คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #62 : Chapter 58 :: Shock
Chapter 58
Shock
“นั่งก่อน”
แบคฮยอนนั่งลงบนโขดหินตรงทางเดินลงไปแม่น้ำตามที่ลู่หานบอก เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ตรงหน้าเขาเลยสักนิดเดียว ภาพตอนปาร์คชานยอลกำลังโก่งคออาเจียนกับคำพูดแต่ละประโยคนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน ต้องขอบคุณลู่หานจริง ๆ ที่ช่วยเขาออกมาจากตรงนั้น
เมื่อกี้กำลังจะเดินไปหาไอ้จงอินแต่เห็นแบคฮยอนกับชานยอลยืนคุยกันด้วยสีหน้าไปในทางกระอักกระอ่วนเต็มทีก็เลยลองตะโกนเรียกดู แล้วมันก็ใช่อย่างที่คิด ลู่หานก็ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ป่ะครับ ถึงจะไม่ใช่คนขี้สังเกตอะไรขนาดนั้นแต่การแสดงออกของทั้งคู่มันชัดเจนมากว่าผิดปกติ ตั้งแต่วันนั้นที่มาทำความสะอาดบ้านแล้วได้มีโอกาสคุยกับปาร์คชานยอลนั่นแหละถึงได้รู้ว่าเรื่องระหว่างหมอนั่นกับแบคฮยอนมันไม่ใช่อย่างที่เขาเคยคิดเอาไว้
แบคฮยอนยังคงเงียบ ประโยคล่าสุดที่ออกจากปากคนตัวเล็กคือ ‘เปล่า ไม่มีอะไร’ ซ้ำอยู่อย่างนั้นราว ๆ สามรอบเห็นจะได้ จะพูดอีกครั้งว่าลู่หานไม่ได้โง่ ก็รู้ว่าที่ตอบแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เขาเสือก แต่จะให้เดินหนีไปแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันก็ยังไงอยู่ป่ะวะ
“เตี้ยหมาตืด”
“...”
“เตี้ย”
“...”
“เฮ้ย ไม่เอาแบบนี้ดิ ไหนบอกว่าคุยกันได้ทุกเรื่องแล้วไง” ตั้งแต่วันที่เกือบตายในห้างสรรพสินค้ายอมรับว่าสนิทกับแบคฮยอนมากขึ้นหลังจากห่างเหินกันมานานตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ถึงจะทำให้มินซอกนอยด์บ้างแต่เขาก็อธิบายกลับไปทุกครั้งว่าก็แค่พี่น้องกัน
“บางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอกลู่หาน” แบคฮยอนพูดเสียงเรียบทั้งที่ยังมองเหม่อไปยังเบื้องหน้า กับเรื่องปาร์คชานยอลเขายังไม่อยากเก็บไว้ในใจเลยประสาอะไรจะให้ระบายมันออกมาเพื่อตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง ลู่หานถอนหายใจแล้วนั่งลงโขดหินชั้นสูงกว่าจุดที่แบคฮยอนนั่งอยู่เล็กน้อย
“ถ้าคิดว่ามันไม่จำเป็นก็ระบายออกมาด้วยวิธีอื่นแทนดิ” สิ้นสุดประโยคของคนข้าง ๆ แบคฮยอนก็ต้องขมวดคิ้วพลางลูบแก้มตัวเองที่ถูกปาหิมะใส่ หันไปหาตัวต้นเหตุแล้วก็เห็นลู่หานกำลังหัวเราะอยู่
“ตลกมากเหรอ”
“ใช่ แต่ถ้านายยิ้มมันจะตลกกว่านี้”
“มีธุระไม่ใช่หรือไง?” ประโยคนี้ทำให้คนหวังดีหุบยิ้มลง ลู่หานเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วผลักหัวคนตัวเล็กไปทีนึง
“เอะอะไล่นะครับ”
“ไม่เคยรู้สึกอยากอยู่คนเดียวเหรอ?”
“เคย แต่ไม่ใช่ตอนที่ต้องการคนเข้าใจสักคน”
“คิดไปเองแล้วมั้ง ฉันไม่ได้ต้องการใครทั้งนั้น”
“เอาจริง?”
“อือ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อความพยายามของลู่หานไม่เป็นผล นั่งซื่อบื้อตรงนั้นอยู่ราว ๆ ครึ่งนาทีก็หยัดตัวลุกขึ้นทั้งที่ยังมองอีกคนอยู่ไม่ไปไหน ถามว่าเป็นห่วงมากไหมมันก็เป็นห่วงแต่ในเมื่อแบคฮยอนตัดสินใจแล้วเขาก็คงทำอะไรไม่ได้
“ถ้ามีอะไรก็ไปตามข้างล่างนะเคเปล่า?”
“อือ”
จบ ลู่หานคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปที่ทำได้ในตอนนี้ก็แค่พยักหน้าแล้วเดินลงมาข้างล่างทั้งที่ยังคาใจอยู่ จะว่าเสือกก็ไม่เถียงเวลาอยากรู้เรื่องอะไรสักอย่างแต่ถูกตอกกลับมาแบบนี้ก็อึดอัดน่าดู หยุดยืนกับที่แล้วหันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้ายและแบคฮยอนก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นที่เดิม ได้แต่บอกตัวเองว่าเด็กนั่นโตขึ้นเยอะมากกว่าเมื่อก่อนแล้วคงคิดอะไรเองได้และต่อให้เขาฝืนอยู่ต่อก็ใช่ว่าแบคฮยอนจะปริปากพูดออกมา
เบื้องหน้าคือแม่น้ำ ทางด้านขวาคือสมาคมแม่บ้านที่กำลังช่วยกันซักผ้าตากผ้า หันไปทางด้านข้างก็เห็นคนรักของเขากำลังเดินลงมาพร้อมกับตะกร้าผ้า ลู่หานยิ้มกว้างทักทายแต่คนตัวเล็กกลับสบตากันแค่ครู่เดียวแล้วก็เดินไปหาครูสาวเสียอย่างนั้น เหงือกแห้งคืออาการเดียวที่รู้สึกได้ในตอนนี้ รอยยิ้มค่อย ๆ หุบลงทั้งที่ยังมองตามหลังอีกคนอยู่ไม่ห่าง ก็เข้าใจว่ามินซอกอายถ้าจะทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าคนอื่น แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปฟัดแก้มกอดจูบเหมือนตอนอยู่สองต่อสองป่ะวะ แค่หันมายิ้มให้กันหน่อยไม่ได้หรือไงกัน ลู่หานถอนหายใจเซ็ง ๆ ก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่กำลังช่วยกันทำอะไรบางอย่างอยู่
“นั่นไง มาพอดีเลย” เสียงของจงแดทำให้คนมาใหม่ชี้หน้าตัวเองงง ๆ จงอินยิ้มขำแล้วหันกลับไปเลื่อยไม้อีกครั้ง ส่วนเซฮุนกำลังช่วยจับท่อนไม้ให้อี้ฟานตอกตะปูเพื่อสร้างฐาน
“ตายยากจริง ๆ”
“พากันสุมหัวนินทากูอยู่สินะ เผลอเป็นไม่ได้”
“เปล่า จงแดมันถามว่ามึงหายหัวไปไหนกูเลยบอกว่ามึงน่าจะหาปลวกแดกอยู่ข้างบ้าน”
“ไม่ใช่ปลวกกูก็แดก” ลู่หานแค่นยิ้มแล้วกลอกตามองไปรอบ ๆ “สร้างวิมานอะไรกันอยู่ ให้ช่วยเปล่า?”
“มี” จงอินหันไปทางเจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังใช้ตลับเมตรวัดความยาวของท่อนไม้ จงแดเตะเลื่อยที่วางอยู่ข้างตัวมาตรงหน้าผู้มาใหม่แล้วยักคิ้ว
“กำลังต้องการความช่วยเหลือพอดีเลย”
“แล้วนี่คืออะไรครับท่าน กระต๊อบน้อยกลอยใจเหรอ” ขมวดคิ้วมองซุ้มเล็ก ๆ ที่อี้ฟานกับเซฮุนนั่งตอกตะปูอยู่ข้างบนนั้นก่อนจะก้มลงหยิบเลื่อยขึ้นมาแล้วเดินไปเอาท่อนไม้ที่จงแดมาร์คไว้ด้วยปากกาเมจิกว่าควรเลื่อยตรงไหนก่อนจะหาที่เหมาะสมพอจะเลื่อยไม้ได้
“ห้องอาบน้ำอุ่นน่ะ” อี้ฟานเป็นคนตอบคำถาม พอได้ยินแบบนั้นบลู่หานก็มองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
“ห้องอาบน้ำ”
“ครับ การอาบน้ำในฤดูหนาวถ้าไม่มีน้ำอุ่นคงแย่ อย่างเรา ๆ ไม่อาบกันเป็นอาทิตย์ก็ยังพอทน แต่ที่นี่มีผู้หญิงพวกเธอควรได้อาบน้ำสักสองวันครั้งก็ยังดี” อี้ฟานเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “ถึงที่นี่จะอยู่ใกล้บ้านพักแต่ถ้าจะให้ตักน้ำใส่ถังไปเพื่อต้มอาบคงกินเวลาไปนานพอสมควร ไหนจะเดินขึ้นเนินตรงนั้นเกิดเสียหลักลื่นหิมะตกลงมาได้หัวร้างข้างแตกกันพอดี ถ้ายอมเหนื่อยหน่อยผมว่าการสร้างห้องอาบน้ำที่นี่มันคงเป็นทางเลือกที่ดีเลยนะ” อธิบายม้วนเดียวจบชนิดว่าคนมาใหม่ไม่ต้องปริปากถามอะไรเพิ่มเติมอีก ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นแล้วกลอกตามองหน้าเพื่อนที่กำลังยื่นท่อนไม้ให้เซฮุนรับไปตอกตะปู
“เรามีถังน้ำมัน” จงอินชี้ไปยังถังเหล็กสองร้อยลิตรสีแดงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก “จะตักอาบหรือจะนั่งแช่ในถังก็ได้”
“ยังไงครับ เหตุใดมึงถึงไม่ใช้ถังธรรมดาแล้วต้มน้ำผสมเข้าไป”
“มึงดูนั่น” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังฐานข้างล่างห้องอาบน้ำที่เป็นช่องว่างสูงถึงช่วงเอว “ก่อไฟข้างล่างแล้วตั้งถังน้ำมันไว้ข้างบนไม่ต้องเคลื่อนย้ายให้มันยุ่งยาก แล้วถ้าอยากแช่น้ำอุ่นก็ผ่อนไฟลงเอาอิฐบล็อกไปวางรองไว้เหยียบในถัง ถ้ายังร้อนอยู่ก็พับผ้าทบกันแล้ววางทับลงไปอีกที เดี๋ยวอี้ฟานจะทำแผ่นไม้สำหรับเอาไว้นั่งในถังด้วย”
“อลังเว่อ ๆ จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรวะแค่อาบน้ำถูสบู่แล้วล้างออกก็พอป่ะ นั่นคือการอาบน้ำที่แท้จริงไม่ใช่มานั่งแช่นอนแช่น้ำในอ่างจากุชชี่ขึ้นสนิมแบบนั้นทั้งที่โลกมันเป็นแบบเนี้ย?” ลู่หานไม่เข้าใจครับ เวิ่นเว้อไปเพื่อใคร ข้างนอกพวกแดกตับก็เยอะอย่างกับมดแตกรังยังจะเอาเวลาอันมีค่ามาสร้างอ่างอาบน้ำอีก
“ผมเคยได้ยินมาว่าการแช่น้ำอุ่นจะช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับง่ายขึ้น คิดว่าตอนนี้คงมีคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่” ทุกคนเข้าใจประโยคหลังของจงแดเป็นอย่างดีหลังจากที่พวกเขาเพิ่งคุยเรื่องปาร์คชานยอลจบไป มันไม่ใช่การนินทาแต่จะไม่มีใครพูดถึงเลยถ้าเกิดว่าคนนอกอย่างจงแดไม่ถามถึงผู้ชายคนนั้นที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เหมือนกับคนอื่น ๆ
พอมีคนถามประโยคปลายเปิดคนที่อยู่ร่วมห้องกับชานยอลอย่างอี้ฟานก็เลยเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ถึงเรื่องอาการแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้ายหรือเรื่องที่เจ้าตัวมักจะหลีกเลี่ยงการสนทนากับคนรอบข้าง
“โอเค ทำก็ทำ” สุดท้ายลู่หานก็ยอมเออออเพราะไม่อยากเป็นคนขวางโลก เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระแล้วเริ่มเลื่อยท่อนไม้ ตอนนี้ทุกคนต่างจดจ้องอยู่กับหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้ห้องอาบน้ำเสร็จก่อนช่วงเย็น เวลาผ่านไปพอสมควรทางกลุ่มแม่บ้านก็ขึ้นไปก่อนเพื่อเตรียมทำอาหาร
“พรุ่งนี้ผมกับจงอินจะออกไปหาธนูมาล่าสัตว์ คุณจะไปด้วยกันไหมลู่หาน?” คนถูกถามใช้ความคิดอยู่ครู่เดียวแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
“เดี๋ยว ล่าสัตว์? โว้ว...คุณพ่อพระอนุญาตแล้วเหรอ? เซอร์พร๊ายยยยซ์~” ปรบมือหนึ่งครั้งแล้วอ้าแขนออกขณะมองไปยังเจ้าบ้าน
“ไม่ใช่สัตว์ที่นี่ เด็ก ๆ ที่มาจากโรงเรียนพอจะใช้ธนูเป็น การล่าสัตว์ด้วยวิธีนั้นคงดีกว่าใช้ปืนหรือปามีดเป็นไหน ๆ” ประโยคหลังทำให้เขารู้สึกว่าอี้ฟานพูดจากวนตีนขึ้นมายังไงก็ไม่รู้
“พวกไอ้เทาอ่ะนะ?” ร่างสูงพยักหน้าเป็นคำตอบ “จัดให้ จะไปตอนไหนก็เรียกแล้วกัน” พอแบ่งหน้าที่ในวันถัดไปเรียบร้อยแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ มีเพียงแค่เสียงค้อนทุบตะปูกับเสียงเลื่อยไม้เท่านั้นที่พวกเขาได้ยินในตอนนี้ “เมื่อกี้กูเห็นแบคฮยอนยืนไฝว้กับชานยอลว่ะ...” ลู่หานกระซิบกระซาบพอให้ได้ยินกันแค่สองคน จงอินนิ่งไปแล้วคิดตามขณะที่มือข้างขวายังเลื่อยไม้อยู่
“พูดต่อดิ”
“มึงรู้ว่ากูกำลังพูดถึงอะไร...”
“เออ แล้วไง”
“แล้วไงเหี้ยไรล่ะครับ? มึงก็รู้ว่ามันกำลังอาการหนัก ทุกคนรู้ ทุกคนดูออกว่าตอนนี้ชานยอลมันทำตัวประหลาด”
“ไม่ใช่ประหลาด แค่แปลกไป”
“เออ มันก็เหมือน ๆ กันป่ะวะ...” ลู่หานชำเลืองมองคนอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังแอบฟังอยู่ “กูสังเกตมาสักระยะแล้วว่าชานยอลมันแปลก ๆ บางทีมันอาจจะจิตตกขั้นรุนแรงก็ได้”
“อ่าฮะ”
“วันนึงมันพูดกับคนอื่นกี่คำ เอาแต่หมกตัวอยู่คนเดียวไม่ออกมาสุงสิงกับคนอื่น แบบนี้จะให้คิดอะไรได้อีกวะ?”
“ถ้ากูถูกกดดันจนต้องระเห็จหนีออกไปเสี่ยงตายข้างนอกตามลำพังแล้ววันดีคืนดีเสือกต้องกลับมาอยู่กับคนกวนส้นตีนอย่างมึงอีกครั้งกูก็คงเป็นแบบมันเหมือนกันว่ะ”
“ไม่ดิ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทะเลาะกับกูหรอก เออ...ถึงจะเกี่ยวมันก็แค่ส่วนนึง เพราะถ้าเป็นเรื่องกูร้อยเปอร์เซ็นต์มันต้องไม่ลามไปถึงแบคฮยอนดิ” ที่ลู่หานพูดก็มีเหตุผล อย่าว่าแต่ไอ้ห่านี่เลยเขากับคนอื่น ๆ ก็แปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของชานยอลเหมือนกันแต่ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเพราะคิดว่าหมอนั่นโตแล้วคงคิดอะไรเองได้
“มึงอยากจะสื่ออะไร”
“กูจะสื่อว่าเราควรทำอะไรสักอย่าง ตอนนี้กูไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไงแต่อันดับแรกคือต้องแยกแบคฮยอนออกมาจากมันก่อน” ลู่หานหยุดมือแล้วหันหน้าเข้าหาเพื่อน “จิตตกคนเดียวก็ดีกว่าจิตตกหลายคนป่ะวะ?”
