คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 :: Infection
Chapter 4
Infection
“สรุปคือลู่หาน อี้ฟาน แล้วก็แบคฮยอนที่ต้องออกไป...”
“ผมขอไปแทนแบคฮยอน” แบคโฮโพล่งขึ้นมา ทุกคนมองร่างสูงเดินไปกอดปลอบน้องชายที่กำลังช็อคอยู่แล้วก็พูดไม่ออก
“เอางี้ เดี๋ยวฉันไปเองแล้วกัน ใจคอก็ไม่อยากนั่งนอนอยู่เฉย ๆ หรอก” จงอินลุกขึ้นยืนแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงของใครอีกคน
“ไหนบอกว่าไม่มีการอาสาอะไรทั้งนั้นไง?”
ทุกคนเงียบพลางหันไปมองชานยอลที่ทำหน้านิ่งนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้
“ทำไมล่ะบยอนแบคฮยอน แค่นี้ถึงกับกลัวขึ้นสมองเลยหรือไงหื้ม?” ร่างสูงแค่นยิ้มมองคนตัวเล็กที่กำลังกอดพี่ชายแน่น
“ไม่เอาน่าชานยอล นายก็รู้ว่าแบคฮยอนเป็นยังไง” ลู่หานพอเข้าใจกับสถานการณ์กำลังตึงเครียดของสองคนนี้ดี ตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกัน ทั้งทางก็เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ คนหนึ่งออกความเห็น อีกคนก็คอยแย้ง ถ้าขืนปล่อยให้ชานยอลพูดต่อไปมีหวังเด็กนั่นช้ำใจตายคาอกพี่ชายแน่
“แน่นอน ผมรู้ว่าบยอนแบคฮยอนเป็นคนปอดแหกและกลัวตายมากแค่ไหน...” ทั้งสายตาและคำพูดส่งไปยังคนตัวเล็กที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง รอยยิ้มที่ดูสะใจตอนเห็นเขาจับไม้สั้นได้
“...”
“...”
“ผมจะไป...” แบคฮยอนพูดเสียงสั่น น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ผละตัวออกจากพี่ชายแล้วมองใครอีกคนตาขวาง...
“แบคฮยอน...”
“ถ้าผมตาย...คุณคงพอใจ”
จากที่เบือนหน้าหลบไปทางอื่นก็ต้องหันกลับมามองคนตัวเล็กที่พูดจาตัดพ้อคลอน้ำตา ปาร์คชานยอลเลิกคิ้วมองด้วยสีหน้านิ่งราวกับไม่ใส่ใจอะไรกับประโยคเมื่อครู่
“แต่คุณจะต้องผิดหวัง...เพราะผมจะไม่ยอมตายเด็ดขาด” แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่น ปาดน้ำตาออกลวก ๆ ก่อนจะเดินหนีออกไปข้างนอก พอเห็นอย่างนั้นลู่หานเลยลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินตามแบคฮยอนไปแต่จงอินเอามือกดไหล่ให้เขานั่งลงที่เดิม
“มึงอยู่นี่ วางแผนกับคนอื่น ๆ ว่าจะเอาไง ส่วนแบคฮยอนเดี๋ยวกูจัดการเอง” พูดกับลู่หานแต่ประโยคหลังมองหน้าพี่ชายที่อาสาสมัครไปแทนน้อง
“ฝากด้วยนะ” แบคโฮหันไปบอกจงอิน ร่างหนาพยักหน้ารับก่อนจะมองหน้าเป็นเชิงเรียกเจ้าของบ้านให้ออกมาข้างนอกด้วยกัน ซึ่งอี้ฟานก็ไม่รอให้อีกฝ่ายปริปาก เขาเดินตามหลังจงอินออกไปแล้วหยุดอยู่ตรงทางเข้าห้องนั่งเล่น
“ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ะว่าการจับไม้สั้นไม้ยาวมันจะเวิร์ค” จงอินทำสีหน้าคิดไม่ตก พอมาถึงตอนนี้เขากำลังกังวลว่าการออกไปเผชิญความเสี่ยงในเมืองกันแค่สามคนนั้นมันท่าจะไม่ไหว
“ผมรู้ แต่คุณควรอยู่ที่นี่กับสองคนนั้น”
“ผมไปกับพวกคุณดีกว่า พวกเขาดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอก คุณอย่าลืมว่าเมื่อคืนก่อนมีรถขับผ่านไปอยู่หลายคัน ถ้าคิดในแง่ดีคืออย่างน้อยก็ยังมีคนที่รอดชีวิต แต่คิดในแง่ร้าย...บางทีพวกเขาอาจจะแวะเข้ามาปล้นของ ๆ เราเหมือนที่เรากำลังจะทำก็ได้”
“...”
“รั้วหนามก็กันพวกกินคนได้แค่ไม่กี่ตัว ถ้ามันมากันเป็นฝูงรั้วของเราคงกันเอาไว้ไม่อยู่” ร่างสูงพูดพลางมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง จงอินลอบถอนหายใจแล้วขยี้หัวแรง ๆ
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมคิดว่าคุณคงแก้สถานการณ์ได้ ผมจะทิ้งลูกซองไว้ให้แล้วจะรีบกลับมาก่อนฟ้ามืด”
“ตอนแรกไม่เห็นจะใจดีแบบนี้” พอเห็นร่างสูงมีน้ำใจก็อดที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ อี้ฟานทำหน้านิ่งก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“จะให้ทำยังไงล่ะ? ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่...”
