คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : Chapter 23 :: Sick
Chapter 23
Sick
ถ้าถามว่าใครคือไอ้ทึ่มดีแต่ปากก็ขอบอกตรงนี้เลยว่าคน ๆ นั้นคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้ชายเฮงซวยอย่างลู่หาน...ชายหนุ่มยืนเม้มริมฝีปากอยู่หน้าประตูทางเข้าดาดฟ้าหลังจากทำตัวเป็นไอ้โง่ให้จงอินบ่นอยู่นานสองนานถึงนึกขึ้นได้ว่าควรจะออกมาหาอะไรที่มันสร้างสรรค์ทำคงดีกว่านอนเอื่อยอยู่ในห้องกับผู้ชายกาก ๆ อย่างมันด่าเล่น
สุดท้ายไอ้ที่ว่าสร้างสรรค์คงไม่พ้นการไปช่วยเทากับอี้ฟานเอาแทงค์น้ำไปวางรองน้ำฝนเป็นจุด ๆ ท่ามกลางสายฝน แอบเงยหน้าขึ้นมองไปบนดาดฟ้า ไม่รู้ว่าวันฝนตกแบบนี้เด็กคนนั้นจะอยู่ยังไง หลบฝนตรงไหนนึกแล้วก็เป็นห่วง
แต่ไอ้งานที่ทำอยู่ก็ฆ่าเวลาไปได้ไม่เท่าไหร่ สุดท้ายเรื่องที่พยายามหนีก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งอยู่ดี จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดผู้ชายอย่างลู่หานเป็นคนรักเดียวใจเดียวบางทีเขาอาจจะไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหาโลกแตกแบบนี้ก็ได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนมีความรัก เขาไม่เคยสนใจหรอกว่าจะต้องมีใครมาเจ็บมาเสียใจเพราะเขา ไม่เคยต้องมากังวลจนทำตัวไม่ถูกแบบนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่สำคัญที่สุดมันก็คือความรู้สึกของตัวเอง ใคร ๆ ก็คิดแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?
แล้วที่เป็นอยู่นี่มันคืออะไรกันวะ? ทำไมไม่กล้าคุยกับแบคฮยอน ทั้งที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ทำไมไม่ตีหน้ามึนหน้าด้านเข้าไปทำตัววุ่นวายให้เด็กนั่นบ่นเหมือนกับทุกครั้งล่ะ? เพราะรู้สึกแย่ที่เคยเชื่อว่าสักวันนึงเด็กคนนั้นจะซึมซับความรู้สึกของเขาไปเองน่ะเหรอ? แต่ดูเหมือนว่าจะคิดผิด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้แล้วว่าเวลามันไม่เคยช่วยอะไรเลย
ร่างโปร่งถอนหายใจกับปัญหาที่กำลังรุมเร้าจนทำให้คนอย่างเขาสูญเสียความเป็นตัวเอง พอมาถึงข้างบนนี้แล้วยังไง? ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปอยู่ดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหาเหตุผลโง่ ๆ เดินเข้าไปหามินซอกได้อย่างไม่ยาก อย่างน้อยก็แกล้งทำเป็นจุดบุหรี่ขึ้นสูบ พูดจากวนประสาททำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คงได้มารู้สึกผิดทีหลังอีก
ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว...มินซอกไม่ได้อยู่ในสถานะที่เขาคิดจะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่คิดอีกต่อไป ลู่หานได้แต่บอกกับตัวเองแบบนี้
แต่พอรู้สึกแย่ เวลาที่ต้องการใครสักคนเขากลับนึกถึงมินซอกคนแรก แทนที่จะเป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขาปั่นป่วนมากที่สุดอย่างแบคฮยอน...
มือเรียวทาบมือลงบนประตูเย็นเฉียบก่อนจะค่อย ๆ เปิดเข้าไป หยดน้ำฝนจากหลังคาร่วงลงบนพื้นซีเมนต์พร้อมกับร่างใครคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการกวาดน้ำฝนที่ขังอยู่บนพื้นให้ไหลไปตามรางท่อ มินซอกเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้าก่อนจะดึงฮู้ดลง
“อยู่บนนี้ตลอดเลยเหรอ?” ลู่หานถามพลางเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่เริ่มกวาดน้ำฝนอีกครั้ง
“ตอนฝนตกผมไปหลบอยู่ตรงบันไดน่ะ” พอได้ยินคำตอบร่างโปร่งก็พยักหน้า หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ความเงียบกลืนกินจนกลายเป็นความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น มันกลับมาอีกแล้ว ภาพตอนที่มินซอกเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน...มันย้อนกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว
“พี่ช่วยนะ” ลู่หานแย่งไม้กวาดทางมะพร้าวออกมาจากมืออีกคนแล้วช่วยกวาด มินซอกยืนมองอีกคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาช่วยเขาอย่างตั้งใจ พอเห็นแบบนี้แล้วเขาก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
ลู่หานคงกำลังอึดอัด...
