คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : Chapter 44 :: Kids
Chapter 44
Kids
แซ่ก...แซ่ก...
สองขาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังแรกหลังจากที่พวกเขาทุกคนเดินฝ่าลมหนาวเข้ามาถึงกลางหมู่บ้าน ทั้งสี่คนหยุดยืนกับที่เมื่อลู่หานยกมือขึ้นบอก ร่างโปร่งยืนสังเกตการณ์อยู่แค่ครู่เดียวก่อนจะตัดสินใจก้าวข้ามโพรงหญ้าที่ผุดขึ้นสูงจนถึงหัวเข่าแล้วค่อย ๆ ดันประตูเหล็กเข้าไป
แอ๊ดดดด...
เสียงเสียดสีของประตูที่เกิดจากสนิมทำให้จองอึนจีกำค้อนไว้แน่นพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างหวาดผวา ลมหนาวที่พัดผ่านเพิ่มความน่ากลัวให้กับบ้านร้างตรงหน้ามากขึ้นเป็นทวีคูณ เด็กสาวพึมพำถึงความยากลำบากกับการใช้ชีวิตตั้งแต่เริ่มออกมาจากบ้านจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด
“ให้ตายเถอะ นี่มันบ้านผีสิงชัด ๆ อ๋า! ตรงนั้นอะไรน่ะ งูเหรอ?!”
“ชู่ว์...” มินซอกแตะนิ้วชี้กับริมฝีปาก อึนจีรีบตะปบปากตัวเองอย่างจำใจ
“มันเหมือนงูจริง ๆ นี่”
“งูอะไรล่ะ ดูดี ๆ สิ”
“พี่อี้คะหนูกลัว so scary very much ค่ะ” อึนจีกอดแขนชายหนุ่มคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับซบหัวลงกับไหล่ อี้ชิงเลิกคิ้วมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาเด็กแว่นที่ยืนมองเขาอยู่
“อึนจี...ไม่เอาน่า” ครูสาวหันมาปรามพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย อึนจีเบ้ปากแล้วค่อย ๆ คลายแขนอีกคนออก
“หนูแค่อยากให้บรรยากาศผ่อนคลายเฉย ๆ ค่ะครู”
“กดดันล่ะสิไม่ว่า” มินซอกพูดลอย ๆ แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกอึนจีฟาดแขนเข้าเต็มแรง
“แล้วจะดักคอฉันทำไมเล่า”
“ก็เลิกทำตัวตลกสักทีสิ”
“ฉันไป...”
“เข้ามาได้” ยังพูดไม่ทันจบทุกคนก็หันไปมองลู่หานที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าด้านใน ทั้งสี่คนแหวกโพรงหญ้าก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน “สิ่งแรกที่ต้องทำคือสำรวจภายนอกก่อน ครั้งต่อไปถ้าผมไม่มาด้วยพวกคุณต้องไปสำรวจข้างบ้านแล้วส่องผ่านหน้าต่างดูว่ามีข้างในนั้นมีพวกมันอยู่กี่ตัว”
“แล้วตอนนี้เราไม่ต้องเดินสำรวจข้างบ้านเหรอคะ?” ครูสาวถาม
“โธ่ครูคนสวยครับ...มากับผมแล้วยังจะสำรวจอะไรอีก” ลู่หานยักคิ้วแล้วหมุนลูกบิดก่อนจะค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ ทุกคนชะเง้อหน้าเข้าไปแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อข้างในไม่ได้มืดอย่างที่คิดเพราะแสงสว่างจากแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
ก๊อก ๆ
ลู่หานเคาะประตูก่อนจะผิวปาก อี้ชิงคว้าแขนคนตรงหน้าเอาไว้แล้วขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ
“คุณจะทำอะไร?”
“เช็คดูไงว่าข้างในมีพวกมันอยู่หรือเปล่า...เราต้องล่อมันออกมาแทนที่จะเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รู้ว่าพวกมันมีกันกี่ตัว” ประโยคหน้าพูดเป็นภาษาจีนและกลับมาอธิบายเป็นภาษาเกาหลีให้คนที่เหลือเข้าใจ “นั่นไง” พูดไม่ทันขาดคำผีดิบสาวในสภาพชุดนอนลูกไม้ก็ค่อย ๆ เดินโซเซออกมาจากห้องครัว สภาพเลือดอาบตัวเป็นสิ่งบอกได้ดีว่าข้างในนั้นคงมีซากอาหารจานเด็ดอยู่แน่ ๆ
“ฉันเอง” ครูสาวเสนอตัวเป็นคนแรก ยังไม่ทันได้เอ่ยปากห้ามลู่หานก็ทำได้เพียงแค่มองร่างระหงที่กำลังตรงไปข้างหน้าพร้อมกับกระชับท่อนไม้ไว้แน่นแล้วหวดเข้ากลางศีรษะผีดิบอย่างแรงจนเซไปชนกับขอบตู้เฟอร์นิเจอร์จนกระจกแตก
ลู่หานกลอกตาสำรวจไปทางอื่น เสียงกระจกอาจทำให้ผีดิบที่อยู่ในละแวกนี้แห่มาต้อนรับพวกเขาโดยไม่ทราบจำนวน ร่างโปร่งหันไปปิดประตูบ้านแล้วกลับมายืนดูผลงานครูสาวอีกรอบแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อพบว่าผีดิบตัวนั้นนอนสมองทะลักอยู่กับพื้นแล้ว
“...โอ้โห” เด็กทั้งสองคนยืนอ้าปากค้าง มีเพียงแค่ลู่หานกับอี้ชิงที่ยังเก็บอาการไว้ได้ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้พวกเขาลืมภาพครูสาวใจดีที่ดูไม่มีพิษมีภัยกับใครไปโดยปริยาย
“เมื่อก่อนเราจัดการมันด้วยการเผาไฟก็จริง แต่เรื่องสู้กับพวกมันฉันก็เคยลองมาบ้าง” เธออธิบายให้ทุกคนฟังพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เป็นเพราะเมื่อตอนที่ยังอยู่โรงเรียนมินซอกกับอึนจีไม่เคยออกไปหาเสบียงด้วย คงไม่แปลกที่เด็กสองคนนี้จะประหลาดใจในฝีมือเธอ
“ตัวบางแค่นี้แต่แรงเยอะเอาเรื่องนะเนี่ย” ลู่หานยักไหล่แล้วเดินนำไปข้างหน้าก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ...เวลาเข้ามาในบ้านอย่าเดินพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ล่ะ อย่างประตูนี้ต้องหยุดสำรวจก่อน”
“เรื่องแค่นั้นใคร ๆ ก็รู้น่ะ” มินซอกพูดเสียงเรียบ
“ครับคนเก่ง” ลู่หานยิ้มแล้วเอี้ยวตัวเดินหันหลังตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าห้องครัว มินซอกมองแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นแล้วก็ย่นจมูก นึกหมั่นไส้กับความขี้เก๊กของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“พอมาถึงตรงนี้ต้องเบาเสียงให้มากที่สุด เพราะตอนนี้เราอยู่ส่วนกลางของบ้านแล้วถ้าเกิดยังมีพวกมันอยู่ข้างบนคงไม่ดีแน่ถ้าถูกล้อมทั้งข้างหน้าและข้างหลัง” ลู่หานชี้เข้าไปทางด้านในและชี้ไปยังทางขึ้นบันไดชั้นสอง
“แล้วถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดล่ะ?” อี้ชิงถาม
“จัดการตัวที่อยู่ใกล้มือที่สุดแล้วถอยออกไปหาที่ตั้งหลัก...แม่งเอ๊ย...” ลู่หานยกมือขึ้นปิดจมูกขณะเดินถอยหลังเพื่อทำท่าประกอบให้อีกคนดูทั้งที่ยังไม่ทันได้อธิบายเป็นภาษาเกาหลี ซากศพเน่าที่ตับไตไส้พุงทะลักออกมาจนแมลงวันบินตอมหึ่งไปหมดคือผลงานมาสเตอร์พีซของงานนี้
“โอ้...” ทุกคนเบ้แล้วยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมกันกับกลิ่นเหม็นที่ยากเกินจะทนไหว ลู่หานตรงไปเปิดประตูหลังบ้านเพื่อให้อากาศถ่ายเทออกแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ
“ถ้ากำลังสู้กับพวกมันอยู่บางทีเราอาจจะต้องตายเพราะกลิ่นมัน” อึนจีเบ้ปาก ลู่หานหันไปมองรอบข้างแล้วดีดนิ้วทีนึง
“ตอนนี้พวกคุณสอบผ่านเลเวลหนึ่งแล้ว ต่อไปก็ขึ้นไปบนชั้นสอง พร้อมหรือยัง?”
