกับคำพูดติดตลกของอีกคน แม้แต่ตัวชานยอลเองก็ยังหลุดยิ้มออกมากับสิ่งที่เขาพูดออกไป

    ว่าแต่ของที่ว่าคือ?

    หนังสือน่ะครับ เพียงแค่นั้นร่างสูงก็พยักหน้าช้า ๆ อี้ฟานไม่ได้ถามต่อว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร แต่การที่ชานยอลดีขึ้นมากพอที่จะพาใครสักคนหนึ่งออกไปข้างนอกได้โดยที่ไม่ฝืนใจทำมันก็นับว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้คุยกันเรื่องนี้อย่างเปิดใจสักครั้ง

    ระวังตัวด้วยล่ะ

    พวกคุณก็ด้วยนะ อี้ฟานตบบ่ากว้างปุ ๆ ก่อนที่ชานยอลจะเดินกลับเข้าไปในบ้านหลังแรกเพื่อเตรียมตัวสำหรับการรับผิดชอบในวันนี้

     

     

     

     
     

    การล่าสัตว์ในครั้งนี้คือจุดเดิมที่เคยมาแต่เปลี่ยนเส้นทางการเข้าเพราะคราวที่แล้วพวกเขาเสียเวลาไปนานกับการเดินวนหาสัตว์รอบป่า คิดว่าถ้ามาทางนี้อาจจะดีกว่าการใช้เส้นทางเดิม ทุกคนลงมาจากรถเมื่อเจอปัญหาอยู่เบื้องหน้าคือท่อนไม้ที่ขวางทางจนไม่สามารถขับต่อไปได้  

    กลุ่มเด็กอายุสิบแปดอยู่กันครบองค์ประชุม เว้นก็แต่มินซอกที่ต้องอยู่ช่วยงานบ้านกับปาร์คกาฮี ส่วนอี้ฟานกับจงอินเป็นฝ่ายเดินนำและให้เด็ก ๆ อยู่ตรงกลาง ลู่หานคอยระวังหลังให้ อาวุธที่เตรียมมาวันนี้มีเพียงแค่คันธนูกับมีดพก ปีนที่อยู่ตรงสนับขาของคนเดินนำหน้าทั้งสองจะถูกนำออกมาใช้ในยามคับขันเท่านั้น

    หนาวจัง เป็นอีกครั้งที่อึนจีพูดคำนี้ เธอพ่นควันสีขาวออกจากปากพลางกระชับคันธนูไว้มั่น เทาหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ต้องตบตีกับความคิดในหัว เด็กหนุ่มดึงผ้าพันคอไหมพรมออกมาแล้วยื่นไปหาอีกคนอย่างไม่ใส่ใจนักทั้งที่สายตากำลังมองไปข้างหน้า

     

     

    ใช่ เขาต้องทำเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไร

     

     

    หือ?

    เห็นบ่นนานละ รำคาญ ใส่ ๆ ไปเลยป่ะ เทาขมวดคิ้วมองคนตัวเล็กกว่าและไม่ลืมที่จะผลักหัวกลบเกลื่อนไปทีนึงแล้วมันก็ได้ผลอย่างทุกที

    ฉันควรขอบคุณนายไหมเนี่ยห๊ะ?อึนจีเบ้ปากแล้วคว้าผ้าพันคอที่อีกคนให้มาคล้องไว้ไปอย่างนั้น แต่เธอไม่ได้เอาพันรอบคอในทันทีเพราะความรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ที่ต้องถือธนูไปด้วยนี่แหละ

    ไม่ใช้ก็เอาคืนมา

    โห เมื่อกี้นายเกือบจะหล่อแล้วนะเจ๊ก เป็นผู้ชายอย่าทวงของคืนดิ อึนจีขยับปากบ่นงุบงิบก่อนจะหันไปเบ้ปากเรียกร้องคะแนนสงสารจากอีกคนแบคฮยอนอา...

    ฉันช่วยนะ เป็นเพราะว่ายิงธนูไม่เก่งแบคฮยอนเลยชวดที่จะได้ใช้มันและเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มือทั้งสองข้างของเขาว่างพอที่จะเอื้อมมือไปช่วยพันผ้าพันคอให้เธอได้

    โอ้ย...ทำไมหิมะแถวนี้มันเป็นสีชมพูวะ เห็นแล้วอยากแดกพัทบิงซูเลย เทาพูดลอย ๆ

    มาครับ กูป้อน ลู่หานก้มลงกำหิมะขึ้นมายัดใส่ปากเด็กตัวสูงที่เดินอยู่ข้างหน้า เทาเบี่ยงตัวหลบไอ้เจ๊กรุ่นพี่ที่กำลังแกล้งเขาก่อนจะยกขาขึ้นเตรียมถีบ อี้ฟานหันกลับไปมองเด็ก ๆ ที่เดินตามมาก่อนจะส่ายหน้าหน่าย ๆ

    จะไม่ได้แดกเนื้อเพราะเสียงพวกมึงนี่แหละครับ จงอินส่งเสียงกวนประสาทมาจากข้างหน้า ทำเอาคนถูกว่าคิ้วกระตุกไปเล็กน้อย

    มิตรสหายท่านหนึ่งของมึงแกล้งกูก่อนนะครับ เทารีบแย้งขึ้นมาก่อนจะปีนขึ้นไปบนโขดหินแล้วยื่นมือลงไปช่วยดึงคนที่เหลือขึ้นมา

    หน้าหนาวปีที่แล้วไม่เห็นหนาวขนาดนี้เลย อึนจียังคงบ่นเรื่องสภาพอากาศอยู่แม้จะได้ผ้าพันคอมาช่วยสร้างความอบอุ่นแล้ว

    เพราะปีที่แล้วเธอไม่ต้องออกมาล่าสัตว์แบบนี้หรือเปล่า เซฮุนยิ้มตอบแล้วช่วยดึงอึนจีขึ้นมาอย่างง่าย ๆ

    ก็คงใช่ ฉันกลายเป็นนายพรานไปแล้วถ้าแม่รู้คงปลื้มไม่น้อย คยองซู ให้ฉันช่วยไหม? เด็กสาวหันหลังกลับแล้วนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับยื่นมือลงไป

    ได้สิ ช่วยหยุดพูดที

    อุ๊บ... เทาปิดปากกลั้นขำก่อนจะส่ายหน้าเมื่อถูกมองคาดโทษ เซฮุนกับลู่หานก้มลงไปช่วยดึงคยองซูขึ้นมาแทนเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวซึ่งยืนทำหน้ากระเง้ากระงอดก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ข้าง

    มองไปทางไหนก็พบเพียงแค่ต้นไม้สูงกับหิมะ แทบจะไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่นเลย จงอินรู้สึกว่าชีวิตในหน้าหนาวมันยากจนมีบางครั้งที่เขาเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว สัตว์ก็เหมือนกับมนุษย์ที่ไม่สามารถทนอยู่ข้างนอกกับสภาวะหนาวเหน็บจนชาไปแทบทั้งตัวแบบนี้

     

     

    แต่ในเมื่อเขาเคยล่าสัตว์ได้ คราวนี้ก็ต้องได้กลับไปเหมือนกัน

     

     

    ฝีเท้าย่ำไปตามพื้นหิมะอย่างไม่เร่งรีบท่ามกลางความเงียบในป่าลึก หิมะสีขาวที่เกาะตามกิ่งก้านใบไม้ร่วงลงพื้นทุกครั้งยามถูกปัดออกให้พ้นทาง นัยน์ตาคมกวาดมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าอันตรายมันมีอยู่รอบตัว ไม่ใช่แค่พวกผีดิบที่สามารถฆ่าคนให้ตายได้แม้กระทั่งสัตว์ดุร้ายก็ต้องระวังเช่นกัน

    จงอินยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้ทุกคนหยุดเมื่อภาพตรงหน้าคือเต็นท์ผ้าสีซีดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา บางหลังจมอยู่ใต้กองหิมะ บางหลังยังคงกางไว้อยู่ใต้ถ้ำ แทบไม่มีอะไรหลงเหลือให้สังเกตเห็นได้ คาดว่าทุกอย่างคงถูกทับถมไปหมดแล้ว

    นั่นอะไรกันน่ะ?