“ที่คุณขึ้นมาบนนี้คงไม่ได้มาเพื่อช่วยผมกวาดพื้นหรอกใช่ไหม?” ร่างโปร่งหยุดชะงักก่อนจะหันกลับไปมองมินซอกที่กำลังจ้องเขาอยู่
“ถ้าคุณกำลังคิดมากเรื่องนั้นอยู่ล่ะก็ ลืม ๆ มันไปเถอะ” เด็กหนุ่มพูดแค่นั้นแล้วก็เดินกลับไปเอาผ้าขี้ริ้วขึ้นมาเช็ดน้ำฝนออกจากเก้าอี้ยาว ลู่หานยืนนิ่ง เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงบิดน้ำออกจากมืออีกคน
“ออกเวรกี่โมงเหรอ”
“เจ็ดโมงเช้า”
“อ้าว ทำไมถึงออกเวรตอนเช้าล่ะ?”
“ผมกับรูมเมทเริ่มเปลี่ยนเวรกันตั้งแต่วันนี้ เขาไม่สบายบ่อย ๆ เพราะอยู่กะกลางคืนน่ะ” พอได้ยินคำตอบลู่หานก็พยักหน้าช้า ๆ
“งั้นเดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน”
“?” มินซอกเลิกคิ้วมอง ลู่หานพิงไม้กวาดทางมะพร้าวไว้กับผนังก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามินซอก
“พี่ขออยู่ด้วยนะ”
“...”
“พี่ไม่ได้ลำบากใจอะไรทั้งนั้น ไม่เคยรู้สึกไม่ดี ไม่เคยอึดอัดเวลาอยู่กับนายเลยสักครั้ง”
“...”
เด็กหนุ่มจ้องคนตรงหน้าแค่ครู่เดียวก็หลุบสายตาลง เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ลู่หานไปเจออะไรมา หรือที่เป็นอยู่ในตอนนี้อาจจะแค่รู้สึกผิด อะไรเขาก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ แต่เขาไม่ปฏิเสธ...ถ้าจะบอกว่ากำลังรู้สึกดีกับประโยคนี้ทั้งที่กำลังเศร้าอยู่
รู้สึกดี...ที่ลู่หานยืนอยู่ตรงนี้และกำลังมองหน้าเขา
“พูดอะไรของคุณกันนะ...” มินซอกพึมพำแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ยาวที่เพิ่งเช็ดน้ำฝนออกไปเมื่อครู่ ลู่หานนั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็กพร้อมกับมองไรเฟิลที่อีกคนกำลังหยิบออกมาถือไว้
“โว้ว ไรเฟิลเลยเหรอ?”
“ตกใจอะไรกัน” มินซอกเลิกคิ้วมองลู่หานที่ยังคงมองไรเฟิลสลับกับหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
“ปืนของเล่นหรือเปล่า ใครเอามาให้เนี่ย” ลู่หานแย่งไรเฟิลมาจากมือมินซอกพร้อมกับพลิกหน้าพลิกหลังดูก่อนจะหมุนที่เก็บเสียงออก คนตัวเล็กมองการกระทำของคนข้าง ๆ ไหนจะทำตาโตใส่เขาแล้วก็ยิ้มขำ
“ของจริงนี่?”
“ก็ของจริงน่ะสิ ผมจะเอาปืนของเล่นมาทำไม”
“ยิงเป็นเหรอ หรือว่าเอามาถือไว้โก้ ๆ ”
“ก็พอยิงได้ คุณอี้ฟานสอนให้” พอได้ยินคำตอบลู่หานก็หันควับมองหน้ามินซอกราวกับจ้องจับผิด
“ไปรู้จักหมอนั่นได้ยังไงกัน อยู่บนนี้ตลอดทั้งวันไม่ใช่เหรอ”
“ก็เขาขึ้นมาหา แล้วสอนผมยิงปืน”
“แค่สอนใช้ปืน?”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณคิดว่าเขาจะทำอะไรอีก ชวนผมออกไปจ่ายตลาดหรือไง” พอได้ยินคำตอบกวนประสาทลู่หานก็แค่นหัวเราะ ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะได้เพื่อนเพิ่มตอนที่เขาไม่อยู่สินะ
แต่ทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจหลังจากที่รู้ว่ามินซอกพูดคุยคนอื่นนอกจากเขาด้วยล่ะ ก็ไม่ได้โง่หรอกนะ ก็รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้คือหึงหวง แต่ในสถานการณ์ในตอนนี้เขาควรรู้สึกอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ก็ไม่...
