คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #66 : Chapter 62 :: Deaf
Chapter 62
Deaf
“หันมาทางนี้หน่อยสิ”
“ฉันสายตาเอียงนายไม่รู้เหรอ จริง ๆ แล้วฉันกำลังมองนายอยู่นะ” อึนจีว่าพลางเหล่มองใครอีกคนที่นั่งจ้องเธออยู่ ทำไมบยอนแบคฮยอนถึงได้เป็นคนที่น่าหงุดหงิดแบบนี้นะ การที่ผู้หญิงอย่างเธอต้องมานั่งเกร็งแบบนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน
“อึนจีอา...”
“หยุด” รีบตะปบปากคนที่ขานชื่อด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก ในที่สุดอึนจีก็ยอมหันมามองหน้าเขาถึงแม้ว่าแววตาคู่นั้นจะแอบค้อนอยู่เล็ก ๆ ก็เถอะ “ใครสั่งใครสอนให้เรียกชื่อผู้หญิงด้วยน้ำเสียงแบบนี้? อี๋!”
“พ่อก็เรียกแม่ฉันแบบนี้นะ” แบคฮยอนหัวเราะหลังจากแกะมืออีกคนออก เด็กสาวมองคนที่ส่วนสูงห่างกันไม่มากนักอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะยอมหันหน้าเข้าหาอย่างจริงจัง
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ถ้าไม่มีคุยด้วยไม่ได้เหรอ”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันก็ได้อ่ะนะ” พูดจบก็ชะงักไป เด็กสาวเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วง้างมือขึ้นทำท่าจะชกคนที่ยกของเข้ามาในบ้านซึ่งกำลังแลบลิ้นล้อเลียนเธออยู่ แค่นั้นก็ว่ากวนประสาทแล้วแต่มันเสือกทำหน้าเคลิ้มกัดปากใส่อีกนี่สิ
หวงจื่อเทา อีตุ๊ดเอ้ย! -_-
“ตั้งแต่เมื่อวานเธอก็ไม่คุยกับฉันเลย โกรธที่ฉันพูดแบบนั้นใช่ไหม”
“ก็รู้ตัวนี่” อึนจีแค่นหัวเราะมองคนตรงหน้า “แต่ไม่ได้โกรธนะ แค่งงนิดหน่อย”
“งงอะไรกัน”
“ยังจะถามอีกน่ะนะ -_-”
“ฉันพูดตรงขนาดนั้น ไม่ได้เข้าใจยากสักหน่อย” อยากบอกว่าสีหน้าบยอนแบคฮยอนตอนนี้ช่างน่าโบกกะโหลกเสียจริง การทำตาใสตีหน้าซื่อใส่เธอในตอนนี้มันไม่ได้ผลรู้ไว้ซะ!
“จะเอาให้ได้ช่ะ?”
“ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” แบคฮยอนยิ้ม
“ถามจริงเหอะ” อึนจีเพ่งมองอีกคนอย่างจริงจัง “นายชอบฉันหรือไง?”
คำถามนี้ทำเอาแบคฮยอนชะงักไปเกือบครึ่งนาทีทั้งที่ยังสบตากับคนตรงหน้า อึนจียังคงรอคำตอบซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เธอนอนคิดทั้งคืน ปกติเรื่องที่ทำให้คิดมากก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างเช่น พรุ่งนี้จะเอาอะไรกินกับตัวกัดคนข้างนอกมีฟันอยู่กี่ซี่เท่านั้นแหละ
“มันเป็นคำถามที่ต้องใช้ความคิดขนาดนั้นเลยเรอะ”
“จะตอบยังไงดี” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ ถ้าจะให้พูดว่าชอบก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น กับอึนจีในตอนนี้เขากำลังรู้สึกไปในทางบวกซึ่งต่างกับชานยอลที่กำลังดิ่งไปในทางลบ “มันอาจฟังดูน่าเกลียดที่ฉันขอเธอคบทั้งที่ยังไม่ได้รู้สึกแบบนั้น”
“เออ” สีหน้าอึนจีตอนนี้พร้อมเหวี่ยง แบคฮยอนค่อย ๆ พ่นลมหายใจออกทางริมฝีปากเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายความอึดอัดที่ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ตอนนี้ยังไม่ชอบ แต่วันข้างหน้าก็ไม่แน่ไม่ใช่เหรอ”
“รู้ตัวไหมว่านายเอาแต่ย้อนถามฉันตลอดตั้งแต่เริ่มคุยกัน”
“เหรอ ขอโทษนะ” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ
“ย่าห์แบคฮยอน...” เด็กสาววางมือไว้บนหัวอีกคนพร้อมกับเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พอได้ยินว่าแบคฮยอนไม่ได้ชอบเธอไอ้ความอึดอัดเมื่อก่อนหน้านี้ก็เลือนหายไปบ้าง “นายกำลังสับสนนะ”
“...”
“อกหักจากคุณชานยอลมาหรือไงถึงได้คิดอะไรตื้น ๆ แบบนี้?” ประโยคนี้แหละที่ทำให้บยอนแบคฮยอนน็อคคาที่ เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะตอบยังไงกับคำถามที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากเธอ และตอนนี้แบคฮยอนไม่รู้ว่าอึนจีรู้เรื่องปาร์คชานยอลจริง ๆ หรือว่าแค่อุปทานไปเองเท่านั้น
“พูดอะไรของเธอน่ะ”
“หรือจะบอกว่าไม่ใช่ ก็ฉันเห็นนายอยู่กับเขาตลอด มันเป็นเรื่องปกติที่สาววายจะมีเซนส์กับเรื่องนี้” อึนจีพูดในท่าทีสบาย ไม่ได้แฝงความหมายนัยยะอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แบคฮยอนแอบโล่งอกอยู่ลึก ๆ หลังจากได้ยินคำตอบ
“งั้นเซนส์เธอคงพลาดแล้วล่ะ”
“หะ?”
“ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” น่าแปลกที่มันทำให้คนพูดเจ็บเอง ทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งอึนจีเบ้ปาก
“จริงอ่ะ”
“อื้อ”
“โม้”
“ฉันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรล่ะ”
“นั่นดิ นายจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร แบบนี้ด้วย” เด็กสาวว่าก่อนจะชักมือกลับแล้วมองค้อนคนตรงหน้า
“มันแปลกเหรอ” แบคฮยอนถามด้วยแววตาจริงจัง “กับการที่เราสองคนจะคบหาดูใจกันน่ะ”
“...” ยังอีก...ยังพูดจาชวนให้ขนลุกอยู่ได้
“ผู้ชายกับผู้หญิงคบกัน...มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ” คำถามนี้ไม่ได้ถามแค่อึนจีแต่เขากำลังถามตัวเองด้วย
กับความถูกต้องที่ปาร์คชานยอลก็คงคิดแบบนี้มาตลอด
“แต่จะคบกันมันก็ต้องชอบกันก่อนไม่ใช่ไง?” สีหน้าอึนจีลดลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะล้ากับการพูดจนปากเปียกปากแฉะแต่อีกฝ่ายกลับไม่เข้าใจหรือเป็นเพราะบยอนแบคฮยอนยังคงดื้อแพ่งขอเธอคบกันแน่
“ถ้าเธออยากให้มันเริ่มจากคำว่าชอบ งั้นเราก็เริ่มจากตรงนั้นก่อนก็ได้”
“...”