.
.
“เราต้องใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงกับการเดินทาง ในตัวเมืองมีมินิมาร์ท ซุปเปอร์มาเกต โรงเรียน โรงพยาบาล อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่อำนวยความสะดวกได้”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าที่นั่นจะยังเหลืออะไรไว้ให้เราขนกลับได้บ้าง?” ลู่หานมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของบ้าน
“อาจจะยังเหลืออยู่ แต่เรื่องความปลอดภัยเป็นศูนย์ ผมเห็นคาตาว่ามีคนถูกกัดเยอะมากในเช้าวันที่สองหลังเกิดเหตุการณ์นั้น และถ้ายังมีคนรอด...แน่นอนว่าพวกเขาคงมีเป้าหมายเดียวกันกับเรา”
“แห่ไปปล้นสะดมกันหมดสินะ?”
“และถ้าเป็นอย่างนั้นเราต้องมีแผนสำรอง ซึ่งมันอาจจะเสี่ยงหน่อย”
“ยังไง?” แบคโฮขมวดคิ้ว
“ก็ถ้าหมดหวังกับมินิมาร์ท...เราก็ต้องแวะทักทายบ้านระแวกนั้น...ถูกไหม?” ลู่หานมองหน้าอี้ฟานราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ร่างสูงพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเก็บแผนที่ก่อนจะเดินหายออกไปข้างนอกและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับอาวุธหลากชนิด
“นี่เป็นอาวุธที่ผมหามาได้จากซากศพตำรวจและทหารที่ถูกกัดตายในเมือง”
“แต่เราใช้ปืนไม่ได้นี่ครับ” แบคโฮมองหน้าร่างสูงที่กำลังยัดกระสุนใส่แม็กทีละลูก
“ใช่ แต่ถ้ามันจำเป็น มีด...ไม้...อาวุธพวกนี้ช่วยชีวิตเราได้ไม่ทันหรอก” อี้ฟานพูดถูก ลู่หานหยิบปืนพกตำรวจรุ่น CZ 75 Compact มาถือไว้ อาวุธพวกนี้เขาพอคุ้นตามาบ้างจากเกม Shooting ที่เขาเคยเล่น
.
.
“จะทำอะไร?”
คนตัวเล็กที่กำลังง่วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบเงยหน้าขึ้นมองใครอีกคนที่ยืนพิงประตูห้องเขาอยู่ แววตาเฉื่อยชาแบบนั้นไม่มีผลกระทบอะไรนักเพราะคิมจงอินมักจะทำสีหน้าแบบนั้นอยู่เสมอ
แบคฮยอนไม่ตอบคำถาม เขาดึงลิ้นชักออกแล้วเอามีดพกที่อยู่ในซองหนังสีน้ำตาลมาเหน็บไว้กับเอวแล้วหยิบไม้เบสบอลที่เจ้าตัวบอกว่ามันคือของรักของหวงของพี่ชายขึ้นมา
“ขอทาง” แบคฮยอนมองอีกฝ่ายที่ยังคงยืนเต๊ะอยู่หน้าประตูห้อง ตอนนี้เขาเตรียมพร้อมแล้วที่จะออกไปข้างนอก ออกไปเจอกับสิ่งเลวร้ายที่เขาไม่เคยเผชิญด้วยตัวเองมาก่อน
เขาจะแสดงให้ปาร์คชานยอลเห็นเอง...
ว่าบยอนแบคฮยอนไม่ได้ปอดแหกกลัวตายอย่างที่ถูกสบประมาทเอาไว้
“ขอถามอะไรก่อนได้ไหม เผื่อนายไม่กลับมาอีกจะได้ไม่ค้างคาใจ” ประโยคกวนประสาทส่งมาพร้อมกับสีหน้าตายแบบนั้น แบคฮยอนขมวดคิ้วมองร่างหนาพร้อมแสดงสีหน้าไม่พอใจ
“...”
“คือฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ค่อยออก ไอ้นี่มันแปลว่าอะไรเหรอ?” จงอินยื่นกระปุกช็อคโกแลตไปตรงหน้าพร้อมกับชี้จุดให้คนตัวเล็กอ่าน แบคฮยอนจ้องหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลง
“นูเทลล่า”
“มันต้องกินกับอะไรอ่ะ” คำถามโง่ ๆ ที่ตามมาพร้อมกับสีหน้าโง่ ๆ ของคนแกล้งโง่ จงอินทำตาปริบ ๆ ขณะรอคำตอบจากคนตัวเล็ก
“ขนมปัง ทีนี้หลีกทางให้ผมได้หรือยัง?”