“โอ๊ย!” มินซอกกุมหน้าผากเมื่อถูกลู่หานดีดเข้าไปเต็มแรง คนตัวเล็กขมวดคิ้วแล้วปัดมือเรียวที่กำลังเตรียมตัวจะดีดหน้าผากเขาอีกรอบ
“ต่อปากต่อคำดีนัก”
“ไม่อยากให้ต่อปากต่อคำก็ไปอยู่กับแบคฮยอนสิ” สุดท้ายคำพูดต้องห้ามก็หลุดออกมาจากปากคิมมินซอก ลู่หานจ้องหน้าคนตัวเล็กที่กำลังประชดประชันเขาแล้วก็ยิ้มออกมา
“หึงหรือไง”
“ตลก” มินซอกแค่นหัวเราะแล้วแย่งไรเฟิลคืนมา
“ตลกมากด้วย หึงแล้วชอบประชดเหรอ นี่เพิ่งรู้” ลู่หานหยิกแก้มนิ่มจนคนถูกกระทำรีบสะบัดหน้าหนี มินซอกถอยออกแล้วมองคาดโทษคนขี้เล่นที่เอาแต่แกล้งเขาอยู่ได้
“ใช่ ถ้ารู้แบบนี้แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ บอกผมมาสิ”
“...” ลู่หานถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอสวนกลับแบบนี้ มินซอกจิ๊ปากแล้วเดินไปเอาผ้าขนหนูผืนที่เขาพกขึ้นมาทุกวันมาโยนลงบนหน้าขาอีกคน
“เช็ดผมให้แห้งเถอะ หรือไม่ก็ลงไปขอให้แบคฮยอนช่วยเช็ดให้”
“ไม่เอาน่าเปาจื่อ หึงแล้วอย่าพาลดิครับ”
“ผมจะไม่เลิกพาลจนกว่าคุณจะเลิกให้ความหวังผม” มินซอกมองคาดโทษคนข้าง ๆ ที่ชะงักมือเพราะคำพูดของเขาอีกครั้ง
“วันนี้ไปกินอะไรมาถึงได้ใส่พี่ไม่ยั้งเลยเนี่ย ห๊า” ลู่หานเอื้อมมือไปขยี้หัวอีกคนจนยุ่งเหยิงไปหมด มินซอกปัดมือเขาออกแรง ๆ พร้อมกับชักสีหน้าใส่
“คุณก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกันถ้าแบคฮยอนทำกับคุณเหมือนที่คุณทำกับผมแบบนี้”
“แล้วจะให้ทำไงวะ เมื่อวานนายก็จูบพี่ พอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็หาว่าให้ความหวัง พอขุดเรื่องดราม่าขึ้นมาพูดก็หาว่าตอกย้ำอีกล่ะ จะไปหาแบคฮยอนก็เสียใจ มาหานายก็รู้สึกผิด จะไปไหนก็ไม่ได้ปวดหัวไปหมด”
“ก็สมน้ำหน้าแล้วนี่” มินซอกเบือนหน้าหนี
“มาจูบคนอื่นก่อนแท้ ๆ ยังจะหาว่าเขาให้ความหวังอีก” ลู่หานพึมพำก่อนจะยกมือขึ้นบังผ้าขี้ริ้วที่มินซอกเขวี้ยงมา “อะไรเนี่ย! ใช้กำลังกับพี่อีกแล้วนะเปาจื่อ!”
“ใครจูบใครก่อน พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”
“ก็ถ้าครั้งแรกอ่ะพี่ แต่ถ้าครั้งแรกของเมื่อวานอ่ะนาย”
“ก็นับครั้งแรกสิ เมื่อวานไม่นับ”
“ทำไมจะไม่นับ ต้องนับอยู่แล้วเพราะเปาจื่อก็ให้ความหวังพี่เหมือนกัน”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับผมนะ” มินซอกมองคาดโทษอีกฝ่าย
“อ้าว...ไม่ชอบให้ใช้ลิ้นเหรอ...”
“นี่คุณ!”
“เฮ้ย!! ใจเย็นดิเปาจื่อ!!” ลู่หานรีบยกมือขึ้นปกป้องตัวเองเมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะเอาสันปืนฟาดหัวเขา
มินซอกถอนหายใจแล้วนั่งลงที่เดิม เขาชักจะหงุดหงิดกับสิ่งที่ลู่หานกำลังทำอยู่ บางครั้งก็คิดว่ามันอาจจะดีแล้วที่ผู้ชายบ้า ๆ คนนื้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินคำพูดกวนประสาทแบบนั้นก็โมโหขึ้นมา
“ห้ามโกรธพี่นะ” ลู่หานขยับมานั่งข้าง ๆ แถมยังเอานิ้วจิ้มแก้มเขาอีก มินซอกหันไปมองใบหน้าทะเล้นของคนนิสัยไม่ดีแล้วก็ได้แต่คิดว่าทำไมกันนะ...ทำไมเขาต้องหลงรักผู้ชายแบบนี้ด้วย
“คุณเคยคิดบ้างไหมว่าผมต้องเสียใจถ้าคุณกับแบคฮยอนคบกัน” มินซอกถามด้วยแววตาจริงจัง ลู่หานชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคมหลุบลงก่อนจะกลอกขึ้นมาสบตากับคนตัวเล็กอีกครั้ง
“คิด”
“แล้วทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับผม”
“เพราะพี่มันแย่ไง”
“...”
ลู่หานวางมือลงบนหลังมือเล็กก่อนจะค่อย ๆ สอดประสาน มินซอกยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้สอดประสานมือตอบ ได้เพียงแค่นั่งนิ่ง ๆ แล้วรับสัมผัสอุ่น ๆ จากหลังมือเท่านั้น
“พี่มันแย่ที่ชอบแบคฮยอนแต่ก็ยังมายุ่งกับนาย มาคอยทำตัวน่าโมโหให้นายรำคาญอยู่ได้”
“...”
“พี่พยายามฝืนแล้ว พยายามอยู่กับตัวเอง ไม่ไปวุ่นวายกับนายแล้วก็แบคฮยอน แต่สุดท้ายขาพี่ก็พาขึ้นมาบนนี้จนได้”
“...”
“แล้วที่ตั้งใจไว้จะนั่งอยู่เฉย ๆ ถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบตอนที่พี่ไม่อยู่ ถามว่าวันนี้กินข้าวกับอะไร? เหงาไหม? แต่พี่ก็ทำไม่ได้ พี่อยากแกล้ง อยากกอด อยากจับมือนายไว้แบบนี้”
“พอเถอะ...” มินซอกพยายามจะคลายมือออกแต่อีกคนกลับจับไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“เห็นแล้วใช่ไหมว่าพี่มันแย่แค่ไหน เหตุผลแค่นี้มันก็น่าจะมากพอให้นายตัดใจจากพี่ได้แล้ว”
“เดี๋ยวก็ให้ความหวัง เดี๋ยวก็ทำให้รู้สึกดี แล้วสุดท้ายก็บอกให้ผมตัดใจ คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่?”