ครืนนนนน....
“กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!”
ปึง ปึง ปึง!!!
“...”
เสียงทุบกระโปรงรถประสานกับเสียงโอดร้องของพวกตัวกินคนที่ไร้สามัญสำนึกดังเข้าโสตประสาทไม่ได้หยุด ราวกับมีเข็มนาฬิกาเดินอยู่ข้างหู...มันคอยกดดันให้ความคิดในหัวของปาร์คชานยอลวุ่นวายไปหมด หันกลับไปมองรถคันเดิมที่ยังคงหาทางหนีจากตรงนั้นไม่ได้ เหงื่อกาฬไหลซึมออกมาจากขมับทั้งสองข้างทั้งที่อากาศเย็นยะเยือก ฟันขาวขบเข้าหากันแน่นแล้วหลับตาลงก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับเข้าไปในอพาร์ตเมนท์ที่เขาเพิ่งหนีออกมาเมื่อครู่
ร่างสูงแทรกตัวเข้าไปในล็อบบี้ที่มีซากศพนอนตายอยู่ก่อนจะปัดป่ายหากระดาษหรืออะไรก็ตามที่พอจะช่วยได้ตามเคาน์เตอร์จนแฟ้มเล่มใหญ่ตกลงพื้นกระจัดกระจายไปหมด ความคิดมันอยู่ในหัว...แต่สิ่งที่เขาต้องการกลับไม่มีอย่างที่คาดหวังเอาไว้เลยสักอย่าง ริมฝีปากหยักสบถออกมาอย่างหัวเสีย สองมือยังคงค้นหาของที่ต้องการต่อไป
ปากกาเมจิกสีแดงคือสิ่งแรกที่เขาหาเจอ ใบหน้าคมเงยขึ้นพลางสำรวจไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นของดีเข้าให้ สองขายาวหยุดอยู่ข้างผนังแล้วดึงหัวมุมแผงกระดาษสีเขียวอ่อนที่ก่อนหน้านี้เป็นบอร์ดประชาสัมพันธ์ออกมาก่อนจะก้มลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแล้วดึงฝาปากกาเมจิกออก
‘รีบถอยรถออกไปจากตรงนั้น!’
ตัวอักษรตวัดไปมาบนกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วโยนปากกาทิ้ง ร่างสูงกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายเอาไว้แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก นัยน์ตามองไปยังเป้าหมายเดิมที่กำลังสภาพย่ำแย่ กระจกรถที่บุบร้าวจนเกือบแตกเป็นสิ่งกดดันให้ปาร์คชานยอลรีบหารถสักคัน
นิ้วเรียวยาวสอดเข้าที่เปิดประตูรถที่จอดอยู่ข้างฟุตปาธ เสียงกึก ๆ เพราะถูกล็อกเอาไว้ทำให้ขัดใจอยู่ไม่น้อย ร่างสูงหยุดชะงักเมื่อเห็นประตูรถบานหนึ่งเปิดทิ้งไว้จากรถคันที่อยู่ถัดไป ราวกับพระเจ้าประทานพรมาให้พร้อมกับหอกหนามที่ขวางทางอยู่
ร่างสูงม้วนกระดาษแล้วเหน็บไว้ข้างหลังก่อนจะสวมสนับมือใส่เข้าไปอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังเป้าหมายที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้...ผีดิบในชุดตำรวจอ้าปากกว้างจนฉีกออกจากกันอีกทั้งยังมีอีกตัวปัญหาที่คืบคลานอยู่บนพื้น ทั้งสองฝ่ายเดินเข้าหากันและเป็นเขาที่เปิดด้วยหมัดสนับมือก่อน ผีดิบตำรวจเสียหลักเซไปทางด้านข้างและนั่นเป็นจังหวะให้ร่างสูงเข้าไปเหยียบหัวตัวกินคนที่กำลังคลานเข้ามาให้สมองทะลัก เพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นกะโหลกที่เปราะบางก็แตกออก ใบหน้าคมหันไปหาผีดิบตัวเดิมที่กลับมาตั้งหลักได้...แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นร่างของมันก็เซถอยหลังไปจนติดกับผนังซีเมนต์สีขาวเพราะถูกซัดเข้าที่โหนกแก้มอย่างแรง
“กรรรรรรรรรรรรรรรรรซ์!!!”
มือแกร่งกำกลุ่มผมที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับจับโขกเข้าไปกับซีเมนต์อย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดสีเข้มสาดติดผนังก่อนจะปิดท้ายด้วยการเหวี่ยงร่างของมันออกไปให้พ้นทาง แน่นอนว่าปาร์คชานยอลยังคงยืนหยัดอยู่กับอุดมคติเดิมคือ ‘ไม่ฆ่าให้เสียเวลา’
ร่างสูงแทรกเข้าไปในรถแล้วก็ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่กุญแจยังคงเสียบคาเอาไว้อยู่ ดึงม้วนกระดาษที่ยับยู่ยี่ออกมาวางบนที่นั่งข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย เสียงสตาร์ทรถดึงความสนใจจากพวกผีดิบที่อยู่ละแวกนั้นมาที่เขา ร่างสูงกำพวงมาลัยไว้แน่นขณะมองไปยังรถคันเดิม
เข้าเกียร์แล้วตรงดิ่งไปยังเป้าหมาย ทิ้งระยะห่างไว้พอแค่นั้นก่อนจะเหยียบคันเร่งย้ำ ๆ เพื่อเรียกความสนใจแต่ก็มีแค่บางตัวเท่านั้นที่เปลี่ยนเป้าหมายมาทางนี้ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน...จนแล้วจนรอดแต่ก็ยังไม่ได้ผล
“...”