“เรื่องคบกันก็เอาไว้ตอนที่เธอพร้อมแล้วดีไหม?” คำพูดของแบคฮยอนทำเอาอึนจีถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ทำไมนายถึงอยากมีแฟนนักหะ?” อดไม่ได้ที่จะมองคาดโทษคนตรงหน้า “เพราะฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวที่นี่งั้นเหรอ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“ตอบมาสิว่าไม่ใช่”
“...”
กริบ...
“แบคฮยอน!!!” รู้สึกหน้าเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จำได้ว่าครั้งล่าสุดกับความรู้สึกอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีก็โน่นเลย ตอนแอบหลับในคาบประวัติศาสตร์แล้วกรนเสียงดังจนถูกครูเขวี้ยงแปรงลบกระดานใส่ ตอนนั้นเพื่อนทั้งห้องต่างประสานเสียงหัวเราะกันเป็นท่วงทำนอง แล้วตอนนั้นเสียงหัวเราะแหลม ๆ ของหวงจื่อเทาคือเสียงเดียวที่ทำลายล้างแก้วหูจองอึนจีได้ดีที่สุด
และตอนนี้บยอนแบคฮยอนกำลังทำให้เธออับอายขายขี้หน้าจริง ๆ
“ใจเย็นก่อนสิ” แบคฮยอนหัวเราะแล้วพยายามคว้าข้อมืออีกคนเอาไว้ จะว่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้โตไปกว่าอึนจีสักเท่าไหร่เลย พอเห็นแบบนี้แล้วก็น้อยใจตัวเองอยู่ลึก ๆ
“ถ้านายโกหก ฉันอาจจะใจอ่อนยอมตอบตกลงก็ได้” เด็กสาวสะบัดแขนออกแล้วจิ๊ปาก “พูดจากับผู้หญิงแบบนี้ ชาติหน้าจะหาแฟนได้ไหม”
“ถ้าจะให้โกหกก็ทำได้ แต่ฉันไม่อยากทำแบบนั้นกับเธอ”
“แล้วไง ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อยากฟังอะไรที่มันรื่นหูจากผู้ชายที่กำลังจีบเธอทั้งนั้นแหละ”
“เธอชอบคนพูดจาเลี่ยน ๆ เหรอ?” แบคฮยอนไม่เคยจีบใครมาก่อนและเขาก็ได้รู้วันนี้แล้วว่าผู้หญิงคือสิ่งมีชีวิตที่เอาใจยากที่สุดในโลกเลย
“เปล่า ช่างเถอะ”
“ชอบให้ถูกชมว่าสวย น่ารัก ดูดี แบบนั้นใช่ไหม?”
“นายกำลังทำให้ฉันสงสารตัวเองนะแบคฮยอน หุบปากซะ” ถ้าไอ้หมอนี่ชมว่าเธอสวย น่ารัก ดูดีขึ้นมาเมื่อไหร่ จองอึนจีขอสาบานเลยว่าจะใช้ขาหน้าอันทรงพลังตั๊นท์หน้ามันให้หงายเลยคอยดู
“อึนจี”
“ไม่ต้องมาเรียก” เธอปิดปากอีกคนแล้วออกแรงดันจนแบคฮยอนเกือบหงายหลังถ้าไม่คว้าข้อมือเธอไว้
“เดี๋ยวสิ ฉันมีของฝากมาให้เธอด้วยนะ”
“อะไร”
“นี่” แบคฮยอนล้วงกระเป๋าเป้ก่อนจะหยิบที่คาดผมลายลูกไม้สีขาวออกมาให้คนตรงหน้า แต่ผิดคาด...แทนที่อึนจีจะดีใจแต่เธอกลับขมวดคิ้วอ้าปากมองมันราวกับเป็นอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ “ลองใส่ไหม?”
“นายจะบ้าเหรอ!” แบคฮยอนหลับตาแน่นเมื่อถูกอีกคนตะโกนใส่หน้าก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองเด็กผู้หญิงที่กำลังจะสติแตกเพียงแค่เห็นของฝากที่เขาหยิบติดมือมาได้ตอนวิ่งหนีพวกผีดิบในห้าง
“เบา ๆ กันหน่อยจ้ะ” เสียงของปาร์คกาฮีช่วยชีวิตแบคฮยอนไว้ได้และคิดว่าอาจจะทำให้คนตรงหน้าหายตกมันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง ครูสาวที่กำลังยกของเข้าบ้านยิ้มให้เขาทั้งคู่ราวกับไม่ยินดียินร้ายกับการที่แบคฮยอนและอึนจีนั่งคุยกันโดยที่ไม่ไปช่วยคนอื่นเก็บของ
“ดูสิคะว่าหมอนี่เอาอะไรมาฝากหนู!” อึนจีชูที่คาดผมลายลูกไม้ให้อีกคนดู ซึ่งครูสาวก็ได้แต่ป้องปากหัวเราะ
“ทำไมล่ะ เธอไม่ชอบลูกไม้เหรอ?” แบคฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย มันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาสร้างความประทับใจให้อึนจีไม่ได้
“ดูนี่นะ” เด็กสาวทำหน้านิ่งแล้วเปิดหน้าผากให้อีกคนดู แบคฮยอนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพูดไม่ออกจริง ๆ กับภาพที่เห็น เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแล้วหลุบสายตาลง เขาต้องถูกฆ่าตายแน่ถ้าเกิดระเบิดหัวเราะออกมาตอนนี้เพราะเห็นหน้าผากเถิก ๆ ของเธอ “ทีนี้เข้าใจยัง?”