    เป็นกลุ่มผู้รอดชีวิตหรือเปล่า?

    ดูเหมือนว่าจะไม่น่ามีคนอยู่นะ

    เราควรเข้าไปดูไหม?

    อย่าเลย จงอินหันกลับมาตอบ มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดพวกเขาจะเสียเวลาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่ไร้ซึ่งประโยชน์ ร่างหนาเดินแยกออกไปทางซ้ายก่อนที่อี้ฟานจะพยักหน้าบอกให้ทุกคนเดินตาม

    ระวังตัวด้วย จากสภาพแล้วแคมป์เมื่อครู่น่าจะถูกโจมตีมากกว่าย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเป็นจากคนด้วยกันหรือสัตว์ดุร้าย แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาจะเดินตัวเบาเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว

    ชู่วว์... เสียงของลู่หานทำให้ทุกคนหันกลับไปมองปลายนิ้วที่ชี้ไปยังเบื้องหน้า แล้วก็พบกวางสูงขนาดเท่าเอวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ร่างโปร่งมองเหล่าเด็กสิบแปดที่ถือคันธนูอยู่ในมือแล้วขยับนิ้วส่งสัญญาณบอก เห็นอย่างนั้นเทากับอึนจีก็รีบตั้งท่าเตรียมยิง

    ไม่จริงน่า!” อึนจีอุทานเมื่อทั้งคู่ต่างพลาดเป้าเพราะระยะที่ไกลเกินไปเลยทำให้กวางตัวนั้นวิ่งหนีด้วยความตกใจ พวกเขาไม่รอให้เหยื่อออกไปไกลนัก จงอินวิ่งนำไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีแล้วก็เป็นเทาและเซฮุนซึ่งออกตัววิ่งตามไป

    ทุกคนต่างจับตามองกวางตัวนั้นเพื่อไม่ให้พ้นพิกัดสายตา จนกระทั่งสองขาต้องหยุดกะทันหันเมื่อผีดิบตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากถ้ำที่อยู่ข้าง ๆ ทางแคบซึ่งเป็นทางที่พวกเขาต้องวิ่งผ่านไป ตอนนี้มีเพียงแค่จงอิน เซฮุนและเทาเท่านั้นที่วิ่งนำหน้าไปก่อนแล้ว อี้ฟานดึงมีดพกออกมาแทงเข้ากลางเบ้าตาผีดิบตรงหน้าก่อนจะดันให้ติดกับโขดหินใหญ่ เขากลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

    ไป!” มือแกร่งชักมีดกลับก่อนจะบอกให้คนที่อยู่ข้างหลังรีบวิ่งนำไปก่อน แบคฮยอนคว้ามืออึนจีไปด้วยกันและตามหลังด้วยคยองซู ตอนนี้เหลือเพียงแค่ลู่หานเท่านั้นที่ยังอยู่ช่วยอี้ฟานจัดการผีดิบที่ออกมาพ้นจากความมืดภายในถ้ำทีละตัว

    ฉันจะกลับไปช่วยทางนั้น นายสองคนตามกวางไป ระวังตัวด้วย เซฮุนกับเทาพยักหน้ารับคำสั่งของจงอินก่อนที่เขาจะกลับไปทางเดิม ร่างหนายืนเลียบกับกำแพงหินเพื่อให้คยองซู แบคฮยอนและอึนจีวิ่งไปก่อน

    แต่ไวเท่าความคิด เป็นเพราะพื้นหิมะที่ปกคลุมทุกอย่างเป็นสีขาวเลยทำให้ไม่รู้ว่าทางเบื้องหน้านั้นมีเพียงแค่ใบไม้ที่ปกคลุมหนาผา เด็กทั้งสามพลัดตกลงไปข้างล่างอย่างไม่ทันตั้งตัว พวกเขารู้สึกเหมือนใจหายวูบในตอนที่เหยียบพลาดและพากันตกเรียงลงไปเป็นทอด ๆ

    กรี๊ดดด!”

    อ๊ากกกกกกก!”

    อึนจี!/แบคฮยอน!/คยองซู!”

    แบคฮยอนนิ่วหน้าเจ็บก่อนจะปรือตามองอีกสองคนที่มีสภาพไม่ต่างกันนัก ใบหน้าเรียวเงยขึ้นมองทางที่เพิ่งตกลงมาเมื่อครู่ก่อนจะค่อย ๆ หันไปทางด้านขวาแล้วก็พบว่ามีทางที่วิ่งไปอีกได้ซึ่งเซฮุนกับเทาก็คงใช้ทางนั้น หิมะสีขาวยังคงร่วงลงมาจากใบไม้หลุมพรางธรรมชาติ เด็กหนุ่มค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปช่วยประคองอึนจีและคยองซู

    เป็นอะไรไหม?

    เจ็บสะโพกชะมัด เด็กสาวบ่นอู้อี้ก่อนจะรับคันธนูมาจากคยองซูที่ดูเหมือนว่าเธอจะยังคงจุกไม่หายหลังจากตกลงมาเมื่อครู่

    แล้วนายล่ะ

    ฉันไม่เป็นไร

    เฮ้!” ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองจงอินที่อยู่ข้างบน สีหน้านั้นดูทั้งร้อนรนและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?

    ไม่ พวกเราปลอดภัย แบคฮยอนตอบก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะหันขวับไปทางด้านซ้ายเมื่อได้ยินเสียงกุกกักที่ดังมาจากหลังต้นไม้ ไม่เอาน่า แบคฮยอนคิด

    ...

    ฮือ...

    พระเจ้า... ทั้งสามคนเบิกตากว้างเมื่อเจ้าของเสียงโผล่ออกมาพร้อมกับใบหน้าเหวอะไปเสี้ยวหนึ่ง ทั้งที่ปากกำลังเคี้ยวเครื่องในสัตว์หากแต่สายตากำลังจับจ้องมาที่เขาทั้งสามคนราวกับว่าลืมรสชาติอาหารในปากไปจนหมดสิ้นแล้ว

    แบคฮยอน!” จงอินตะโกนเรียกสติแบคฮยอน เขาทำท่าจะไถลตัวลงมาช่วยอีกแรงแต่ก็ถูกโจมตีจากผีดิบสองตัวจากทางด้านหลัง แม่งเอ้ย!”

