คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #52 : Chapter 49 :: Family
Chapter 49
Family
“พวกเขาข้ามไปได้แล้ว!”
ราวกับยกภูเขาออกจากอก ทุกคนละออกมาจากตรงนั้นหลังจากที่ชานยอลกับแบคฮยอนปีนข้ามรั้วไปได้ ทั้งเจ็ดคนมองหน้ากันและกันว่าจะเอายังไงต่อไปขณะที่จงอินถอดแม็กกาซีนออกมาดู
“เราต้องไปแล้ว” ดันแม็กกาซีนกลับเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมชะตากรรมแต่ดูเหมือนว่าใครหลายคนจะตกใจกับประโยคนี้อยู่พอสมควร
“แล้วสองคนนั้นล่ะ?” เทาถาม
“ชานยอลคงฉลาดพอที่จะหาทางกลับบ้านถูก” ร่างหนาเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่ง “มันคงไม่ทิ้งแบคฮยอนไว้ตรงนั้นแล้วหนีไปหรอกมั้ง?” ประโยคนี้เบาลงราวกับไม่แน่ใจที่พูดออกไป ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ควันสีขาวพ่นออกมาจากริมฝีปากทุกครั้งที่หายใจ พวกเขาควรหาทางหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้ถ้ายังไม่อยากตายเพราะความหนาวหรือพวกกินคนที่อยู่ข้างล่าง
ลู่หานกำลูกบิดไว้ขณะมองเพื่อนซี้ที่ตั้งปืนรอเตรียมพร้อมจะกราดกระสุนใส่หากว่ามีพวกกินคนอยู่ข้างใน ทั้งคู่พยักหน้าอย่างรู้กันแล้วร่างโปร่งก็ดึงลูกบิดเข้าหาตัวก่อนที่อีกคนจะเล็งปืนเข้าไปข้างใน ความมืดตามทางเดินลงทำให้ต้องล้วงไฟฉายขนาดเล็กขึ้นมาส่องเพื่อให้แน่ใจก่อนจะยื่นให้เทาถือเอาไว้แล้วเขากับลู่หานก็เริ่มเดินนำลงไปข้างล่างอย่างเงียบเชียบ
ทุกคนตามมาติด ๆ สิ่งที่ได้ยินในตอนนี้ไม่ใช่เสียงฝีเท้าหรือเสียงพูดคุย แต่มันคือเสียงหอบหายใจของแต่ละคนต่างหาก พอลงมาถึงชั้นหนึ่งลู่หานก็ตรงเข้าไปหาเป้าหมายที่อยู่ในพิกัดสายตาชัดเจนพร้อมกับฟันคอตัวกินคนจนขาดภายในครั้งเดียวก่อนจะเตะหัวมันที่กำลังอ้าปากพะงาบ ๆ ออกไปให้พ้นทาง
เทาสาดไฟฉายไปรอบ ๆ ร้านอาหารเพื่อสำรวจให้แน่ใจในขณะที่จงอินเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมกับใช้ท้องแขนเช็ดไอน้ำออกจากกระจกแล้วส่องดูสถานการณ์ข้างนอก บนถนนมีพวกกินคนอยู่เต็มไปหมดแต่ก็พอมีช่องว่างให้หนีไปได้บ้าง จงอินหันไปปรบมือสองครั้งเรียกความสนใจจากทุกคนที่กำลังมองไปรอบ ๆ ความมืดแล้วเทายกมือขึ้นสูงเพื่อส่องไฟฉายให้ความสว่างกับพื้นที่ตรงนี้
“ขอฉันดูอาวุธของพวกนายหน่อย” พูดจบก็ไล่ดูทีละคน ลู่หานมีมีดดาบ เทามีไม้เบสบอลตะปูของแบคฮยอน อี้ฟานไม่มี เซฮุนไม่มี คยองซูไม่มี “นายเหลือกระสุนอยู่กี่นัด” หยุดสายตาที่เด็กแว่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เทา
“ประมาณหกนัด”
“โอเค งั้นฟังทางนี้” ทุกคนขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับล้อมเป็นวงกลม “เราจะออกไปข้างนอกและต้องจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด นั่นหมายความว่าเราจะล่อแค่พวกที่ยืนเกะกะขวางทางหนีเท่านั้น หน้าที่ของพวกนายคือวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”
“พวกคุณมาจากทางไหน?” อี้ฟานถามทั้งที่ยังใช้ฝ่ามือกดห้ามเลือดตรงแผงอกเอาไว้ เซฮุนชี้ไปทางด้านซ้ายแล้วร่างสูงก็พยักหน้ารับก่อนจะลากโต๊ะอลูมิเนียมมาไว้ตรงกลาง “เราอยู่ตรงนี้” วางแก้วน้ำดื่มใบแรกลงบนโต๊ะแล้ววางแก้วที่สองตามลงไป “แน่นอนว่าเราย้อนกลับไปทางเดิมไม่ได้แล้ว และทางเลือกเดียวในตอนนี้คือต้องอ้อมไปอีกทาง”
“คิดว่าจะมีพวกกินคนอยู่ระหว่างทางสักกี่เปอร์เซ็นต์” จงอินถาม
“เสียงปืนที่ดังตั้งนัดแรกจนมาถึงปัจจุบันน่าจะเป็นบัตรเชิญให้พวกมันมาที่นี่ประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์”
“ก็ยังดีกว่าร้อยล่ะวะ” ลู่หานว่าพลางถูจมูกเบา ๆ
“ยิงเฉพาะตัวที่อยู่ในระยะอันตรายก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอาให้ตาย” จงอินหันไปสั่งการแล้วมินซอกก็พยักหน้ารับ
เป็นอันว่าตกลงตามแผน อี้ฟานกับเซฮุนจับที่เปิดประตูไว้คนละข้างขณะจงอิน ลู่หานและเทายืนตั้งหลักเตรียมพร้อมแล้ว เด็กตัวสูงกำไม้เบสบอลไว้แน่น ถ้าไอ้เรื่องกีฬาล่ะก็ขอให้บอก นอกจากยิงธนูแล้วเบสบอลนี่แหละที่หวงจื่อเทาถนัด ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างหนาก็เล็งไปที่เป้าหมายก่อนจะระเบิดหัวผีดิบที่ยืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคนที่ออกไปจัดการพวกมันในระยะประชิด
ทุกคนหันไปมองรอบข้าง จงอินเป็นฝ่ายนำไปก่อนโดยที่มีลู่หานคอยเดินระวังหลังให้คนที่ไม่มีอาวุธป้องกันตัวพร้อมกับเทาที่วิ่งประกบข้าง เด็กตัวสูงเหวี่ยงไม้เบสบอลเต็มแรงจนผีดิบเสียหลักล้มไปชนกับรถยนต์ที่จอดอยู่ข้างฟุตปาธ เหล่าตัวกินคนเห็นพวกเขาแล้ว...มันกำลังตรงมาทางนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกวิ่งเร็วหรือช้าอืดอาด
ฝีเท้าเกินสิบวิ่งย่ำไปบนน้ำขังอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดพัก การยิงเข้าที่หัวในระยะใกล้มันไม่ใช่เรื่องยากนักแต่ปัญหาอยู่ตรงกระสุนที่เหลือน้อยลงไปทุกที อี้ฟานดันมินซอกกับคยองซูเข้าไปในวงล้อมให้พ้นระยะอันตรายก่อนจะซัดหมัดเข้าที่โหนกแก้มตัวกินคนที่วิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนยังคงตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเหนื่อยล้าจนแทบวิ่งต่อไปไม่ไหว แต่จะหยุดก็ไม่ได้เพราะสิ่งที่เรียกว่าความตายยังคงอยู่เต็มถนน
“รถอยู่ตรงนั้น!”