“มึงดูตื่นเต้นกับเรื่องนี้เป็นพิเศษนะ” จงอินมองหน้าเพื่อนซี้ราวกับจะจับผิดอะไรบางอย่าง ลู่หานถอนหายใจพรืดแล้วเอาเท้ายันไม้ที่กำลังจะขาดครึ่งให้หักเป็นสองท่อน
“ทีมึงยังพาแบคฮยอนไปนั่งดูดวงอาทิตย์ขึ้นเลย”
“แล้ว”
“กูก็เป็นห่วงแบคฮยอนเหมือนมึงนั่นแหละ”
“แล้วสองคนนั้นบวกกันเรื่องอะไร” คำถามนี้ทำเอาคนขี้เสือกสตั้นไปสามวิ ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็เป็นลู่หานที่กลอกตาไปทางอื่น
“ไม่รู้ว่ะ”
“แต่มึงพูด”
“ไม่ไง กูก็ไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นคุยไรกันแต่ภาพมันฟ้องเว้ย”
“อุปทานเดี่ยวนะมึงอ่ะ” จงอินส่ายหน้าระอา ลู่หานเริ่มงิดขึ้นมาหน่อย ๆ เมื่อเพื่อนซี้ทำท่าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด “ขอหนึ่งคำถาม”
“ไร” เซ็งครับ รู้งี้ไม่น่าเล่าให้แม่งฟังเลย
“มึงยังชอบแบคฮยอนอยู่หรือไง?” เป็นอีกครั้งที่ลู่หานรู้สึกเหมือนถูกเอาค้อนทุบหัวจนสตั้นไปหลายวิแต่สุดท้ายเขาก็หลุดหัวเราะออกมาจนคนรอบข้างหันมามอง
“พูดห่าไรวะ มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็แค่ถามดู เรื่องเคยเป็นมายังไงก็รู้ ๆ กันอยู่ พอเห็นมึงดีดดิ้นแบบนี้ก็เลยอดคิดไม่ได้” จงอินพูดในท่าทีสบาย ๆ แต่คนถูกถามกลับรู้สึกแปลก ๆ แม้ว่าริมฝีปากยังยิ้มแต่สมองกำลังคิดตามประโยคเมื่อครู่
“กูก็แค่เป็นห่วง มันไม่ใช่แค่แบคฮยอนคนเดียวเพราะถ้ามึงตกอยู่ในสภาพแบบนั้นกูก็ต้องพูดแบบนี้เหมือนกันเว้ย”
“อ๋อเหรอ”
“เออช่างแม่งเหอะ” ลู่หานโบกมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกให้ปิดบทสนทนานี้ซะ เชื่อว่าคนทั้งโลกนี้ก็คงเป็นเหมือนกันนั่นแหละ ที่ว่าจะไม่ยอมปลงตกต่อเรื่องนั้นง่าย ๆ จนกว่าเรื่องจะคลี่คลาย หรือเอาง่าย ๆ ว่าเสือกจบแล้ว
ว่าแต่ตอนนี้เป็นยังไงบ้างวะคงไม่ได้นั่งทำหน้าหงิกอยู่ตรงทางเดินลงมาหรอกนะ เด็กนั่นก็น่าโมโหจริง ๆ ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงได้ชอบดื้อกับเขานัก เรื่องนี้ต้องโทษแบคโฮที่โอ๋น้องจนเกินไปแบคฮยอนถึงได้เอาแต่ใจแบบนี้ เพราะไม่เคยมีพี่มีน้องลู่หานเลยไม่รู้ว่าคนอื่นเขาดูแลกันด้วยวิธีแบบไหนถึงจะเรียกว่าปลอบประโลมได้ ทุกคนหันไปมองลู่หานที่จู่ ๆ ก็โยนเลื่อยลงบนบนหิมะก่อนจะปัดเศษฝุ่นไม้ออกจากกางเกงยีนส์แล้วหันมาโบกมือลา นั่นสร้างความงุนงงให้กับคนที่เหลือเป็นอย่างมาก
“ไรมึง”
“กูไปก่อนนะ”
“เลื่อยไม้ได้ท่อนเดียวจะไสหัวไปไหนครับสหาย ตื่นก็สายเสือกไม่ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ เดี๋ยวกูฟาดด้วยสันเลื่อย” เห็นท่าง้างมือแล้วลู่หานก็หัวเราะพร้อมกับโยกหัวกวนตีน
“ก็นี่ไงเดี๋ยวกูไปหาธนู พวกมึงก็สร้างจากุชชี่เทียมไปดิ ต้องใช้กี่คันบอกมา”
“เตี้ย ๆ อย่างมึงมีปัญญาหอบมาได้กี่คันก็เอามาเถอะ” จงอินไม่คิดจะห้าม เพราะรู้ดีว่าถ้าลู่หานคิดจะทำอะไรสักอย่างแล้วก็ต้องลงมือเดี๋ยวนั้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องตามใจมันเหมือนตอนไปหาอาวุธคราวนั้นด้วย “ถ้าถูกกัดมากูจะเอาเลื่อยบั่นคอมึง”
“ตรงนี้เลยนะ” คนทะเล้นชี้ซอกคอตัวเองทั้งแล้วเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ จงอินถอนหายใจแล้วหันไปทำหน้ามึนใส่คนที่เหลือก่อนจะหันไปสนใจกับงานของตัวเองอีกครั้ง
ก๊อก ๆ
คนที่นั่งจมอยู่กับความคิดบนเตียงหันไปมองประตูห้อง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เคาะซ้ำอีกครั้งจนต้องลุกออกไปเปิดประตูให้ แบคฮยอนขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่กำลังยืนยิ้มแป้นอยู่ ลู่หานไม่พูดอะไรสักคำแต่กลับจูงมือเขาออกมาจากห้องเสียดื้อ ๆ
“จะพาฉันไปไหน?”
“ฝึกนอกสถานที่” ลู่หานคว้าไม้เบสบอลที่วางพิงอยู่ข้างโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเปิดประตูบ้านออกไป แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังคนตรงหน้าแล้วก็ยอมขึ้นรถไปง่าย ๆ ลู่หานอ้อมไปที่นั่งข้างคนขับ โยนไม้เบสบอลไว้เบาะหลังก่อนจะสตาร์ทรถ
“ไปกันแค่นี้เหรอ?”
“ไปน้อยก็กังวลน้อย ฉันไม่พานายไปตายหรอกน่า” ยกยิ้มมุมปากแล้วถอยรถออก แบคฮยอนไม่พูดอะไรอีก ใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันถ้าจะออกไปทำอะไรสักอย่างแทนที่จะอยู่ในห้องเงียบ ๆ แล้วให้เรื่องของปาร์คชานยอลเล่นงาน
ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกไปคนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก็ปิดผ้าม่านลงพลางหันหลังพิงกับผนัง เสียงถอนหายใจของตัวเองเป็นสิ่งเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ ภาพที่เห็นทำให้คิมมินซอกต้องถกเถียงกับความคิดในหัวอีกครั้ง มันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเอาแต่โมโหตัวเองกับความรู้สึกหึงหวงตอนเห็นลู่หานอยู่กับแบคฮยอนสองต่อสอง
ไม่ได้เกลียดแบคฮยอนแต่เขาก็แค่ไม่ชอบเวลาเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่เคยมีความทรงจำแย่ ๆ เมื่อตอนนั้นคิมมินซอกก็คงไม่ต้องมารู้สึกแบบนี้ ถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึกมีสองอย่างที่ทำให้คนเราลืมได้ยากนั่นก็คือตอนที่มีความสุขมากที่สุดกับตอนที่เจ็บปวดมากที่สุด
ไม่สิ...ไม่มีเรื่องไหนที่ลืมได้หรอก มันก็แค่เลือนรางจนรู้สึกเจ็บปวดกับมันน้อยลงเท่านั้น และเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่ผู้ชายคนนั้นแสดงให้เห็นว่าวินาทีนั้นลู่หานมีแค่คิมมินซอกคนเดียวมันก็ทำให้เขาเชื่อใจจนยอมทิ้งเรื่องความทรงจำแย่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไว้ข้างหลังและจะไม่ยกมันขึ้นมาพูดอีก
คิดว่าคนเกือบครึ่งโลกก็คงรู้สึกไม่ต่างกันถ้าต้องเห็นคนรักไปกับคนที่เคยชอบ ถึงปากจะย้ำบอกอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรและคิมมินซอกก็พยักหน้ารับทุกครั้งถึงมันจะเป็นการเออออแบบขอไปทีก็ตาม แต่ที่ทำไปก็เพราะอยากให้ลู่หานสบายใจจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีกก็เท่านั้น
แต่ทำไมถึงไม่ยอมถอยกันคนละก้าว? คิมมินซอกจะไม่คิดมากเรื่องนี้ก็ได้ถ้าลู่หานไม่ไปใกล้ชิดกับบยอนแบคฮยอนมากเกินกว่าคนอื่น ปากก็บอกว่ารักบอกว่าแคร์ แต่เคยนึกถึงความรู้สึกเขาบ้างไหมว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันทำให้รู้สึกแย่แค่ไหน...
“เป็นไงบ้างครับ?” เสียงของเซฮุนมาก่อนที่เขาจะปิดประตูห้องเสียอีก จงอินมองไปยังคนที่นอนคว่ำเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนเตียงก่อนจะยีผมที่เปียกลู่แล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ
“สบายตัวดี” เซฮุนยิ้มกับคำตอบเมื่อห้องอาบน้ำอุ่นที่พวกเขาช่วยกันสร้างผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
“อาบเร็วแบบนี้คุณคงไม่ได้ลองแช่จากุชชี่เทียมสินะครับ”
“แหงล่ะ พอดีไม่ได้อารมณ์สุนทรีย์ขนาดนั้น เรื่องนั่งแช่น้ำอุ่นให้เป็นเรื่องของผู้หญิงเถอะ” เซฮุนหัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่าขึ้นมาช่วยเช็ดผมให้คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ จงอินมองเด็กหน้าตายที่กำลังอมยิ้มแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบจมูกเบา ๆ
“ยิ้มอะไรนักหนา”
“เห็นหน้าคุณแล้วมันก็ยิ้มออกมาเองครับ”
“หลงเสน่ห์ฉันหัวปักหัวปำแล้วล่ะสิ”
“เพราะคุณปรือตาจนเหมือนหมีเมาง่วงต่างหาก” เซฮุนหัวเราะ “พอผมแห้งแล้วนอนกลางวันสักงีบไหมครับ วันนี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว”
“จะไม่นอนด้วยกันหรือไง” จับมืออีกคนที่กำลังช่วยเช็ดผมเอาไว้แล้วสบตากัน จงอินหลุบหลุบสายตาลงมองสมุดเล่มบางที่กางอยู่บนเตียงแล้วเซฮุนก็หยิบมันขึ้นมาให้ดู
“ผมว่าจะคำนวณเสบียงที่เหลืออีกสักหน่อย” เห็นรายชื่อเสบียงที่หามาได้พร้อมกับตัวเลขกำกับข้างหลังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“เราจะได้รู้ว่าวันนี้กินไปเท่าไหร่ ตอนไหนถึงควรออกไปหาเสบียงมาเพิ่มน่ะครับ” เซฮุนขยับปากนับจำนวนอาหารกระป๋องแล้วขีดฆ่าตัวเลขข้างหลังเมนูที่ใช้ทำอาหารเมื่อตอนเที่ยงไปในขณะที่คนข้าง ๆ ยังคงจ้องเขาไม่ละสายตา จงอินทำหน้านิ่งซึ่งขัดกับแววตาที่มองมา
“เมื่อกี้ฉันเห็นครูสุดสวยตัดผมให้ไอ้เทา พรุ่งนี้ไปขอให้เธอตัดให้บ้างสิ” พูดพร้อมกับสางผมข้างหน้าที่ยาวเกินปลายจมูกจนต้องปัดไปข้าง ๆ ให้เด็กหน้าตาย เซฮุนพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเมื่อถูกจูบหน้าผาก “บอกเธอว่าไม่ต้องตัดสั้นมากล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ” มองตามคนที่เลื่อนไปนั่งพิงหัวเตียงแล้วก็ลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ เมื่อมือหนาตบที่นอนปุ ๆ เป็นเชิงบอกให้ขยับมานอนด้วยกัน เซฮุนเอนตัวนอนพิงอกแกร่งก่อนจะช่วยกันเตะผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงช่วงเอว “กลัวผมหล่อกว่าเหรอ”
“พูดเป็นเล่นไป” เซฮุนหัวเราะเมื่อถูกดีดหน้าผากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมอนมีชีวิตที่เขาพิงอยู่ “ฉันแค่ชอบผมทรงนี้ของนายก็เท่านั้นแหละ”
“เหรอครับ”
“ยังจะมาเหรอครับอีก?”