“แล้วกินกับไอติมได้ไหม?” แบคฮยอนจิ๊ปากขมวดคิ้วมองค้อน จงอินเลิกคิ้วมองแล้วหมุนฝากระปุกช็อคโกแลตออกแล้วเอานิ้วชี้แตะมันออกมาชิม
“น่าจะได้แหละเนอะ”
“คุณกำลังทำให้ผมและคนอื่น ๆ เสียเวลา” คนตัวเล็กพูดเสียงแข็งก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงรถเคลื่อนตัวออกไปข้างนอก
ทั้งคู่รีบวิ่งไปหยุดที่หน้าต่างแล้วก็พบว่ารถกระบะสีดำกำลังขับออกไปตามทางรุกรังโดยที่ไม่รอเขา
“บ้าเอ๊ย!” กำปั้นเล็กทุบกระจกเบา ๆ แล้วไปมองคาดโทษคนข้าง ๆ ที่ยืนทำหน้าตาเฉย ไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องนี้
คิมจงอิน!!!
“ตกรถซะแล้ว”
“...”
“น่าเสียดายนะที่ไม่มีไอติม...แต่ก็ขอบใจนะ ฉันจะจำให้ขึ้นใจเลยว่ามันชื่อนูเทลล่า” จงอินยิ้มกว้างตบบ่าคนตัวเล็กปุ ๆ แล้วเดินออกไปข้างนอก
แบคฮยอนได้แต่มองตามรถคนนั้นที่ขับออกไปจนลับสายตา...รถคันนั้นที่มีพี่ชายเขานั่งอยู่ข้างใน...
.
.
“ถึงแล้ว” อี้ฟานปลดเข็มขัดนิรภัย แบคโฮที่นั่งอยู่ข้างหลังขมวดคิ้วสงสัยแล้วชะเง้อหน้ามองไปรอบ ๆ ที่มีแต่ต้นไม้กับป่าทึบ
“เราต้องเดินต่ออีกหน่อย เพราะถ้าขับรถเข้าไปพวกมันคงแห่กันออกมาต้อนรับไม่หวาดไม่ไหว”
พอได้ยินอี้ฟานอธิบายแบคโฮก็พยักหน้าเข้าใจ ทั้งสามคนเตรียมกระเป๋าเป้สะพายพร้อมกับกระเป๋าถืออีกคนละใบ ใช้เวลาเดินอยู่เกือบห้านาทีก็เห็นเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ...
เศษใบไม้แห้งปลิวว่อน ไร้คนกวาดเก็บ ถังขยะล้มเกลื่อนกลาดส่งกลิ่นเหม็นยามลมพัดโชย ทั้งสามคนยกมือขึ้นปิดจมูกแล้วเดินเลียบไปทางฟุตปาธ ลู่หานมองไปรอบ ๆ ตัวทุกฝีก้าวที่เดินไปข้างหน้า ถึงจะเงียบสงบแต่กลับเต็มไปด้วยความน่ากลัว
เห็นผีดิบที่เดินโซเซอยู่ไม่ไกล ทุกคนหยุดยืนกับที่เมื่อลู่หานเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก
“ฉันเอง” พูดแค่ให้ได้ยินกันสามคนก่อนจะคว้ามีดดาบขึ้นมาฟันคอผีดิบจนหัวขาดกระเด็นลงไปบนพื้น
เจ้าตัวทำตาโต อ้าปากหวอกับของเล่นใหม่ที่อานุภาพไฉไลโดนใจกว่ามีดที่ครัวบ้านของแบคโฮ เขาเอามีดเช็ดคราบเลือดกับเสื้อศพก่อนจะหันไปพยักหน้าเรียกเพื่อนร่วมทางอีกสองคนให้เดินตามมา
“ทำไมมันเงียบแบบนี้นะ?”
“ยิ่งเงียบ ยิ่งต้องระวังตัวไว้”
ทั้งสามคนหยุดอยู่หน้ามินิมาร์ทที่กระจกแตกเป็นชิ้น ๆ เกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นร้าน อีกทั้งชั้นวางของที่ล้มระเนระนาดและไฟฟ้าที่ติด ๆ ดับ ๆ
แกร่บ...แกร่บ...
รองเท้าหนังเหยียบลงบนเศษกระจกจนเกิดเสียง มีแค่อี้ฟานคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ปืนเก็บเสียงเป็นอาวุธ ร่างสูงหันมาส่งสัญญาณให้แยกกันเดินเช็คความเรียบร้อยภายในตัวร้าน ลู่หานและแบคโฮพยักหน้ารับก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ
“ทางนี้โล่ง”
“ฆ่าตายไปเมื่อกี้ตัวนึง ท่าทางจะเป็นแคชเชียร์” ลู่หานพูดเมื่อพวกเขาทั้งสามเดินวนมาเจอกันอีกครั้ง
“งั้นก็รีบเก็บของกันเถอะ” มือแกร่งรูดซิบกระเป๋าเป้ออกแล้วหันไปเก็บของใช้จำเป็นใส่กระเป๋า ใช้เวลาไม่นานนักเพราะของในร้านเหลือเพียงน้อยนิด สุดท้ายก็เดินมารวมตัวกันแล้วเปิดกระเป๋าแลกกันดู
“มีแค่นี้เองว่ะ อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ขนมปังหมดอายุ แต่ยังไม่ขึ้นราคิดว่าถ้ากินพรุ่งนี้เช้าก็คงทัน” ลู่หานดูท่าจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่ก็พอจะเข้าใจว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น ผู้คนก็คงแห่กันมาโกยของกินของใช้จำเป็นไปจนหมด
“แล้วจะเอายังไงดีครับ เราต้องเข้าไปในเมืองใช่ไหม?”