ร่างสูงคว้าปืนที่เหลือกระสุนเพียงนัดเดียวขึ้นมาดู เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นที่เขาใช้ความคิดเพื่อที่จะตัดสินใจ กดเปิดกระจกรถลงแล้วเล็งปืนไปยังเป้าหมาย สิ่งเดียวที่เขาควรระวังคือยิงยังไงไม่ให้โดนคนในรถ
ปัง!!!
ใช่อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด พวกผีดิบมากมายที่ให้ความสนใจกับรถคันนั้นกำลังหันมาหาเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างสูงนิ่งไปไม่เกินห้าวินาทีเขาก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ มือแกร่งคลี่กระดาษออกแล้วทาบลงตรงกระจกหน้ารถเพื่อให้คนที่อยู่ในรถคันนั้นเห็น
เอื้อมมือไปกดเลื่อนกระจกขึ้นก่อนจะชะโงกหน้ามอง พอรถคันนั้นถอยออกไปจนพ้นเขตอันตรายแล้วถึงได้ลดมือลง คราวนี้เป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะว่าจะออกจากตรงนี้ไปได้ยังไง ผีดิบมากมายกำลังตรงมาทางนี้จากทุกทิศทาง หันไปมองรอบข้างจนเผลอคิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เสียงโหยหวนของพวกมันทำให้เขานึกอยากลองทำเรื่องบ้าบิ่นเหมือนกับลู่หานดูสักครั้ง
ครืดดดดดดด...
เสียงถอยรถพร้อมกับหักเลี้ยวถอยหลัง นี่เป็นครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลขับรถแหกกฎจราจรแบบนี้ ถ้าเลือกได้เขาขอให้ตำรวจขับรถมาแจกใบสั่งเขาดีกว่าจะให้พวกตัวกินคนมากมายเข้ามารายล้อมแบบนี้ ร่างสูงถอนหายใจพรูก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิดแล้วพุ่งชนตัวกินคนที่ขวางทางอยู่จนกระเด็นลอยขึ้นผ่านหลังคาและร่วงลงบนพื้นในที่สุด
กลืนน้ำลายเหนียวลงคอคือสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากจอดรถลงข้างทางที่รอบข้างมีเพียงแค่ทุ่งหญ้าเท่านั้น เหตุการณ์เมื่อครู่กึ่งความเป็นความตายจนต้องมานั่งถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำไปนั่นมันถูกแล้วหรือ ใช่...การช่วยชีวิตคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ดีแต่มันบ้าตรงที่กลายเป็นเขานี่แหละที่เกือบลำบากแทน ซบหน้าผากลงกับพวงมาลัยแล้วหลับตาลง เพียงแค่นึกถึงเรื่องที่บยอนแบคโฮช่วยชีวิตเอาไว้แค่นั้นก็ทำให้ปาร์คชานยอลนึกอยากเป็นฮีโร่ขึ้นมาเลยหรือไงกัน?
เปลือกตาลืมขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามาใกล้ ร่างสูงคว้าปืนขึ้นมาถือไว้พลางมองไปยังรถคันหนึ่งที่ขับมาจอดลงข้างหน้ารถของเขา หัวใจเต้นเร็วแรงยิ่งขึ้นเมื่อประตูรถคันนั้นเปิดออก...จำได้ว่ามันคือรถคันที่เขาเพิ่งช่วยเอาไว้เมื่อครู่นี้...
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ปาร์คชานยอลนึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือมาร้าย คำว่าชาวนาตายเพราะงูเห่าอาจจะเกิดขึ้นกับเขาได้เพียงแค่นึกถึงพวกบ้าที่ฆ่าคนตายเหมือนผักปลาในค่ายนรกนั่น ใช่ว่าทุกคนจะสำนึกบุญคุณคนเสียเมื่อไหร่ บางทีคนในรถคันนั้นอาจจะเอาปืนเล็งมาทางนี้แล้วบอกให้เขาส่งของมีค่าไปให้หมด
ร่างสูงกระชับปืนที่ไม่มีกระสุนเอาไว้แน่น แม้ว่าสิ่งที่ปืนโง่ ๆ กระบอกนี้ทำได้คงไม่พ้นการขู่ให้อีกฝ่ายกลัว ขายาวของผู้ชายก้าวออกมาจากรถ...แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือสองมือนั้นที่ยกขึ้นเหนือศีรษะ
“...”
ไม่ได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นกำลังพูดอะไรอยู่ จ้องมองไปยังคนที่กำลังสื่อสารกับเขาโดยที่ไม่เดินเข้ามาในระยะใกล้จนมากเกินไป สังเกตท่าทีจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีพิษภัยอย่างที่เป็นกังวลเอาไว้ชานยอลถึงได้เปิดประตูรถแล้วเล็งปืนไปที่เป้าหมาย
“อย่ายิงนะครับ”
“...”
“ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร ผมคือคนที่คุณช่วยเอาไว้เมื่อกี้” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่รถตัวเองแล้วกลับไปยกมือขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง
“คุณตามผมมาทำไม?”
“ถ้าจะบอกว่าตามมาเพื่อขอบคุณก็คงไม่ถูก...” ชายคนนั้นแผ่วเสียงลงก่อนจะค่อย ๆ เดินเลียบกลับไปที่รถฝั่งข้างคนขับก่อนจะใช้มือข้างนึงเปิดประตูออก ชานยอลยังไม่ลดปืนลง...นัยน์ตาคมเบิกโพลงเมื่อพบว่าใครอีกคนที่กำลังถูกประคองออกมาคือผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง
“รถผมน้ำมันจะหมดแล้ว และเมียผมก็คงเดินไม่ไหวแน่”
“ที่รักคะ เขามีปืน...”
“ไม่เป็นไร...คุณไม่ต้องกลัวนะผมจะจัดการเอง”
“...” ได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อบทสนทนาของคู่สามีภรรยากรอกเข้าหู คนเป็นสามีประคองภรรยาให้เดินเข้ามาหาเขาแล้วทิ้งห่างระยะไว้ราว ๆ สามเมตร
“ผมชื่อโซจีซบ ส่วนนี่ภรรยาผมกงฮโยจิน”
“...”
“คุณ...ช่วยลดปืนลงก่อนได้ไหมครับ?” ชานยอลลดปืนลงพลางเสตามองไปทางอื่น ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันแน่นแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเราเอาไว้ ถ้าไม่ได้คุณเราสามคนต้องแย่แน่ ๆ ” นัยน์ตาคมมองไปยังมือเรียวที่กำลังลูบท้อง ร่างสูงพยักหน้าแบบขอไปทีแล้วฝืนยิ้มตอบกลับไป
“ไม่เป็นไร”
“เราขอติดรถไปกับด้วยได้ไหมครับ? พอเจอรถคันใหม่แล้วเราจะไม่รบกวนคุณอีก ผมสัญญา”
“...”