“ถ้าคุณบอกว่าชอบผมก็คงไม่มีประโยคไหนหลุดออกมาจากปากหลังจากได้ยินคำนั้นแล้วล่ะครับ” อีกแล้วนะที่โอเซฮุนกล้าเล่นแบบนี้กับเขา จงอินมองหัวอีกคนที่พิงอยู่กับแผงอกเขาแล้วก็ตบหน้าผากไปเบา ๆ ทีหนึ่ง
“ฝันไปเถอะ”
“ฝันก็ฝันครับ...คร่อก”
“กวนตีนเหรอโอเซฮุน”
“ถ้าตอบว่ากวนใจคุณจะขำไหมครับ”
“ฮะฮะฮ่า” เสียงหัวเราะประชดประชันทำให้คนเพิ่งเล่นมุขยิ้มตาหยี เซฮุนพลิกตัวหันข้างแล้วนอนก่ายกอดร่างที่มีกลิ่นสบู่อ่อน ๆ “อะไรลูกลิง”
“หนาวครับ”
“หนาวก็ห่มผ้าสิ” พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัวไหล่ให้ “แล้วก็ไม่ต้องเล่นมุขว่าห่มฉันอุ่นแล้วด้วยนะ เพราะไม่ขำ”
“ว้า เสียดายจัง”
“เงียบไปเลย” กระชับกอดลูกลิงตัวโตพอ ๆ กับเขาแล้วก็เข้าสู่ความเงียบ มันก็นานแล้วนะที่เด็กนี่จับทางได้ว่าควรทำอะไรเขาถึงจะกริบจนพูดไม่ออก
“จงอินครับ”
“ว่า”
“นี่ก็บ่ายสามแล้ว แต่ลู่หานกับแบคฮยอนยังไม่กลับมาเลย” เห็นอึนจีบอกว่าสองคนนั้นออกไปข้างนอกด้วยกันก็เลยผูกเรื่องได้ว่าคนที่ออกไปหาธนูกับลู่หานคือใคร
จงอินนิ่งไปเป็นเพราะไม่รู้จะพูดยังไงกับเรื่องนี้ คิดว่าลู่หานเป็นคนอ่านนิสัยได้ง่ายเพราะคนอย่างมันไม่มีชั้นเชิงทางความคิดเหมือนกับคนอื่น คิดอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้น มันเป็นข้อดีที่แสดงออกถึงความจริงใจแต่ข้อเสียคือมันอาจทำให้เกิดความบาดหมางได้ และการที่จู่ ๆ ลู่หานกลับมาสนิทกับแบคฮยอนมันทำให้อดคิดไม่ได้จริง ๆ คิมจงอินไม่ชอบเซนส์ตัวเองที่คิดไปในแง่ร้ายทั้งที่ลู่หานมันแสดงออกให้เห็นชัดเจนขนาดนั้นว่ามันรักและแคร์เด็กดาดฟ้ามากแค่ไหน
แล้วตอนนี้ไอ้หอกนั่นมันกำลังคิดอะไรอยู่วะ?
“ถึงแบคฮยอนจะทำอะไรได้มากกว่าเมื่อก่อนแต่ผมก็เป็นห่วงเขาอยู่ดี มันอาจจะฟังดูแย่แต่ผมคิดว่าลู่หานไม่ควรพาแบคฮยอนออกไปกันสองคน เรื่องออกไปข้างนอกเราควรไปกันหลาย ๆ คนเพื่อช่วยระวังหน้าระวังหลังไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเกิดแบคฮยอนถูกกัดขึ้นมาผมว่ามันไม่คุ้มเลยสักนิดเดียว”
“ฉันเข้าใจ”
“เมื่อกี้ผมเห็นคุณชานยอลนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างบ้าน” เซฮุนเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งเมื่อจงอินเอาสมุดที่เขาลิสต์รายชื่ออาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง “พอเขาเดินเข้าไปในบ้านผมก็เลยตามไปดู ตรงนั้นมีก้นบุหรี่ที่เพิ่งจุดสูบไปหลายตัวเลย”
“...”
“ผมเขี่ยกองหิมะทับก้นบุหรี่แต่สิ่งที่เห็นคือเศษก้นบุหรี่อีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างล่าง” ทั้งคู่เงียบไปชั่วอึดใจ “บุหรี่มันช่วยคลายเครียดได้จริง ๆ เหรอครับจงอิน?” มันอาจจะใช้ได้สำหรับคนบางคน แต่อย่างปาร์คชานยอลไม่น่าจะเรียกว่าสูบแก้เครียด “คุณคิดว่าเรื่องระหว่างชานยอลกับแบคฮยอนมันเป็นยังไงเหรอครับ” คำถามนี้เป็นคำถามเดียวที่อยู่ในหัวคิมจงอิน ร่างหนาขยับตัวเล็กน้อยขณะใช้ความคิด “ในความคิดผม ตอนอยู่โรงเรียนแบคฮยอนเคยพูดถึงเรื่องความรู้สึกที่มีต่อชานยอล และอะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้คิดว่าทั้งคู่เป็นมากกว่านั้น”
ถ้าในสายตาคนอื่นเมื่อก่อนปาร์คชานยอลคงเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับน้องเล็กที่เพิ่งเสียพี่ชายไป แต่ในสายตาคนที่มีความลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกันอย่างเขาแล้วมันก็อดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนั้น
“สิ่งที่ทำให้ฉันสงสัยมาตลอดคืออะไรที่ทำให้ปาร์คชานยอลเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรหมอนั่นเป็นคนเงียบก็จริงแต่ไม่ใช่คนที่เงียบจนแทบเป็นใบ้ ความกดดันของหมอนั่นมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” พอจะรู้ว่าความกดดันที่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้มันเป็นยังไง การที่ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดว่ายากแล้ว แต่การที่ต้องเป็นผู้นำ คอยคิด คอยดูแลคนที่อยู่ในกลุ่มนี่สิคือความกดดันที่ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้
“เรื่องนี้คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงเป็นแบคฮยอน”
“ใช่ เพราะเด็กนั่นเล่นเกาะติดชานยอลตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของทั้งคู่ แบคฮยอนก็ผูกติดกับหมอนั่นมากเกินไป”
“ที่สองคนนั้นแทบไม่มองหน้ากันเลย จะเป็นไปได้ไหมว่าแบคฮยอนยังโกรธที่ชานยอลหนีไป...แต่จะใช่เหรอ...” ประโยคหลังเบาลงอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ขัดแย้งกันอยู่ดีเพราะช่วงแรกที่ชานยอลกลับมาแบคฮยอนก็ถามถึงตลอด “หรือว่าชานยอลจะปฏิเสธแบคฮยอนครับ?”
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าฉันเป็นหมอนั่น เติบโตมาในครอบครัวที่ดีและกำลังจะแต่งงาน อีกทั้งยังต้องมาฆ่าคนรักด้วยมือตัวเองฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะตอบรับความรู้สึกแบคฮยอนได้ไหม”
“แบคฮยอนทางซ้าย!”
ตกใจกับเสียงตะโกนของคนที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้นัก แต่มันก็ทำให้บยอนแบคฮยอนไหวตัวจากผีดิบที่โผล่ออกมาจากหลังรถได้ทัน คนตัวเล็กมองตัวกินคนที่กำลังเข้าหาเขาทั้งสองทางแล้วก็ถอยออกมาตั้งหลักสามก้าวก่อนจะจัดการตัวที่พุ่งเข้ามาก่อน
แต่อย่างที่รู้ว่าไม้เบสบอลทำได้แค่ทำให้มันเสียหลัก ตะปูที่ตอกอยู่รอบด้ามจะสามารถฆ่ามันได้ก็ด้วยวิธีฟาดหัวมันซ้ำ ๆ จนสมองทะลักเท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีเวลามาทุบหัวศพเพราะรอบข้างยังมีพวกตัวกินคนที่กำลังทยอยเข้ามาเป็นระยะ แบคฮยอนชักมีดพกออกมากำไว้แน่นหลังจากทิ้งไม้เบสบอลคู่ใจไว้บนพื้น ลู่หานกำลังต่อสู้กับพวกผีดิบอยู่ทางด้านขวาแน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นคงปลีกตัวมาช่วยเขาไม่ได้
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!!!!!!”