“แวะบ้านคนแถวนี้ก่อนดีป่ะ” ลู่หานเสนอความคิดเห็นจากความน่าจะเป็นไปได้ อี้ฟานยืนใช้ความคิดครู่หนึ่งและก็ไม่อยากจะเสี่ยงกับการเดินเข้าไปลึกกว่านี้ อีกอย่างรถของเขาก็จอดอยู่ไกล ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางมันคงแย่ต่อการหลบหนีแน่
“ผมเห็นด้วยกับลู่หาน เราควรแวะสำรวจบ้านระแวกนี้ก่อน”
การลงมติเป็นเอกฉันท์ ทั้งสามคนค่อย ๆ ก้าวออกไปข้างนอกอย่างใจเย็น เป้าหมายแรกคือบ้านที่อยู่ข้าง ๆ และก็เป็นลู่หานที่อาสาปีนหน้าต่างโดยได้รับการช่วยเหลือจากอี้ฟานที่เป็นบันไดให้เหยียบไหล่ขึ้นไป ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเด็กกรีดร้อง อี้ฟานและแบคโฮยืนจ้องหน้าต่างที่อีกคนเพิ่งเข้าไปอย่างจดจ่อก่อนที่ลู่หานจะโผล่ออกมานอกหน้าต่างพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่สะพายเข้าไป
“เก็บหมดแล้ว มีแต่ซีเรียลกับข้าวสาร นอกนั้นมีแต่ของกะโหลกกะลา”
“คุณโอเคใช่ไหม?” แบคโฮถามขณะที่ลู่หานกระโดดลงมาข้างล่าง
“โอเค ผีดิบเด็กกับซากศพแม่ เกือบทำไม่ลงแล้ว” ลู่หานลอบถอนหายใจแล้วรับกระเป๋าเป้ของอี้ฟานมาสะพายไว้ ส่วนเป้ใบหนักที่สุดร่างสูงสะพายไว้เอง
ครืนนนนน....
ทันทีที่ได้ยินเสียงรถ ทั้งสามคนก็หมอบลงหลังพุ่มไม้ บนถนนเส้นนั้นมีรถกระบะคันหนึ่งกับเด็กวัยรุ่นอีกห้าหกคนที่กำลังลงมาจากรถพร้อมกับกรงไม้และชายหนุ่มที่ถูกล็อคแขนเอาไว้...
“ฮ่า ๆ เอามันเข้าไปในกรง!”
“พวกนายจะทำอะไร อย่าทำแบบนี้เลยนะ...”
“อย่างั้นเหรอ? มึงมีสิทธิ์มาอ้อนวอนอะไร”
“...”
“คนที่ฆ่าน้องชายกูมันต้องโดนแบบนี้ว่ะ”
“ที่ฉันทำแบบนั้นเพราะเห็นน้องชายนายกำลังจะกัดจงฮยอนนะ”
“แล้วไงวะ? ต่อให้น้องชายกูจะกัดใครอีกสักกี่ร้อยคน มึงก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้”
“...”
“กูน่าจะปล่อยให้มึงโดนแดกตายตั้งแต่วันนั้น โอเซฮุน!”
.
.
ครืด...ครืด...ครืด...
คนตัวเล็กนั่งอยู่บนขั้นบันไดประตูหลังบ้านพลางจ้องมองคิมจงอินที่อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและกำลังเลื่อยไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ แสงแดดช่วงบ่ายแก่ ๆ ถึงจะไม่แรงนักแต่ก็ทำให้คนที่กำลังเหน็ดเหนื่อยกับการทำอะไรบางอย่างเหงื่อโชกร่างกายได้เหมือนกัน
“คุณกำลังทำอะไร” แบคฮยอนถามหลังจากนั่งดูอยู่ห่าง ๆ มาได้พักใหญ่ ๆ ร่างหนาชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นเสยผมที่เปียกเหงื่ออย่างลวก ๆ พลางหอบเล็กน้อย
“จะทำหน้าต่างสำรอง ถ้าพวกนั้นพังกระจกหน้าต่างจะได้ถ่วงเวลาไว้ได้บ้าง” มือหนาคว้าขวดน้ำขึ้นมากระดกหมดไปครึ่งขวดแล้วราดลงบนหน้าเพื่อเพิ่มความสดชื่น
เขาเอาท่อนไม้ทั้งหมดมาจากรั้วแปลงผักที่เฉาตายอยู่หลังบ้านมาใช้ประโยชน์ แบคฮยอนเอาคางเกยเข่าทำหน้าเบื่อโลกที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยที่ไม่มีพี่ชาย ไม่เคยเป็นห่วงแบคโฮเท่านี้มาก่อนเลย ทำไมใจไม่ดีแบบนี้นะ...