    จงอิน! เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว!” อี้ฟานตะโกนมาจากข้างหลัง เขากับลู่หานกำลังจวนตัวจนต้องตัดสินใจถอยออกมาเมื่อพบว่าในถ้ำนั้นมีตัวกินคนในชุดนักเรียนอีกจำนวนมากที่ทยอยกันออกมาไม่หยุดหย่อน โชคร้ายว่าที่นี่เคยเป็นแคมป์ของโรงเรียนสักแห่งหนึ่งมาก่อน และพวกเขาก็มีแค่มีดพกกับปืนสองกระบอกซึ่งไม่ได้เตรียมมาเพื่อต่อกรกับผีดิบทั้งฝูง

     มือหนาดึงมีดพกออกมาจากสนับขา เขายืนตั้งหลักดูท่าทีก่อนจะแทงไขควงเข้ากลางหน้าผากตัวแรกที่พุ่งเข้ามาแล้วถีบตัวที่สองให้ถอยห่างออกไป จงอินใช้มีดพกเสียบเสยปลายคางมันด้วยแรงที่มี

    เก็บอาวุธทั้งสองชิ้นแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังเนินผาที่เด็ก ๆ ตกลงไป เห็นซากผีดิบหนึ่งตัวนอนจมกองเลือดสีเข้มในสภาพที่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ อีก คาดว่ามันคงถูกจัดการด้วยแบคฮยอนที่ปกป้องเพื่อนทั้งสองคนได้อย่างดีสมกับที่เป็นลูกศิษฐ์นักบู๊อย่างเขา

    แต่ความหายนะไม่ได้มาเพียงแค่ตัวเดียว หลังจากได้ยินเสียงของการต่อสู้หรือแม้แต่เสียงตะโกนที่ดังโหวกเหวก ผีดิบอีกจำนวนหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏกายออกมาจากแมกไม้จนเด็กสามคนต้องพากันถอยร่นเพื่อตั้งหลัก  

    รีบออกจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้!”

    ฝากดูอึนจีด้วยคยองซู แบคฮยอนผินหน้าไปทางอีกคนที่พยักหน้ารับแล้วคว้ามือเด็กสาวให้วิ่งออกจากตรงนั้น เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอพร้อมกับกระชับมีดพกไว้มั่นขณะที่ยังมองตัวกินคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา อย่างน้อย ๆ เขาก็ควรจัดการพวกที่อยู่ตรงนี้ให้ได้สักจำนวนหนึ่งก่อน เผื่อว่าหากเกินกำลังขึ้นมาจริง ๆ เพื่อนอีกสองคนที่เพิ่งวิ่งไปจะได้ปลอดภัยเพิ่มขึ้นสักนิดก็ยังดี

     

     

     

     

    ทั้งสองคนวิ่งแหวกกิ่งก้านใบไม้ไปข้างหน้าอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่าย ๆ เสียงร้องโหยหวนของพวกมันยังคงลอยเข้าหูไม่ได้ขาด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพวกมันตามมาบ้างหรือเปล่า ตัวกินคนพวกนี้มาจากไหน? ทั้งที่การล่าสัตว์ครั้งก่อนพวกมันมีให้เห็นแค่ประปราย คิดได้ทางเดียวคือดงเต็นท์พวกนั้น เสียงดังคงไปปลุกพวกมันเข้าถึงได้พากันโผล่ออกมาเป็นกองทัพขนาดนี้

     

     

    ใช่...มันต้องใช่แน่ ๆ

     

     

    โดคยองซูไม่มีฝีมือเรื่องป้องกันตัว เขาเพิ่งได้รับการฝึกเบื้องต้นเพียงแค่สองวันเท่านั้นหลังจากนั่งคุยกันหน้ากองไฟ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาชีวิตรอดผ่านมาได้เพราะความปอดแหก แน่นอนว่าเขาปลอดภัยจากพวกกินคนเพราะอยู่กับพวกสารเลวนั่น แต่มันก็เป็นข้อเสียหลัก ๆ ที่ทำให้เขาอาจจะตายได้ง่าย ๆ ในอีกหนึ่งนาทีนี้

    คนอื่นอยู่ที่ไหน?!” อึนจีหอบหายใจหนักทั้งที่ยังคงวิ่งตามอีกคนไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เธอหวังจะได้พบเพื่อนสักคนจะเป็นเทาหรือเซฮุนก็ได้

    ฉันไม่รู้! อดทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็พ้นจากตรงนี้แล้ว คยองซูก็เช่นกัน เขาแทบจะวิ่งต่อไปไม่ไหวเพราะความเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนและคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาเพราะเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แต่พอคิดจะหยุดวิ่งก็กลัวว่าจะลำบากเอาถ้ามีพวกมันตามมาทัน

     

     

    กรรรรรรรรรรซ์!”

     

     

    อ๊ะ!” คยองซูแทบหงายหลังลงไปกับเด็กสาวที่สะดุดล้มทันทีที่ถูกมือปริศนาโผล่พ้นจากใต้หิมะคว้าไว้ ออกไป!! อย่านะ!!” อึนจีดิ้นทุรนทุรายถีบหน้าผีดิบที่กำลังอ้าปากกว้างพร้อมกับตะกุยตะกายคว้าขาเธออย่างบ้าคลั่ง

    คยองซูเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขาหันซ้ายหันขวาหาอาวุธ ธนูอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ปัญหาคือกระบอกลูกธนูซึ่งตกอยู่ห่างออกไปอีก แต่เขาจะเสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว  เด็กหนุ่มวิ่งไปเก็บก้อนหินขึ้นมาก่อนจะใช้มันทุบหัวตัวกินคนในหิมะอย่างแรง เขาทำอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่ครั้งจนกระทั่งสมองของมันทะลักออกมาเต็มพื้นน้ำแข็งสีขาว คยองซูหอบหายใจหนักก่อนจะปล่อยก้อนหินลงแล้วหันไปทางอีกคนที่กำลังถดตัวถอยออกห่างจากตรงนั้นแล้วหดขาเข้าหาตัวอย่างหวาดกลัว

    เป็นอะไรหรือเปล่า?ดูเหมือนว่าตอนนี้อึนจียังคงช็อคอยู่ แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นเธอก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบซึ่งมันทำให้คยองซูโล่งใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินไปเก็บคันธนูกับกระบอกลูกธนูขึ้นมาสะพายไว้ก่อนจะยื่นมือลงไปดึงเด็กสาวให้ลุกขึ้นยืน

    พอดีกับที่จงอิน อี้ฟาน ลู่หานและแบคฮยอนวิ่งตามมาสมทบอย่างพอดิบพอดี ทั้งสี่คนมองซากศพที่ถูกทุบด้วยก้อนหินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเด็กสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ดีจริง ๆ ที่ทั้งคู่รอดตายได้อย่างหวุดหวิด

     

     

     

     

     
     

    เมื่อยไหล่ชะมัด เฮ้อ...

    ห่าเทา มาช่วยกันแบกกวางเข้าบ้านก่อน!”

    อะไรวะ ยิงก็เป็นคนยิงยังจะให้กูแบกอีก ไอ้ลู่หาน! มึงอย่าครับ! มาเลยมา!”