“ถ้าถามว่าพี่ต้องการอะไร คำตอบมันมีเยอะมากจนเล่าภายในวันเดียวไม่หมดหรอก”
“แล้วพูดทำไม ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำแบบนี้”
“ใจหนึ่งพี่ก็อยากให้นายตัดใจ แต่อีกใจพี่ก็อยากให้นายอยู่ตรงนี้”
“...”
“แต่ถ้านายตัดใจได้มันก็คงดี เพราะถ้าถามความต้องการของคนเห็นแก่ตัวอย่างพี่ มันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่จะขอให้นายอยู่ตรงนี้...”
“...”
“เพราะพี่ตัดสินใจเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น...นายช่วยตัดสินทุกอย่างให้พี่ได้ไหมมินซอก?”
“จงอินกับลู่หานยังไม่ลงมาอีกเหรอเซฮุน?” ชานยอลถามขณะที่คนอื่น ๆ นั่งล้อมโต๊ะเตรียมกินมื้อเย็นกันอยู่ แต่ขาดแค่คู่หูดูโอ้ที่ยังไม่ลงมา
“ไม่รู้สิครับ งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปตามนะ”
พอเห็นชานยอลพยักหน้าร่างบางก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในตึก ใช้เวลาไม่นานนักขาของเขาก็มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องของจงอิน เซฮุนเคาะประตูเบา ๆ เพียงสองครั้งเพื่อบอกการมาก่อนจะหมุนลูกบิดเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือความว่างเปล่าบนเตียงที่ลู่หานเคยนอนอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ แต่พอเดินเข้าไปก็เห็นใครอีกคนนอนขดตัวอยู่ในผ้านวมจนดูเหมือนก้อนอะไรสักอย่าง
“จงอิน?”
“...”
“จงอิน?” ร่างบางโน้มใบหน้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะสะกิดแขนอีกคนผ่านผ้านวมผืนหนา ร่างของอีกฝ่ายสั่นเทาจนเขาเริ่มใจไม่ดี มือเรียวดึงผ้าห่มออกแล้วก็เห็นจงอินนอนขดตัวอยู่
“...”
เอาอังมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกได้ถึงความร้อนของร่างกายของอีกคน ดูยังไงก็รู้ว่าจงอินไม่สบายแต่สิ่งหนึ่งที่เขาจะมองข้ามมันไปไม่ได้คือการตรวจร่างกายของร่างหนาว่ามีรอยแผลจากการถูกกัดหลังจากกลับมาจากไร่ข้าวโพดหรือเปล่า
ถลกเสื้ออีกฝ่ายขึ้นพร้อมกับพลิกดูรอยแผลแต่ก็ไม่พบความผิดพลาดอะไร ที่เหลือก็แค่กางเกงยีนส์ที่ถลกขากางเกงขึ้นมาเช็คดูรอยแผลไม่ได้และถ้าจะตรวจก็ต้องถอดกางเกง...
เซฮุนเม้มริมฝีปากแน่นแล้วละมือออกมา แต่ถ้าเขามองข้ามมันไปแล้วเกิดจงอินถูกกัดขาจริง ๆ แล้วจะทำยังไง ร่างบางถอยหลังไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับกุมขมับ นี่มันชักจะไม่ใช่เรื่องตลกแล้วสิ...หลังจากสู้กับตัวกินคนในไร่ข้าวโพดพอกลับมาแล้วจงอินก็มีไข้แบบนี้...
ไม่จริงน่า...
สุดท้ายเซฮุนก็รวบรวมความกล้าเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ยืนมองคนที่ยังคงหลับไม่ได้สติแล้วก็กัดฟันปลดเข็มขัดของร่างหนาออกแต่ยังไม่ทันจะดึงกางเกงลงก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่ทาบทับลงบนหลังมือ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าซีด ๆ ของจงอินที่กำลังปรือตามองเขาอยู่
“ทำอะไร...”
“ผม...”
“จะปล้ำฉันหรือไง...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมเห็นคุณไม่สบาย ไข้ขึ้นสูง...ก็เลยจะเช็คดูว่าคุณถูกกัดตรงไหนหรือเปล่า...” เซฮุนพูดติด ๆ ขัด ๆ กับเรื่องที่เขาจะต้องอธิบายให้อีกคนเข้าใจ
“สิ่งที่นายควรทำคือไปหายาลดไข้มาให้ฉัน”
“...”
“ทำหน้าแบบนั้นไม่เชื่อหรือไงว่าฉันไม่ได้ถูกกัด?” จงอินถามเสียงแหบพร่า แต่พอร่างบางไม่ยอมตอบเลยเอื้อมไปกุมมือเรียวไว้แล้ววางลงบนหัวกางเกงยีนส์ของเขา “ถ้าไม่เชื่อ...จะถอดดูก็ได้นะ” ตอนนี้เซฮุนเริ่มจะแยกแยะไม่ออกว่าน้ำเสียงมีเลสนัยแบบนี้มันเป็นเพราะพิษไข้หรือว่าอะไรกันแน่ ร่างบางรีบชักมือกลับแล้วจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่ปล่อยให้คนป่วยได้พูดอะไรอีก
ตึก ตึก ตึก!