คนตัวเล็กถอนหายใจแล้วเดินไปหาที่นั่งใกล้ ๆ จงอิน
“ทำไมคุณถึงไม่ให้ผมไป”
“...” จงอินไม่ตอบคำถาม ได้เพียงแค่หันมาสบตากับแบคฮยอนแค่เสี้ยววินาที เขาหยิบท่อนไม้ขึ้นมาวางไว้แล้วใช้เท้าข้างซ้ายเหยียบเพื่อยึดตำแหน่งที่มั่นคงก่อนจะเลื่อยไม้ต่อ
“เพราะคุณคิดว่าผมทำไม่ได้ใช่ไหม?”
“จะว่าอย่างนั้นก็คงใช่”
“...” ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่พอได้ยินจากปากจงอินแบบนี้เขาก็พูดไม่ออก คนตัวเล็กลดสีหน้าลงแล้วพยักหน้ากับตัวเองเบา ๆ
“แต่ถ้าฉันเป็นพี่ชายนาย ฉันก็คงอาสาไปแทนเหมือนกัน”
“...” แบคฮยอนเม้มริมฝีปากแน่น เขากอดไม้เบสบอลที่ถือติดตัวไว้ตลอดเวลาพร้อมกับภาวนาให้พี่ชายของเขาปลอดภัย
“ถ้าผมเก่งเหมือนคุณกับลู่หานก็คงดี...”
“ตัดพ้อไปก็ไม่ได้อะไร คนเราเกิดมาเหมือนกันซะทีไหน นายไม่ได้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กเหมือนฉันกับหมอนั่น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเลยมันช่วยอะไรหรอก”
“ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนต่างให้ความรักผมยกเว้นเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน” แบคฮยอนหลุบสายตาลงมองบนพื้นดิน
“...”
“ผมเล่นกีฬาไม่เก่งสักอย่าง เตะบอลก็ไม่เป็น เล่นเกมก็ไม่ได้เรื่อง เพื่อน ๆ ล้อว่าผมเป็นตุ๊ด ไล่ผมให้ไปเล่นกับเพื่อนผู้หญิง”
“...”
“เพื่อนผู้หญิงยังไม่อยากคบกับผมเลย” แบคฮยอนหัวเราะ “ผมคงไม่ได้เรื่องจริง ๆ นั่นแหละ”
อย่างที่ชานยอลพูด...
“คนเรามันจะไปเก่งทุกเรื่องได้ยังไง แต่ว่ามันต้องมีสักเรื่องที่นายเจ๋งโคตร ๆ อยู่บ้างแหละ” ร่างหนาโยนไม้ท่อนสุดท้ายลงก่อนจะเดินไปหยิบค้อนกับตะปู
“...?”
“ฉันก็มีเรื่องที่เก่งสุด ๆ อยู่เรื่องนึง...คือสะสมขยะ”
“หา?”
“ห้องฉันเต็มไปด้วยขวดเบียร์ ถ้วยรามยอนสำเร็จรูป อะไรอีกสารพัดที่ชั่งขายได้และไม่ได้ นับว่าเป็นเรื่องเด็ดเลยนะ น้อยคนที่จะทำแบบนี้ได้ ว่าแต่นายล่ะ?”
“เรื่องแบบนั้นเขานับกันด้วยเหรอ...?” แบคฮยอนทำหน้าหมดศัทราในตัวอีกฝ่าย จงอินยิ้มขำก่อนจะเดินมานั่งยอง ๆ ตรงหน้าคนตัวเล็ก
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ต่อให้คนอื่นมองว่ามันห่วยแตกก็ตาม แต่ถ้านายคิดว่าสามารถทำออกมาให้ดีได้ แค่นั้นก็เจ๋งแล้วป่ะ?”
“...”
“อยากช่วยฉันทำหน้าต่างไหมล่ะ?” จงอินหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง แบคฮยอนช้อนตามองคนตรงหน้าแล้วก็ค่อย ๆ ยิ้มออกมา
“อื้ม!”
.
.
โอเซฮุนถูกถีบเข้าที่ท้องจนเซล้มลงไปกับพื้น ร่างผอมบางนอนขดตัวกุมท้องเอาไว้ รู้สึกจุกจนร้องไม่ออก วัยรุ่นอีกสองคนหิ้วปีกเด็กหนุ่มขึ้นมาก่อนจะยัดเขาเข้าไปในกรงไม้แล้วล่ามโซ่ประตู เซฮุนเบิกตาโพลงเขย่าประตูไม้หวังจะออกไปจากที่แคบ ๆ นี่แต่ก็ไม่เป็นผล
“นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ นายก็รู้ว่าในเมืองนี้...”
“ตัวกินคนมันเยอะแค่ไหน...น่ะเหรอ?”
เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องหน้าคนที่อยู่ในกรงด้วยความพอใจ เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่น เขาผละมือออกจากกรงทันทีที่ถูกอีกฝ่ายเอาบุหรี่จี้บนหลังมือ
“อ่ะ!”