เร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิมและคราวนี้ลู่หานเป็นฝ่ายวิ่งนำไปที่รถกระบะโฟร์วิล ร่างโปร่งแทรกตัวเข้าไปข้างในและสตาร์ทรถทันทีพร้อมกับหันไปมองกระจกมองหลังเมื่อคนอื่น ๆ กำลังช่วยกันดึงคนอื่น ๆ ให้ขึ้นมาบนท้ายกระบะ จงอินปิดประตูรถพร้อมกับหอบหายใจหนัก นัยน์ตาคมมองทุกคนที่อยู่ข้างหลังผ่านกระจกมองหลังอย่างโล่งอกที่ไม่มีใครถูกกัด ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับความพยายามที่ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ สองเพื่อนซี้หันมามองหน้ากันแล้วแท็กมือให้กับลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ก่อนจะมองไปยังถนนเบื้องหน้า
“ถึงเวลากลับบ้านแล้ว”
ครืน...
ฝนซาลงแล้ว...ลู่หานบิดกุญแจออกก่อนที่คนอื่น ๆ จะเดินลงจากท้ายกระบะ อี้ฟานหยุดยืนอยู่กับที่แล้วมองไปยังบ้านทาวเฮาส์เบื้องหน้า สายตาของเขาไม่ละจากไปไหนแม้ว่าเพิ่งได้เห็นบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก บางทีอาจเป็นเพราะว่าที่นี่คือที่ ๆ ทุกคนอาศัยอยู่มันเลยให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่นานนักก็มีคนเดินออกมาจากบ้านหลังจากได้ยินเสียงรถดับลง
“...”
อี้ฟานยิ้มบาง ๆ พร้อมกับโค้งหัวให้กับครูสาวและเด็กนักเรียนของเธอที่ยืนกางร่มอยู่ก่อนจะหันไปเห็นผู้ชายอีกคนที่เดินตามออกมา ทั้งสามคนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาโดยที่ไม่พูดอะไรเพราะความตื้นตันใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทุกคนมองร่างสูงพร้อมกับรอยยิ้ม มันนานมากแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นภาพแบบนี้...ภาพที่ทุกคนยืนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
เพียงแค่ประโยคเดียวแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ จงอินแท็กมือกับอี้ฟานพร้อมเอาไหล่ชนกันก่อนจะตบหลังเบา ๆ พอเห็นอย่างนั้นลู่หานเลยเข้าไปกอดทั้งคู่และตามมาด้วยเซฮุนก่อนจะจบที่เทา อึนจีเบะปากแล้วรีบเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ ในขณะที่กาฮียังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น อี้ชิงเป็นคนเดียวที่เก็บสีหน้าได้ดีอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มีความผูกพันกับอู๋อี้ฟานมากเท่าคนอื่น ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการกลับมาของผู้ชายคนนี้มันทำให้บรรยากาศโดยรอบดีขึ้น
โดคยองซูได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ กับความสัมพันธ์ที่เขาไม่เคยเข้าใจ ไม่สิ...เขาเคยเข้าใจมันเป็นอย่างดีเลยต่างหาก เข้าใจจนไม่อยากจะเข้าใจอีกเพราะครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าความรักความผูกพันจะทำให้เรื่องเลวร้ายทุกอย่างผ่านพ้นไปได้จนกระทั่งวันนั้น...วันที่เขาได้เรียนรู้กับคำว่าผิดหวัง ปาร์คกาฮีมองหานักเรียนอีกคนที่น่าจะมาด้วยกันก่อนที่เทาจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วก้มหน้าลง
“ครูครับ...ยุนฮามัน...”
“...”
“ผมขอโทษ” ทุกคนอยู่ในความเงียบเมื่อนึกถึงความสูญเสียที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทั้งกาฮีและอึนจีต่างก็ช็อกที่ได้ยินแบบนั้น
“แบคฮยอนล่ะ?”
“พาเขาไปห้องแบคฮยอนก่อนแล้วกัน ถ้าหมอนั่นกลับมาแล้วค่อยจัดแจงหาที่นอนกันใหม่” จงอินบอกขณะที่คนอื่น ๆ กำลังเดินเข้ามาข้างใน เซฮุนพยักหน้าแล้วคยองซูก็เดินตามขึ้นไปข้างบน
“เดี๋ยวผมจะไปเอาอุปกรณ์ทำแผล” อี้ฟานก็พยักหน้าก่อนที่อี้ชิงจะเดินเข้าไปในตัวบ้านโดยที่มีจงอินเดินตามหลังเข้าไป ไม่นานนักเขาก็เดินออกมาพร้อมกับถังใส่น้ำขนาดสูงเท่าเอวเพื่อเอาไปรองน้ำฝนข้างนอก ในห้องนั่งเล่นที่ไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไปในตอนนี้มีเพียงแค่คนสองคนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ สองขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงพร้อมกับลดระดับสายตาลงมองแผลที่ช่วงอก
“ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี” ใช่ ปาร์คกาฮีรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ทั้งที่ใช้เวลาทั้งวันคิดว่าจะต้องพูดอะไรบ้างถ้าได้มีโอกาสพบกันอีกครั้ง
“คุณสบายดีใช่ไหมครับ?” คงไม่มีคำถามไหนที่ดีไปกว่านี้ ร่างสูงยิ้มพลางมองลักยิ้มบนใบหน้าของครูสาวขณะมองมาที่เขาเช่นกัน
“ฉันสบายดีค่ะ แล้วคุณล่ะคะ?”