แบคฮยอนผลักผีดิบให้เซถอยหลังไปชนกับรถยนต์ก่อนจะใช้มีดแทงกลางหน้าผากมันอย่างแรงแล้วชักมีดกลับในทันที คนตัวเล็กหันไปมองรอบข้างแล้วก้มลงเก็บไม้เบสบอลขึ้นมาถือไว้
“อย่าเหม่อดิ”
“รู้แล้วน่า” ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ลู่หานเอาแต่พูดประโยคนี้ แบคฮยอนเหวี่ยงไม้เบสบอลใส่ตัวกินคนจนตะปูฝังเข้าไปบนใบหน้าจนต้องถีบมันออกไปเพื่อชักมือกลับ
ลู่หานหัวเราะแล้ววิ่งเข้าไปบวกกับตัวกินคนที่วิ่งตรงมาหาเขา การตัดหัวถึงจะฆ่ามันไม่ตายแต่ก็ทำให้มันเข้ามาโจมตีเขาอีกไม่ได้ อย่างเก่งพวกสวะที่เหลือแต่หัวก็ทำได้แค่อ้าปาก กลอกตามองตามเขาอยู่บนพื้นเท่านั้น มันน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ช่วงนี้เจอแต่พวกนักวิ่งทีมชาติมากกว่าพวกเชื่องช้า แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหานักถ้าเกิดพวกมันไม่แห่มากันเป็นฝูง
“เบา ๆ ก็ได้มั้ง” ลู่หานยืนมองคนที่กำลังฟาดฟันกับตัวกินคนอย่างบ้าคลั่ง แบคฮยอนหอบหายใจแล้วเอาเท้าเขี่ย ๆ ดูศพที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ลุกขึ้นมาอีก
“เบา ๆ แล้วมันจะตายไหม”
“เก็บกดมาจากไหน”
คนถูกถามเบือนหน้าหนีก่อนที่เขาทั้งสองคนจะออกเดินทางต่อหลังจากจอดรถทิ้งไว้ปากทางแล้วเลือกที่จะเข้ามาจัดการกับพวกตัวกินคนซึ่งเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ เบื้องหน้าคือถนนสองเลนมีรถราจอดระเกะระกะอยู่หลายคัน คาดว่าใต้หิมะคงเต็มไปด้วยซากขยะและซากผีดิบที่นอนแข็งตัวอ้าปากพะงาบ ๆ อยู่ตามทางระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปหาร้านอุปกรณ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก
“จะหาว่าเสือกก็ได้นะ แต่ถ้ารักแล้วเศร้าจะทนไปทำไมวะ” แบคฮยอนชะงักอยู่ในที เขาหันไปมองคนที่กำลังสู้กับตัวกินคนอยู่แล้วก็พูดอะไรไม่ออก “อย่าทำหน้าแบบนั้น ฉันก็แค่ดูออก”
“...”
“ไม่ได้บังคับให้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับปาร์คชานยอล แต่ที่พูดจนปากเปียกปากแฉะนี่คือห่วงนะเว้ยเตี้ย”
“ขอบใจ”
“แต่จากที่เห็น นายก็ไม่ได้มีความสุขตอนอยู่กับหมอนั่น ทำไมไม่ถอยออกมาล่ะ”
“ฉันถอยนานแล้ว” นั่นไง...หลุดปากออกมาแล้วสินะ
“งั้นแสดงว่ามันมาตอแยนายเองอ่ะดิ”
“เปล่า ถ้าพูดถึงเรื่องเมื่อเช้าเราก็แค่บังเอิญเจอกัน” แบคฮยอนก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบองศาการโจมตีก่อนจะอ้อมไปข้างหลังตัวกินคนแล้วผลักมันจนล้มลงไป มือเล็กกดหัวมันให้จมลงกับหิมะและจัดการฟาดมันอย่างแรงด้วยไม้เบสบอลติดตะปูซ้ำ ๆ จนเลือดกับสมองทะลักออกมาเต็มพื้นหิมะขาวโพลน “จะเรียกว่าบังเอิญก็คงไม่ถูก บ้านก็อยู่หลังเดียวกัน เดินสวนกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“เย็นชาจริง ๆ เลย”
“อย่ากวนโมโหได้ไหม”
“นายก็เลิกดราม่าสักทีสิ บอกแล้วว่ามีอะไรให้เล่าให้ระบายออกมา เก็บไว้คนเดียวแบบนั้นมีแต่จะแย่นะครับ”
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากระบายแต่ฉันแค่ไม่อยากพูดถึง”
“เพราะอะไรล่ะ ยังโกรธที่ปาร์คชานยอลหนีไปล่ะสิ” แบคฮยอนหลุบสายตาลงก่อนจะลุกขึ้นเดินต่อไปข้างหน้า “พอกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งนายก็เลยไม่โอเค”
“...”
“ถ้าเกิดฉันเป็นหมอนั่น ฉันจะไม่มีวันทำให้นายเสียใจแบบนี้หรอก”
“...” ทั้งคู่หยุดเดิน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเดินมาถึงเป้าหมายแล้วหรือเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่ ตอนนี้ลู่หานนึกอยากจะตบปากตัวเองขึ้นมาเพราะเสือกพูดไม่คิดออกไป ก็ดูหน้าเด็กเตี้ยตอนนี้สิ คงตกใจอยู่ไม่น้อยนั่นแหละ
“โว้ว มีธนูอยู่จริง ๆ ด้วย” ถ้าเรื่องแถหน้าตายขอให้บอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไดโนเสาร์สูญพันธุ์ปีไหน เมื่อวานอากาศกี่องศาเขาก็พูดได้ทั้งนั้นถ้ามันทำให้แบคฮยอนลืมเรื่องเมื่อกี้ซะ
ลู่หานดึงลวดออกมาสอดเข้าไปในรูกลอนประตูเพื่อปลดล็อกแค่ครู่เดียวเขาก็เข้าไปในร้านได้อย่างง่ายดาย อุปกรณ์กีฬามากมายอยู่ข้างในร้านถูกจัดเป็นหมวดหมู่ การเสือกของลู่หานสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อแบคฮยอนเดินแยกออกไปเก็บอุปกรณ์โดยที่ไม่พูดอะไรอีก
ช่างเถอะ ถือว่าไม่ได้พูดออกไปแล้วกัน
ยังไม่กลับ...สองคนนั้นยังไม่กลับมาอีก...
สิ่งที่คิมมินซอกทำตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมาคือเงยหน้าขึ้นมองถนนที่เต็มไปด้วยหิมะสลับกับผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำตาลในมือที่เขาแอบถักเงียบ ๆ มาหลายวันโดยที่ไม่บอกใคร ตอนเห็นครูสอนอึนจีถักก็นั่งเก็บรายละเอียดอยู่ห่าง ๆ คิดว่ามันคงดีถ้าพยายามทำอะไรสักอย่างให้ลู่หานบ้าง
แต่ตอนนี้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ความกังวล ความหึงหวงกำลังทำให้เขาเป็นบ้า สิ่งหนึ่งที่คิมมินซอกเกลียดตัวเองคือความรู้สึกตอนตกหลุมรัก มันทำให้เขาแสดงด้านมืดออกมาบ่อยจนกลายเป็นคนโง่ สองมือยังคงถักไหมพรมต่อไป ในทีแรกก็ต้องแก้อยู่บ่อยครั้งเพราะไม่เคยจับมาก่อนแต่พอใช้เวลาทำความรู้จักกับมันสักพักก็เริ่มชิน
ช่วงเช้าตรู่หลังช่วยงานครูเสร็จคือเวลาที่แอบมาถักผ้าพันคอได้ กับตอนคนอื่นออกไปหาเสบียงเวลานั้นแหละที่เขาจะถักมันได้อย่างสบายใจ มินซอกเงยหน้าขึ้นแล้วก็แทบซ่อนไว้ไม่ทันเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนมองเขาอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้นัก ผู้ชายหน้าซื่อ ๆ ที่ถือสมุดกับหนังสือมาด้วยทำให้เขาตกใจจนพูดไม่ออก
“สวัสดี”
“...”
“ขอโทษนะ ตกใจเหรอ”
“...”