สองขาหยุดยืนอยู่บนบันไดทางลงชั้นสามหลังจากที่เขาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลงมาอย่างไม่คิดชีวิต มือเรียวทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นแรงผิดปกติ ซึ่งช่วงนี้มันเกิดขึ้นบ่อยตอนที่อยู่กับคิมจงอิน แต่ครั้งนี้มันแปลกไปกว่าทุกครั้งเพราะแววตาคู่นั้น แววตาที่ติดเรทจนเขาทนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหว
“บ้าเอ๊ย...” ร่างบางสบถกับตัวเองแล้วหลับตาถอนหายใจ ยืนสงบสติอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินลงไปที่ห้องพยาบาลเพื่อขอยาลดไข้จากเด็กสาวที่อยู่ดูแลห้องนั้น
ได้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้เจ็บคอกับยาลดน้ำมูกมาด้วยเผื่อว่าอาการข้างเคียงจะตามมา แต่เดินยังไม่ถึงบันไดทางขึ้นก็ต้องวกกลับไปขอผ้าขนหนูสะอาด ๆ อีกสองผืนพร้อมกับกะละมังใบเล็ก ถ้าไข้ขึ้นสูงแบบนี้คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการเช็ดตัว
แต่...เขาไม่ได้เอามันมาเพื่อที่จะเช็ดตัวให้จงอินเองหรอกนะ
คน ๆ นั้นเก่งอยู่แล้ว แค่เช็ดตัวคงไม่ต้องถึงมือเขาหรอก
“รีบไปไหนเหรอเซฮุน?” เจ้าของชื่อหยุดชะงักแล้วเอี้ยวหน้าหันไปมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันได
“จงอินไม่สบายน่ะ ฉันเลยจะเอายาไปให้เขากิน”
“เหรอ แล้วนายเจอลู่หานหรือเปล่า?” แบคฮยอนถามก่อนจะหันซ้ายขวา
“ไม่เห็นนะ เขายังไม่ลงไปกินข้าวอีกเหรอ?”
“ยังเลย...” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ “งั้นนายรีบเอายาไปให้เขาเถอะ ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวจะทำโจ๊กร้อน ๆ ไปให้นะ”
“โอเค ต้องรบกวนนายแล้ว” เซฮุนยิ้มแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน เห็นแบบนั้นคนตัวเล็กได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่สังเกต แต่เพราะสังเกตมาตลอดถึงได้รู้ว่าจงอินกับเซฮุนเป็นห่วงเป็นใยกันจนอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ดูไม่ค่อยสนิทกันเหมือนที่จงอินสนิทกับลู่หาน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาแปลก ๆ
อยากให้ชานยอลเป็นห่วงแบบนี้บ้างจัง...
ไม่เอาน่ะ...เลิกฝันเฟื่องสักทีบยอนแบคฮยอน...
“ทำอะไรน่ะครับ” เซฮุนถามทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วก็พบว่าจงอินถอดกางเกงยีนส์ทิ้งไว้ข้างเตียงแล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าภายใต้ผ้าห่มนั่นมัน...
“นอนไง”
“แล้วกางเกง...”
“นายอยากเช็คร่างกายฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็ถอดกางเกงรอแล้วนี่ไง ส่วนไขควงวางอยู่ตรงนั้น ถ้าฉันกินยาแล้วไม่ดีขึ้นก็ช่วยเอามันทิ่มกระบาลฉันด้วย” ร่างหนาพูดพร้อมกับชี้ไปยังอาวุธคู่ใจที่วางอยู่บนโต๊ะ
เซฮุนส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมกับน้ำในกะละมังใบเล็ก ร่างหนามองตามทุกการเคลื่อนไหวของอีกคนแล้วก็แกล้งกลอกตามองไปทางอื่นเมื่อร่างบางหันมา
“ผมไม่อยากถามอะไรแบบนี้เลยนะ แต่คุณถูกกัดหรือเปล่าครับจงอิน?”
“ถ้าฉันบอกว่าใช่ นายจะฆ่าฉันเหรอ?” นัยน์ตาคมมองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของอีกคน เซฮุนเบือนหน้าหลบ นั่นคือคำถามที่เขาไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย ว่าถ้าจงอินถูกกัดจริง ๆ เขาจะทำยังไง?
“ถ้าฉันถูกกัด สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือหนีไปให้ไกล”
“...”
“เรื่องอะไรจะมานอนเฉย ๆ รอให้นายเอาไขควงแทงหัว” จงอินพูดติดตลก ถึงมันจะไม่ขำ แต่ก็ทำให้เซฮุนยอมหันหน้ากลับมามองเขาล่ะนะ
“จะกินยาเลยเหรอครับ หรือว่าจะรอกินโจ๊กก่อน” เซฮุนนั่งลงกับขอบเตียงแล้วแบมือที่มียาลดไข้มาตรงหน้าและขวดน้ำเปล่า “แบคฮยอนบอกว่าจะทำโจ๊กมาให้น่ะ แต่เขาขออาบน้ำก่อน”
“ฉันไม่หิว กินยาเลยแล้วกัน ง่วง” นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงเมื่อถูกจงอินจับข้อมือเอาไว้และกินยาจากมือของเขา รู้สึกได้ถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายที่สัมผัสโดนมือแต่ยังไม่ทันหายช็อกก็ต้องรีบยื่นขวดน้ำให้ก่อนที่ยาจะติดคอคนขี้แกล้งตายไปซะก่อน
ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ...