“ถ้าเกิดน้ำมันหมดกลางทางผมกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับฮโยจินน่ะ...เธอไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เมื่อวาน ผมกลัวเธอจะเป็นลมไป”
“ขอร้องล่ะค่ะ” คราวนี้เป็นภรรยาที่ออกปากพูดเอง แต่ไหนแต่ไรปาร์คชานยอลก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ กลับกันแล้วเขาพร้อมจะช่วยคนอื่นเสมอถ้าสิ่งนั้นมันไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่มีคนประเภทเดียวเท่านั้นที่เขาไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ก็คือพวกเห็นแก่ตัว
“ขึ้นรถสิ”
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ?”
เทาเอ่ยทักคนสองคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพอิดโรยก่อนจะคว้ารับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่จงอินโยนมาจนแทบจุกเพราะความหนัก ลู่หานที่นอนกินขนมอยู่บนโซฟาหันไปมองหน้าเพื่อนซี้แล้วอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ เด็กน้อยที่เดินตามมาทีหลังตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัว สภาพแบคฮยอนในตอนนี้ยับเยินกว่าตอนออกไปจนนึกว่าไปวิ่งลุยป่าที่ไหนมา
“วันนี้เป็นไงบ้าง?” จงอินทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากพาแบคฮยอนไปสำรวจโลกมา ไอ้เด็กนั่นพอเริ่มฆ่าได้แล้วก็ห้าวเป้งเหลือเกินประหนึ่งไปโกรธใครมาจากไหน
นี่ถ้าไม่บอกว่าต้องไปหาเสบียงแบคฮยอนคงตั้งหน้าตั้งตาฆ่าพวกตัวกินคนจนหมดโลกภายในวันเดียวแน่ แล้วท่วงท่าตอนจะเข้าไปบวกนี่ก็ขัดใจเขาจริง ๆ ให้ตายเถอะ หลายครั้งที่เด็กนั่นเกือบพลาดโดนกัดแต่ก็รอดมาได้แบบงง ๆ ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือสกิลดีกันแน่
“ได้เสบียงกลับมาพอสมควรอยู่ส่วนมากเป็นข้าวที่เหลือในถัง พรุ่งนี้กูว่าจะแวะไปท้ายหมู่บ้านโซนขวา”
“โซนที่กูไปวันนี้แม่งโล่งมาก ร้านมินิมาร์ทแถวนั้นโดนปล้นของไปหมดแล้ว มีแต่พวกกัดคนเต็มไปหมด กูกับเซฮุนเกือบไปขี้” เทาบ่น
“แล้วเขาอยู่ไหน?”
“ขึ้นไปนอนแล้วมั้ง เห็นบ่นว่าง่วง ๆ ” พอได้ยินคำตอบจากเทาจงอินก็พยักหน้าเข้าใจ
“แบคฮยอนเป็นไงบ้างวะ พอไหวเปล่า?” ลู่หานหันไปถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว จงอินแค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงเด็กกระเปี๊ยก
“กูล่ะนับถือคนที่เป็นครูจริง ๆ แม่งทนสั่งสอนคนทั้งห้องได้ไงวะ กูนะ แค่สอนแบคฮยอนคนเดียวก็แทบลากเลือดละ” ร่างหนาคว้าขวดน้ำบนโต๊ะขึ้นมากระดกแล้ววางลง
“อย่าบ่น!!”
“เออ!!” จงอินตะโกนกลับไปเมื่อคนถูกพาดพิงได้ยินเข้า “เด็กมันเอาอารมณ์เป็นหลัก ต้องคอยบอกคอยสอนให้รู้จักระงับอารมณ์ให้มากกว่านี้” คราวนี้จงอินเบาเสียงลงเพื่อไม่ให้แบคฮยอนได้ยิน
“เออ ต้องอย่างนั้นแหละ แบคฮยอนแม่งดื้อ”
“เหมือนมึงอ่ะ”
“สัด”
“ใช่ มึงมันอารมณ์ร้อน บุ่มบ่าม เหี้ย กระจอก” เทาเสริมอย่างใส่อารมณ์พร้อมกับมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเหล่มองเขาอยู่
“สัดนี่จะอินทำมะเขือด้ามทู่อะไร เดี๋ยวกูเหนี่ยว” ทำท่าง้างมือขึ้นมาแต่เทายกมือขึ้นตั้งการ์ดไว้ก่อน
“กูสู้คนนะครับบอกเลย”
“ความสูงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อตีนกูนะครับ ยกทีก็ถึงปากมึงอยู่”
“ขาสั้น ๆ เก็บไว้วิ่งหนีพวกตัวกัดคนเหอะ”
“สั้นไม่สั้นก็ทำปากหมาแตกได้ละกัน”
“พวกมึงนี่กัดกันอย่างกับหมา...ข้างในหมู่บ้านมีรถป่ะวะ?” พอเห็นว่าบทสนทนาเริ่มจะไร้สาระเข้าไปทุกทีจงอินก็ต้องดึงหมาสองตัวกลับเข้าสู่บทสนทนาอีกครั้ง
“มึงจะเอายี่ห้อไหน เมอซิเดส เก๋ง กะบะ มีทั้งแบบจอดทิ้งตากแดดตากฝน แล้วก็แบบจอดอยู่ในบ้านพร้อมผ้าคลุม” ลู่หานอธิบายให้ฟัง
“กูกำลังคิดอยู่ว่าเราควรหารถเพิ่ม เผื่อมีอะไรฉุกละหุกจะได้หารถใช้ง่าย ๆ ”
“เอาดิ ไปเลยไหมล่ะหรือมึงอยากพักก่อน?”
“ไปเลยดีกว่า ถ้าได้นอนแล้วกูขี้เกียจลุกจะเหนื่อยก็เหนื่อยแม่งทีเดียวนี่แหละ”
“ตามนั้น” ลู่หานโยนถั่วขึ้นบนอากาศแล้วอ้าปากรับก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ถ้ามีคนถามหาบอกว่ากูกับไอ้ลู่หานเข้าไปในหมู่บ้าน เดี๋ยวจะรีบกลับ”
“นี่ของใคร?” เทาลดหนังสือลงพลางมองไปยังคนตัวเล็กที่ชูขวดเหล้าขึ้นให้ดู
“จะไปรู้เหรอ?” ร่างสูงยักไหล่แล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นแบคฮยอนเดินมานั่งตรงโซฟาเดี่ยวแล้วเปิดฝาขวดเหล้าออก พอเห็นคนตัวเล็กทำท่าจะยกกระดกเทาเลยรีบไปห้ามเอาไว้ “เห้ย ทำไรวะ?”