“นั่งด้วยได้ไหม?” สำเนียงแปลก ๆ ที่พยายามพูดคุยกับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างบ้าน มินซอกพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วขยับให้อีกคนนั่งด้วย “I didn't know there were people here, sorry again.” (ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ตรงนี้ ขอโทษอีกครั้งนะ)
“ผมฟังที่คุณพูดไม่รู้เรื่องหรอก”
“อ่า” อี้ชิงถึงกับพูดไม่ออกกับสายตาที่มองมา จากที่สังเกตมินซอกมักจะทำหน้าแบบนี้เสมอ “ขอโทษ - ต่อไปนี้ผม - จะพยายามพูด - ภาษาเกาหลีกับคุณ”
“กับทุกคนด้วย”
“อะไรนะ?” หนุ่มชาวจีนขมวดคิ้ว “ขอ - อีกครั้ง - ได้ไหม?” นิ้วชี้ที่ชูขึ้นมาบวกกับสีหน้าซื่อ ๆ ทำให้มินซอกถอนหายใจเบา ๆ
อยากอยู่คนเดียวแต่การไล่ผู้ชายคนนี้ออกไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง มินซอกแทบไม่เคยคุยกับจางอี้ชิงเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องแต่มันไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะเที่ยวหาเรื่องชวนคุยกับคนอื่น
“ผมบอกว่าคุณต้องพยายามพูดภาษาเกาหลีกับทุกคนด้วย” มินซอกพูดช้า ๆ แล้วคนได้ฟังก็พยักหน้า “ผมไม่ได้จะสั่งสอน แต่คุณต้องพยายามเข้าหาคนอื่นไม่ใช่ให้คนอื่นพยายามฝึกภาษาอังกฤษเพื่อคุยกับคุณ”
“เข้าใจแล้ว” ลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้างทำให้มินซอกรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดนิด ๆ กับคำพูดไร้หางเสียง จางอี้ชิงก็อายุมากกว่าเขาหลายปีอีกอย่างผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ได้แต่บอกตัวเองว่าควรทำตัวมีมารยาทกับคน ๆ นี้ให้มากขึ้น อี้ชิงไม่ได้นั่งเบียดเขาเสียทีเดียว กลับกันแล้วผู้ชายคนนี้ยังวางสมุดคั่นไว้ตรงกลางระหว่างเขาด้วย “ผมพอคุยกับคนอื่นได้ - แต่ยังไม่แข็งแรง - ต้องฝึก”
“ทำแบบนี้ทุกวันเลยหรือไง”
“หมายถึงอันนี้เหรอ?” อี้ชิงชี้หนังสือที่วางอยู่บนตักแล้วมินซอกก็พยักหน้า “ใช่ครับ - ต้องฝึก - จะได้คุยกับทุกคนรู้เรื่อง” หนุ่มชาวจีนเปิดหนังสือหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้
“ไปเอามาจากไหน” มินซอกชี้ดอกหญ้าซึ่งแห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาล มันคือที่คั่นในหน้าหนังสือนั้น
“อึนจี” เขาหันมาตอบแล้วคนได้ฟังก็พยักหน้า “เธอเก็บมาฝาก - ตอนขึ้นเขา” ประโยคติด ๆ ขัด ๆ แต่ทำให้รับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีความพยายามที่จะสื่อสารกับเขามากแค่ไหน มินซอกเอาไหมพรมที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาวางไว้บนตักแล้วอี้ชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ห้ามบอกใครนะ”
“Why?” (ทำไมล่ะ?)
“ความลับคือเสน่ห์ของของขวัญ” มินซอกมองผ้าพันคอที่ถักใกล้เสร็จแล้ว แค่นึกถึงหน้าลู่หานตอนเห็นมันเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นคงดีใจอย่างออกนอกหน้าแน่ ๆ
“เสน่ห์? หมายถึง Charm ใช่ไหม?”
“ครับ”
“ทำให้ใครเหรอ” อี้ชิงมองไหมพรมที่ถักจนเป็นรูปเป็นร่างระหว่างรอคำตอบ ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีคนตัวเล็กก็ยังคงเงียบ “ถ้าไม่อยากบอก – ก็ไม่เป็นไรนะ - ความลับคือเสน่ห์” มินซอกหลุดขำออกมาเพราะประโยคแปลก ๆ อี้ชิงหน้าเสียไปเล็กน้อย เขาเกาหัวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ “ผมพูดผิดเหรอ”
“เปล่า อันนี้ผมทำให้ลู่หานน่ะ”
“ลู่หาน”
“คุณว่าเขาจะชอบไหม?”
“อ่า” อี้ชิงเอนหลังเล็กน้อยพร้อมลูบคางใช้ความคิดขณะมองไปยังผ้าพันคอผืนนั้น ก็ไม่รู้หรอกว่ารสนิยมผู้ชายห่าม ๆ อย่างลู่หานจะชอบแบบไหน “ต้องชอบสิ”
แต่คนปกติก็เหมือนกับคนไข้อย่างหนึ่งก็คือต้องการกำลังใจและมันก็ได้ผลเสียด้วยสิ มินซอกไม่ได้ทำหน้ามึนตึงเหมือนในทีแรก คนตัวเล็กอมยิ้มแล้วเริ่มถักผ้าพันคอต่อหลังจากที่ทิ้งเวลาไปนานพอสมควร
“คุณก็พูดเกาหลีเก่งนี่”
“ผมยังต้องฝึก - อีกเยอะ”
“แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว”
“ต้องยก - ความดี - ให้คนสอน” มินซอกเลิกคิ้วมองคนข้าง ๆ เขายิ้มออกมาเพียงแค่เห็นหน้าหนังสือที่เต็มไปด้วยรอยปากกาน้ำเงิน “คุณกาฮีเก่งมาก She’s the best.”
“นึกว่าคุณจะบอกว่าเพราะตัวเองหัวดีซะอีก”
“หัวดี?”
“ตรงนี้” มินซอกเอานิ้วชี้เคาะขมับตัวเองแล้วหนุ่มชาวจีนก็พยักหน้าเข้าใจ
“หัวดี - สะกดยังไงครับ?” คนตัวเล็กหยุดถักผ้าพันคอแล้วหันไปทางอีกคนที่กำลังให้ความสนใจกับศัพท์ใหม่ที่เขาเพิ่งพูดออกไป มินซอกเอาปากกามาจากมือเรียวแล้วเขียนให้ดูช้า ๆ
อี้ชิงเป็นคนมีความตั้งใจมากกว่าที่คาดเอาไว้ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าคิมมินซอกเป็นอย่างผู้ชายคนนี้ก็คงดีที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว วัน ๆ นั่งเรียนภาษาเกาหลีกับช่วยสอนวิธีปฐมพยาบาลให้กับคนอื่น มีเรื่องให้ทำฆ่าเวลาแทนที่จะมานั่งหึงเหมือนคนบ้าอย่างที่เขาเป็น
“คำแปลเป็นภาษาจีนทั้งหมดเลยนี่”
“ครับ - คุณเคยเรียนไหม?”
“พอจะรู้ศัพท์บางคำจากเทาน่ะ”
“ถ้าคุณอยากเรียน - ผมจะสอนให้” อี้ชิงยิ้ม “ผมสอนจีน - คุณสอนเกาหลี - ผลัดกัน”
มินซอกไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาได้แต่นึกย้อนไปว่าทำไมจางอี้ชิงถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ทั้งที่ตอนแรกเขาแค่ต้องการหาที่นั่งเงียบ ๆ เพื่อถักผ้าพันคอรอลู่หานกลับมา แต่มันไม่ใช่เรื่องแย่เลยสักนิดกลับกันแล้วการได้คุยกับอี้ชิงมันทำให้ความฟุ้งซ่านในหัวหายไปได้ชั่วขณะซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดีกว่าการนั่งถักผ้าพันคอไปชะเง้อหน้ามองไปเหมือนก่อนหน้านี้
เลิกคิดมากได้แล้วคิมมินซอก บางทีเรื่องที่กำลังเป็นกังวลอยู่มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือถักผ้าพันคอให้เสร็จแล้วรอเอาให้ลู่หานสิ...
ท้องฟ้าสีครามปนส้มในช่วงฤดูหนาวทำให้ความมืดกลืนกินตอนกลางวันเร็วกว่าเดิม แบคฮยอนมองเหม่อไปข้างนอกกระจกมาตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา สิ่งที่ลู่หานทำได้ในตอนนี้ก็แค่หุบปากเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เสียงเพลงคลอทำลายบรรยากาศก็เท่านั้น มันช่วยไม่ได้จริง ๆ กับเรื่องที่พลั้งปากพูดออกไปแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่ามันทำให้เด็กเตี้ยนี่คิดมากน้อยแค่ไหน
ความมืดเข้ามาแทนที่และให้แสงสว่างจากไฟหน้ารถนำทางเข้ามาในบ้านพักอุทยาน วันนี้ไม่มีการก่อกองไฟเพราะกระแสลมหนาวที่พัดผ่านมาแรงกว่าทุกวัน ลู่หานมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้คนอื่น ๆ คงกินมื้อเย็นกันเรียบร้อยและเตรียมที่จะเข้านอนแล้ว เห็นทีว่าเขาต้องไปแอบขอรามยอนสำเร็จรูปสักสองถ้วยเผื่อตัวเขาเองและแบคฮยอน
“ลู่หาน” เจ้าของชื่อหันไปมองคนข้าง ๆ แบคฮยอนไม่ได้หันมามองเขาแต่แววตาคู่นั้นกลับหลุบลงมองมือตัวเอง “ที่นายพูดเมื่อตอนเย็นน่ะ มันคืออะไรเหรอ”
“หา?”
“ที่บอกว่าจะไม่มีวันทำให้ฉันเสียใจ มันหมายความว่ายังไง” เสียงของแบคฮยอนเบาหวิว ลู่หานได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายโดยที่พูดอะไรไม่ออก
“ก็”
“...”
“หมายความว่าฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจไงโธ่”
“เหรอ”
“...” เด็กนี่เป็นอะไรขึ้นมาล่ะ เล่นถามกันแบบนี้รู้ไหมว่าเขาตกใจ ลู่หานเอื้อมไปกดเปิดไฟในรถแล้วก็เอนหลังพิงเบาะ
“ถ้าชานยอลคิดเหมือนนายบ้างก็คงดี” เอาแล้วไง... “แต่มันคงไม่มีวันนั้นหรอก” สิ่งที่ลู่หานควรทำในตอนนี้คือเงียบปากเอาไว้แล้วปล่อยให้แบคฮยอนระบายความในใจออกมา
ใช่ นั่นแหละสิ่งที่เขาควรจะทำ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เด็กนี่เล่าให้ฟังทั้งที่เขาพยายามง้างปากมาตลอดทั้งวันแล้ว แบคฮยอนคลึงมือตัวเองพลางถอนหายใจ “เมื่อตอนกลางวัน ฉันตกใจมากที่นายดูออกเรื่องฉันกับเขา”
อยากจะบอกว่าดูไม่ออกก็โง่แล้วครับ...