“นั่นน่ะ” จงอินมองไปยังกะละมังใบเล็กก่อนจะหันมามองหน้าเซฮุน “จะเช็ดตัวให้ฉันเหรอ”
“เปล่าครับ ผมแค่เอามาวางไว้ให้เฉย ๆ ”
“ใจร้ายเกินไปแล้ว ฉันยังเคยป้อนข้าวป้อนน้ำให้นายเลยนะ” จงอินท้วงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอ
“แต่ตอนนั้นคุณขังผมไว้นี่”
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ เร็วเข้า ตัวฉันจะระเบิดเป็นลาวาเพราะความร้อนอยู่แล้วเนี่ย” คนป่วยพูดอย่างเอาแต่ใจ เซฮุนแค่นหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปบิดผ้าขนหนูออกจากน้ำให้หมาด ๆ แล้วเริ่มเช็ดที่ซอกคอแกร่งก่อน เปลือกตาหนาปิดลงเพื่อให้ความเย็นซึมซับเอาความร้อนออกไป
“ดีขึ้นไหมครับ?”
“อืม หวัดแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าปากบอกว่าไม่เป็นไร ก็อย่าให้เห็นว่าป่วยแล้วกันครับ...” พอได้ยินประโยคคุ้นหูเปลือกตาหนาก็ลืมขึ้นมองอีกคนที่กำลังอมยิ้มอยู่
“ล้อเลียนฉันหรือไง?”
“ลู่หานไปไหนเหรอครับ...”
“อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง เดี๋ยวจะโดนดีนะ” ร่างหนาชี้คาดโทษอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มอยู่
แล้วทำไมต้องยิ้มตาปิดแบบนั้นด้วยวะแม่ง ไอ้เด็กนี่มันชักจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว พักหลังชอบทำให้เขาเสียความเป็นตัวเองอยู่เรื่อย รู้สึกไม่ค่อยโอเค แบบนี้ต้องหาทางแกล้งกลับ
“เซฮุน”
“ครับ?”
“เช็ดตรงนี้ด้วยสิ” ไม่พูดอย่างเดียว จงอินถอดเสื้อออกแล้วจับมืออีกคนเอาไว้ก่อนจะทาบผ้าขนหนูลงบนแผงอกแกร่งแล้วค่อย ๆ ลากลงไปตามแนวหน้าท้อง นัยน์ตาเรียวเบิกโพลง ร่างบางทำท่าจะชักมือกลับแต่คนป่วยกลับยื้อเอาไว้
“เช็ด”
“ก็เช็ดเองสิครับ นี่คุณจะเลื่อนลงไปถึงไหนน่ะ...จงอิน!” พอเห็นอีกคนไม่ยอมปล่อยมือแถมยังเลื่อนมือเขาลงต่ำจนถึงสะดือแบบนี้เซฮุนเลยใช้มืออีกข้างช่วยยื้อเอาไว้
คนป่วยยิ้มขำแล้วหยัดตัวลุกขึ้นนั่งสบตากับเด็กที่ชอบทำหน้าตายแต่ตอนนี้กำลังหน้าขึ้นสีจนหยุดแกล้งไม่ได้ จงอินจับมืออีกคนที่ยังคงถือผ้าขนหนูเอาไว้ขึ้นมาทาบบนซอกคอของเขาก่อนจะค่อย ๆ ลากลงมาอย่างช้า ๆ เด็กหนุ่มเบือนหน้าหลบเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกคนกำลังจ้องหน้าอยู่
“อย่าหนีไปไหนล่ะ ฉันอยากให้นายอยู่เช็ดตัวให้เพราะร่างกายของฉันมันคงรุ่มร้อนทั้งคืน”
“แค่ก ๆ !!”
ลู่หานพาตัวเองเดินออกมาจากห้องตรงมุมสุดที่ว่างอยู่ หลังจากเข้าไปในห้องของจงอินแล้วพบว่าเด็กกรงหมามันกำลังทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้มันด้วยท่าทีแปลก ๆ จนรู้สึกได้ว่าไม่ควรอยู่เป็นก้างขวางคออยู่ตรงนั้น ใจจริงก็อยากอยู่กวนตีนมันสองคนหรอกนะ...แต่พอเห็นว่าอาการของตัวเองก็เริ่มเป็นเหมือนจงอินแล้วถึงคิดได้ว่าควรไสตัวเองไปหาห้องนอนใหม่ก่อนที่จะไข้ขึ้นสูงมากไปกว่านี้
ไม่ได้พบเจอกันนานเลยนะไข้หวัด บางทีก็ไม่เข้าใจร่างกายว่าทำไมถึงเป็นไข้กะอีแค่ตากฝนตอนช่วยอี้ฟาน พออาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปหามินซอกตอนที่หัวยังไม่แห้ง อาจเป็นเพราะตากลมข้างบนเหรอ อาจจะใช่นั่นแหละ แต่เคยมีคนบอกว่าถ้าสภาพจิตใจแย่ร่างกายก็จะแย่ไปด้วยนี่อาจจะเป็นเรื่องจริง
“ลู่หาน”
เจ้าของชื่อหยุดยืนกับที่ก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กที่เพิ่งเปิดประตูออกมา ถึงจะตกใจและทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้แต่ลู่หานก็ไม่ได้เดินหนีไปอย่างที่อยากทำ
“กินข้าวหรือยัง”
“ไม่หิวน่ะ นายล่ะกินหรือยัง”
“กินแล้ว”
“อืม”
เป็นบทสนทนาที่น่ากระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน มันช่างห่างเหินจนน่าอึดอัด แบคฮยอนเกาท้ายทอยก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย
“แค่ก ๆ !!”