“โอเค ต่อไปนี้ฉันจะไม่หยิบที่คาดผมติดมือมาอีก”
“ดี” จองอึนจีเพิ่งรู้ตัวว่าแอบใส่อารมณ์ทุกเม็ดที่สวนกลับไป แบคฮยอนอมยิ้มกับความน่ารักของเด็กผู้หญิงคนนี้
“ต่อไปนี้ก็ช่วยมองฉันมากกว่าเพื่อนด้วยนะ”
“โลภมากนะเราอ่ะ” เด็กสาวหรี่ตามองแล้วเบ้ปาก “นายไม่คิดว่ามันผิดผีบ้างหรือไง”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“ตอนนี้นายสูงกว่าฉันกี่เซนต์เอง อีกสองปีฉันก็สูงแซงหน้านายแล้ว คิดสภาพตอนนั้นดิ ฉันกับนายเดินจูงมือกันคงตลกพิลึก” อึนจีมองอีกคนด้วยแววตาเวทนา
“อย่าเพิ่งเอาเรื่องอนาคตมาตัดสินฉันได้ไหม”
“นั่น...”
“ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ชอบเธอแล้วเธอก็ยังไม่ได้ชอบฉัน แต่ถ้าเราเรียนรู้กันและกันฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราต้องชอบกันได้แน่”
“นายพูดเหมือนว่าเราสองคนจำเป็นต้องรักกัน” แบคฮยอนเงียบไปครู่หนึ่ง ที่อึนจีพูดก็ถูกแต่เขากลับไม่อยากล้มเลิกความตั้งใจอยู่แค่นี้ ไม่ใช่เพราะอยากลืมปาร์คชานยอลอย่างเดียวแต่เขาอยากหลุดพ้นจากคำถามในหัวที่เต็มไปด้วยเรื่องของผู้ชายคนนั้นด้วย
ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้เรื่องของปาร์คชานยอลอีก...
“นอนได้ใช่ไหม?” สองพ่อลูกชะโงกหน้าเข้าไปในบังกะโลเล็กแต่สภาพยังโอเคอยู่ มีเตียง มีหมอน มีผ้าห่ม มีตู้เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางส่วนตามแบบที่ควรจะมี ซึ่งคนเป็นพ่อก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก ซีวอนยักไหล่เป็นคำตอบแล้วจูงมือลูกชายเข้าไปข้างใน
“ปากคุณน่ะ ขอโทษแล้วกันนะ” ซีวอนชี้มุมฝีปากตัวเองขณะพูดกับผู้ชายผิวสีแทนที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า จงอินยักไหล่เลียนแบบแล้วทำมือปัด ๆ เป็นเชิงว่าช่างเหอะ
“ถ้านอนไม่หลับก็ไปเคาะประตูบังกะโลข้าง ๆ บอกให้จงแดมันมาร้องเพลงกล่อมแล้วกัน” เขามองไปยังบังกะโลเดี่ยวที่จงแดพักอาศัยอยู่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เจอกันตอนมื้อเย็น”
“เฮ้” ยังไม่ทันก้าวไปไหนก็ต้องหันกลับไปมองสองพ่อลูกอีกครั้ง “ลู่หานเขาโอเคไหม?”
“หมายความว่าไงที่ถามว่ามันโอเคไหม?”
“ก็เมื่อกี้พ่อพูดเรื่องแบคฮยอนต่อหน้ามินซอกน่ะสิครับ พี่ลู่หานโกรธใหญ่เลย”
“เหอ?” จงอินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทำไมไอ้สองพ่อลูกนี่พูดอย่างกับรู้เรื่องรักสามสี่ห้าเส้าของไอ้ลู่หานวะ
“อย่าเล่าสิเดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดหรอกลูก ลู่หานเคยบอกว่าเขาเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังแค่สองคนนะ” ซีวอนก้มลงกระซิบข้างหูซึ่งลูกชายก็ทำตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปมองคนเป็นพ่อ
เป็นการกระซิบที่ชัดเจนเต็มสองหูมากเลยทีเดียว
“แต่พ่อถามพี่จงอินแบบนั้นก็เหมือนจะเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ลูกชายถามตาใส
“No No พ่อไม่ได้จะเล่าจริง ๆ นะ” คนเป็นพ่อยกสามนิ้วขึ้นทำท่าปฏิญาณตน ลูกชายหรี่ตามองจับผิดคนเป็นพ่อก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองบุคคลที่สามซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เราไม่ได้จะเล่าอะไรเลยนะครับพี่จงอิน พวกเราไม่มีความลับอะไรเลย”
“เออ กูรู้”
“จุ๊ ๆ อย่าหยาบคายกับเด็กสิคุณ” ซีวอนกระดิกนิ้วชี้ไปมา ตอนนี้คิมจงอินสำเหนียกได้แล้วว่าเขาไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไป
“เอาเป็นว่ามันปกติดี กระผมไปนะครับ” อยากได้ความสุภาพก็จัดให้ จงอินปิดบทสนทนาด้วยการปิดประตูบังกะโลโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดอะไรอีก สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตตัวนอกกลับบ้านหลังที่สองซึ่งก็เห็นเพื่อนรักนั่งหัวโด่อยู่หน้าบันไดทางขึ้นพร้อมกับสีหน้าซังกะตายสุดชีวิต
“สองพ่อลูกนั่นเป็นไงมั่ง” เออ อย่างน้อยมันก็ยังมีใจห่วงชาวบ้านชาวช่องทั้งที่อยู่ในสภาพอิดโรยสุด ๆ จงอินเดินไปนั่งบนขั้นบันไดทางขึ้นข้างเพื่อนซี้ก่อนจะหันไปมองหน้ามัน