“ฉันอึดอัดมาตลอดแต่ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับใครดี นายรู้ใช่ไหมว่าความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันในสังคมมันเป็นเรื่องผิดปกติ”
“แต่สังคมปัจจุบันนี้มันก็ไม่ปกติแล้วป่ะ” แบคฮยอนนิ่งไปกับประโยคนี้ จะว่าเข้าข้างเด็กนี่ก็คงใช่ ถ้ามันมีคำพูดไหนที่พอจะทำให้อีกคนสบายใจได้เขาก็พร้อมจะพูดเสมอนั่นแหละ
“มันน่าอายจะตายถ้าต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเกย์” แบคฮยอนยิ้มฝืน หากแต่ประโยคนี้เขาไม่ได้หมายถึงตัวเองเสียทีเดียว มันหมายถึงใครอีกคนที่รักผู้หญิงคนหนึ่งและพร้อมใช้ชีวิตหลังแต่งงานด้วยกัน ผู้ชายคนนั้นน่าจะแคร์สายตาผู้คนกับเรื่องนี้มากพอสมควร
นี่คือสิ่งแบคฮยอนคิดว่ามันคือเหตุผลที่ปาร์คชานยอลทำแบบนั้นกับเขา
“ถ้าอายก็เลือกเล่าให้คนที่ไว้ใจฟังสิ”
“ใครล่ะ นายเหรอ” แบคฮยอนหัวเราะ
“อ้าว พูดงี้มีได้เสียนะครับ จะบอกว่าไม่ไว้ใจกันว่างั้น?” ลู่หานเลิกคิ้วมองเคือง ๆ ในที่สุดเด็กนี่ก็หัวเราะจนได้
“กับคนที่เคยช่วยให้ฉันหนีตายจนตัวเองเกือบเอาตัวไม่รอดถ้าไม่ไว้ใจก็บ้าแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ กับเรื่องราวที่ผ่านไปนานมากแล้ว มันนานจนอดคิดไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรักเด็กคนนี้มากกว่าชีวิตตัวเองเลยหรือไง
“พูดถึงตอนนั้นแล้วก็เหลือเชื่อ”
“ยังไงเหรอ”
“นายต้องไปสัมผัสเอง กลิ่นเหม็นเน่าในท่อระบายน้ำโหดสัดยิ่งกว่าอะไรในโลก” ลู่หานเบ้หน้า ทั้งที่เมื่อก่อนแบคฮยอนร้องไห้แทบตายเพราะรู้สึกผิดแต่ตอนนี้เขากับลู่หานกลับนั่งหัวเราะกับเรื่องนี้ได้
“นายขาเจ็บด้วยนี่”
“ใช่ แล้วคิดสภาพนะว่าต้องคลานหนีพวกกินคนที่ร่วงลงมาข้างล่างทีละตัว ๆ อ่ะ มันเจ็บไม่เป็น ต่อให้ขาหักก็ลุกขึ้นเดินได้แต่ฉันเนี่ยสิ?”
“แล้วนายทำยังไง”
“หาทางออกจากท่อไงครับ พอขึ้นไปได้ก็เจอคนช่วยเอาไว้ เกือบไม่รอดแล้ว”
“ทรหดน่าดูนะ ถ้าเป็นฉันคงถอดใจแล้วยอมตายไปแล้ว” แบคฮยอนพ่นลมหายใจออกทางปากเบา ๆ
“ถ้าเป็นนายเมื่อก่อนก็ไม่แน่หรอก แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนายอาจจะกระโดดลงท่อด้วยท่า Jump Spin ก็ได้” บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นกว่าที่เคยเมื่อเสียงหัวเราะของทั้งคู่กลบเสียงเพลงในรถไปแล้ว
“แต่นายก็รอดมาได้”
“ก็เกือบไม่รอด” ลู่หานเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ “มันมีบางอย่างที่ทำให้ฉันอยากกลับไปที่โรงเรียนน่ะ”
“อะไรเหรอ?” แบคฮยอนมองคนข้าง ๆ เขากำลังสนใจกับเรื่องที่ลู่หานเล่าผิดกับก่อนหน้านี้ที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไรเลย
“ตอนนั้น” ลู่หานต้องเว้นจังหวะเพื่อทำใจกับเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ ทำไมเขาต้องมารู้สึกอึดอัดทั้งที่มันไม่มีอะไร เพียงเพราะเขานึกย้อนไปถึงตั้งแต่วันแรกที่เจ็บตัวจนมาถึงวันที่เขากลับไปที่โรงเรียนแล้วเจอภาพบาดตาน่ะเหรอ “นายจำรูปโพลารอยด์ที่เราถ่ายด้วยกันได้ไหม?”
“รูป...” แบคฮยอนหลุบสายตาลงแล้วคิดตาม “จำได้สิ ที่เราถ่ายด้วยกันเช้าวันนั้น”
“ใช่” ตอนนี้ลู่หานไม่ได้มองหน้าคนตัวเล็กและเขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงไม่กล้าหันไปมอง
“ทำไมเหรอ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” ลู่หานหัวเราะ “ฉันแค่มองรูปนั้นทุกครั้งตอนรู้สึกท้อก็เท่านั้นเอง”
“...”
“โห ตอนตกท่อนะเจ็บปางตาย ไหนจะกังวลว่าพวกนายจะหนีไปที่อื่นหรือยัง ทุกคนคงคิดว่าฉันตายไปแล้วและนายก็คงร้องไห้ขี้มูกโป่ง อยากรีบกลับไปตั้งแต่ฟื้นตัวแล้วพบว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่จะทำไงได้ขาเสือกเดี้ยงอีก” ลู่หานพูดติดตลก “สิ่งที่ฉันทำได้คือนั่งดูรูปนายไปวัน ๆ คิดถึงจะตายห่า แม่งน่าเจ็บใจชิบหาย เออ...แต่ตอนนี้รูปมันหายไปแล้วนะ ฉันไม่ได้เก็บเอาไว้” แบคฮยอนกำลังอึ้งกับคำพูดของคนข้าง ๆ แม้ว่าลู่หานจะหัวเราะตอนเล่าถึงเรื่องราวเก่า ๆ แต่มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้เลยว่า... “เคยรู้บ้างเปล่าเนี่ยว่าเมื่อก่อนฉันเคยชอบนายมากแค่ไหน?”
“...”
จากที่ยิ้มอยู่ลู่หานก็ต้องเก็บปากตัวเองอีกครั้งเมื่อคำพูดขำ ๆ ของเขามันทำให้แบคฮยอนกำลังทำหน้านิ่ง และสิ่งที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดเพิ่มขึ้นคือเสียงเพลงที่ช่างเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เสียเหลือเกิน
하지만 난 아직도 you you you 못 잊었나봐
แต่ผมยัง คุณ คุณ คุณ ผมคิดว่าผมยังลืมคุณไม่ได้
아직도 you you you 그로인가봐 yeah
ยังคงเป็น คุณ คุณ คุณ ผมยังคงเป็นเหมือนเดิม
아픈거니 아픈거니 아픈가봐
นี่มันเจ็บใช่ไหม? (มันเจ็บใช่ไหม?) ดูเหมือนว่าจะเจ็บ
I don’t know (I don’t know) Oh no yeah
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน (ไม่รู้เหมือนกัน) oh no yeah
아직도 난...그대로 널...아직도 난...널
แต่ผมยัง…ยังคงเป็นคุณแต่ผมยัง…คุณ
“พูดจริงเหรอ”
“เอ่อ...”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” กลายเป็นเขาที่ไม่กล้าหันไปสบตากับแบคฮยอน อาการเคาะนิ้วบนพวงมาลัยซ้ำ ๆ บ่งบอกได้ดีถึงความรู้สึกของคนถูกถาม “นายชอบฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็” พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติแม้ว่าจะทำตัวผิดปกติอยู่ก็ตาม
“ทำไมถึงชอบฉัน” คำถามที่แม้แต่ลู่หานก็ไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้ ถึงจะนั่งห่างกันไม่มากแต่เขากลับรู้สึกอึดอัดเหมือนกำลังถูกแบคฮยอนบีบคอให้พูด “ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ” ที่ถามเพราะอยากรู้ แบคฮยอนคิดมาตลอดว่าที่ลู่หานทำตัววุ่นวายมันเป็นเพราะนิสัยไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำว่าคนข้าง ๆ จะคิดแบบนั้นกับเขา
“จะให้บอกยังไงวะ ตอนนั้นอะไร ๆ ก็ชานยอลไปหมด” ยอมรับก็ได้ว่าประโยคนี้มีความน้อยใจแฝงอยู่เล็ก ๆ แบคฮยอนเงียบไปอีกครั้งเพราะมันก็ถูกอย่างที่ลู่หานพูดจริง ๆ ในตอนนั้นทุกอย่าง...ก็ล้วนแต่เป็นปาร์คชานยอล
“แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“...หา?”