“ไม่สบายเหรอ?”
“นิดนึงอ่ะ แต่ไม่เป็นไรมากหรอก นายก็รีบเข้านอนได้แล้ว”
“เอายาลดไข้ไหม เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” แบคฮยอนมองตามอีกคนที่หันไปกระแอมด้วยความเป็นห่วงแต่ลู่หานกลับโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว”
“จงอินก็ไม่สบายเขาก็ยังกินยาเลยนะ นายกินสักหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไรน่า ขอบใจที่เป็นห่วงนะ” ลู่หานยีหัวคนตัวเล็กเบา ๆ แล้วเปิดประตูห้องตรงหน้าเข้าไปแล้วหยิบหมอนกับผ้าห่มออกมา
“จะไปไหน”
“ไปนอนห้องมุมสุดน่ะ ขี้เกียจเห่าแข่งกับไอ้จงอินมัน”
“งั้นมานอนห้องฉันไหม ฉันจะได้อยู่ดูแลนายไง” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีที่ลู่หานส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่อยากให้นายป่วยไปอีกคน”
“แล้วตอนดึก ๆ ฉันเข้าไปหานายได้หรือเปล่า เผื่อว่านายจะไข้ขึ้น”
“ไม่ต้องหรอก ฝันดีนะเตี้ย” พูดจบก็เดินไปจากตรงนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะอยากพูดคุยกับแบคฮยอนมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่ามันจะสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากเท่านั้น...
ตอนนี้แบคฮยอนกำลังทำหน้าแบบไหน ยังคงยืนอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ทั้งที่แบคฮยอนหยิบยื่นความต้องการมาให้ถึงขนาดนี้แล้วแต่เขากลับไม่ดีใจเลยสักนิด...
อย่าหันกลับไปนะลู่หาน...อย่าหันกลับไปเด็ดขาด...
ก็นานมากแล้วที่คิมมินซอกไม่ได้มาอยู่กะดึกแบบนี้ ท้องฟ้าตอนกลางคืนก็สวยดีแต่ถ้าลดระดับสายตาลงมาหน่อยรอยยิ้มก็ค่อย ๆ จางหายไปเมื่อพบกับความมืดที่เมื่อก่อนเคยมีแสงไฟเป็นจุด ๆ ตามบ้านเรือน ถ้าพูดถึงแสงสว่างในตอนนี้คงมีแค่แสงจากเทียนเล่มใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเก้าอี้ไม้เท่านั้นแหละ
ความเงียบทำให้เรื่องในหัวผุดขึ้นมาให้คิดมากอีกครั้ง คำพูดประโยคสุดท้ายของลู่หานทำให้เขาสับสนอยู่ไม่น้อย ผู้ชายคนนั้นจะรู้บ้างไหมนะ...ว่าเขาเองก็รอให้ลู่หานเป็นคนตัดสินทุกอย่างเหมือนกัน...
ว่าถ้าลู่หานคบกับแบคฮยอน เขาจะได้ตัดใจสักที...
เพราะไม่อย่างนั้น...เขาก็คงไปไหนไม่ได้...
“มินซอก”
“...”
“ขอโทษนะ ตกใจเหรอ?” แบคฮยอนที่มาพร้อมกับตะเกียงเดินเข้ามา ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะรักษาระยะห่างไว้พอสมควร
“เปล่า มีอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันไปหานายที่ห้องแต่แอลโจเขาบอกว่านายอยู่เฝ้าเวรจนถึงเช้าฉันก็เลยขึ้นมาบนนี้”
“แล้ว...”
“เข้าเวรตั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงนายคงเหนื่อยแย่ ฉันก็เลยกะว่าจะมาเฝ้าเวรแทนนายน่ะ” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ กลัวว่าคนตรงหน้าจะตอกกลับมาด้วยคำพูดแรง ๆ เหมือนกับคราวที่แล้ว
“ไม่จำเป็นหรอก นายกลับไปเถอะ”
“ฉันรู้ว่านายคงไม่ไว้ใจยกหน้าที่นี้ให้ แต่ฉันจะไม่หลับไม่แอบอู้แน่ ๆ นายไปพักผ่อนเถอะนะมินซอก”
“นึกมาหวังดีอะไรเอาตอนนี้เหรอ?” มินซอกหันไปถามอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“...”
“ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันอยู่ข้างบนนี้ทั้งวันทั้งคืน”
“อ้อ...อื้ม”
“แต่ก็ขอบคุณสำหรับความหวังดี” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ไม่แม้แต่จะหันมามองเขา เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว
“จริง ๆ แล้วฉัน...”
“...” มินซอกหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ก้มหน้าพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“ลู่หานไม่สบายน่ะ...เขาไม่ยอมกินข้าวกินยา...แล้วท่าทางของเขาเหมือนไม่อยากจะคุยกับฉัน...”