“อย่างที่เห็นครับ” ก้มลงมองบาดแผลบนช่วงอกตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเบา ๆ
“เราเลิกคุยกันแบบทางการดีกว่าไหมคะ ฉันรู้สึกว่ามันแปลก ๆ ที่ต้องทักทายคุณแบบนั้น”
“นั่นสิครับ” ร่างสูงหัวเราะกับความอึดอัดที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเธอคนเดียว “คงมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่”
“มากจนใช้เวลาทั้งวันเล่าก็คงไม่หมด”
“ผมฟังวันละสิบนาทีได้นะถ้าคุณอยากเล่า” ทั้งคู่หัวเราะก่อนจะหันไปมองข้างหลังเมื่อมีใครอีกคนเดินมาพร้อมกับกล่องยาในมือ
“คุยกันก่อนก็ได้นะครับ”
“อ้อ...ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ” ครูสาวถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วหันไปมองร่างสูง ในเวลานี้ควรให้อี้ฟานใช้เวลาส่วนตัวแทนที่จะนั่งคุยกับเธอทั้งที่ยังไม่ได้ทำแผลและตัวเปียกแบบนี้ “พักผ่อนมาก ๆ นะคะ”
อี้ชิงมองทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนที่ปาร์คกาฮีจะเดินออกไป ร่างสูงหันมาหาอีกคนที่กำลังเปิดกล่องยาแล้วก็รู้สึกอึดอัดพิลึกกับบรรยากาศในตอนนี้ ว่ากับปาร์คกาฮีพูดน้อยแล้วแต่กับคน ๆ นี้ต้องคูณห้าเข้าไปเพราะเขาแทบจะนับประโยคที่คุยกับอี้ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ได้
“ขอผมดูแผลหน่อย” อี้ฟานถอดเสื้อออกก่อนจะนั่งลงบนโซฟา อี้ชิงนั่งลงข้าง ๆ แล้วดูแผลสดตรงแผงอกแกร่ง หยิบสำลีกับแอลกอฮอล์มาเทให้ชุ่มแล้วหันหน้าเข้าหาร่างสูง โน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ บาดแผล “แสบนิดนึงนะ” ร่างสูงนิ่วหน้าเล็กน้อยหลังจากสำลีแตะลงมา
“ไม่ยักรู้ว่าคุณพูดภาษาเกาหลีได้ด้วย” ถึงจะเป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ที่พูดคุยกับปาร์คกาฮีแต่มันก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“มีครูสอนผมตอนที่คุณไม่อยู่น่ะ” ตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ กับอาการปวดแสบปวดร้อนขณะทำแผล
“คุณกาฮีเหรอครับ?”
“อึนจีแล้วก็แบคฮยอนด้วย”
“อ่า...เด็กสองคนนั้น”
“ป่วนใช้ได้เลยล่ะ” ร่างสูงหัวเราะกับคำพูดอีกคน “คุณสองคนดูสนิทกันนะ”
“ครับ?”
“กับคุณกาฮีน่ะ”
“อ๋อ...” ร่างสูงเว้นจังหวะแค่ชั่วอึดใจ “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง อาจจะเป็นเพราะเราอายุรุ่นราวคราวเดียวกันล่ะมั้ง”
“ถ้าเธอได้ยินคงเสียใจแย่” อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองอีกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะเธอคงคิดไปเองฝ่ายเดียวว่าสนิทกับคุณ”
“งั้นช่วยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินได้ไหมครับ?” อี้ชิงแค่นหัวเราะเพียงแค่เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าก่อนจะหันไปสนใจกับแผลสดเหมือนก่อนหน้านี้
และแล้วก็กลับเข้าสู่ความเงียบ อี้ชิงยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้ต่อไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ความเงียบกำลังกดดันให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิมและมันคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ในเมื่อไม่สนิทก็ต้องเริ่มทำความรู้จักกันนั่นคือสิ่งที่อู๋อี้ฟานคิด
“คุณทำแผลบ่อยเหรอครับ”
“ถ้าเทียบกับคนทั่วไปก็คงเรียกว่าบ่อย”
“ฟังดูกำกวมนะ” อี้ฟานหัวเราะ
“ผมเป็นบุรุษพยาบาล ชัดเจนพอไหมครับ” ถึงจะได้ยินคำตอบที่ไม่ค่อยรื่นหูสักเท่าไหร่แต่คนฟังอย่างเขากลับยิ้มออกมาได้ อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยไม่ใช่ที่ ๆ หันไปทางไหนก็เต็มไปด้วยคนพวกนั้นอะไร ๆ ก็เลยดีไปหมด
“ชัดพอแล้วครับ” อี้ชิงเงยหน้ามองอีกคนที่ยังคงพูดอะไรแปลก ๆ เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ากำลังถูกผู้ชายคนนี้กวนประสาทอยู่
“คุณดูเปลี่ยนไปนะ”
“ยังไงเหรอครับ?”
“ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน คุณเคยนิ่งกว่านี้”
“เคยนิ่ง?”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณกวนประสาทคนอื่นเป็นกับเขาด้วย”
“ถ้าคุณบอกว่า ‘ในระยะเวลาสั้น ๆ ’ นั่นมันหมายความว่าเรายังเรียนรู้กันและกันได้ไม่มากพอนะครับ”
“...”
“เวลาแค่นั้นเอามาตัดสินไม่ได้หรอกว่าผมเป็นคนแบบไหน เพราะการเลือกแสดงออกกับแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน”
“จะสื่อว่าคุณเลือกที่จะกวนประสาทผมงั้นเหรอ”
“แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อย ๆ หรอกนะครับ”
“ผมควรจะดีใจ?”
“ถ้ามันทำให้บรรยากาศดีขึ้นน่ะนะ...” ร่างสูงยิ้มขำ อี้ชิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคน
“ในสายตาผมคุณดูเหมือนผู้ชายที่จริงจังไปกับทุกเรื่อง คาดว่าก่อนหน้านี้คุณคงเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รักความเพอร์เฟ็คขั้นสูงสุด”
“คุณพูดถูกแต่ยังตอบโจทย์ไม่หมดนะอี้ชิง”
“ชีวิตวัยเด็กถ้าไม่เป็นนักกีฬาก็น่าจะเป็นประธานนักเรียน คุณน่าจะเคยมีจูบแรกตอนอายุสิบเจ็ด”
“ผิดครับ สิบห้า”
“ไวไฟ”
“มันเป็นเรื่องผิดปกติของผู้ชายที่รักในความเพอร์เฟ็คสินะครับ” เป็นอีกครั้งที่จางอี้ชิงรู้สึกหงุดหงิดกับบทสนทนาระหว่างเขากับผู้ชายคนนี้ ว่าลู่หานกวนแล้วยังมีใครอีกคนที่พูดจากวนประสาทหน้าตาเฉยได้กว่านั้น
“อี้ชิง”
“ครับ”
“ที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
“หมายถึงบ้านหรือคนที่อยู่ด้วยล่ะ”
“โดยรวมน่ะ”
“ถ้าคุณเป็นห่วงเรื่องมนุษยสัมพันธ์ล่ะก็ ทุกคนดีกับผมครับ”
“ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
“สำหรับคนที่เคยคิดอยากตายน่ะนะ” อี้ชิงหัวเราะ
“และมันจะดีมากถ้าคุณไม่คิดแบบนั้นอีก” ร่างผอมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“คุณเป็นห่วงทุกคนแบบนี้เลยหรือไงกัน”
“ผมห่วงทุกคนที่สำคัญสำหรับผมครับ” อี้ชิงละมือออกมาแล้วมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“แต่ห่วงคนอื่นจนยอมเสียสละชีวิตตัวเองมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ”
“กับสิ่งที่คิดว่าถูกต้องแล้วมันดีเสมออี้ชิง”
“...”
กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ในหัวของจางอี้ชิงมีแต่คำพูดของอู๋อี้ฟานอยู่เต็มไปหมด แต่ละประโยคที่ได้ฟังมันอดที่จะเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจะฆ่าตัวตายเพราะทนมีชีวิตอยู่บนโลกอันโสมมต่อไปไม่ไหวในขณะที่อู๋อี้ฟานพยายามทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอยู่
“ทรงผมใหม่เท่ดีนะ”
“คิดงั้นเหรอ”
“มันทำให้คุณดูน่ากลัวขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์” ได้ยินแบบนั้นแล้วร่างสูงก็หัวเราะ
“มันจะเรียกว่าคำชมได้ไหม?”
“ก็สุดแล้วแต่คุณ” พูดพร้อมกับแตะสำลีไปตามแผล อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยิ้มอยู่อย่างนั้นแล้วก็ประหลาดใจ “มีความสุขมากเหรอครับ”
“ครับ”
“น่าดีใจแทนทุกคนจริง ๆ ”
“หืม?”
“พวกเขาเป็นห่วงคุณมาก พอรู้ว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ทุกคนก็พยายามคิดหาทางไปช่วยคุณออกมาจากที่นั่นโดยที่ไม่สนใจเลยว่าพวกเขายังเป็นเด็กและฝั่งตรงข้ามก็มีแต่พวกสารเลวที่เคยนั่งกินนอนกินอยู่ในตาราง”
“...”
“มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนแปลกหน้าที่ผ่านมาเจอกันสามารถผูกพันกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
“...”
“ตอนที่คุณไม่อยู่มีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด” อี้ชิงแปะผ้าก๊อซแล้วติดเทปเป็นการปิดท้าย “ลู่หานถูกแทงอาการสาหัสผมต้องเย็บแผลให้ทั้งที่เขายังมีสติอยู่ เขาเกือบไม่รอดเพราะพิษบาดแผลและพิษไข้ พวกเราหนีไปที่เกาะเชจูเพราะคิดว่าที่นั่นน่าจะมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้างแต่มันก็ว่างเปล่า”
“...”
“ที่ท่าเรือมกโพมีแต่พวกกินคนอยู่ท่าเรือเต็มไปหมด จงอินล่อพวกมันออกไปเพื่อให้ทุกคนขึ้นเรือและสุดท้ายเราก็คลาดกัน เขาก็เลยย้อนกลับไปที่โรงเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือแต่พอไปถึงกลับพบแต่ความพินาศ”
“พินาศ? เกิดเรื่องที่โรงเรียนเหรอครับ?” อี้ชิงพยักหน้าเป็นคำตอบ “จงอินเลยช่วยพวกเขาออกมาเหรอ?”
“เปล่า คุณกาฮีกับลูกศิษย์ของเธอมาที่ท่าเรือตามที่พวกคุณเคยบอกไว้ เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ทำให้รั้วโรงเรียนพัง และที่คุณเห็นในวันนี้ก็คือนักเรียนทั้งหมดที่เหลืออยู่”
“...”
“ทุกคนเสียหลักเพราะคิดว่าคุณตายไปแล้วจนกระทั่งวันนั้นที่ลู่หานได้เจอคุณ
มันเลยกลายเป็นว่าต้องมาปรึกษาว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ ชานยอลกับลู่หานมีปากเสียงกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างมีเหตุผลของตัวเอง ชานยอลบอกว่าเห็นคุณถูกยิงกับตาในขณะที่ลู่หานเถียงหัวชนฝาว่าคุณยังมีชีวิตอยู่”
“ชานยอล...”
“แรงกดดันจากคนรอบข้างบวกกับภาระหนักก่อนหน้านี้ที่แบกรับเอาไว้คนเดียวเลยทำให้เขาทนต่อไปไม่ไหว”
“...”
“มันทำให้ผมรู้ว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลยคือคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด” อี้ชิงเก็บกล่องยาแล้วถอนหายใจ “บางคนเลือกที่จะระบายความอัดอั้นให้คนอื่นฟังในขณะที่ปาร์คชานยอลเลือกที่จะเก็บเอาไว้ในใจ”
“...”
“ในสถานการณ์แบบนั้นถ้าให้เลือกระหว่างอยู่กันเป็นกลุ่มกับอยู่ตัวคนเดียวคุณคิดว่าอะไรดีกว่ากันเหรออี้ฟาน?”
“การอยู่กับทุกคนเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผม”
“ผมหวังว่าชานยอลจะคิดเหมือนกันกับคุณ” ร่างผอมหันมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย “การที่คน ๆ หนึ่งยอมทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วเลือกออกไปเผชิญกับโลกภายนอกตามลำพังได้นั่นหมายความว่าเขาคงถึงจุดขีดสุดของความอดทนแล้วจริง ๆ ”
“...”
“ตอนที่จงอินบอกว่าแบคฮยอนอยู่กับชานยอลมันทำให้ผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก” อี้ฟานยังคงตั้งใจฟังคนข้าง ๆ พูดถึงใครอีกคนที่เขาเห็นเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง “เขาไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง? นั่นคือคำถามแรกในหัว”
“...”