“มันอยู่บังกะโลได้ ไม่มีปัญหา”
“ดี” ตอบสั้น ๆ ทั้งที่ยังมองเหม่อไปข้างหน้า
“บวกกับเด็กดาดฟ้ามาอีกแล้วเหรอวะ” ความขี้เสือกมันไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ ถ้าไอ้ลู่หานทำตัวปกติ ไร้สาระไปวัน ๆ เหมือนก่อนหน้านี้สาบานได้เลยว่าคิมจงอินจะไม่ปริปากถามสักคำ เพราะเห็นมันทำตัวเหมือนจะระเหยไปกับอากาศทุกวินาทีแบบนี้แหละถึงได้ทนดูไม่ได้
“ทำไมรู้”
“สองพ่อลูกสปอยล์ให้กูฟัง”
“เสือกทุกงาน” นึกแล้วก็คันตีนไม่หาย ถ้าไม่ติดว่าครั้งหนึ่งชเวซีวอนเคยช่วยชีวิตไว้ล่ะก็นะ งานนี้มีเหยียบเก้าอี้กระโดดเตะปาก “คราวนี้เปาจื่อคงเกลียดหนังหน้ากูชนิดที่ว่าถ้าเดินผ่านแล้วเผลอสบตากันหน่อยนึงคงได้แต่สาปส่งให้กูไปนอนห่มหนังสือพิมพ์เล่นกลางถนน”
“มันมีอะไรแย่ไปกว่านี้ด้วยเหรอวะ เมื่อเช้ามึงก็เพิ่งโดนเขาไล่ออกมานะ”
“ไม่ได้ไล่เว้ย แค่หมดโควต้าหนึ่งนาที”
“โถ...ชีวิตช่างน่าสง” จงอินลูบหัวคนเป็นเพื่อนก่อนจะยิ้มขำเมื่อถูกปัดมือออกอย่างรำคาญ
“เปาจื่อก็น่าหงุดหงิด จะงอนห่าอะไรนักหนากูก็ขอโทษไปแล้วป่ะ สำนึกก็แล้วยังจะมึนตึงอยู่ได้ โอเคกูเข้าใจว่าเรื่องนี้มันคงไม่หายง่าย ๆ แต่การมาโกรธกูซ้ำเพราะเรื่องในอดีตที่กูเคยเล่าให้สองพ่อลูกนั่นฟังมันใช่เรื่องเหรอ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” จงอินพยักหน้าช้า ๆ “สรุปคือตอนนี้สถานการณ์แย่ลงเพราะปากสองคนนั้นว่างั้น”
“แล้วมึงจะให้ทำไงวะ กูอยากคุยใจจะขาดแต่...?” ลู่หานแบมือทั้งสองข้างก่อนจะยักไหล่
“เล่นมุกเดิมดิ เคาะหน้าต่าง”
“มินซอกเป็นเด็กฉลาด กูว่าน้องคงไม่โง่มาเปิดให้หรอก”
“มึงก็ฉลาดน้อยหน้าเด็กมันที่ไหนล่ะ ติดแค่ฉลาดไปในทางโง่ ๆ เท่านั้นแหละ” อะหื้ม...เหมือนถูกลากขึ้นหอคอยแล้วถีบตกลงมาอย่างเลือดเย็น
“พอเถอะ กูเครียด ปล่อยไปตามหัวใจ” นาทีนี้ต้องปลงเท่านั้น ไม่ว่าจะดีดดิ้นหาทางไปเจอหน้ามินซอกแค่ไหนแต่ก็ถูกไล่กลับมาทุกที คนอื่นเศร้าได้ ลู่หานก็เศร้าได้เหมือนกันนะครับ
“อืม งั้นเลิกกันแหละดีแล้ว ให้เด็กมันไปเจอคนดี ๆ”
สัด -_-
“พูดงี้หมายควายว่าไงครับ” บอกเลยว่าไม่ได้พูดผิด นี่จงใจด่ามันจริง ๆ นะครับมีเพื่อนนรกแบบนี้เนี่ย
“ก็มึงทำหน้าที่แฟนที่ดีไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปดิวะ”
“ไม่ใช่ว่ากูทำไม่ได้ แต่กูทำพลาด มึงเข้าใจคำว่าพลาดไหม”
“ครั้งที่เท่าไหร่เอ่ย?”
“กวนตีนแล้วมึงน่ะกวนตีนแล้ว...” ลู่หานแค่นหัวเราะแล้วหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์กับสีหน้าและน้ำเสียงกวนประสาทของไอ้ดำข้าง ๆ
“ในฐานะเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน กูจะย้ำแบบนี้จนกว่ามึงจะคิดได้”
“นี่มึงว่ากูยังคิดไม่ได้เหรอ?” ลู่หานชี้หน้าตัวเอง แอบน้อยใจอยู่ลึก ๆ ที่แม้แต่เพื่อนก็ยังมองเขาเป็นคนไม่ดีที่คิดไม่ได้กับสิ่งเคยผิดพลาดไปทั้งที่พยายามปรับปรุงตัวเองแล้ว
“ถ้ามึงคิดได้แล้วมึงจะไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง”
“...”
“แต่มึงยังโมโหที่เด็กดาดฟ้าเมินมึงอยู่ เด็กมันไม่เอาสันไรเฟิลฟาดหน้ามึงก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“...”
“แต่ก็นะ” จงจินเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ “เห็นมึงเป็นงี้แล้วก็สงสารว่ะ”
“รู้สึกเป็นเกียรติ” ลู่หานเบ้หน้าแล้วแค่นหัวเราะ
“ให้กูลองไปคุยดูไหมล่ะ”
“มินซอกเคยเล่าให้ฟังว่าตอนไปเกาะเชจูกับมึงสองต่อสองเป็นอะไรที่เหี้ยสุดในชีวิตละ”
“...”
“แถมยังบ่นว่ามึงชอบพูดกวนตีน แล้วงี้จะคุยกันได้เหรอวะ”
“โห เด็กนั่นพูดดีตายห่าเลยค่า ขยับปากทีกูนึกว่านางเอกหนังจีนปาเข็มพัน ๆ เล่มใส่กู” แทบอยากจะเปลี่ยนใจที่บอกว่าจะช่วย เด็กดาดฟ้านี่มันน่านัก!
“แต่น้องก็น่าจะฟังมึงมากกว่ากูไหม?” ตอนนี้ลู่หานเริ่มสนใจกับความช่วยเหลือที่เพื่อนซี้หยิบยื่นให้ จงอินเหล่มองคนข้าง ๆ แล้วก็ใช้ความคิด
“ไม่รู้ดิ กูอาจจะหลอกล่อให้น้องมาเจอมึงได้...มั้ง?”
“อย่างเช่น?”