    ทุกคนต่างเหนื่อยและอิดโรย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังช่วยกันแบกกวางกลับเข้าไปในบ้าน เซฮุนกับคยองซูเอาอาวุธของแต่ละคนไปช่วยล้างคราบสกปรกออกให้ ส่วนอี้ฟานตรงไปที่บ้านหลังที่สาม คาดว่าคงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เลอะคราบเลือดตามตัวออก

    ตอนนี้เหลือเพียงแค่แบคฮยอนกับอึนจีที่ยังคงยืนอยู่ข้างรถ เด็กหนุ่มหันไปมองคนข้าง ๆ ซึ่งเงียบมาตลอดทั้งทาง เขาเชื่อว่าเธอกำลังตกใจไม่หายเกี่ยวกับเหตุการณ์ชลมุนในป่า อึนจีไม่เคยเจอเหตุการณ์เฉียดตายแบบนั้น เด็กหนุ่มก้มลงมองหน้าเธอแล้ววางมือลงบนไหล่เล็กอย่างอ่อนโยน

    ยังตกใจอยู่เหรอแบคฮยอนยิ้มเมื่ออึนจีหันมาสบตากัน เขารู้ดีว่าความรู้สึกตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกกินคนช่วงแรก ๆ มันน่ากลัวแค่ไหน เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อให้เธอหายกลัวได้บ้างสักนิดก็ยังดี

    ยิ้มบ้าอะไรของนาย

    เอ้า...แล้วจะให้ฉันทำหน้าแบบไหนล่ะเด็กหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตก ถึงจะเป็นเรื่องปกติที่อึนจีจะโวยวายใส่ในตอนรู้สึกเขินอายก็เถอะ

    เพี้ยน มือเล็กดันหน้าอีกคนออกไปห่าง ๆ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังของเธอแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ร้อยทั้งร้อยเขาคิดว่าเธอต้องโมโหหิวอยู่แน่ ๆ

    ภายในห้องโถงบ้านหลังแรกไม่มีใครอยู่ ทุกคนกำลังยุ่งอยู่หลังบ้านกับกวางตัวนั้น เสียงโต้เถียงปนเสียงหัวเราะเรียกให้สองขาก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูหลังบ้านแล้วก็พบครูสาวที่ยืนอยู่หน้าเตาแก๊สในครัว เธอหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ก่อนจะหันไปตักข้าวสารใส่หม้อเตรียมหุง มื้อเย็นวันนี้เป็นข้าว แน่นอนว่ากวางตัวนั้นก็คงเป็นกับชั้นยอดที่ทุกคนรอคอย

    เธอใช้เวลาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นพอสมควรก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง สองขาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เลื่อนลิ้นชักชั้นล่างที่เป็นชั้นส่วนตัวของเธอออกมาก่อนจะเดินวนหาบางอย่างรอบห้อง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างหัวเสียเมื่อไม่พบสิ่งของที่ต้องการ สุดท้ายเธอก็นึกอะไรดี ๆ ได้

    เธอเลื่อนลิ้นชักบนสุดออกก่อนจะเอากล่องใส่ยางรัดผมที่แบคฮยอนเคยให้ออกมา มือเล็กกำต่างหูและยางรัดผมทั้งหมดใส่ไว้ในชั้นเพื่อเอากล่อง เด็กสาวนั่งลงยอง ๆ มือขวาโกยของที่ต้องการใส่ในกล่องภายในเวลาไม่กี่วิ เธอแทบจะไม่ได้จัดให้มันสวยงามเลยด้วยซ้ำ

     

     

     

     

    จัดไปครับงานลอกหนัง ใครจะทำก็ทำ แต่ กู ไม่ ลู่หานส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหาน้ำดื่ม วันนี้เขาเหนื่อยจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว อยากจะนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วปล่อยให้คนอื่นทำกับข้าวไป จะว่าเอาแต่ใจหรือขี้เกียจสันหลังยาวก็ตามลำบากเลย

    เดี๋ยวไปตามยัยช้างมา ถนัดนักล่ะเรื่องลอกหนังเนี่ย เทาลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน ตอนนี้เหลือเพียงแค่จงอินที่กำลังง่วนอยู่กับกวาง ส่วนคนที่เหลือแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวซึ่งคืออะไรบ้างก็ไม่รู้

    เด็กหนุ่มชะโงกหน้ามองหาเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวเพราะคิดว่าคงนอนอืดอยู่ในบ้านหลังแรก พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เด็กหนุ่มก็เดินไปเคาะประตูห้องพร้อมทั้งเรียกชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของห้องก็ยังไม่เปิดสักทีจนคิดว่าเขาคงต้องถือวิสาสะเปิดเข้าไป

    เข้าไปนะ? เป็นการขออนุญาตที่ไม่ต้องการคำตอบรับ เทาหมุนลูกบิดช้า ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปแต่ก็ผิดคาด อึนจีไม่ได้อยู่ที่นี่

    คิ้วหนาขมวดมุ่น มันเป็นเรื่องแปลกกับการตามผู้หญิงที่หาตัวง่ายที่สุดในบ้าน เทาเดินออกมาข้างนอกแล้วก็หรี่ตามองเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินออกไปตามทางด้านนอก เขาจะไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าเส้นทางนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับให้รถขับเข้าออกอุทยาน

    เทาถอนหายใจแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงเดินตามไปเรื่อย ๆ ก็อยากรู้เหมือนกันแหละว่ายัยนั่นกำลังคิดจะทำอะไร อาจจะแอบเอาขนมไปฝังในที่ ๆ คนไม่รู้ หรือไม่ก็นัดบยอนแบคฮยอนเอาไว้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลังเห็นทีว่าหวงจื่อเทาคงต้องรีบขุดข้ออ้างขึ้นมาอธิบายกันยกใหญ่ว่าจะเดินตามไปเพื่อความอยากเสือกอะไร

    เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีแล้ว แต่คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดินง่าย ๆ ฝังขนมไกลอะไรขนาดนั้น เขาเริ่มจะเอะใจเมื่อเห็นประตูทางออกอุทยานอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ยัยนั่นจะออกไปจับลิงกินข้างนอกหรือไงกัน?

    นี่!”

    ...

    เธอหยุดอยู่กับที่ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ดูเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเขาเดินตามมาอยู่นานสองนาน แต่ถึงอย่างนั้นจองอึนจีก็ไม่หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วลับริมฝีปากกันเหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแต่เธอก็รับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ

    จะไปไหน? เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือแกร่งวางลงบนไหล่ เธอเบี่ยงตัวหลบออกมาทั้งที่ยังคงไม่หันกลับไปและนั่นทำให้เทาประหลาดใจมากกว่าที่เป็นอยู่นี่ยัยช้างน้ำ

    ...

    ยัย...

    อย่าเข้ามานะ

    ...

    เทาชะงักอยู่ท่านั้นเมื่ออึนจีหันหน้าเข้าหาเขาพร้อมกับปลายมีดแหลมที่ชี้ขึ้นมาในระดับใบหน้าเขา ถ้าถามว่าสิ่งใดในโลกที่ทำให้หัวใจของหวงจื่อเทาเต้นช้าลงก็คงเป็นหยดน้ำตากับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ล่ะมั้ง

    นัยน์ตาเรียวรีหลุบลงมองปลายมีดแหลมที่กำลังสั่นไหวไปตามมือและร่างที่หอบจนตัวโยน เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขาได้เพียงแค่มองหน้ากับเธอแล้วให้แววตาคู่นี้เป็นฝ่ายถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

    ถอยออกไป...

    ...