“กับคนที่คิดหนีไปนั่นหมายความว่าเขาพร้อมที่จะตัดทุกอย่างแล้ว และการที่จะตามหาคุณมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด กว่าพวกเขาจะเจอคุณก็ปาไปแล้วกี่วัน? มันทำให้ผมประหลาดใจจริง ๆ ”
“เขาไม่ใช่คนเลวหรอกครับ”
“ปาร์คชานยอลเป็นคนดีที่หมดความอดทนแล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมรู้”
“ทุกอย่างมันมีเหตุผล ขนาดตอนที่เราคิดว่ามันไร้เหตุผลมันก็ยังมีเหตุผลซ่อนอยู่ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น”
“แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเหตุผลนั้น”
“มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทำให้ทุกคนบนโลกเข้าใจเรา”
“เพราะเหตุผลนี้ผู้ชายคนนั้นถึงได้เลือกที่จะไม่พูดสินะ”
“ถ้าพูดแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันแย่ผมก็คงไม่อยากพูด”
“คงมีแค่คุณกับผมที่ดูเหมือนจะเข้าข้างเขา” อี้ชิงแค่นหัวเราะ
“ผมไม่เข้าข้างใคร” ร่างผอมหันมามองคนข้าง ๆ ที่กำลังพูดด้วยแววตาจริงจัง “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ทุกคนอยู่ข้างเดียวกัน”
“ความเป็นไปได้ของคุณมันริบหรี่มาตั้งแต่แรกแล้วอี้ฟาน” เขาเว้นจังหวะเพื่อถอนหายใจแค่ครู่เดียวก่อนจะเงยหน้ามองร่างสูงอีกครั้ง “ทุกคนมาจากต่างที่ ความคิดความอ่านไม่เหมือนกัน มันเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้โดยที่ไม่มีปากเสียงกันเลย”
“เป็นไปได้ยากแต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ”
“...”
“ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้ายอมลดทิฐิลงสักนิดแล้วถอยหลังคนละก้าว ทุกคนก็จะอยู่ร่วมกันได้” ทั้งคู่เงียบไปแล้วนึกถึงผู้ชายคนนั้นที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ในทีแรกก็เป็นห่วงอยู่แล้วแต่พอรู้ว่าแบคฮยอนอยู่ด้วยก็ยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิม
“คุณคิดว่าเขาจะกลับมาไหม”
“...”
“เขาจะกลับมาส่งแบคฮยอนแล้วหนีไปหรือว่าจะหายไปด้วยกัน”
“คุณไม่คิดว่าเขาจะกลับมาพร้อมกันเหรอครับ?”
“ชานยอลเป็นคนอีโก้สูง จากที่เคยคุยกันมันทำให้ผมรู้สึกไปในทางนั้น” พูดจบก็เงยหน้ามองคนที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าเสื้อที่เปียกชุ่มขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนจะหันมายิ้มให้อีกคน
“เขาจะต้องกลับมา”
“...”
“ผมเชื่ออย่างนั้น”
ลู่หานเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วก็หยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเห็นมินซอกนั่งอยู่ขอบเตียง คนตัวเล็กยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่มันกลับน่ารักในสายตาเขาเพียงแค่เห็นขวดน้ำและยาที่อยู่ในมือ
“เห็นคุณคัดจมูก” ประโยคนี้เรียกรอยยิ้มจากเขาได้เป็นอย่างดี ลู่หานเดินไปนั่งข้าง ๆ แล้วกระแซะตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิบยาขึ้นมาใส่ปากทั้งที่ยังจ้องหน้ามินซอกอยู่ไม่ละสายตา
“เป็นห่วงพี่เหรอ”
“โตแล้วคิดเอาเอง”
“ถ้าให้คิดเองพี่ก็คงคิดว่าเปาจื่อรักและห่วงพี่มาก~จนไม่อยากให้เป็นอะไรไป”
“ถนัดนักล่ะเรื่องพูดเข้าข้างตัวเองเนี่ย” คนตัวเล็กพึมพำก่อนจะดึงเอาผ้าขนหนูที่พาดอยู่กับคอขึ้นมาเช็ดผมที่ยังไม่แห้งดี แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละคนข้าง ๆ ก็หยิบยื่นความหวังดีโดยการช่วยถอดแว่นออกแล้วเช็ดผมให้เขา
“ปวดหัวหรือเปล่า?”
“ไม่ปวด”
“แล้วตรงนี้ล่ะ” ไม่พูดอย่างเดียวมือไม้ก็เลื่อนลงมาแตะแผลที่ริมฝีปากบางที่มีรอยช้ำจากการต่อสู้บนดาดฟ้า “น่ากลับไปกระทืบแม่งให้ตายซ้ำอีกรอบ กล้าดียังไงมาทำปากตัวเล็กของพี่เป็นแผล” มินซอกมองหน้าอีกคนที่โน้มลงมาใกล้ ๆ เพื่อดูรอยฟกช้ำตรงริมฝีปากเขา
“ผมไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวพี่ไปถามอี้ชิงว่าพอจะมียาทาไหม แต่เดี๋ยวนะ...ถ้าทาแล้วจะไม่เผลอกินตอนเลียปากเหรอ”
“เดี๋ยวก็หายแล้วไม่ต้องทายาอะไรทั้งนั้นแหละ” ลู่หานเลิกคิ้วมองเมื่อจู่ ๆ มินซอกก็ปัดมือเขาออกก่อนจะเอาผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมให้กับเขาบ้าง
“พี่ฝันอยู่แน่ ๆ เลย”
“งั้นก็รีบตื่น”
“เรื่องอะไรจะยอมตื่น” ลู่หานหัวเราะพอใจแล้วเลื่อนมือขึ้นไปเช็ดผมให้มินซอกอีกครั้ง
“ลู่หาน”
“จ๋า?”
“ทำไมถึงไว้ใจผมขนาดนั้น” ร่างโปร่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถามทั้งที่ยังยิ้มอยู่ มินซอกค้างมืออยู่ในท่านั้นแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง “ทำไมถึงบอกให้ผมยิง ทั้งที่ผมอาจจะพลาดยิงโดนคุณก็ได้” ลู่หานไม่ได้ตอบในทันที เขาเงียบไปครู่หนึ่งราวกับใช้ความคิดแต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะเชื่อใจก็คงน้ำเน่าเกินไป”
“...”
“แต่ถ้าเราไม่ยิงมันก็เล่นพี่อยู่ดี ถ้าให้เลือกระหว่างตายคนเดียวกับตายคู่พี่เลือกตายคนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ”
“คุณชอบทำเหมือนตัวเองมีเก้าชีวิต ตั้งแต่คราวแบคฮยอนแล้วนะ”
“แบคฮยอน...” ลู่หานขมวดคิ้วทำหน้าคิดไปถึงเหตุการณ์ตกท่อวันนั้นก่อนจะหลุบสายตาลงมองอีกคนที่กำลังมองคาดโทษเขา “อ๋อ...”
“ยังจะอ๋อ...”