“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวกูไปตามพวกเปรตนั่นมาช่วยมึงเอง ฮ่า ๆ ” ทุกคนขึ้นไปบนรถกระบะแล้วทิ้งเด็กหนุ่มไว้ตรงนั้น เสียงเฮฮาปลุกให้เหล่าผีดิบที่อยู่ในตรอกมืดเดินออกมาข้างนอก
ทั้งสามคนมองพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นที่รอดชีวิตแล้วก็นึกโมโห แทนที่จะช่วยกันหาทางอยู่รอดแต่กลับแกล้งกันด้วยวิธีโหดร้ายแบบนี้ได้ยังไง
“เอาไงวะแบคโฮ” คราวนี้ลู่หานหันไปขอความเห็นกับพ่อพระ แบคโฮมองหน้าเพื่อนร่วมทางทั้งสองคนด้วยแววตาจริงจังแล้วพยักหน้า
โอเซฮุนหยุดชะงัก นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นชายหนุ่มสามคนเดินข้ามฝั่งมาทางนี้ พร้อมกับฟาดฟันร่างของผีดิบที่กำลังจะเข้ามาหาเขาจนขาดครึ่ง
“...!!”
“แม่งล่ามโซ่แถมใส่แม่กุญแจไว้อีก” ลู่หานเขย่าโซ่แล้วหันไปมองอี้ฟาน
“แย่แล้ว พวกมันกำลังมาทางนี้!” แบคโฮหันไปข้างหลังแล้วก็พบกับเหล่าผีดิบกลุ่มใหญ่ที่เดินอยู่บนท้องถนนทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มี ทันทีที่เห็นเป้าหมายชัดเจนพวกมันก็เดินเร็วขึ้น
“เอาไงวะ? แบกไปทั้งกรงเลยดีไหม?” สมองเจอทางตันคิดอะไรไม่ออก ลู่หานขอความเห็นจากเพื่อนทั้งสาม อี้ฟานขมวดคิ้วเป็นปมพลางหันไปมองเหล่าผีดิบที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที
“ถอยไป” มือแกร่งดันลู่หานออกจากตรงนั้นพร้อมกับเล็งปืนไปยังโซ่ที่คล้องอยู่กับประตูไม้ เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างในก็ถอยหลังไปจนชิดกับกรงข้างหลัง เขายิงไปสองนัดจนกระทั่งโซ่ขาดออกแล้วประคองร่างเด็กหนุ่มออกมา
“วิ่งเร็วเข้า!” อี้ฟานหันกลับไปยิงตัดกำลังในขณะที่คนอื่น ๆ วิ่งนำหน้าไปแล้ว เขาไม่ใช่นักแม่นปืนจากไหนที่จะเล็งเข้าตรงหัวได้ทุกนัดตอนกำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่มันทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ได้ช้าลง
ปัง ปัง ปัง!!!!
ต่อให้พยายามวิ่งหนีเท่าไหร่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเมื่อเหล่าผีดิบอีกกลุ่มหนึ่งดักอยู่ข้างหน้า ลู่หานหยิบปืนขึ้นมายิงเพราะความจำเป็นแม้ว่ามันจะส่งเสียงดังเรียกพวกผีดิบเพิ่มมากขึ้น มือซ้ายยิงปืนมือขวาใช้มีดดาบฟัน มันอาจจะดูเท่ถ้าเขายิงเข้ากลางหัวแต่การถือปืนข้างที่ไม่ถนัดมันทำให้ลู่หานยิงพลาดไปหลายนัด
เซฮุนมองไปรอบ ๆ ตัว เขาทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่มีอาวุธติดมือเลยสักชิ้นเดียว ได้แต่เข้าไปช่วยถีบออกก่อนที่พวกมันจะเข้าถึงตัวคนอื่น ๆ เท่านั้น
“ชิบหายแล้วกระสุนหมด!” ลู่หานทิ้งปืนลงบนพื้นแล้วใช้มีดดาบฟันคอผีดิบพร้อมกับถีบให้พวกมันถอยไปข้างหลัง แต่เพราะพวกมันมีกันเยอะมาก ทุกคนต่างระวังตัวได้แค่จากภัยที่อยู่เบื้องหน้าจนไม่ทันระวังจากทิศทางอื่น
เซฮุนเบิกตากว้างเมื่อเห็นลู่หานกำลังจะถูกกัดจากข้างหลัง เขาใช้หมัดลุ่น ๆ ชกเข้าที่หน้าผีดิบจนเซไปด้านข้างจนกลายเป็นเขาที่ถูกกัดเอง...
“อ...อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”
แบคโฮรีบเข้าไปช่วยเซฮุนออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับเหวี่ยงขวานมั่วซั่วเพื่อขู่ ถึงจะไม่ได้ผลแต่ก็ถือว่าโชคดีที่ลู่หานเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน
เหตุการณ์ชลมุน เด็กหนุ่มที่ชื่อเซฮุนถูกกัดตรงหัวไหล่ ลู่หานมาช่วยหิ้วปีกให้ถอยออกไปจากตรงนั้น ส่วนแบคโฮเข้าไปช่วยอี้ฟานที่กำลังจะถูกล้อม ใช้ขวานฟันไปมั่วซั่วไม่สนว่าจะโดนที่หัวหรือเปล่า ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่ตัดกำลังเพื่อช่วยอี้ฟานออกมาเท่านั้น
“อ...อึ่ก...”