“ก็แค่อยากรู้ว่ามันรสชาติยังไง” แบคฮยอนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย นัยน์ตาเรียวรีหลุบหลงมองขวดเหล้าในมือเล็กสลับกับใบหน้าหวาน ทั้งสองคนนิ่งไปแค่ครู่เดียวแล้วเทาก็ปล่อยมือลงยอมให้ร่างเล็กกระดกลงคอ
ซ่ามากเหรอ...เดี๋ยวรู้เลย...
“อึ่ก!” แบคฮยอนยกมือขึ้นป้องปากเมื่อได้รับบางอย่างที่ร่างกายต่อต้าน เทากลั้นหัวเราะจนตัวสั่นก่อนจะประคองหน้าคนตัวเล็กให้เงยขึ้น
“กลืนลงไปเร็ว”
“...!!!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์แล้วฝืนใจกลืนลงไปจนหมด เห็นสีหน้าเหยเกของแบคฮยอนแล้วหวงจื่อเทาก็อยากจะหัวเราะให้ก้องโลก
“โคตรไก่อ่ะ”
“อะไรไก่”
“ไก่อ่อนไง” เทาหัวเราะหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นแบคฮยอนแลบลิ้นออกมาพร้อมกับใช้เล็บขูดลิ้นตัวเอง “มันต้องมีพร๊อบน่ะนะ”
“พร๊อบอะไร”
“ถ้าสายแข็งจะกินเพียว ๆ ได้แบบไม่ต้องตบน้ำตามไง แต่อย่างนายต้องมีน้ำอัดลมอ่ะ ไม่งั้นขมตายเลย”
“มันจะทำให้ไม่ขมเหรอ?”
“เปล่า มันทำให้กินง่ายขึ้น”
“แต่ก็เมาอยู่ดีใช่ไหม?”
“มันก็อยู่ที่ว่านายคอแข็งมากแค่ไหน” รอยยิ้มของเทาในตอนนี้เหมือนผู้เชี่ยวชาญจนแบคฮยอนแอบทึ่งอยู่ในใจ ทั้งที่อายุเท่ากันแท้ ๆ แต่หมอนี่กับผ่านอะไรมาเยอะกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก “ยังอยากดื่มอยู่ไหมล่ะ?”
“อยาก”
“จัดไป เดี๋ยวนั่งดื่มเป็นเพื่อน” เทาลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวไม่ถึงสามนาทีก็เดินกลับมาพร้อมน้ำอัดลมขวดลิตรและแก้วใบใส
“ฉันต้องกินเท่าไหร่ถึงจะเมา”
“ไม่เกินสามยก”
“สามแก้วเหรอ?”
“ไม่ดิ หมายถึงว่ายกใส่ปากสามทีอ่ะ” เทาอธิบายพร้อมทำท่าประกอบ แบคฮยอนพยักหน้าหงึกแล้วมองอีกคนที่กำลังผสมเหล้ากับโค้กให้เขา
“เมาแล้วดียังไงเหรอ”
“ทำไมถามงี้ล่ะ”
“ก็แค่อยากรู้ว่ามันดียังไง ทำไมใครหลายคนถึงชอบดื่ม”
“บางคนเมาแล้วเรื้อน บางคนเมาแล้วดราม่า แต่บางคน...เมาแล้วอารมณ์ดีอย่างเช่นฉันเป็นต้น” เทายิ้มแล้วเลื่อนแก้วเหล้าที่มีเพียงครึ่งเดียวมาตรงหน้าเขา
“เมาแล้วจะอารมณ์ดี...”
“ใช่ นายจะรู้สึกเบาหวิวเหมือนนอนอยู่บนก้อนเมฆอะไรเทือก ๆ นั้นเลยแหละ” เทาหัวเราะพลางมองเด็กน้อยที่กำลังจะยกแก้วขึ้นดื่มอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ตอนนี้ฉันเหมือนคนขายยาที่กำลังล่อลวงเด็กเนิร์ดให้เสียคนเลยว่ะ...” พึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ตรงบันได “โหย นึกว่าผี!”
“ทำอะไรน่ะ?” เซฮุนขมวดคิ้วมองคาดโทษเทาแล้วลดมือแบคฮยอนลง “พอแล้วแบคฮยอน”
“ฉันเพิ่งดื่มไปแค่อึกเดียวเอง” แบคฮยอนอธิบายให้อีกคนฟัง เซฮุนลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ แล้วยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ
“ดื่มแบบนี้เดี๋ยวก็เมาหรอก...เพราะนายใช่ไหม?”
“เปล่า ไม่ใช่เพราะเทาหรอก ฉันอยากดื่มเอง” ร่างเล็กส่ายหน้าปฏิเสธ เทาเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อถูกโบ้ยความผิด
“ใช่ ๆ แบคฮยอนอยากดื่มเองฉันแค่นั่งดื่มเป็นเพื่อนเฉย ๆ นะ”
“แทนที่จะห้ามกัน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ก็แบคฮยอนอยากดื่มนี่ ทำไมนายต้องดุฉันด้วยล่ะเซฮุนนา...” เทางอหน้าแล้วเบะปากน้อย ๆ เรียกคะแนนสงสารจากเพื่อนตัวบาง
“ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นเลย”
“เซฮุนนา~”
“ถ้าจงอินกลับมาเห็นล่ะ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นคนยังไง” ประโยคหลังหันไปทางแบคฮยอนที่กำลังมองเขาตาละห้อย
“มันเพิ่งออกไปข้างนอกกับไอ้ลู่หานเมื่อกี้เอง เอาน่า...ดื่มนิด ๆ หน่อย ๆ แบคฮยอนก็โตแล้ว มันถึงเวลาที่หมอนี่ต้องรู้สักทีว่าอะไรควรไม่ควร ดื่มให้รู้ไม่ใช่ดื่มให้ติดถูกป่ะ” เทาชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาอ้าง เซฮุนไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่มองทั้งคู่สลับกันไปมาเท่านั้น
ก๊อก ๆ
“เทาอยู่นี่หรือเปล่า...?” มินซอกเปิดประตูเข้ามาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อเห็นคนที่เขาตามหานั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ว่า?”
“อึนจีให้มาตาม”
“ยัยอ้วนนั่นมีอะไรอีกล่ะ” เทาเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อนึกถึงเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
“จะไปรู้เหรอ แล้วนั่นทำอะไรกันอยู่?”
“ดื่มเหล้าแก้หนาว”
“ดื่มเหล้า?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วมองเด็กอายุสิบแปดทั้งสามคนสลับกันไปมา “คนบ้านนี้เขาไม่ว่าอะไรเลยหรือไงทำไมปล่อยให้พวกนายมานั่งดื่มของมึนเมากันเปิดเผยกันแบบนี้?”