“เช่นอะไรล่ะ มึงก็ช่วยกูคิดดิห่า”
“มึงฉลาดกูรู้” ลู่หานหันหน้าเข้าหาคนเป็นเพื่อนพร้อมกับแววตาที่มองอย่างคาดหวัง
มัดมือชกสุด ๆ
“บอกว่ามึงโดนกัด กูว่าน่าจะพุ่งมาทันทีเลยล่ะ”
“มุกนี้กูว่าไม่ผ่าน” ลู่หานขมวดคิ้วลูบคางตัวเอง “ถ้ามึงพูดแบบนั้นมินซอกคงบอกให้มึงหาพลั่วดี ๆ สักอันมาขุดหลุมฝังศพกู”
“งั้นบอกว่ามึงไม่สบาย”
“มุกนี้กูเคยใช้มาแล้ว”
“ทำไงดีครับเพื่อน เด็กมึงฉลาดแบบนี้กูก็จนปัญญาแล้ว” จงอินตบบ่าลู่หานปุ ๆ
“เอองั้นช่างแม่งเหอะ ปล่อยกูแห้งตายตรงนี้แหละ” ถ้าเป็นรายการทีวีตอนนี้คงมีเอ็ฟเฟ็คน้ำหูน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตากูแล้ว ชีวิตโคตรเศร้า
“ถ้าแผนนี้ไม่เวิร์คก็คงต้องให้เวลาช่วยมึงแล้วล่ะ”
“เวลา? แล้วกูต้องรออีกนานแค่ไหนวะ? มึงคิดว่ากูจะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่ถูกกัดตายเข้าสักวันเหรอ?” นับว่าเป็นเรื่องแรกที่จงอินทึ่งอยู่ในใจกับความคิดของเพื่อนซี้ที่มันกล้านึกไปถึงอนาคตทั้งที่ปกติมันเอาแต่คิดเรื่องปัจจุบัน
“ที่พูดก็ถูก แต่มึงคงไปเขย่าคอเด็กดาดฟ้าแล้วบอกว่า ‘เปาจื่อครับดีกันเถอะ เพราะพี่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไปถึงเมื่อไหร่ บางทีพี่อาจจะตายห่าวันพรุ่งนี้ก็ได้ หนูจะใจร้ายใจดำไม่คุยกับพี่จริง ๆ เหรอ’ ไงวะ”
“กูไม่เคยเรียกมินซอกว่าหนู”
“เออ จะเรียกเขื่อนอะไรก็เรียกเถอะ แต่มึงบังคับให้เด็กมันเลิกเคืองมึงไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่กูอยากจะบอกมึง”
“ไหนกูขอฟังเหตุผลจากผู้ชายมีความคิดอย่างมึงซิ” นั่นไง บอกตามตรงว่าอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าไอ้ห่านี่กำลังประจบเขาเพื่อหาพวก
“มึงอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ”
“เอ้า!” ลู่หานเลิกคิ้วมองเพื่อนซี้ที่เสือกถามกวนตีนได้หน้าตาเฉย
“คำตอบที่เป็นความคิดของกูหรือว่าคำตอบที่ทำให้มึงสบายใจ”
“...” พูดไม่ออกกับประโยคหลัง มันแอบแทงใจอยู่ลึก ๆ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาอยากเลือกข้อสุดท้ายมากกว่า
“มึงมีคำตอบในใจอยู่แล้วกูรู้”
“มันก็ใช่ไง แต่กูก็ไม่ได้บังคับให้มึงพูดให้กูสบายใจป่ะวะ?” ลู่หานมองหน้าคนเป็นเพื่อนแล้วเอนหลังยันศอกไว้กับบันไดขึ้นสูงกว่า
“สัญชาติญาณมนุษย์ เวลาเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ใครสักคนฟังก็ต้องอยากให้เขาเห็นด้วยและคล้อยตามอยู่แล้ว”
“หรือมึงไม่เคย”
“ก็ใช่ไง? กูถึงได้พูดเพราะกูเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ไอ้ความรู้สึกที่อยากมีใครสักคนเข้าใจถึงเรื่องที่กูคิดอยู่คนทั้งโลกจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ”
“แล้วมึงอยากทำแบบไหน” ลู่หานจ้องหน้าจงอินระหว่างรอคำตอบ “ระหว่างตอกย้ำหรือว่าพูดให้เพื่อนอย่างกูสบายใจ”
ความเงียบเข้าครอบคลุม ใช่ว่าจงอินกำลังลำบากใจกับคำถามของคนข้าง ๆ แต่เขาแค่อยากให้ลู่หานคิดตามกับคำถามที่หลุดออกมาจากปากของตัวเอง มือหนาล้วงซองบุหรี่ขึ้นมากะเทาะแล้วจุดสูบก่อนจะยื่นให้อีกคน
“ถ้าเรื่องที่มึงทำไม่เหี้ยจนเกินไป”
“...”
“การเข้าข้างเพื่อนมันก็ไม่แย่ป่ะวะ?”
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวครับ?”
เสียงปริศนาเรียกสติคนที่กำลังทำแผลให้หลุดออกจากห้วงความคิด ชานยอลหันกลับไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นเซฮุนที่กำลังยิ้มตาหยีอยู่นอกหน้าต่างห้องนั่งเล่น
“ผมเข้าไปนะ?” ชานยอลพยักหน้าเป็นคำตอบ เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นที่ร่างบางใช้เวลาเดินอ้อมมาหน้าบ้าน เขาหมุนลูกบิดเข้ามาแล้วนั่งลงโซฟาตัวเดียวกับคนตัวสูงที่กำลังง่วนอยู่กับสำลีและน้ำยาล้างแผลซึ่งวางเรียงอยู่บนโต๊ะ
“ผมเห็นอี้ชิงบอกว่าคุณแอบขโมยกล่องพยาบาลมา ผมก็เลยตามมาดูให้เห็นกับตาน่ะครับ” ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเห็นเซฮุนพูดจาติดตลก ชานยอลยิ้มบาง ๆ ตามมารยาทก่อนจะหันไปมองอีกคนที่กำลังสนใจกับแผลตรงช่วงท้องแขนของเขา “คุณเป็นอะไรครับ?”
“ผมไม่ได้ถูกกัดหรอก”
“แผลใหญ่จังเลยครับ ให้ผมช่วยนะ” พอเอื้อมมือจะไปช่วยร่างสูงก็ถอยออกโดยอัตโนมัติ แค่นี้ก็ทำให้รู้ได้แล้วว่าปาร์คชานยอลไม่ได้รู้สึกดีกับการที่เขาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
“ผมไม่เป็นไร”
“ครับ ผมรู้ว่าคุณไม่เป็นไร” เซฮุนไม่ได้ยิ้มให้อีกฝ่ายเหมือนในทีแรก ตอนนี้ความกังวล ความเป็นห่วงมันมีมากกว่าการที่เขาจะพยายามทำให้คนที่เอาแต่เงียบมาตลอดหลายอาทิตย์ยิ้มออกมาได้
“ได้แผลมาตอนช่วยแบคฮยอนตกเหวน่ะ” เห็นสีหน้าเซฮุนแล้วคงต้องไขความสงสัยให้ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้คงเอาแต่จ้องเขาเพื่อรอคำตอบแน่
“คุณน่าจะให้อี้ชิงช่วยดูนะครับ” เด็กหนุ่มยังคงมองบาดแผลที่เป็นทางยาว มันคงไม่ดีแน่ถ้าเกิดมันอักเสบจนติดเชื้อขึ้นมา
“อะไรที่ทำเองได้ผมก็ไม่อยากรบกวนคนอื่น”
“แต่ถ้าคนอื่นเต็มใจจะช่วยแต่เขาถูกปฏิเสธน้ำใจ มันก็คงรู้สึกแย่นะครับ” คำพูดของเซฮุนมาพร้อมกับมือที่ช่วยช้อนท่อนแขนเขาเอาไว้เพื่อให้สะดวกกับการล้างแผล ชานยอลมองคนข้าง ๆ ที่กำลังยิ้มแล้วก็พูดไม่ออก “ที่พูดน่ะไม่ใช่ผมหรอกนะ เพราะคุณไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจผม”
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณก็ดื้อเอาเรื่อง”
“แต่น้อยกว่าคนที่ไม่ยอมให้คนอื่นช่วยทำแผลให้นิดนึงครับ”
“คุณนี่นะ...” ชานยอลปรายตามองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้ได้ยื่นสองมือมาช่วยทำแผลให้เขาโดยสมบูรณ์แล้ว ถึงจะไม่ได้รู้สึกอารมณ์ดีแต่ยอมรับว่าการได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนี้มันทำให้เขายิ้มออกมาได้บ้าง
“แขกใหม่เป็นยังไงบ้างครับ?”