“เปาจื่อหึงพี่เหรอครับ”
“หึงบ้าอะไรล่ะ”
“เอ้า เดินไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองตอนนี้หน่อยไหม นี่หึงจนหน้าแดงไปหมดแล้ว” ลู่หานกลั้นขำก่อนจะลูบแขนป้อย ๆ เมื่อถูกฟาดเต็มแรง
“กวนเหรอ”
“หรือจะปฏิเสธ”
“ปฏิเสธ เพราะผมไม่ได้หึงคุณ”
“จริงดิ?” ลู่หานยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ จนปลายจมูกชนกัน มินซอกยังคงปั้นหน้านิ่งไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม “เปาจื่อ~”
“...”
“นี่”
“...”
“จะไม่พูดกับพี่จริง ๆ เหรอ?”
“แบคฮยอนหายไปแบบนี้คุณไม่เป็นห่วงเขาหรือไง”
“ห่วงสิ” ลู่หานยิ้มก่อนจะจุ๊บปากอีกคนเบา ๆ แล้วผละออก “แต่มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ตอนนี้แบคฮยอนก็เป็นเหมือนน้องคนนึง” ลู่หานอธิบายเพื่อให้คนที่เขารักเข้าใจ มันคงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้มินซอกเข้าใจผิดแบบนี้
“...”
“ขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อพี่อีกเหรอ”
“รู้แล้ว” ก้มลงดูมือตัวเองที่ถูกกุมไว้ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเกี่ยวก้อยกัน มินซอกเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยิ้มกว้างแล้วก็ต้องหลับตาลงเมื่อถูกจุ๊บปากอีกครั้ง “เจ็บ...”
“เจ็บกับรู้สึกดีเลือกอะไร”
“บางทีผมอาจจะไม่ได้รู้สึกดีกับจูบของคุณ”
“แต่ถ้ามากกว่าจูบจะรู้สึกดีใช่ไหม? โอ๊ย ๆ ” คนขี้แกล้งยิ้มร่าแล้วยกมือขึ้นบังฝ่ามือเล็กที่กำลังหวดเขาไม่หยุด ลู่หานล้มลงไปนอนราบกับเตียงแล้วดึงอีกคนให้ลงมานอนทับร่างของเขา “อย่าทำหน้าบึ้งสิเปาจื่อ ยิ้มได้แล้วนะ”
“...”
“คิดอะไรอยู่ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ” ตวัดแขนโอบกอดเอวคนที่นอนอยู่บนตัวพร้อมกับยิ้มกว้าง
“จนถึงตอนนี้ผมก็ยังกลัวไม่หาย”
“เรื่องอะไรครับ” ถามพร้อมไล้นิ้วหัวแม่มือไปตามแก้มอีกคน
“เรื่องที่ผมฆ่าคนตายไปเกือบสิบคน”
“ถ้ารู้สึกผิดกับเรื่องฆ่าคนตายมันก็ไม่แปลกหรอกเพราะพี่ก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ฆ่ามัน...มันก็ฆ่าเรา นั่นคือเรื่องจริงในสังคมปัจจุบัน”
“...”
“ถ้ารู้สึกผิดเดี๋ยวพี่จะพาไปสารภาพบาปที่โบสถ์ โอเคไหม?” มินซอกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “สารภาพบาปเสร็จปุ๊ปก็เข้าพิธีแต่งงานกันเลย โอ๊ย!” ลู่หานจับปากตัวเองเมื่อถูกคนตัวเล็กตบเข้าอย่างแรง
“ผมเกือบยิงโดนคุณ”
“มันก็แค่เกือบ คนเก่งของพี่ไม่มีทางยิงพลาดอยู่แล้ว”
“ถ้าทุกอย่างที่มองเห็นมันพร่ามัวไปหมด แล้วคุณอยู่สถานภาพเดียวกับผมในตอนนั้นคุณจะทำยังไง” รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปเมื่อได้ยินคำถาม ลู่หานหลุบสายตาลงแล้วคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าเกิดว่าเขาอยู่ในจุดนั้น
“พี่คงไม่กล้า”
“...”
“เพราะถ้ายิงพลาดไปโดนเรา พี่ก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“...”
“ฟังดูเว่อดีไหม?” ลู่หานหัวเราะเบา ๆ กับประโยคที่พูดออกไป เขาไม่ค่อยถนัดหรอกไอ้เรื่องพูดคำซึ้ง ๆ เนี่ย ก็แค่พูดตามที่สมองคิดเท่านั้น ร่างโปร่งหุบยิ้มลงเมื่ออีกคนโน้มตัวลงมาซบหน้ากับแผงอกเขาพร้อมกับกำเสื้อเอาไว้หลวม ๆ
“ไม่หรอก”
“...”
“เพราะผมก็รู้สึกไม่ต่างจากคุณ...”
ไม่ต้องพูดอะไรอีก ลู่หานพลิกตัวอีกคนให้มานอนข้าง ๆ ก่อนจะรั้งเอวเข้ามากอดแนบอก มินซอกซุกหน้าลงพร้อมกับกอดตอบ ร่างโปร่งกดจูบลงบนเรือนผมคนตัวเล็กแล้วหลับตาลง ความอบอุ่นของร่างกายเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ในตอนนี้ว่าลู่หานยังคงหายใจและอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ไปไหน...
“รู้สึกไม่ต่างกันนั่นหมายถึงความรักด้วยหรือเปล่า...มินซอก”
“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม?” คยองซูหันไปมองคนตัวสูงที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับผ้านวมสองผืน เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับตัวไปไหน เห็นได้ชัดว่าโดคยองซูยังมีความเกรงใจกับการที่ต้องอยู่ในห้องของคนที่มีเจ้าของแล้ว
“ชุดนี้ของคนที่ชื่อแบคฮยอน เซฮุนบอกว่าผมใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกับเขา” อี้ฟานวางผ้านวมลงบนพื้นแล้วเงยหน้ามองอีกคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม “ผมนอนพื้นได้”
“...”
“ผมไม่ชอบสิทธิพิเศษที่พ่วงมากับความอึดอัดสักเท่าไหร่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินมาปูผ้านวมลงบนพื้น อี้ฟานได้แต่ยืนมองอีกคนโดยที่ไม่พูดอะไร
“ฉันรู้ว่านายคงไม่อยากอยู่ที่นี่และฉันก็ไม่รู้ว่าที่ไหนมันถึงจะดีสำหรับนาย แต่การที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้มันก็ต้องเริ่มต้นจากการพูดคุย”
“ผมคุยกับโอเซฮุนแล้ว”
“ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี” ร่างสูงนั่งลงกับขอบเตียงทั้งที่ยังคงมองอีกคนที่กำลังลูบผ้านวมให้เรียบ “นายดูเป็นคนเจ้าระเบียบ”
“พอ ๆ กับคุณที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น” ถึงจะชะงักไปครู่หนึ่งแต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินโดคยองซูตอกกลับด้วยคำพูดแบบนี้
“นายอายุเท่าไหร่”
“ถ้าผมอายุน้อยกว่าที่คุณคิดเอาไว้ ผมก็จะกลายเป็นเด็กเวรทันทีสินะ”
“...”