    กลับไปเลย...กลับไปเดี๋ยวนี้ อึนจีร้องไห้หนักกว่าเดิม ริมฝีปากของเธอกำลังสั่น หยดน้ำใสไหลอาบแก้มครั้งแล้วครั้งเล่า เธอไม่สามารถหยุดตัวเองได้แม้ว่าอยากจะเข้มแข็งแค่ไหนก็ตาม

    ถึงอยากจะถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นแต่เทาก็แค่ลดระดับสายตาลง กล่องยางรัดผมที่เขาให้กับตุ๊กตาช้างวันคริสต์มาสถูกกอดแนบอกด้วยแขนข้างซ้ายของเธอ เด็กหนุ่มพยายามเรียบเรียงความคิดในหัว วูบหนึ่งอะไรร้าย ๆ พลุ่งพล่านเข้ามาเป็นอย่างแรกแต่เขาก็พยายามไล่ความฟุ้งซ่านนั้นออกไป

    จื่อเทาไม่ได้พูดจากวนประสาทหรือผลักหัวให้เธอเลิกเพ้อเจ้อ หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นช้าลงเรื่อย ๆ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่กำลังเจ็บปวดอยู่ตอนนี้เป็นเพราะเห็นน้ำตาของคนที่เขารักหรือเป็นเพราะความหวาดกลัวที่หยั่งรากลงมาในใจอย่างช้า ๆ นี่กันแน่

    อึนจียังคงไม่ลดมีดลง เธอค่อย ๆ ย่อตัวเพื่อวางของเหล่านั้นไว้บนพื้นหิมะก่อนจะดึงขากางเกงข้างซ้ายขึ้น ภาพที่เห็นทำให้เด็กตัวสูงช็อกจนพูดไม่ออก แผลที่เกิดจากรอยเล็บถึงจะไม่ใหญ่มากนักแต่มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และนี่คือเหตุผลที่เธอแอบหนีออกมาเงียบ ๆ

     

     
     

    เงียบ ๆ ...โดยที่ไม่ให้ใครรู้...

     

     

     

    ...

    ...

    เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมายอยู่ถึงครึ่งนาที เทาค่อย ๆ ดันมีดในมืออีกคนออกให้พ้นทาง เขาไม่ได้กลัวว่าเธอจะแทงเขาให้ตายเลยสักนิด ขายาวก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรั้งอีกคนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด อึนจีปล่อยมีดลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอซุกหน้าลงกับบ่ากว้างราวกับว่าจะให้ผู้ชายคนนี้ช่วยเยียวยาความกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจออกไป เทาเม้มริมฝีปากแน่น เขากระชับกอดอึนจีแน่นยิ่งขึ้นก่อนที่น้ำตาจะไหลลงบนแขนเสื้อของตัวเองจนเป็นวงกว้าง

    ฉัน...กำลังจะตาย...เสียงสะอื้นของคนในอ้อมกอดราวกับหอกเป็นพัน ๆ เล่มที่กำลังทิ่มแทงอกเขาซ้ำ ๆ หวงจื่อเทาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะสรรหาคำพูดไหนที่จะทำให้อึนจีหยุดร้องไห้ได้ เพราะแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่

    เธออาจจะถูกกิ่งไม้ข่วนก็ได้... เด็กหนุ่มพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

     

     

     

    ไม่...เธอรู้ดีว่ามันเป็นรอยจากอะไร...

     

     

     

    ฉันยัง...ไม่อยากตาย

    อึนจีไม่ได้เก็บเอาคำปลอบใจของเทามาคิด เธอกำเสื้อกันหนาวของคนตัวสูงไว้แน่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทั้งร่างกายและจิตใจ ระหว่างทางเธอได้แต่ถามตัวเองว่าร่องรอยของความเจ็บปวดตรงขาของเธอมันเกิดขึ้นจากอะไรและตอนไหน ทั้งที่พยายามปลอบตัวเองมาตลอดทาง แต่พอเห็นรอยชัด ๆ เธอถึงได้รู้...ทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะหายไปเงียบ ๆ เพราะเธอคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะอยู่มองทุกคนก่อนตาย

    ฉันยังอยากอยู่กับทุกคน...แต่ว่าฉัน...ทำไม่ได้แล้ว

    เพ้อเจ้อน่ะ... เทากดหัวอีกคนให้ซบลงกับไหล่ของตัวเองแน่นขึ้น ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ...เธอจะตายได้ยังไง? อึนจีได้แต่ร้องไห้ เด็กสาวกอดรั้งร่างเจ้าของอ้อมกอดเอาไว้แน่น มันคงจะเป็นความรู้สึกสุดท้ายซึ่งเธอจะได้ซึมซับ

    ฉันกลัว... น้ำตาของหวงจื่อเทาไหลออาบหน้าจนดูไม่จืด เขาใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในการตั้งสติให้ตัวเอง เขาพึมพำคำว่าไม่เป็นไรซ้ำ ๆ ในขณะลูบหัวอึนจีไปด้วย

     

     

     

    ไม่เป็นไร...ฉันจะอยู่ตรงนี้กับเธอเอง

     

     

     

     

     
     

    เบื้องหน้าคือน้ำตก มันคงสวยงามกว่านี้ถ้ารอบข้างไม่ได้เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน ใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียวกว่าคนข้าง ๆ จะหยุดร้องไห้ได้ พวกเขาช่วยซับน้ำตาให้กันและกันแม้ว่ามันจะไหลลงมาซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งคู่นั่งอยู่บนโขดหินในป่า เทาไม่ได้พาอึนจีเดินกลับเข้ามาลึกนัก ในตอนนี้เขาก็แค่ต้องการที่เงียบ ๆ สักที่เพื่ออยู่กับเธอตามลำพัง

    ระหว่างเขากับอึนจีไม่เคยเลยสักครั้งที่จะนั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศสงบ ๆ ได้ เด็กหนุ่มทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายและเธอเองก็เช่นกัน ทั้งสองคนได้พบเจอความสูญเสียมาด้วยกันนับไม่ถ้วน ทั้งในตอนที่โรงเรียนแตกครั้งแรกไปจนถึงตอนมันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่สุดท้ายแล้วก็พากันหนีออกมาจากความสูญเสียครั้งสุดท้ายในตอนที่โรงเรียนแตกได้ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้พวกเขาก็แค่วางใจ ทั้งที่จริงแล้วอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแม้แต่ตอนที่ทุกคนนั่งปาร์ตี้ดื่มเบียร์หรือเล่นเกมสนุก ๆ

    พอรู้สึกว่ากำลังสูญเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยการจมอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านเทาก็หันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กกว่าก่อนจะลดระดับสายตาลงมองของที่เขารู้สึกติดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่

    เธอหยิบมันมาด้วยเหรออึนจีก้มลงมองตุ๊กตาช้างที่วางทับกล่องของขวัญเอาไว้ เธอพยักหน้าหงึกทั้งที่ไม่มองกลับอีกฝ่าย

    เทาขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เพื่อลดช่องว่างที่มีต่อเขาและเธอ ช่องว่างของความรู้สึกที่หวงจื่อเทาไม่เคยพูดออกไปเพราะกลัวเสียเพื่อนรวมถึงความปอดแหกที่ทำให้เขาไม่กล้าทำในสิ่งที่ตั้งใจ อึนจีนั่งก้มหน้า เธอบีบกล่องนั้นไว้แน่นจนหลังมือขึ้นริ้วแดง

    เทาถอดถุงมือข้างขวาออกอย่างชั่งใจ เขานิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าที่จะเอื้อมไปจับมืออีกคนอย่างที่อยากทำมาตลอด เด็กหนุ่มไม่ได้ออกแรงกระชากลากดึงเหมือนที่เคยเป็นเสมอมา กลับกันแล้วมันอบอุ่นและอ่อนโยนจนเธอนึกอยากจะร้องไห้อีกครั้ง

    อึนจีหงายมือขึ้นเล็กน้อยแล้วปล่อยให้ช่องว่างระหว่างนิ้วสอดประสานกับมือคนตัวสูง เธอเหลือบมองเพียงเล็กน้อยและหวังว่าเทาจะไม่รู้ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเมื่อนิ้วหัวแม่มือของเทากำลังคลึงบนหลังมือเธอราวกับจะปลอบประโลมในสิ่งที่ไม่มีทางดีขึ้น

    ขอโทษนะ บางทีเธออาจจะอยากให้แบคฮยอนอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นฉันเขามองกล่องหนังยางนั้น ในตอนนี้ความรู้สึกที่มีมันเศร้าเกินกว่าจะมาน้อยใจเรื่องที่อึนจีหยิบกล่องนั่นมาทั้งที่คิดว่าเป็นของแบคฮยอน

    ฉันไม่ได้อยากให้แบคฮยอนอยู่ที่นี่

    ...