“จงอินพาคุณซีวอนกับลูกไปพักที่บังกะโลแล้วล่ะครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ผมได้ยินว่าเขาสองคนเคยช่วยลู่หานเอาไว้”
“ใช่ครับ ถ้าผมเป็นลู่หานคงดีใจมากที่ได้เจอพวกเขาอีกครั้ง”
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”
“ครับ?”
“ไม่มีอะไร” ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วก็นึกย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว กับสถานการณ์น่าอึดอัดที่ทำให้ลู่หานกลายเป็นจำเลยอย่างปฏิเสธไม่ได้
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมินซอกกับผู้ชายคนนั้นและมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปถามไถ่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
“ผมว่าอากาศเป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
“เหรอครับ” ชานยอลก้มลงมองมืออีกคนที่กำลังค่อย ๆ แตะสำลีไปตามรอยแผลอย่างเบามือ
“ถ้าไม่ต้องออกไปไหน ผมว่าการนอนซุกใต้ผ้านวมคือความสุขอย่างหนึ่งในฤดูหนาว”
“คุณดูเป็นคนรักการนอน”
“อนุญาตให้เลียนแบบได้นะครับ”
“...” ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นสบตากันแล้วก็เป็นเซฮุนที่ยิ้มให้กับเขาก่อน มันทำให้นึกย้อนไปถึงวันนั้นที่เด็กคนนี้ออกมาคุยกับเขาหน้ากองไฟ ถ้าให้เปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ชอบวิธีนี้นัก แต่โอเซฮุนเป็นเด็กอายุสิบแปดที่มีวุฒิภาวะดีกว่าใครหลายคนและนั่นอาจจะรวมถึงเขาด้วยในบางเรื่อง เด็กคนนี้สามารถพูดให้คนอื่นรู้สึกดีได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเล่าอะไรให้ฟัง
“มีเคล็ดหรือเปล่า” ร่างสูงหลุบสายตาลง ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างหลังจากได้พูดกับใครสักคนอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“มีครับ” เซฮุนเป่าลมลงบนแผลเบา ๆ “แค่ทำใจให้สบาย”
“...”
“มันน่าตลกนะครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะ “ก่อนโลกจะเปลี่ยนไป ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนวัยทำงานต่างพึ่งกาแฟเพื่อที่จะได้มีแรงสู้งานทั้งที่ร่างกายไม่ไหวแล้ว”
“...”
“แต่พอเป็นตอนนี้พวกเราต่างหาวิธีทำยังไงก็ได้เพื่อให้นอนหลับ” เซฮุนเป่าลมลงไปอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนสำลีอันใหม่ “เพราะกังวลเรื่องต่าง ๆ นานา กลัวว่าจะไม่มีเสบียงอาหารในวันต่อไป กลัวว่าจะมีใครสักคนไม่สบายแล้วหายารักษาโรคไม่ได้ สารพัดความกลัวที่ทำให้คิดมากจนนอนไม่หลับ”
“คุณก็ด้วยเหรอ?”
“บางครั้งครับ แต่ผมมีวิธีบำบัดตัวเอง”
“ด้วยวิธีไหนครับ?” เซฮุนเงยหน้าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายกำลังสนใจในสิ่งที่เขาพูด สีหน้าปาร์คชานยอลในตอนนี้ซีดเซียว หมองคล้ำและอาจเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพออย่างที่อี้ฟานเคยเล่าให้ฟัง
“ผมคิดว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ผมยังมีคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน มันหมายความว่าปัญหาที่เจออยู่มันสามารถหาทางออกได้ถ้าหันหน้าเข้าหาคนอื่นแล้วเล่าให้เขาฟัง”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ?”
“ครับ อย่างน้อยก็ได้เอาความอึดอัดออกไป มันทำให้ผมสบายใจขึ้น”
“ด้วยการส่งต่อความเศร้าให้คนอื่นน่ะเหรอครับ”
“ครับ ถ้าคนอื่นที่ว่าเป็นคนแปลกหน้า” ทั้งคู่มองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก “กับคนที่รักเรา เขาจะไม่มีวันคิดว่าเราส่งต่อความเศร้าให้เขาหรอกครับ”
“...”
“ที่พูดไปทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมอยากให้คุณเล่าให้ผมฟังหรอกนะ”
“...”
“ผมแค่อยากให้คุณพักผ่อนให้มาก ทานข้าวเยอะ ๆ ด้วย ดูสิครับ...แขนคุณจะเล็กกว่าผมอยู่แล้ว” เซฮุนทาบแขนตัวเองกับแขนอีกคน พอเห็นชานยอลหลุบสายตาลงมองเขาก็ผละออกมา
“ขอบคุณครับ” ชานยอลพูดทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มเลยสักนิด “ผมจะพยายามทำตามที่คุณบอก”
“คุณเป็นคนเก่ง มีอะไรบ้างที่คุณทำไม่ได้” เขาไม่ได้รู้สึกดีกับคำชมของเซฮุน แต่ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาได้คือความพยายามของเด็กคนนี้ต่างหาก
ทำไมถึงต้องพยายามช่วยคนอย่างเขาด้วยนะ?
“เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะครับ”
“...”
“...” เซฮุนหลุบสายตาลงมองร่างสูงที่โน้มตัวลงมาซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาอย่างเหนื่อยอ่อน แม้ว่าชานยอลจะไม่ได้พูดอะไรแต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของผู้ชายคนนี้
คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับชานยอล?