“ไหวไหม?” ลู่หานถามคนที่เขากำลังพยายามหิ้วปีกไปด้วยกัน เซฮุนนิ่วหน้าเจ็บแล้วพยักหน้าส่ง ๆ
“อี้ฟาน! ถอยออกมาเร็วเข้า!”
อาจเป็นจังหวะนั้นที่ทำให้ร่างสูงหันกลับไปมองตามเสียงเรียกจนเสียหลักล้มลงไปกับพื้น ทุกคนหยุดวิ่งแล้วหันไปมองอี้ฟานที่กำลังคลานถอยหลังหนีอย่างทุรนทุรายก่อนที่แบคโฮจะเข้าไปลากร่างสูงออกมา
“นายวิ่งไหวไหม รีบวิ่งไปที่รถ...เดี๋ยวนี้!” ลู่หานจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังแล้วเข้าไปช่วยเพื่อนอีกสองคนที่กำลังหนีออกมาอย่างทุลักทุเล
.
.
“พวกคุณไปกันเถอะ!”
ทุกคนหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองแบคโฮที่หยุดยืนอยู่กับที่อย่างไม่เข้าใจ เมื่อหนีรอดจากผีดิบกลุ่มนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
“อะไรของนายน่ะแบคโฮ?”
“ไปกันได้แล้ว” แบคโฮฝืนยิ้มขณะยืนหอบอยู่เป็นระยะ เขาค่อย ๆ เดินถอยหลังจนทุกคนประหลาดใจ
“ถอยไป!” ร่างสูงชี้ขวานมาข้างหน้าเมื่อลู่หานกำลังเดินเข้ามาหาเขา ร่างโปร่งยืนนิ่ง จ้องอีกฝ่ายที่ถลกแขนเสื้อให้ดู...
บยอนแบคโฮถูกกัด...
“ไม่เป็นอย่างนี้ดิวะ...” ลู่หานสางผมขึ้นอย่างหัวเสีย เขาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่อยากเชื่อว่าแบคโฮจะถูกกัดจริง ๆ
“พวกคุณต้องไปกันแล้ว” แบคโฮหันกลับไปข้างหลังเมื่อได้ยินเสียงของเหล่าผีดิบที่กำลังตามมาติด ๆ
“...”
“...”
“...”
ไม่มีใครพูดอะไรอีก แม้แต่คนขี้เล่นอย่างลู่หานยังต้องกลืนคำพูดลงคอไปจนหมด ร่างสูงวางขวานลงบนพื้นแล้วยิ้มบาง ๆ ให้กับเพื่อนร่วมทางทุกคน
“ฝากดูแลแบคฮยอนด้วยนะลู่หาน...”
“...”
“...”
“ไม่มีการฝากอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ ฉันไม่ทิ้งนายไว้ที่นี่แน่!” ลู่หานเดินตรงไปข้างหน้าผ่านแบคโฮไปก่อนจะฟันคอผีดิบที่อยู่ข้างหลังร่างสูง
“กลับบ้านกันเถอะแบคโฮ” อี้ฟานพูด คนถูกเรียกเม้มริมฝีปากแน่นจนกระทั่งลู่หานลากเขาไปขึ้นบนท้ายรถกระบะพร้อมกับเซฮุนอย่างไม่เต็มใจ
“ผมอาจจะกัดพวกคุณ...ผมไม่อยากทำอย่างนั้น...”
“ไม่ ไม่ใช่ตอนนี้ ดูสิ...แผลมันแค่ถาก ๆ เองนะ” ลู่หานพูดปลอบใจ ตอนนี้มีเพียงแค่อี้ฟานเท่านั้นที่นั่งอยู่ข้างในรถ เซฮุนมองร่างโปร่งที่กำลังดูแผลให้อีกคนแล้วก็ถอนหายใจ
“จริง ๆ คุณควรทิ้งผมกับเขาไว้ที่นั่น” เซฮุนพูดหลังจากที่เงียบมานาน เด็กหนุ่มปล่อยมือออกมาจากหัวไหล่ตัวเองแล้วก็พบเลือดที่เลอะอยู่เต็มมือ...
“ถ้านายเป็นฉัน...นายจะไม่มีวันคิดอะไรแบบนั้นหรอก”
.
.
ปัง!!
“ขอน้ำสะอาดกับผ้าขนหนู!!”
“เดี๋ยวสิ...เกิดอะไรขึ้น?” แบคฮยอนจับเรียงสถานการณ์ไม่ถูกเมื่อเห็นทั้งลู่หานและอี้ฟานกำลังหิ้วปีกพี่ชายของเขาและคนแปลกหน้าเข้ามา จงอินรีบเข้าไปในครัวจัดหาของตามที่อี้ฟานสั่งแล้วกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น ชานยอลที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นรอยแผลที่แขนของแบคโฮ
“ไม่นะ...ไม่จริงใช่ไหม?” แบคฮยอนเข้าไปหาพี่ชายทั้งน้ำตาคลอ ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกก่อนจะถูกลู่หานรวบตัวออกมาจากตรงนั้น
“ปล่อยฉัน! ฉันจะไปหาพี่แบคโฮ! ปล่อย!”
“เขาถูกกัด!!”