    จริง ๆ นะ... เสียงของเธอแผ่วลงพร้อมกับมือที่กระชับแน่นยิ่งขึ้น

    แน่ใจเหรอ เทาถามย้ำ เขาไม่เคยมีความมั่นใจในตัวเองเลยสักครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เพราะอย่างนั้นทุกครั้งถึงได้ต้องโหวกเหวกอะไรโง่ ๆ แสร้งทำเป็นมองสิ่งรอบตัวทุกอย่างเพื่อกลบเกลื่อนสายตาคิดไม่ซื่อของตัวเอง

    ทำไมนายถึงถามแบบนั้น

    ...ไม่รู้สิ เด็กหนุ่มหลุบตาลงมองกล่องนั้นก่อนจะหันหน้าเข้าหาน้ำตก เพียงแค่นั้นก็เป็นคำตอบได้โดยที่ไม่ต้องพูดว่าเขากำลังมีอะไรในใจอยู่เหมือนกัน

    นายรู้เหรอว่ามันเป็นของแบคฮยอน

    อืม

    เขาบอกนายเหรอ

    เปล่า

    แล้วรู้ได้ยังไง

    นิยามของคำถามที่ไม่อยากตอบ พอไม่มีวงเหล้าหรือผู้คนมากมายแล้วเขาก็ได้ใช้เวลาคิดกับตัวเองมากขึ้น เวลาที่ผ่านมามันเสียเปล่า เขารู้สึกเสียดายจนอยากจะสบถออกมาให้กับความโง่ของตัวเองสักล้านที

    ที่รู้... เทาหันไปสบตากับคนข้าง ๆ ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำแต่ก็เฝ้ารอคำตอบจากปากเขาอย่างใคร่รู้ ก็เพราะว่ามันเป็นของฉัน

    ... อึนจีมองหน้าอีกคนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ภาพวันนั้นฉายเข้ามาในหัวเหมือนฟิล์มหนัง ตอนที่เธอเห็นกล่องของขวัญ...เธอหันไปเห็นแบคฮยอนกำลังยิ้ม

     

     

    ในขณะที่เทายืนอยู่ข้างหลังผู้ชายคนนั้น...

     

     

    ในหัวมีแต่คำถาม ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงไล่ฟาดหมอนี่ไม่ยั้งมือที่บังอาจเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่น แต่เพราะตอนนี้ทั้งคู่รู้ว่าอีกคนกำลังจริงจัง มันอาจเป็นโอกาสุดท้ายที่จะได้พูด เธอเห็นตัวเองในแบบที่ต่างออกไปจากแววตาคู่นั้น จนสุดท้ายอึนจีก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนสายตาหลบเพราะหัวใจที่เต้นแรง

    ทำไมไม่บอก

    บอกอะไร คำถามของเทาทำให้เธอหันกลับมา เด็กหนุ่มยังคงมองเธอด้วยแววตาแบบนั้นอย่างในทีแรก มือของเขาชื้นเหงื่อแต่สิ่งที่พูดก็แน่วแน่อย่างคนที่คิดดีแล้ว บอกว่ามันเป็นของฉัน

    ...

    หรือบอกว่าฉัน...ชอบเธอ

    ...

    ฉันอยากพูดแบบนี้มาตลอด ถ้าเธอโกรธ...ก็ช่วยไม่ได้นะ เธอไม่ชินเลยสักนิดที่อีกคนเอาแต่หัวเราะเบา ๆ แบบนี้ บางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าเทาระเบิดหัวเราะใส่หน้าเธอแล้วบอกว่า ฉันล้อเล่นน่ะยัยโง่

    ฉัน...ไม่ได้โกรธอึนจีไม่ได้อธิบายเหตุผลในทันที เธอมีอาการเหมือนเทาตอนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

    ...

    มันจะตลกไหม... เด็กสาวเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง เธอประหม่าจนเผลอบีบมือคนข้าง ๆ แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวถ้าฉันจะบอกว่า...เหมือนกัน

    ...

    ฉัน...ก็ชอบนายเหมือนกัน

    ...

    ชอบ...มาก เสียงของอึนจีสั่นเครือ หยดน้ำตาไหลลงมาอีกครั้งแม้ว่าริมฝีปากของเธอกำลังยิ้มอยู่ ...จนคิดว่าการตายมันเร็วเกินไปสำหรับฉัน

    ...

    นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราสองคนไม่ทะเลาะกันเธอใช้มือข้างที่ว่างอยู่เช็ดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ การหายใจเข้าออกมันเป็นเรื่องยากตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเหนื่อยแบบนี้นะ

    นั่นสิ เสียงของเขาเบาลง ถ้าก่อนหน้านี้เราไม่ทะเลาะกันเลย มันจะเป็นยังไงนะ?

    คิดไม่ออกหรอก อึนจีตอบในทันที เธอทั้งรู้สึกเสียดายแล้วก็มีความสุขอย่างประหลาดที่ได้พูดความในใจออกไปสักที

    งั้นเลิกคิดเถอะ ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ แล้วปล่อยให้ความอึดอัดรอบข้างทำงาน เสียงน้ำไหลจากชั้นน้ำตกคือสิ่งเดียวที่ได้ยิน ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บขนาดนี้...แต่มือของเขาและเธอกลับร้อนแล้วก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

    ถามอะไรอย่างได้ไหม

    ก็ได้ ถ้าคำถามของเธอไม่ทำให้ฉันอึดอัดจนเกินไปน่ะนะ

    มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงอยากรู้...ว่าผู้ชายชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่

    ...

    เฮ้...อย่าเงียบสิ อึนจีบีบมืออีกคนเบา ๆ เพราะไม่อยากให้เทาคิดนานจนเกินไปนัก เธอยังอยากฟังอะไรอีกตั้งหลายอย่างหลังจากรู้ว่าใจตรงกัน

    จำไม่ได้หรอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็ชอบเธอแล้ว

    กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง เด็กสาวกระชับกล่องของขวัญกับตุ๊กตาช้างไว้บนตักก่อนจะค่อย ๆ เอนไปซบไหล่คนตัวสูงกว่า เธอไม่เคยมีความกล้าที่จะทำแบบนี้เลย ตลอดเวลาจองอึนจีทำได้เพียงแค่ทำตัวกวนประสาท เพราะมันเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้เธออยู่กับหวงจื่อเทาได้อย่างสนิทใจ

     

     

    โดยใช้คำว่าเพื่อนบังหน้า

     

     

    เธอนี่มันซื่อบื้อยังไงก็ยังซื่อบื้ออย่างนั้น เทาเบนหน้าไปเล็กน้อยพลางมองกลุ่มผมสีดำที่ซบไหล่เขาอยู่ เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เขายอมที่จะนั่งอยู่ในท่านี้นาน ๆ ถ้าเกิดทำให้คนข้าง ๆ รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง

    เป็นบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็มาว่าฉัน เสียงของเธอเบาลงกว่าในทีแรก เขารู้สึกได้ถึงอาการเหนื่อยล้าของเธอเพียงแค่การพูดไม่กี่คำ นั่นทำให้เทาใจไม่ดีแต่เขาก็เลือกจะข่มตัวเองไว้

    คนปกติที่ไหนเขาพกยางรัดผมเยอะแยะไปด้วย พูดจบก็เขกหัวเบา ๆ ไปทีนึง อึนจีปิดเปลือกตาลงก่อนจะค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพทุกอย่างเริ่มพร่ามัวจนต้องกระพริบตาซ้ำ ๆ

    ฉันไม่ได้พก

    หืม?