“นายยังชอบฉันอยู่หรือเปล่า?” ให้ตายเถอะ พระเจ้า พระแม่มารี จีซัส ใครสั่งใครสอนให้เด็กเตี้ยถามเขาได้หน้าตาเฉยแบบนี้
“เฮ้ย ก็บอกแล้วไงว่าเคยชอบ” ลู่หานหัวเราะแห้ง ๆ น้ำเสียงที่พูดออกไปไม่ชัดถ้อยชัดคำนักราวกับว่าไม่มั่นใจที่จะพูดออกไป
“ถ้านายบอกฉันตั้งแต่ตอนนั้น” สีหน้าแบคฮยอนในตอนนี้ไม่ได้ดูตกใจเหมือนตอนได้ฟังคำสารภาพ ไม่มีเสียงหัวเราะหรือฝ่ามือที่น่าจะฟาดไหล่เขาแล้วพูดว่า ‘อย่ามาตลก ฉันไม่เชื่อนายหรอก’ อย่างที่ควรจะเป็น “ตอนนี้เราสองคนอาจจะคบกันอยู่ใช่ไหม?”
“...”
ลู่หานไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนั้น มันคือข้อเสียอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หายสักทีกับเรื่องคิดอะไรตื้น ๆ เขาไม่เคยนึกไปถึงวันข้างหน้าว่าจะเป็นยังไงรวมถึงเรื่องแบคฮยอนด้วย ตอนนั้นคิดแค่ว่าชอบ อยากอยู่ใกล้ ๆ อยากให้แบคฮยอนสนใจก็เท่านั้น
“ฉันแค่อยากรู้น่ะ” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ มันอดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าถ้าเกิดคนที่เขารักคือลู่หานแทนที่จะเป็นปาร์คชานยอลมันจะเป็นยังไง? เขาจะต้องเจ็บปวดเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ไหม? บยอนแบคฮยอนอาจจะมีความสุขกับการถูกกวนใจทุกวันและยิ้มทักทายให้กับปาร์คชานยอลได้อย่างสนิทใจ และพูดคุยกันเหมือนคนในครอบครัวอย่างที่ทำกับคนอื่น ๆ
แต่มันก็เป็นแค่ความคิดของคนที่กำลังจมดิ่งอยู่กับความเสียใจเท่านั้น...
ทั้งคู่มองหน้ากันและคิดว่าคงไม่มีคำพูดไหนที่จะทำลายบรรยากาศอึดอัดในตอนนี้ได้ ความรู้สึกที่เคยเป็นภาพขุ่นมัวเด่นชัดขึ้นเพียงแค่นึกย้อนไปถึงอดีตที่เคยฝังใจ ครั้งหนึ่งลู่หานเคยขุดหลุมฝังความรู้สึกนี้เอาไว้และคิดว่ามันคงไม่มีวันกลับมารู้สึกแบบนี้อีก
เพียงแค่วินาทีเดียว...วินาทีเดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกได้ริมฝีปากแห้งผากของใครอีกคน มันคือจูบปลอบใจงั้นเหรอ? ในหัวแบคฮยอนได้แต่ถามตัวเองอย่างนั้น สองมือยังคงประสานกันไว้บนตัก เขาไม่ได้ผลักไสลู่หานออกไปแต่ก็ไม่ได้ตอบรับจูบนี้
ร่างโปร่งค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก ความอึดอัดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อทันทีที่ลืมตาขึ้นมาหลังจากถอนจูบและพบว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่คนรักของเขา มือไม้ของลู่หานเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนผิดกับอีกคนที่นั่งนิ่งโดยที่ไม่พูดอะไร ความรู้สึกบยอนแบคฮยอนในตอนนี้เลยจุดที่เรียกว่าช็อกไปแล้ว
พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ จูบรำลึกความหลังกันหน้าบ้านงั้นหรือ?
เหมือนถูกค้อนหนักสิบปอนด์ทุบลงกลางหัวเขาเพื่อเรียกสติ ลู่หานอยากจะตบหน้าตัวเองกับสิ่งที่ทำลงไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ใช่...เขากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าที่จูบแบคฮยอนเมื่อครู่นี้มันไม่ได้มาจากความรู้สึกเสน่ห์หา
เมื่อก่อนการได้จูบเด็กคนนี้มันคือสิ่งที่ลู่หานเฝ้ารอมาตลอด แต่มันกลับไม่รู้สึกดีอย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้ ภาพใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาตอกย้ำว่าที่เขาทำลงไปคือสิ่งที่ไม่ควร ภาพของเด็กแว่นที่เขาบอกว่ารักมากที่สุด...
“ขอโทษนะ”
พูดจบก็เปิดประตูรถแล้วเดินเข้าไปในบ้านทิ้งไว้เพียงแค่คนตัวเล็กที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น...
ความรู้สึกผิดอัดแน่นเข้ามาจนหัวใจเต้นแรงผิดปกติ ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ถอนหายใจกับความบ้าของตัวเองที่ทำอะไรไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ทีนี้เขากับแบคฮยอนจะเป็นยังไง ไม่วายได้ก้มหน้าก้มตาเดินสวนกันไปโดยไร้การทักทาย ใช่ว่าเขาจะอยากกลับไปรีเทิร์นกับเด็กคนนั้นเสียเมื่อไหร่
ลู่หานหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำใจ เขาจะเข้าไปหามินซอกทั้งที่ยังทำหน้าแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด รู้ว่ามันแย่ที่ต้องแสร้งยิ้มแล้วเข้าไปกอดแสดงความรัก แต่ถ้าจะให้กุมมืออีกคนแล้วสารภาพความผิดทั้งหมดเพื่อความบริสุทธิ์ใจสู้ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียยังดีกว่า ช่วงนี้เขากับมินซอกมีปากเสียงกันเพราะเรื่องแบคฮยอนบ่อยเกินไปแล้ว และคราวนี้มันเป็นความผิดของเขาเต็ม ๆ เมื่อทุกอย่างมันเป็นอย่างที่มินซอกคิดเอาไว้
มือขวาหมุนลูกบิดแล้วดันเข้าไปข้างใน ตะเกียงคือสิ่งเดียวที่ให้ความสว่างในตัวห้องและมันทำให้เขาเห็นภาพทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ว่ามินซอกกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่...
“เปาจื่อ?”
คนตัวเล็กไม่หันมาตามเสียงเรียกของผู้มาใหม่เลยสักนิด สองมือยังคงจัดเสื้อผ้าใส่ในกระเป๋าอย่างใจเย็นราวกับว่าใครอีกคนไร้ตัวตนภายในห้องนี้ ลู่หานก้าวเข้าไปหาคนรักช้า ๆ พลางมองกระเป๋าเป้สลับกับใบหน้าคนตัวเล็กไปมาอย่างไม่เข้าใจ
“จะไปไหนเหรอ?” เอาหลังมือทาบกับแก้มเหมือนอย่างเคยแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อมินซอกเบี่ยงตัวหลบ “ทำไมตัวเย็นแบบนี้ล่ะ ออกไปทำอะไรมา?” ทั้งที่อยู่ในบ้านแต่แก้มมินซอกกลับเย็นเฉียบอย่างน่าประหลาดใจ จะว่าเพิ่งกลับจากนั่งผิงไฟข้างนอกก็คงไม่ใช่ “นี่เปาจื่อ”
“ผมจะไปอยู่บ้านครู...” น้ำเสียงที่กำลังสั่นเป็นคำตอบที่ดีแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดความในใจออกมา
“เดี๋ยวสิ...”
“เรา...เลิกกันเถอะ”
“...”
ลู่หานยืนนิ่ง เหมือนโลกหยุดหมุนกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากคนที่เขารักมากที่สุด มินซอกรูดซิปกระเป๋าเป้แล้วยืนตัวตรงก่อนจะหันมามองคนข้าง ๆ และที่ทำให้ลู่หานแทบเป็นบ้าคือน้ำตาที่ไหลอาบแก้มคนตัวเล็ก
“ฟังพี่...” พูดยังไม่ทันจบก็หน้าหันไปอีกทางตามแรงตบ ลู่หานค้างอยู่ท่านั้นแล้วปล่อยให้ความรู้สึกแสบร้อนตอกย้ำความผิดที่เขาทำลงไป
มินซอก...เห็นเขาจูบแบคฮยอนงั้นเหรอ?
ลู่หานค่อย ๆ หันหน้าเข้าหาอีกคน น้ำตาแห่งความผิดหวัง เสียใจยังคงไหลลงมาไม่หยุด เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปกอดปลอบแล้วพูดคำว่าขอโทษ เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มินซอกก็จะถอยออกห่างจากเขาหนึ่งก้าว
ไม่เคยเห็นมินซอกร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าจะไม่มีเสียงสะอื้นแต่น้ำตาที่ไหลลงมากับแววตาคู่นั้นมันกำลังทำให้เขาเจ็บปวดเหมือนกัน ลู่หานหลับตาเมื่อถูกคนตัวเล็กปาบางอย่างใส่หน้าพอก้มลงก็เห็นผ้าพันคอผืนหนึ่งกองอยู่บนพื้น...
“รักได้ก็เลิกรักได้เหมือนกัน...”
“...”
“ผมจะไม่เดินเข้าไปในชีวิตคุณ...”
“...”
“ส่วนคุณก็ไม่ต้องมายุ่งกับชีวิตผมอีก...”
“มินซอก...”
“ผมรักคุณไม่ไหวแล้ว...”
TBC
Everyday I SHOCK
ลาก่อนนะลู่หาน สบายดากละ
คิดว่าทุกคนต้องด่าพี่ลู่แน่ ๆ น่าสงนางเหลือเกิน จะโทษแบคก็ไม่ได้อีกล่ะงานนี้ ตอนหน้าจะเป็นยังไง มือสั่นไปหมดล๊าววววววววววววววววววว
#ficzombie
ความคิดเห็น