“ไม่ว่าหรอก เพราะพวกมันไม่อยู่” เทาตบมือทีนึงแล้วหัวเราะลั่น พอถูกทุกสายตาหันมามองเจ้าตัวถึงได้หุบยิ้มลง
“มินซอกเข้ามาข้างในก่อนไหม ข้างนอกมันหนาวนะ” แบคฮยอนเอ่ยปากชวน คนตัวเล็กมองทั้งสามคนก่อนจะปิดประตูบ้านแล้วกลับมายืนที่เดิม
“ฉันแค่มาตามเทา”
“เออน่า แล้วค่อยไปก็ได้ ยัยแม่หมีนั่นไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรอก...มานั่งด้วยกันมา” เทาตบโซฟาปุ ๆ เรียกให้เพื่อนมานั่งด้วยกัน มินซอกไม่ได้ตัดสินใจทันที ในหัวกำลังชั่งน้ำหนักความผิดถูกจนกระทั่งเทาลุกขึ้นเดินมาลากเขาให้ไปนั่งด้วย
“ทำแบบนี้เราจะโดนว่านะเทา” เซฮุนยังคงพยายามห้ามอยู่อย่างนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีว่าจะล้มเลิกความตั้งใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าดื่มนิด ๆ หน่อย ๆ ” ร่างสูงรินเหล้าลงไปใหม่แล้วกระดกรวดเดียวก่อนจะตามด้วยโค้กแล้วซี๊ดปากให้ทุกคนดู “ย่าห์...เครื่องร้อนเลย”
“พอได้แล้วเดี๋ยวคุณกาฮีกับอี้ชิงมาเห็น”
“ครูทำอะไรอยู่อ่ะมินซอก?”
“สอนคนจีนพูดภาษาเกาหลีอยู่”
“ถ้างั้นคงอีกนานอ่ะ” เทายิ้มร่าแล้วรินเหล้าใส่แก้วพร้อมกับยื่นให้เซฮุน “สักแก้วสิเซฮุน” ร่างบางไม่ได้รับแก้วเอาไว้ สายตายังคงมองคาดโทษเพื่อหวังให้เทาล้มเลิกความตั้งใจที่จะมอมเมาคนรอบข้าง “คนสมัยก่อนเขาก็ดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่นกันทั้งนั้น นี่เราไม่ได้ดื่มเพื่อเมานะ แต่ดื่มเพื่อสุขภาพ...รับไปเร็ว” เทายื่นไปอีกครั้ง
“งั้นฉันดื่มเอง”
“ไม่ต้อง” เซฮุนคว้าแก้วเอาไว้ก่อนที่แบคฮยอนจะแย่งไปได้ ร่างบางยกกระดกรวดเดียวจนหมดแก้วท่ามกลางสายตาของเด็กหนุ่มทั้งสามคนที่นั่งมองอย่างลุ้น ๆ เซฮุนเบ้หน้าแล้วยื่นแก้วคืนให้ก่อนจะหันหลังไปทำอะไรบางอย่างซึ่งแบคฮยอนก็พอจะเข้าใจว่าอาการเซฮุนตอนนี้คงไม่ต่างจากเขาเมื่อครู่
“เอาโค้กไหมเซฮุน?” เจ้าของชื่อหันกลับมารับขวดโค้กขึ้นไปกระดกโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเทใส่แก้วให้ คงมีแค่หวงจื่อเทาเท่านั้นที่มีความสุขในตอนนี้
“หน้าแดง” ประโยคของมินซอกมาพร้อมกับความร้อนวูบวาบตรงแก้ม ไม่ใช่แค่หน้าของเขาหรอกที่กำลังแดง ความรู้สึกตอนนี้ถ้าให้เปรียบเทียบเหล้ากับอะไรสักอย่างก็คงไม่พ้นไฟ ความร้อนที่แล่นปราดไปทั่วร่างกายแบบนี้เขาไม่เคยเป็นมาก่อน ใช่ว่าโอเซฮุนไม่เคยดื่มเหล้าแต่เขาก็แค่ยังไม่เคยลองดื่มแบบเพียว ๆ คราวนั้นที่ดื่มกับพวกจงอินที่ลานอเนกประสงค์ก็ดื่มแบบผสมไม่ใช่แบบนี้
“วูบวาบดีไหมล่ะ”
“แต่คนแถวนี้อาจจะนั่งอยู่แล้ววูบไปเฉย ๆ ก็ได้นะ” มินซอกเหล่มองเพื่อนตัวสูงที่ดูจะสนุกสนานกับการได้เห็นปฏิกิริยาของคนรอบข้าง
“เอาด้วยไหมมินซอก”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
“นิดนึงดิจะได้นอนหลับฝันดี”
“ฉันก็นอนหลับทุกคืน”
“แต่คราวนี้หลับแบบสบายเลยนะเชื่อฉัน สามแก้วเท่านั้น รับรอง..บินนนนน” เทารินเหล้าอีกครั้งแล้วยื่นให้คนข้าง ๆ
“มินซอก อย่า” เซฮุนห้าม คนตัวเล็กมองแก้วสลับกับร่างบางไปมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวสูง
“ฉันไม่อยากเมา เมาแล้วเหมือนหมา” นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้นตอนที่ยังอยู่โรงเรียนแล้วลู่หานมาเคาะประตูห้องเขากลางดึกพร้อมกับกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งตามตัว
“แล้วทำไมต้องดื่มจนเมาด้วยเล่า มีแต่พวกกระจอกเท่านั้นแหละที่เมาน่ะ”
“...”
“แก้วเดียวก็ได้เอ้า!”