“...”
“ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าควรทำยังไง?!”
“...”
แบคฮยอนสงบลงเมื่อถูกลู่หานตะคอกใส่ น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มทั้งที่ยังไม่ได้กระพริบตา อี้ฟานละสายตาจากแบคฮยอนก่อนจะเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเปล่าแล้วซับแผลให้แบคโฮ
“...ให้ฉันไปหาพี่แบคโฮนะ” คนตัวเล็กพูดเสี่ยงแผ่ว ลู่หานเบือนหน้าหลบไปอีกทาง เขาเข้าใจแบคฮยอนแต่เขาไม่รู้เลยว่าแบคโฮจะเปลี่ยนไปเป็นแบบพวกนั้นเมื่อไหร่...
“จงอิน ช่วยทำแผลให้เด็กคนนั้นหน่อย”
ร่างหนาลากเก้าอี้ไม้มานั่งพร้อมกับสำรวจมองท่าทีของคนตรงหน้าอย่างละเอียด
“ไปหิ้วเด็กนี่มาจากไหน?”
“ในเมืองน่ะ”
“แล้วช่วยมาทำไม เห็น ๆ อยู่ว่าเขาถูกกัดแล้ว” เป็นการพบปะกันครั้งแรกที่ไม่ประทับใจสักเท่าไหร่ เซฮุนมองผู้ชายผิวสีเข้มแล้วก็หลุบสายตาลง
“เขาถูกกัดพร้อม ๆ กับแบคโฮน่ะ...” อี้ฟานตอบเสียงเรียบ จงอินยังคงสำรวจดูคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
“อี้ฟาน คุณรู้ใช่ไหมว่าการล้างแผลแล้วตบท้ายด้วยเบตาดีนมันช่วยอะไรไม่ได้”
“...”
“...”
“...”
“...”
ทุกคนรู้และเข้าใจดี เพราะเชื้อมันแพร่กระจายไปเร็วมากจนยากที่จะรักษาได้ ใครที่ถูกกัดอย่างเก่งก็อยู่ในสภาพมนุษย์ได้อีกสักราว ๆ ห้าชั่วโมงแล้วหลังจากนั้น...
“ผมรู้”
“ผมไม่ได้อยากใจร้ายหรอกนะ แต่ในห้องนี้มีคนถูกกัดอยู่ถึงสองคน ถ้าเกิดพวกเขาเปลี่ยน...แน่นอนว่าพวกเราอาจจะตายห่ากันหมด” ที่จงอินพูดก็มีเหตุผลแต่มันช่างไม่รักษาน้ำใจคนฟังเอาเสียเลย แบคฮยอนเอาแต่ร้องไห้มองพี่ชายไม่ละสายตา และแล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดมันก็มาถึงจนได้
“แล้วจะให้ผมทำยังไง...” อี้ฟานขบกรามแน่น เขาเองก็กดดันไม่แพ้กัน การที่ต้องสูญเสียคนรอบข้างไปทีละคนมันไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด
“จับพวกเขามัดเอาไว้”
“...”
“...” คนถูกกัดทั้งสองไม่มีสิทธิ์พูดอะไร พวกเขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
“กันไว้ดีกว่าแก้ มัดเอาไว้เพื่อไม่ให้ทำร้ายคนอื่น ถ้าจะให้ดี...ใช้เทปผ้าปิดปากเพื่อไม่ให้กัดใครได้ถ้าเกิดพวกเขาเปลี่ยน”
“ผมเห็นด้วยกับจงอิน” ชานยอลที่เงียบมาตลอดพูดพร้อมกับโยนเชือกลงมาบนพื้น
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก มีแต่ความอึดอัดที่โรยตัวไปโดยรอบ แบคฮยอนเอาแต่ด่าทอตัวเอง โทษว่ามันเป็นความผิดของเขา แม้ว่าลู่หานจะกอดปลอบ แต่ก็ไม่สามารถหยุดน้ำตาของแบคฮยอนได้เลย
เซฮุนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าดึงป้ายชื่อที่ติดอยู่กับเสื้อนักเรียนเขาขึ้นมาดู แววตาที่มองมาเขาไม่สามารถคาดเดาออกว่าคน ๆ นี้กำลังคิดอะไรอยู่
“ถึงจะเพิ่งได้เจอกัน แต่ก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ...โอเซฮุน”
TBC
เอาละค่ะ ถูกกัดกันถึงสองคนเลยทีเดียว
งานนี้จะเป็นยังไง จะวุ่นวายแค่ไหน สนุกหรือน่าเบื่อหรือไม่ เชิญสครีมกันที่แท๊ก #ficzombie กันได้นะคะ
(แม่ยกบอก มลินคะ เซฮุนป้าเพิ่งโผล่ ทำไมให้โผล่แค่นิดเดียวเองคะ?)
มลินจ่ายค่าตัวเซฮุนน้อยเองค่ะ มลินขอกราบตักคุณพี่ทุกคนตรงนี้...
ขอบคุณทุกคนที่สนใจฟิคเรื่องนี้แล้วก็ขอบคุณที่เมนท์เป็นกำลังใจให้มลินนะค๊า <3
ความคิดเห็น