    ฉันไม่ได้เป็นคนผิดปกติแล้วกัน... ริมฝีปากแห้งผาก ร่างกายของเธอกำลังปั่นป่วนเหมือนกับคนกำลังมีไข้ ทรมาน ในหัวของเธอมีแต่คำนั้นแทรกอยู่กับความทรงจำเก่า ๆ เต็มไปหมด

    ถ้าข้างในไม่ใช่ยางรัดผมแล้วมันคืออะไร เทาพยายามชวนคุยต่อ แต่ก็ได้รับคำตอบเป็นศีรษะที่ส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธขอดูหน่อยไม่ได้เหรอ

    ไม่ใช่ตอนนี้

    ทำไมล่ะ?

    รอฉันหลับก่อนนะแล้วจะให้ดู...

    เทาไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำได้แค่นั่งนิ่งหลังจากที่เธอพูดจบ เสียงผ่อนลมหายใจของอึนจีเบาลงเรื่อย ๆ ขัดกับความพยายามของเขาที่มากขึ้นในการอดกลั้นต่อความดื้อด้านของน้ำตา

    “คิดถึงครูเนอะ”

    “...”

    “มินซอก...ยุนฮา...ทุก ๆ คน...”

    หวงจื่อเทาเกลียดการนอนขึ้นมาก็ตอนนี้ เขาอยากจะเขย่าคนข้าง ๆ แรง ๆ แล้วบังคับให้กลับไปยังบ้านพักด้วยกันให้ได้แต่มันก็แค่ความคิด

    นี่

    ...

    ...อึนจี

    ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกอย่างเงียบเชียบและมีแค่เสียงลมหวีดหวิวดังก้องอยู่ในหู หัวใจของเขากำลังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพียงแค่อีกคนไม่ขานตอบ มือแกร่งกระชับแน่นขึ้นเป็นการปลุกทางอ้อมหากว่าเธอหลับไปจริง ๆ เทาออกแรงเขย่ามือแรงขึ้นเล็กน้อยจนร่างของคนข้าง ๆ เซล้มลงบนตักเขา

    เทาค้างอยู่ท่านั้น เขาไม่ได้สนใจตุ๊กตาช้างหรือกล่องของขวัญที่ตกลงไปกองกับหิมะบนพื้น นัยน์ตาคมกำลังจ้องมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนตักโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัว มือแกร่งเอื้อมขึ้นมาวางลงบนท่อนแขนเล็ก เขาเขย่าปลุกเธอเพียงเบา ๆ เท่านั้นก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

    อึนจี...

    ...

    ตื่นสิ... เทาพูดเสียงสั่นขณะมองคนบนตัก ร่างของเด็กสาวอ่อนปวกเปียกตอนถูกเขย่าตัวเบา ๆ  เธอไม่ลุกขึ้นมาส่งเสียงโวยวายเพราะถูกรบกวนเวลานอนเหมือนอย่างเคย...ไม่แม่แต่จะหายใจในตอนที่เขาแตะนิ้วมือลงใต้จมูก

    “จองอึนจี...”

    เทาปล่อยให้น้ำตาหยดลงบนเสื้อกันหนาวสีชมพูอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อตัวนี้เขาเป็นคนเลือกให้เธอเองกับมือแน่นอนว่าอึนจีไม่เคยรู้...หัวใจของเขากำลังทำงานหนัก มันเจ็บปวดจนไม่สามารถระบายออกมาด้วยวิธีไหนได้แม้แต่น้ำตาในตอนนี้

    ขอร้องล่ะ...ตื่นเถอะ... เด็กหนุ่มได้แต่พร่ำวิงวอนต่อพระเจ้าให้คนตรงหน้าแค่เพียงหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า หลังจากนั้นเธอก็จะลืมตาตื่นขึ้นมายิ้มแล้วหัวเราะเสียงดังต่อหน้าเขาและบอกว่านี่คือการล้อเล่นโง่ ๆ ที่มีไว้แก้เผ็ดเขาเท่านั้น

    ...หวงจื่อเทาร้องไห้โดยที่ไม่มีเสียง เขายังเขย่าร่างเธอเบา ๆ อยู่อย่างนั้นเผื่อว่าอึนจีจะยังไม่หลับไป

    และแล้วคำขอของหวงจื่อเทาก็สัมฤทธิ์ผลในเวลาถัดมา เด็กหนุ่มชะงักไปชั่วอึดใจเมื่อร่างของคนบนตักเริ่มขยับตัว เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วช่วยประคองร่างอีกคนให้ลุกขึ้นนั่งทั้งรอยยิ้มมีหวัง

    แต่ใบหน้าของอึนจีซีดเผือด นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายสดใสเปลี่ยนเป็นสีหม่นและต้อแสง ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเอื้อมมาคว้าไหล่และต้นคอของเขาเหมือเวลาเล่นหยอกล้อกันไม่มีผิด

    ...อึนจี เทาเม้มริมฝีปากแน่น ยิ่งตอนคนตรงหน้าค่อย ๆ อ้าริมฝีปากเขาก็รู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาอย่างหน้าไม่อายขณะสบตากับเธอ เด็กหนุ่มได้เพียงแค่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วส่ายหน้าไปมาอย่างไร้ความหมาย เลิกเล่นได้แล้ว...

    เสียงครางฮือในลำคอมาพร้อมกับใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้ น้ำตาไหลอาบใบหน้าจนทุกอย่างพร่ามัว เทาประคองศีรษะอีกคนให้ซบกับอกของตัวเองก่อนจะกดลงให้แน่นยิ่งขึ้นเมื่อเธอกำลังดิ้นทุรนทุราย

     

     

    ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด...ทั้งหิมะโดยรอบและทุกอย่างในหัวของเขา

     

     

    เทาค่อย ๆ ดึงมีดพกออกมาจากสนับขาเมื่อคนในอ้อมกอดดิ้นแรงยิ่งขึ้นด้วยความหิวกระหาย เขากัดฟันแน่นก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วตัดใจแทงลงบนขมับเธอในครั้งเดียวด้วยแรงทั้งหมดที่มี จากนั้นมือของเขาก็สั่นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง น้ำตาอุ่นยังคงไหลลงตามโครงหน้า เมื่อร่างของอึนจีแน่นิ่งไปอย่างแท้จริงแล้ว

    มือแกร่งชักมีดออกแล้วทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก่อนจะตระกองกอดร่างเล็กเอาไว้พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก เขาไม่กลัวว่าเสียงร้องไห้ปานขาดใจนี้จะเรียกให้ตัวกินคนหน้าไหนออกมาอีก เลือดสีสดไหลลงมาตามขมับจนเปื้อนเสื้อของเขาและตัวเธอเอง นี่เป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าคนที่เขารักได้จากไปแล้ว

    เทาพรมจูบลงบนศีรษะเธอทั้งที่ยังร้องไห้อย่างหนัก เขาได้แต่ภาวนาว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่ตื่นมาแล้วทุกอย่างก็จะจบลง...