“555555555555555555555555555555”
เสียงหัวเราะของหนุ่มชาวจีนดังขึ้นเพียงแค่เห็นแก้วล้มลงบนโต๊ะ สมองที่เคยประมวลผลถึงความผิดชอบชั่วดีถูกปิดตายไปโดยปริยายเพียงแค่เหล้าเข้าปาก ซ้ายมือมีเด็กแว่นนั่งคอพับอยู่ เซฮุนส่ายหัวไล่ความมึนงงแล้วประคองตัวเองให้เดินลงมาจากบันไดหลังจากพยายามหิ้วปีกแบคฮยอนขึ้นไปบนห้องอย่างทุลักทุเล
พอถึงห้องแล้วใช่ว่าทุกอย่างจะจบ เขาต้องคอยลูบหลังให้ตอนที่แบคฮยอนโก่งคออ้วกทั้งที่ตัวเองก็มึนไม่แพ้กัน เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ใจไม่แข็งพอแล้วปล่อยให้ลูกอ้อนของหวงจื่อเทาเล่นงานเข้าให้
พอลูบหลังเสร็จแทนที่แบคฮยอนจะยอมไปนอนบนเตียงดี ๆ หมอนั่นก็กอดชักโครกไว้ราวกับเพื่อนเป็นเพื่อนตายที่ไม่อยากห่างกันไปไหน ก็พอจะรู้หรอกว่าคนเมามีหลายรูปแบบ แต่อย่างแบคฮยอนเป็นพวกเมาแล้วเพ้อ เมาแล้วร้องไห้ ซึ่งทุกอย่างที่คนตัวเล็กระบายมันก็ออกมาจากจิตใต้สำนึกทั้งนั้น
ตอนนี้เหลือเทากับมินซอกที่อยู่ในสภาพไม่เป็นท่า ทั้งที่ดื่มไปแค่นิดเดียวแต่คนตัวเล็กกลับล้มพับไปก่อนใคร ไม่อยากจะคิดตอนจงอินกลับมาเลยจริง ๆ เขาจะต้องโดนดุแบบไหนไม่อยากจะจินตนาการลยจริง ๆ
“เทา ลุกเถอะ” ร่างบางเข้าไปดึงแขนเพื่อนตัวสูงแต่เจ้าตัวเอาแต่หัวเราะร่าราวกับคนเสพกัญชา ไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนาให้ตายเถอะ “ลุกขึ้น”
“นั่นเสียงครายยยย”
“หวงจื่อเทา”
“เตี่ยเหรอ...” คนตัวสูงปรือตามองทั้งที่ยังยิ้มกริ่ม เซฮุนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วออกแรงดึงเพื่อนตัวสูงจนเซถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อเทาทิ้งน้ำหนักมาที่เขาพร้อมกับรวบกอดเอาไว้
“ไปดูเชิดสิงโตกานนนน”
“โอเค เดี๋ยวเตี่ยจะพาไปดูสิงโตนะ” ไม่รู้ว่าหมอนี่เมาดิบหรือเมาจริง ๆ กันแน่ถึงได้คุยกับ ‘เตี่ย’ ที่ว่าเป็นภาษาเกาหลี เซฮุนพยายามรวบรวมสติที่มีอยู่น้อยนิดประคองร่างคนตัวโตกว่าเอาไว้ให้เดินไปด้วยกัน
“สิงโตอยู่หนายยยยยยยยยยยย”
“อยู่ทางนั้นน่ะ ป่ะ...เดี๋ยวเตี่ยพาไปนะ” นึกแล้วก็ขำตัวเองที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ร่างบางยิ้มขำแล้วประคองร่างสูงไปที่บันไดทางขึ้น ตอนนี้ต้องลากเทาไปเก็บที่ห้องแบคฮยอนก่อนเพราะถ้าเกิดพาไปบ้านหลังนั้นให้คุณกาฮีเห็นในสภาพนี้คงไม่ดีแน่
แกร่ก...
“...” หันไปสบตากับคนที่เพิ่งเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วก็พูดไม่ออก เซฮุนดึงแขนแกร่งที่พาดคอตัวเองให้ขึ้นมาดี ๆ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ให้กับผู้มาใหม่ทั้งสอง
“มินซอก?” ลู่หานเข้าไปดูคนตัวเล็กที่นอนหลับคอพับด้วยความเป็นห่วง จงอินมองเด็กแว่นสลับกับเซฮุนไปมาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเชิงถาม
“นี่มันอะไร?”
“เอ่อ...”
“เชิดสิงโตไงสาดดดดด”
“เชิดที่หน้าพ่อมึง” จงอินจิ๊ปากพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วเข้าไปช่วยหิ้วปีกอีกข้างหนึ่ง
“มีอะไรจะอธิบายไหม?”
“คือ...”
“นายก็ด้วยเหรอ?” เซฮุนเหลือบมองอีกคนที่กำลังมองคาดโทษเขา พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นคำตอบจงอินเลยถอนหายใจพรืดก่อนจะหันกลับมาชี้หน้า
“โดนแน่”
“ขอโทษครับ...” เซฮุนพูดเสียงแผ่ว
“ไม่หาย”
“ผมขอโทษจริง ๆ ”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้” เซฮุนเม้มปากพลางมองไปยังอีกคนที่กำลังขยับปากบ่นอุบอิบเหมือนคนแก่แล้วช่วยกันหิ้วปีกเทาขึ้นไปบนชั้นสอง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรครับครูคนสวย...ฮะ ๆ มินซอกง่วงน่ะ” พอเห็นครูสาวทำท่าจะเดินเข้ามาดูอาการคนที่ฟุบหลับอยู่ข้างหลังเขาแล้วก็หยุดยืนอยู่กับที่ สองแขนแกร่งกระชับใต้ขาพับคนตัวเล็กเอาไว้แล้วหันไปยิ้มให้อี้ชิง
“ง่วง?”
“ใช่เลย เด็ก ๆ ก็งี้แหละเดี๋ยวผมพาน้องไปนอนเองนะ” ใช้ศัพท์แสดงถึงความเป็นพี่ชายที่แสนดีเพื่อทำให้ครูสาวสบายใจแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ปาร์คกาฮีกับอี้ชิงได้เพียงแค่มองตามทั้งคู่ด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากัน
ร่างเล็กถูกวางลงบนเตียงนุ่มอย่างเบามือ ลู่หานเดินไปจุดเทียนบนโต๊ะแล้วกลับมานั่งข้างขอบเตียงอีกครั้งพร้อมกับช่วยถอดแว่นออกให้ เสียงอู้อี้ในลำคอบ่งบอกถึงความรำคาญ สองมือเล็กปัดป่ายมืออีกฝ่ายออกแล้วควานหาหมอนมากอด
นั่น...
“เปาจื่อ”
“...”
“เปาจื่อ...”
“อือ”
ลู่หานลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายขานตอบชื่อที่เขาตั้งให้ เอื้อมลงไปดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมถึงไหล่ให้แล้วนั่งมองคนตัวเล็กอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมมินซอกถึงได้ดื่มจนเมามายขนาดนี้ แต่พอเมาแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ
“หืม?” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อจู่ ๆ คนตัวเล็กก็ถีบผ้าห่มออกอย่างรำคาญพร้อมกับส่งเสียงฟึดฟัด “จะถีบออกทำไมเนี่ย” หัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วดึงขึ้นห่มให้อีกครั้งแต่มินซอกก็ถีบลงอีกอยู่ดีแต่คราวนี้หนักกว่าเดิมตรงที่เจ้าตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อตัวนอกออกจนเหลือเพียงแค่เสื้อยืดตัวเดียว
“...” ดวงตาเรียวที่ไม่มีเลนส์แว่นบดบังกำลังจดจ้องอยู่กับใบหน้าหล่อที่อยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงสองคืบ นี่เป็นครั้งแรกที่มินซอกมองเขาแบบนี้ มันไม่ใช่แววตาเย็นชาเลยเสียทีเดียว...แต่มัน...เออ...แววตาของคนเมาน่ะ
“ถ้าถอดอีกมีปล้ำ”
เพี๊ยะ!!
หน้าหันครับ...
ลู่หานจับแก้มตัวเองที่กำลังรู้สึกแสบร้อนเพราะแรงหวดของมือเล็กก่อนจะค่อย ๆ หันกลับไปมองแววตาคู่นั้นที่ยังคงจับจ้องเขาอยู่อย่างใจเย็น
“เปาจื่อตบพี่ทำไมครับ”
เพี๊ยะ!!
ใจเย็นไว้ลู่หาน...เด็กกำลังเมา...
“คนเราผิดพลาดกันได้แต่ก็ไม่ควรผิดซ้ำส...”
เพี๊ยะ!!!
ไม่ไหวแล้วนะโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!
“มินซอก!”