“ผมอายุยี่สิบ ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ”
“เป็นเกียรติที่ถูกถาม”
“ตอนแรกที่รู้ว่าจำเป็นต้องอยู่กับคนแปลกหน้าพวกเราก็เป็นแบบนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด ทุกคนอยู่ในสภาวะหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น จมอยู่กับความเศร้าหลังจากสูญเสียคนที่รัก แต่อยู่ ๆ วันหนึ่งความจำเป็นนั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้”
“...”
“เชื่อว่านายคงไม่อยากฟังเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไหร่ แต่ฉันก็แค่อยากเล่าให้ฟัง”
“ขอหมอนหน่อย” อี้ฟานโยนหมอนให้แล้วคนตัวเล็กก็รับไว้ได้พอดี “คุณอยู่กับพวกเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่โลกเปลี่ยนไป”
“ก็นานพอสมควร”
“แล้วนายล่ะ”
“...”
“มาจากไหน แล้วไปอยู่กับคนพวกนั้นได้ยังไง?”
“...”
‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป’
‘เราจะไม่มีวันทิ้งกัน มึงคือเพื่อนตายของกูคยองซู’
คำพูดที่เหมือนกับเชือกที่ผูกคอเอาไว้ให้หลงเชื่อ ลมปากที่ใครก็พูดได้แต่แลกกับความไว้ใจ โดคยองซูรู้สึกดีกับคำพูดเหล่านั้นจนไม่ทันคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องโกหกที่ไม่ว่าใครที่ไหนก็พูดได้ทั้งนั้น การได้รับความสำคัญจากเพื่อนสนิทมันเป็นเรื่องพิเศษและเขาก็ใส่ใจกับเรื่องนี้มาตลอด ไม่เคยมีคำว่าห้าสิบห้าสิบเพราะโดคยองซูให้เพื่อนเต็มร้อยเสมอ...แต่...
‘กูขอโทษนะคยองซู...’
รอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายของผู้คนมากมายที่กำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดพวกผีดิบบนถนนเส้นใหญ่ใจกลางเมือง ขณะที่กำลังวิ่งหนีเขาพลาดสะดุดล้มจนถูกตัวกินคนที่คลานอยู่บนพื้นดึงขาเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทที่เคยบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน เขายังจำสีหน้าของอีกคนได้เป็นอย่างดี สีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ปอดแหก ลนลานเพราะกลัวตายขึ้นสมอง อีซองวูหันซ้ายขวาก่อนจะมาหยุดสายตาอยู่ที่เขา...คนที่กำลังตะเกียกตะกายหาทางหนีพร้อมกับยื่นมือขึ้นไป
แต่แล้วยังไง...
‘อย่าทิ้งกูซองวู...อย่าไป!’
“นอนพักผ่อนเถอะ” พอเห็นสีหน้าคยองซูไม่ค่อยดีนักเขาก็ไม่อยากรบเร้ามากไปกว่านี้ คยองซูทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับดึงผ้านวมขึ้นมาห่มแล้วประสานมือไว้ตรงช่วงอก ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ กับเรื่องที่ได้ฟัง นี่คือต้นเหตุที่ทำให้โดคยองซูไม่อยากไว้ใจใครอีกสินะ
“สิ่งที่แย่ที่สุดคือความผิดหวังที่มาจากคนที่เราไว้ใจมากที่สุด”
“...”
“คุณโชคดีแล้วที่พวกเขารักคุณ” เด็กหนุ่มพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น “แต่อย่าพยายามทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับคุณเลย...มันไม่มีประโยชน์หรอก” รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่สิ้นหวังไร้ซึ่งความศรัทธา เป็นเพราะโดคยองซูเคยทุ่มเทให้กับความเชื่อใจมาก...เขาก็เลยเจ็บมากเมื่อถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“ฮัดเช้ย!”
พอเปิดประตูเข้ามาก็ได้การต้อนรับเป็นเสียงจาม จงอินมองไปยังใครอีกคนที่กำลังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม ขายาวเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะถอดชุดออกทั้งที่ยังมองคนที่นอนอยู่บนเตียง คว้าเสื้อผ้าออกมาจากราวแล้วใส่กางเกงก่อนและตามด้วยเสื้อไหมพรมสีขาวพร้อมกับขาที่ก้าวไปหยุดอยู่ข้างเตียง
“เฮ้” เขย่าก้อนกลม ๆ ที่อยู่ใต้ผ้าห่มแล้วอีกคนก็พลิกตัวหันหน้าเข้าหา เห็นหน้าแดง ๆ บวกกับตาที่ปรือมองมาที่เขาแล้วก็พอจะเดาได้ง่าย ๆ ว่าโอเซฮุนกำลังไข้ขึ้น “ไหวเปล่าวัยรุ่น”
“ไม่ไหวแล้วครับ...” เปลือกตาปิดลงทันทีที่หลังมือหนาทาบกับหน้าผาก “แบคฮยอนกลับมาหรือยังครับ” ถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น
“ยังไม่กลับ” ร่างบางลืมตาขึ้นมองอีกคนที่กำลังเลื่อนมือลงมาทาบกับซอกคอเขาเพื่อวัดไข้ “อยู่กับชานยอลคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก”
“กลับกันแล้วผมว่าน่าเป็นห่วงกว่าเดิมอีก”
“...”