     

     

    ฉันรักเธออึนจี...ฉันรักเธอ...

     

     

     

     

     ทุกคนนั่งล้อมอยู่หน้ากองไฟกันพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อเตรียมกินมื้อเที่ยงกันในช่วงเวลาบ่ายสามเศษ ๆ อาหารทุกอย่างถูกจัดเตรียมเป็นพิเศษคล้ายการจัดงานวันปีใหม่เล็ก ๆ กับเนื้อสัตว์ที่นาน ๆ ทีถึงจะได้กินครั้งหนึ่ง

    เสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาพร้อมกับกระป๋องเบียร์ที่ยกขึ้นชนกัน ท่ามกลางความหนาวเหน็บมีเพียงแค่ใครบางคนที่คอยชะเง้อหน้ามองหาลูกศิษย์ทั้งสองคนซึ่งไม่อยู่ตรงนี้ เธอคิดไว้แล้วว่าจะเอ็ดพวกเขายังไงบ้างเรื่องที่คงพากันหายไปเล่นอะไรพิเรนทร์ ๆ อย่างทุกที

    ทุกคนเงียบเมื่อจู่ ๆ ปาร์คกาฮีก็ลุกขึ้นยืน แววตาของเธอดูตื่นตระหนกจนต้องมองตามไปยังเป้าสายตาเดียว แล้วก็พบเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับร่างของใครอีกคนในอ้อมแขน

    เทา...

    ยิ่งเข้ามาใกล้ภาพก็ยิ่งชัดเจน ทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมกันก่อนที่ครูสาวจะวิ่งเข้าไปหานักเรียนในปกครองของเธอ เหมือนถูกค้อนทุบลงกลางหัว สองมือยกขึ้นปิดปากเมื่อเห็นเลือดสีสดที่แห้งกรังอยู่ตามขมับเป็นทางยาวจนมาถึงปลายคางรวมถึงเสื้อของเด็กตัวสูงที่อุ้มร่างเด็กสาวมาด้วย

    ไม่... กาฮีทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่เทาจะค่อย ๆ วางร่างไร้วิญญาณลง อ...อึนจี... มือเรียวเอื้อมไปหาลูกศิษย์หญิงเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะปัดไรผมออกจากดวงหน้าหวานทั้งที่มือกำลังสั่น เธอไม่สามารถควบคุมน้ำตาที่ไหลออกมาได้เลยสักนิด ความเจ็บปวดประดังประเดถาโถมเข้ามาจนยืนต่อไปไม่ไหว

    ครูครับ...ผมขอโทษ...ผมขอโทษ... เทาพร่ำบอกซ้ำ ๆ ทั้งที่ยังร้องไห้ไม่หยุด เสียงนั้นสั่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ กาฮีเงยหน้ามองคนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองอึนจีอีกครั้ง เธอค่อย ๆ ขยับเข้าไปกอดลูกศิษย์ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มทั้งยังร้องไห้ปานจะขาดใจ มินซอกทรุดเข่าลงข้าง ๆ พร้อมกับกอดครูของเขาไว้ทั้งน้ำตา

    ชายหนุ่มที่เหลือมองทั้งสามคนกอดกันโดยมีร่างไร้วิญญาณอยู่ตรงกลาง ไม่มีคำถามหลุดออกมาจากปากใครทั้งนั้นแม้กระทั่งซูโฮ เด็กน้อยโผเข้ากอดพร้อมกับกำเสื้อคนเป็นพ่อไว้แน่น ซีวอนโอบกอดลูบหัวปลอบใจลูกชายที่กำลังสะอื้นอย่างหนักหลังจากเห็นศพของพี่สาวที่เขารู้สึกสนิทใจต่อหน้าต่อตา

    คยองซูทำได้เพียงแค่ยืนมองร่างไร้วิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้น ในหัวของเขามีแต่คำถาม ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างฉายซ้ำไปมาราวกับจะหาต้นเหตุของเรื่องครั้งนี้

     

     

    เพราะเมื่อตอนกลางวันใช่ไหม...

     

     

    จงอินเข้าไปกอดแบคฮยอนจากข้างหลังพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ ก่อนที่ร่างเล็กจะปล่อยให้หยดน้ำตาไหลลงมาโดยไร้เสียงสะอื้น ราวกับว่าความเจ็บปวดทุกอย่างมันจุกอยู่ในอกของทุกคนไม่ต่างกัน...

    อี้ฟานวางมือลงบนไหล่เซฮุนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ความเจ็บปวดทุกอย่างมันถูกส่งไปยังหัวใจและสมองได้เป็นอย่างดี จงแดเสยผมขึ้นก่อนจะเอี้ยวตัวหันหลังให้ความจริงที่โหดร้าย ถึงแม้ว่าอึนจีจะไม่ใช่ญาติพี่น้องของเขา...แต่กับการจากไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวของคนที่รู้สึกผูกพันมันทำให้เขายังไม่อยากทำใจยอมรับในทันที

    ครูขอโทษ...

    มีเพียงเสียงสั่นเครือของปาร์คกาฮีและมือเรียวที่กำลังลูบไปตามโครงหน้าร่างไร้วิญญาณของจองอึนจีอย่างเบามือ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องและเธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อีกแล้ว ไม่ว่าอึนจีจะถูกกัดที่ไหน เมื่อไหร่...แต่ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เธอจะปกป้องลูกศิษย์เอาไว้ได้

     

     

    โลกใบนี้โหดร้ายเสมอสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

    ความสูญเสีย...เกิดขึ้นอีกแล้ว...

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

    ความเจ็บปวดนึงของการเป็นไรท์เตอร์ฟิคแนวนี้

    คือการต้องฆ่าตัวละครที่รักมาก และอยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่ภาคแรก

    เราร้องไห้ตั้งแต่ตอนสองทุ่มแล้วก็หยุดไปช่วงเที่ยงคืน กลับมาร้องอีกทีตอนตีสามจนตอนนี้ตีสามสี่สิบหก เราก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี ไม่รู้ดิ อาจจะหาว่าเว่อก็ได้ แต่เราผูกพันแล้วก็รักตัวละครทุกคนจนไม่อยากให้ใครตายจากไป ถึงจะเขียนบอกไว้หน้าบทความแล้วก็เถอะ

    เราไม่ได้ให้อึนจีตายเพราะเป็นผู้หญิงในฟิควาย แต่ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป ทุกอย่างมีเหตุผลในการดำเนินเนื้อเรื่องต่อ เราไม่รู้ว่าจะยังมีคนทนอ่านฟิคเรื่องนี้ต่อไปไหวไหม แต่ถึงเหลือคนอ่านแค่คนเดียวเราก็จะเขียนให้จบซีซั่นสาม

     

    ขอบคุณกิ๊ง @_oharha ที่ช่วยเพิ่มความเศร้าให้ฉากเทาอึนจี หน่วงจนไม่รู้จะว่ายังไงละค่ะ นางสุดยอดมากเรื่องดราม่า สมแล้วที่เป็นไอดอลมลินค่ะ

     

    ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วอ่ะ เราร้องไห้จนปวดตา ปวดหัวไปหมดแล้ว ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ถ้าจะเลิกอ่านเราก็ไม่ว่านะคะ เราขอโทษที่ทำให้มีการสูญเสียเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×