“ฟังผมบ่นจนง่วงเลยเหรอครับ” ยิ้มขำแล้วขยับตัวนั่งให้อยู่ในท่าพอดีก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาลูบแผ่นหลังกว้างเบา ๆ ถ้าไหล่ของโอเซฮุนช่วยแบ่งเบาความเศร้าให้สมาชิกในครอบครัวได้เขาก็ยินดี
“ขอบคุณนะเซฮุน”
“ยินดีเสมอครับ”
มีเพียงแค่ความเงียบกับมือของเซฮุนที่ช่วยดูดเอาความอึดอัดภายในใจออกไป นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับสินะว่ามนุษย์เรายังต้องการคนรักและคนเข้าใจ แม้ว่าปากของปาร์คชานยอลจะย้ำเตือนกับตัวเองหน้ากระจกว่า ‘ไม่เป็นไร’ เขาสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
แต่เปล่าเลย...มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยสักนิด
“ใช้กล่องพยาบาลเสร็จยัง?” เสียงแข็ง ๆ ที่ดังมาจากประตูทางเข้าบ้านเรียกความสนใจจากชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาให้หันไปมอง ชานยอลผละตัวออกจากคนตรงหน้าเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือจงอิน
“เดี๋ยวพันผ้าก๊อซก็เสร็จแล้วล่ะครับ” เซฮุนดูต่างไปจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ร่างบางกำลังเลิกลั่กเพียงแค่เห็นแววตาของอีกคนที่ส่งมา
“งั้นก็ทำไป”
“คุณจะใช้มันเหรอ”
“ตอนแรกก็คิดว่างั้น แต่เพิ่งนึกได้ว่าถูกต่อยปากไม่จำเป็นต้องใช้สำลีชุบเบตาดีนแล้วพันรอบหัวด้วยผ้าก๊อซ” ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าจงอินไม่พอใจ เพราะอีกฝ่ายแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงซะขนาดนั้น เซฮุนได้เพียงแค่มองโดยที่ไม่พูดอะไรอีกเพราะเขาไม่เคยเห็นจงอินพูดแดกดันแบบนี้กับเขามาก่อน
“งั้นรอแปปนึงนะครับเดี๋ยวผม...”
ปึง
เสียงปิดประตูไม่ได้ดังจนทำให้ตกใจกลับกันแล้วมันถูกปิดลงตามปกติอย่างที่ควรจะเป็นแต่ร่างบางรู้สึกเหมือนถูกปิดประตูใส่หน้าอย่างแรง เซฮุนกำลังรู้สึกไม่ดีเพราะคำพูดและสีหน้าของผู้ชายคนนั้นที่หายไปจากตรงนั้นแล้ว ชานยอลมองคนข้าง ๆ ก่อนจะวางมือไว้บนไหล่พร้อมกับบีบเบา ๆ
“ที่เหลือผมทำเองได้ คุณไปเถอะ”
“แต่ผมยังทำแผลให้คุณไม่เสร็จเลยนะครับ”
“จงอินอาจมีเรื่องให้คุณช่วยก็ได้ ผมไม่เป็นไร” ชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นยีหัวอีกคน
ปิดประตูห้องแล้วเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย ตอนนี้คิมจงอินเริ่มสับสนตัวเองว่ากำลังหงุดหงิดตัวเองหรือหงุดหงิดที่เห็นเซฮุนกำลังกอดชานยอลอยู่กันแน่ ถ้าเป็นอย่างแรกเขาคงรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแต่ดูเหมือนว่ามันจะเอนเอียงไปอย่างหลังเสียมากกว่า
นั่งคุยกับไอ้ลู่หานอยู่พอสมควรก็เลยถามถึงเด็กนั่นและก็ได้คำตอบว่าเห็นเดินเข้าไปในบ้านหลังที่สามก็เลยเดินตามไปดูก่อนจะเห็นฉากทีเด็ดเข้าให้อย่างกับในละคร มันไม่ใช่สันดานคิมจงอินเลยสักนิดกับการพ่นคำพูดตุ๊ด ๆ ประชดประชันไปแบบนั้น แค่คิดก็อยากจะเอากำปั้นยัดปากตัวเองแล้วกลืนแม่งลงท้องไปซะให้รู้แล้วรู้รอด คำหยาบสารพัดสัตว์หลุดออกมาจากปากแทบนับไม่ได้ หงิดครับ หงิดไปหมด
นั่งลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวนอกออกก่อนจะเหวี่ยงใส่ตะกร้าผ้าที่อยู่มุมห้องซึ่งก็ลงได้อย่างแม่นยำ อากาศที่ว่าหนาวยังต้องยอมแพ้อารมณ์ที่กำลังปะทุ ขาข้างซ้ายกระดิกไม่หยุดและที่เป็นอยู่มันคือการสงบสติอารมณ์ของคิมจงอิน
เรื่องชานยอลกับเซฮุนไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน หนึ่งอาจเป็นเพราะเขาไว้ใจเด็กนั่นและสองอาจเป็นเพราะว่าปาร์คชานยอลเอาแต่หมกตัวอยู่คนเดียวก็เลยไม่เคยมีความคิดแบบนั้น แต่เหตุการณ์เมื่อครู่มันทำให้คิมจงอินต้องคิดใหม่ บางทีสิ่งที่คิดว่าไม่น่าเกิดขึ้นมันอาจจะเกิดขึ้นสักวันก็ได้
แค่คิดก็หงุดหงิดแล้วห่า!
เงยหน้าขึ้นมองประตูที่ค่อย ๆ เปิดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่คุ้นเคยของใครอีกคน ยอมรับก็ได้ว่าเขารู้สึกดีทุกครั้งทันทีที่ตื่นนอนแล้วพบว่าเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดเพียงแค่เห็นใบหน้าขาวนั้นกำลังยิ้มแห้ง ๆ
“กล่องพยาบาลมาแล้วครับ” เตียงยวบลงไปเมื่อร่างบางหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ คนที่กำลังปั้นหน้าบึ้งตึงอยู่
“เอาไปให้คนอื่นใช้ไป”
“คนอื่น? ยังมีคนเจ็บอีกเหรอครับ?” เซฮุนเลิกคิ้วมอง คำพูดของเซฮุนทำเอาคนที่กำลังหงุดหงิดถอนหายใจออกมา
“มีเยอะแยะ ถ้าเกิดนายสนใจบ้างก็คงรู้” นั่น ประชดไปอีกดอก กูนี่มันตุ๊ดจริง ๆ -_-
“ไม่ใช่ว่าไม่สนใจนะครับ แผลที่ปากคุณก็ไม่ได้สาหัส ปกติคุณก็ไม่เคยใส่ใจกับแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ยังอีก...แทนที่จะสำนึกผิดยังจะมายอกย้อน...
“เออ ไว้สาหัสเท่าแผลของปาร์คชานยอลก่อนแล้วค่อยสนใจก็ได้”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนข้าง ๆ พอหันไปมองก็เห็นเซฮุนกำลังกลั้นขำอยู่ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะสบตากับคนเจ้าอารมณ์
“ขำมากเหรอ”
“มากครับ”
“ใครใช้ให้ตอบแบบนี้ ตอบใหม่”
“อืม...ก็นิดหน่อยครับ”
“นิดหน่อยก็ไม่ได้”
“คุณหึงผมเหรอจงอิน”
“...”