“การที่ได้เจอกับคนที่หนีไปอีกครั้ง ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังรู้สึกยังไง” เขาลืมคิดไปเลยว่าปาร์คชานยอลกับเด็กนั่นไม่ได้อยู่ในสถานะเหมือนกับคนอื่น ๆ ร่างหนาโน้มตัวลงไปนอนข้าง ๆ แล้วเซฮุนก็เข้ามานอนเบียด จงอินหลุดขำออกมาเบา ๆ กับท่าทางของอีกคนที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก
“ป่วยแบบนี้ก็ดีนะ” พูดพร้อมกระชับกอด เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ดียังไงเหรอครับ”
“ข้างนอกหนาวมากแต่ตัวนายดันร้อนอย่างกับไฟ มันทำให้ฉันอุ่นตอนที่กอดนายแบบนี้ไง” กะแล้วว่าจงอินต้องพูดให้เขายิ้มได้ เซฮุนจับมืออีกคนขึ้นมาทาบแก้มตัวเองพร้อมกับอมยิ้ม
“งั้นก็ถือว่าแลกกัน เพราะผมก็ชอบที่ตัวคุณเย็นแบบนี้”
“เคยบ้างไหมที่จะไม่สวนกลับด้วยคำพูดแบบนี้น่ะ” จงอินขยับปากบ่นอุบอิบเมื่อโดนคนตรงหน้าดาเมจใส่ครั้งที่ล้านห้า เซฮุนยิ้มตาหยีแล้วก่ายขาเข้ากับเอวหนา “เป็นลิงหรือไง” เซฮุนพยักหน้า “ป่วยแล้วเป็นงี้เหรอ”
“เป็นยังไงครับ”
“อย่างนี้แหละ”
“คุณไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ชอบ”
“คุณชอบ”
“บอกว่าไม่ไง”
“ชอบ”
“โอเซฮุน”
“คิมจงอิน”
“ป่วยแล้วยังซ่า เดี๋ยวจะโดนนะ”
“ครับ?” เงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่กำลังมองคาดโทษเขาอยู่ จงอินเขี่ยปลายจมูกรั้นอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะสอดแขนเข้าไปใต้ท้ายทอยเพื่อให้คนป่วยนอนสบายขึ้น “จู่ ๆ ก็นึกถึงตอนนั้น”
“ตอนไหน”
“ตอนที่คุณไม่สบายแล้วผมก็อยู่เช็ดตัวให้ทั้งคืน” เซฮุนหัวเราะ จะว่าไปแล้วตอนนั้นเขาสองคนยังมึน ๆ งง ๆ กันอยู่เลย
“จะทวงบุญคุณว่างั้น”
“เปล่านะครับ”
“แล้วยังไง จะให้ฉันอยู่เช็ดตัวให้นายบ้างงั้นสิ แต่ฝันไปเถอะเพราะฉันง่วงมากและจะชัทดาวน์ตัวเองในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้”
“...”
“อะไร มองแบบนี้หมายความว่าไง” สีหน้าหงอย ๆ ที่ดูแล้วก็รู้ว่าแกล้งทำนี่มันน่าหมั่นไส้ชะมัด
“ฮัดเช้ย! ไม่เป็นไรครับ...ผมรู้ว่าเรื่องนอนสำคัญกว่า” นั่น...มีตัดพ้อ
“...”
“ฝันดีล่วงหน้านะครับจงอิน” พูดจบก็พลิกตัวนอนหันหลังให้ นี่คืออะไร โอเซฮุนกำลังงอนเขาอยู่งั้นเหรอ
“นี่”
“ผมหลับแล้ว”
“โอเซฮุน”
“หลับอยู่”
“หลับแล้วลิงที่ไหนตอบ หันหน้ามานี่”
“...”
“กินข้าวกินยาก่อนแล้วค่อยนอน” พลิกตัวร่างบางให้หันกลับมามองหน้ากัน จงอินจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้นที่กำลังเรียกร้องคะแนนสงสารแล้วก็ใจอ่อนจนได้ “เดี๋ยวไปเอาข้าวกับยามาให้ อย่าเพิ่งหลับนะ”
“อะไรนะครับ?”
“อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ” ถนัดนักล่ะไอ้เรื่องทำให้เขาเสียฟอร์มเนี่ย จงอินลุกขึ้นยืนเพื่อไปหาข้าวหาน้ำให้แต่ก็ถูกรั้งแขนเอาไว้ เซฮุนส่ายหน้าเป็นเชิงบอกอีกคนไม่ให้ไปแล้วเขาก็เอนตัวลงไปนอนที่เดิมอย่างปฏิเสธไม่ได้ “อะไร”
“อยู่กับผมก่อน”
“นี่กำลังอ้อนอยู่หรือไง?”
“ไม่ได้อ้อนครับ แค่พูดตามที่รู้สึก”
“รู้สึกว่า?”
“ผมอยากอยู่กับคุณ”
“...”
“ตอนนี้ผมไม่อยากทำอะไรนอกจากนอนกอดคุณจนหลับไป”
“เฮ้” เอาอีกแล้วนะไอ้เด็กคนนี้ เมื่อไหร่จะเลิกพูดอะไรที่ทำให้เขาใจสั่นสักที
“อยู่กับผมก่อนนะครับจงอิน” ไม่พูดอย่างเดียว คนป่วยขยับเข้ามานอนกอดบดเบียดหาความอบอุ่นจากตัวเขาอีกครั้ง จงอินค้างอยู่ในท่านั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะวางมือไว้ตรงไหน หลุบสายตาลงมองอีกคนที่นอนนิ่งไม่ขยับตัวก่อนจะค่อย ๆ กอดตอบ
“ไม่กินข้าวกินยาแล้วจะหายไหม?”
“...”
“โอเซฮุน”
“...”
“เด็กบ้าเอ๊ย...” ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัวไหล่ให้ก่อนจะกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วลูบหัวคนที่ผล็อยหลับไปแล้ว นึกย้อนไปถึงวันนั้นที่เขาไม่สบาย ถึงภาพมันจะเลือนรางไม่ชัดเท่าที่ควรแต่เขาก็จำได้...ว่าคนที่อยู่เช็ดตัวและมอบความอบอุ่นผ่านทางอ้อมกอดนั้นให้ตลอดทั้งคืนคือใคร...
“ถึงนายไม่พูดฉันก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
TBC
เลี่ยนทุกคู่
#งานเบ้ปาก #งานเลี่ยน #งานอิจ
ผ่อนคลายกันบ้างนะคะ วิ่งหนีซอมบี้กันมาสองตอนติดแล้ว บางคนบอกว่าเห้ยนี่มันฟิคซอมบี้นะ จะสวีทจะรักกันไปไหน คือมันเป็นฟิควายไงคะที่รัก เป็นฟิคหนีซอมบี้ที่มีมนุษย์รักกัน แล้วคือมันต้องมีสถานที่ ๆ ปลอดภัย ไม่ใช่ว่าจะต้องวิ่งหนีซอมบี้กันทุกตอน ถ้าเป็นงั้นคือตายจ้าา 5555 ต่อให้มีซอมบี้จริง ๆ เราเชื่อว่ายังไงคนเราก็ยังโหยหาความรักนะ ถึงโลกจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ #คือจะแก้ตัวให้ฉากเลี่ยนทั้งหมดในตอนนี้น่ะเรื่องของเรื่อง
แจ้งข่าวสำหรับคนที่เข้าไปอ่านฉาก CUT ไม่ได้ คือเราเปลี่ยนบล็อกใหม่แล้วนะเพราะอันเก่าโดนสแปมไปเรียบร้อยทั้งสองอันเลย ยังไงก็ตามดูในไบโอทวิตมลินค่ะได้เลยนะคะ
ความคิดเห็น