“อะไร?” นอกจากจะเมาแล้วยังจะกล้าแกร่งกว่าเดิมอีกนะ ลู่หานหายใจเข้าลึก ๆ พลางปิดเปลือกตาลงก่อนจะฝืนยิ้มสู้คนตัวเล็ก
“เปาจื่อตบพี่ทำไมครับหื้ม?”
“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?” เพี๊ยะ!! “หะ?” เดี๋ยว ๆ กูว่าไม่ใช่ละ...
“พี่เจ็บนะ” รวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้แล้วมองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้น “ไม่ตบที่รักสิครับ”
“แล้วจะให้ทำอะไร? ถีบเหรอ? แล้วใครที่รักใครพูดให้มันดี ๆ ”
“อะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านั้นน่ะ”
“งั้นกัด” มินซอกก้มลงอ้าปากทำท่าจะงับมืออีกคนทันทีที่พูดจบ ลู่หานยิ้มขำกับท่าทางคนตัวเล็กที่เหมือนลูกหมากำลังพยายามจะกัดมือเจ้านายใหม่เพราะความไม่คุ้นชินก่อนจะกดร่างนั้นลงไปนอนกับเตียงแล้วขึ้นคร่อมทับ
“กัดแบบนั้นพี่ก็เจ็บสิ”
“ก็กัดให้เจ็บ”
“งั้นกัดที่อื่นที่ไม่ใช่แขนพี่ได้ไหม?”
“ตรงไหน หูหรือไง?” จนถึงตอนนี้ลู่หานก็ยังคงมองหน้าคนตัวเล็กอยู่อย่างนั้น
“ปากครับ” ลู่หานยิ้มก่อนจะค่อย ๆ คลายข้อมือเล็กออกแล้วเปลี่ยนมาเกลี่ยไรผมออกจากแก้มนิ่ม
“ผมไม่ได้เมาขนาดที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ”
“รวมถึงที่ตบพี่เมื่อกี้ด้วยน่ะเหรอ”
“ใช่”
“ใจร้ายจังเลยนะ~” ลู่หานบีบจมูกรั้นเบา ๆ แต่ก็ถูกปัดออกอย่างรำคาญ
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าตอนเมามันเป็นยังไงก็แค่นั้น”
“แล้วรู้หรือยังล่ะ”
“รู้แล้ว” มินซอกเว้นจังหวะไว้ครู่เดียวก่อนจะเอามือปิดปากคนตรงหน้าที่กำลังจะโน้มตัวลงมาจูบเขาเอาไว้ “รู้ว่าไม่เห็นเหมือนกับตอนที่คุณเมาเลย”
“หืม? ที่ดื่มเพราะอยากรู้เรื่องนี้น่ะเหรอ?” ลู่หานแกะมือเล็กออกแล้วหัวเราะพอใจ
“ไม่ต้องสำคัญตัวเองขนาดนั้น”
“ไม่สำคัญตัวก็ได้ แต่เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิว่ามันต่างจากที่พี่เมาตรงไหน?” ร่างโปร่งยิ้มแล้วกดจูบลงบนพวงแก้มนิ่ม มินซอกเบี่ยงหน้าหลบแล้วพยายามตบหน้าลู่หานอีกครั้งแต่คราวนี้คนตัวโตกว่าไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น
“ถ้าดื้อจะโดนมากกว่านี้นะ” ลู่หานยังคงยิ้ม มินซอกมองคาดโทษอีกฝ่ายแล้วเบนสายตาลงไปมองข้อมือตัวเองที่ถูกขึงไว้กับผืนเตียง “เล่าสิ พี่อยากฟัง”
“ผมไม่ได้หื่นเหมือนคุณ นั่นแหละคำตอบ”
“ตรงแต่ชัดเจน” ลู่หานหัวเราะแล้วฟัดแก้มมินซอกอีกครั้ง “ขอโทษแล้วกัน”
“...”
“แต่พี่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับทุกคนหรอกนะ...มินซอก” พูดจบก็กดจูบลงบนกกหูอีกคนจนแทบหดคอไม่ทัน ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงที่ซอกคอขาวก่อนจะฝังจมูกลงไปสูดดมความหอมประจำตัวแบบที่เขาชอบ
มินซอกพยายามดิ้นหนีพันธนาการครั้งนี้แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ก็รู้มาตั้งนานแล้วล่ะว่าถ้าลู่หานพยายามอะไรสักอย่างแล้วมันก็ต้องได้ดั่งใจ ที่ถอดเสื้อออกก็เพราะฤทธิ์เหล้าที่ทำให้เขาร้อนไปหมดใช่ว่าอยากให้ท่าอะไรเลยสักนิด ความรู้สึกแปลก ๆ มาพร้อมกับริมฝีปากหยักที่กดจูบลงบนพื้นผิว คิมมินซอกอยากจะบ้าตายที่รู้สึกร่วมไปด้วยทั้งที่สมองมันสั่งการอีกอย่าง เป็นเพราะอะไรกันล่ะ...เพราะฤทธิ์เหล้างั้นเหรอ?
“จูบหน่อย” น้ำเสียงติดอ้อนทำให้คนตัวเล็กหือไม่ออก แสงเทียนสีส้มปกปิดความเขินอายจากสีหน้าของเขาเอาไว้ มินซอกหลับตาลงเป็นเชิงอนุญาตทำให้เสือที่เห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าได้ใจยิ่งกว่าเดิม
ริมฝีปากหยักแตะลงไปเบา ๆ เป็นการเริ่มต้นก่อนจะกดจูบย้ำลงไปอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร่าร้อนให้กับรสจูบ ไม่สามารถรับรสเหล้าในโพรงปากหวานได้แต่มีเพียงแค่กลิ่นอ่อน ๆ ของมันเท่านั้นที่กำลังมอมเมาเขาให้ลุ่มหลงอยู่กับร่างของเด็กแว่นที่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะตกหลุมรักได้ ที่ผ่านมาเคยพบเจอแต่ความรักที่ลดลงไปตามกาลเวลา ยิ่งคบไปความเบื่อหน่ายก็เข้ามาแทนที่ความหลงใหล
แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกเบื่อเด็กคนนี้เลยล่ะ?
ทุกวันนี้เขารู้จักแต่คำว่า ‘หลง’ เท่านั้นที่มีให้คิมมินซอก
“เปาจื่อ...”
“อะไร...”
“มากกว่านี้ได้ไหม?”
จูบเปลือกตาคนตัวเล็กแล้วผละออกมาจ้องหน้าหวังรอคำตอบ มินซอกนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับใช้ความคิด...แล้วคำตอบก็ทำให้คนขอยิ้มออกมาได้แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การพยักหน้าตอบตกลงเท่านั้น
“ถ้ารู้ว่าเมาแล้วน่ารักแบบนี้พี่มอมเหล้าไปตั้งนานแล้ว”
TBC
ไม่มีฉากพรีเมียมครัช ไม่ต้องมองหาคำว่า cut
555555555555555555555555555555555555555555555555 (มีฟามสุข)
ความคิดเห็น