ใคร...ใครใช้ให้ถามกลับได้หน้าตาเฉยแบบนี้ครับโอเซฮุน...
“ใช่ไหม?”
“เพ้อเจ้อพอยัง”
“จนกว่าคุณจะหายหึงผมล่ะมั้งครับ” โอ้โห...ไปเอาความกล้ามาจากไหนครับน้องหนู ทำไมถึงได้กล้าพูดแบบนี้ จะแกร่งเกินไปแล้วไหม?
“จะไปไหนก็ไปป่ะ” จงอินทำมือปัด ๆ แล้วทำท่าจะทิ้งตัวลงนอนแต่ก็ถูกเซฮุนรวบกอดจากข้างหลังไว้ได้ทัน “เฮ้!” คนขี้โมโหเอี้ยวหน้าหันกลับไปแล้วก็เห็นหัวเด็กหน้าตายที่กำลังซบอยู่กับไหล่เขา
“ผมเสียใจนะ”
“อะไร?”
“คุณไล่ผมแบบนี้ ผมเสียใจจริง ๆ นะครับ”
“...”
แดกจุดไหมล่ะมึง คำว่าเหี้ยกรอกเข้าหูคิมจงอินนับครั้งไม่ถ้วนทันทีที่นึกได้ว่าหลุดพูดทำร้ายจิตใจเซฮุนออกไป ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไล่แบบนั้นป่ะวะ
โอย...ทำไมต้องมาทำตัวน่ารักให้กูดูเหี้ยขึ้นด้วยครับหื้ม?
“แต่ก็ไม่ได้ไปไม่ใช่ไง?”
“ผมไม่ไปหรอก...” พูดเสียงอู้อี้พร้อมกับกระชับกอดแน่นขึ้น พอรู้ตัวอีกทีก็ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาเคยโกรธเซฮุนมากแค่ไหน แต่ที่ยังหลงเหลือให้ขุ่นเคืองใจอยู่ก็คือ...
โอเคยอมรับก็ได้...เขากำลังหึงเซฮุน
“ต่อให้คุณเดินหนี ผมก็จะเดินตาม”
“...”
“คุณไปไหนผมก็จะไปด้วย”
“...”
“ช่วยไม่ได้นะครับ” รู้สึกได้ถึงใบหน้าของใครอีกคนที่กำลังถูอยู่กับไหล่เขาพร้อมกับวงแขนที่กระชับกอดย้ำเข้าไปอีก “ผมเป็นเด็กเอาแต่ใจก็เพราะคุณนั่นแหละ”
ที่คิมจงอินงี่เง่าแบบนี้ก็เพราะโอเซฮุนเหมือนกัน
“ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องชานยอลล่ะก็ผมดีใจนะ” ผู้ชายที่ได้แต่หันหลังให้คงไม่รู้ว่าตอนนี้เซฮุนกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เขาไม่ได้กังวลว่าจงอินจะเข้าใจผิด กลับกันแล้วมันดีเสียอีกที่ทำให้เขาได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกยังไงภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยแบบนี้ “ผมคิดว่าคุณรู้ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณกำลังคิด”
“นายรู้หรือไงว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่” หมอนตรงหัวเตียงคือสิ่งเดียวที่คิมจงอินมองเห็นในตอนนี้ ในหัวมีคำพูดมากมายตีกันอยู่เต็มไปหมดว่าควรทำยังไงระหว่างพูดเสียงแข็งทำเหมือนไม่รับรู้ต่อไปหรือว่าหันกลับไปกอดตัวปัญหาที่ทำให้เขาหงุดหงิดไว้แน่น ๆ ดี?
“คุณอยากให้ผมเดาไหมครับ”
“ถ้าไม่รีบไปทำแผลให้ใครฉันก็ว่างพอที่จะนั่งฟัง”
“งั้น...” จงอินถูกอีกคนจับให้หันกลับมา ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นราวกับว่าจะให้แววตาคู่นี้พูดแทนความในใจทุกอย่าง ตลอดเวลาการใช้ชีวิตคิมจงอินไม่เคยสนใจว่าการเห็นเงาตัวเองอยู่ในแววตาของคนสำคัญมันเป็นยังไง
และมันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘รู้สึกดี’
“คุณรู้ว่าผมไม่ได้มองชานยอลแบบนี้”
“...”
“ผมมีแค่คุณนะ...” ประโยคนี้แผ่วลงพร้อมกับมือที่ค่อย ๆ เลื่อนไปกุมกับมืออีกคนที่ค้ำผืนเตียงเอาไว้ ความอดทนของคิมจงอินก็ไม่ได้สูงไปกว่าใครเลยและตอนนี้เขาคงทนใจร้ายกับคนตรงหน้าต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เลิกพูดสักทีเถอะ”
เซฮุนค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงเมื่อคนเจ้าอารมณ์เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาทั้งคู่แตะกัน มันแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในวินาทีต่อมาเมื่อแขนแกร่งสอดผ่านเอวคอดเพื่อรั้งร่างอีกฝ่ายเข้าไปแนบชิด
รสจูบหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไปตั้งแต่หอมหวานแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนแล้วแต่อีกฝ่ายจะชักนำ แขนทั้งสองข้างตวัดโอบรอบคออีกคนเพื่อยึดเป็นหลักทั้งที่ยังแลกจูบกันอยู่ไม่ห่าง ไม่เคยคิดว่าจะเสียเซฮุนให้ใครไปจนกระทั่งวันนี้...สำหรับคนที่ไม่เคยจริงจังกับใครมันเป็นความรู้สึกที่จินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ
ทั้งคู่ผละริมฝีปากออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ระยะห่างที่มีต่อกันนั้นน้อยนิดเพียงช่วงหายใจ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามริมฝีปากบางอย่างหวงแหนก่อนจะเชยคางมนขึ้นมาสบตากัน
“นายพูดเองนะว่าจะไม่ไปไหน...”
“ครับ...”
“นายพูดเองนะว่าจะตามฉันไปทุกที่” เด็กหนุ่มพยักหน้าทั้งที่ยังสบตากับอีกคนอยู่ไม่ห่าง จงอินกดริมฝีปากย้ำลงไปอีกครั้งแล้วผละออกมาจ้องดวงหน้าขาว
“ฉันจำคำพูดของนายได้ทุกคำ เพราะฉะนั้นห้ามผิดสัญญาเด็ดขาด...เข้าใจไหมโอเซฮุน?”
TBC
แหวะ อ้วกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
#ซอมบี้เป็นฟิคตลก #ซอมบี้เป็นฟิคเลี่ยนแดก #ไม่มีค้งไม่มีคัทอะไรทั้งนั้นแหละ
ความคิดเห็น