“...”
“นายอาจจะรำคาญฉัน แต่ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะมินซอก...เพราะถ้าเป็นนายเขาอาจจะยอมกินข้าวกินยาก็ได้”
“...”
เรียวขาหยุดอยู่หน้าประตูโดยไม่ขยับไปไหนมาร่วมห้านาทีแล้ว มินซอกเม้มริมฝีปากก่อนจะเคาะประตูห้องหลังจากที่ยืนทำใจอยู่นาน เคาะครั้งแรกไม่มีใครเดินมาเปิดประตู ทิ้งช่วงไปเกือบนาทีถึงได้เคาะซ้ำไปอีกครั้ง ทันทีที่ประตูเปิดออกก็พบกับสีหน้าเหวี่ยง ๆ ของลู่หานจนคนตัวเล็กชะงักไป
“มินซอก?”
“คุณนอนอยู่เหรอ?”
“รู้ได้ยังไงว่าพี่อยู่ห้องนี้”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ผมเอานี่มาให้” ลู่หานก้มลงมองถาดอาหารที่มียาลดไข้อยู่ในหลุมเล็ก แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่ามินซอกรู้มาจากใคร...
“ขอบใจนะ” ลู่หานยิ้มบาง ๆ แล้วเอาถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ พอหันกลับไปก็เห็นมินซอกเดินเข้ามาในห้องแล้ว
“ไม่กลับขึ้นไปอยู่เวรเหรอ”
“เพิ่งนึกได้ว่าคุณขอให้ผมอยู่ด้วย”
“...”
ลู่หานนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองโจ๊กร้อน ๆ ในถาด เขาไม่ได้รู้สึกหิวสักนิด แต่ถ้าไม่กินมินซอกคงรู้สึกไม่ดีแล้วร่ายบทสวดใส่เขาแน่ ร่างโปร่งหันไปมองอีกคนที่นั่งลงบนเตียงก่อนที่จะหันมาสบตากันพอดี
“รีบกินจะได้กินยาแล้วนอน”
“...” ลู่หานพยักหน้าแล้วค่อย ๆ ละเลียดกินโจ๊กทีละคำ ในหัวมีแต่เรื่องของแบคฮยอนกับมินซอกตีกันจนเขาปวดหัวจนต้องหลับตากุมขมับตัวเอง พอเห็นอย่างนั้นคนตัวเล็กเลยขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้วชะเง้อหน้ามองด้วยความเป็นห่วง
“ไหวไหม?”
“ไหว”
“กินได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องฝืน”
“อืม” ลู่หานขานตอบในลำคอทั้งที่ยังหลับตาอยู่ สุดท้ายก็กินไปได้แค่สี่ห้าคำแล้วก็ยัดยาเข้าปากตามด้วยน้ำเปล่า มินซอกลุกขึ้นยืนเพื่อให้อีกคนขึ้นไปนอนบนเตียง ตอนนี้เขาทิ้งทิฐิทุกอย่างไปแล้วช่วยห่มผ้าให้ลู่หาน
“ขอบใจนะ”
สองมือสอดเข้ากระเป๋าเสื้อแขนยาวแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีดาวเลยแฮะ สงสัยฝนจะตกอีกแน่ ๆ แบคฮยอนหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาที่หลบฝนหากว่าเวลานั้นมาถึงแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ไหนเลยที่พอจะหลบได้
ลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอยู่กับที่เพื่อทำลายความเงียบเหงายามค่ำคืน แค่คิดว่าตัวเองต้องทำหน้าที่แบบนี้ทุกวันก็รู้สึกสงสารมินซอกกับแอลโจขึ้นมา การที่ต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อมาทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมนี่น่านับถือจริง ๆ
แบคฮยอนฮัมเพลงแล้วหมุนตัวกลับหลังจากเดินไปจนถึงสุดทางเดินของดาดฟ้าก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ถ้ามีเพลงให้ฟังเขาคงอยู่ได้ทั้งคืนโดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นมาเดินป้วนเปี้ยนแบบนี้ ป่านนี้มินซอกคงอยู่กับลู่หานแล้วสินะ หมอนั่นจะยอมกินข้าวกินยาหรือเปล่า แต่เขาเชื่อว่ามินซอกคงบังคับให้ลู่หานกินได้แหละมั้ง...นึกแล้วก็เป็นห่วงจริง ๆ
เสียงประตูดาดฟ้าเปิดออกพร้อมกับใครอีกคนที่เดินเข้ามา เรียวขาหยุดยืนกับที่ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ
“...”
“...”
คนที่ไม่คิดว่าจะขึ้นมาบนนี้กำลังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แบคฮยอนพูดไม่ออกเพียงแค่ร่างสูงวางตะเกียงลงแล้วถอดหมวกที่ใส่อยู่มาใส่ให้เขา
“กลางคืนหมอกลง ผมกลัวว่าคุณจะเป็นหวัดไปอีกคน”
“...ขอบคุณครับ” แบคฮยอนโค้งหัวเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเมื่อชานยอลถือวิสาสะจับมือเขาขึ้นมาเพื่อใส่ถุงมือให้
“ผมเห็นมันอยู่ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า คิดว่าคงเป็นของเด็กที่เคยอยู่ในห้องนั้น อุ่นขึ้นหรือเปล่าครับ?”
“...” แบคฮยอนพยักหน้า ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นช้าลงเพราะความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันโล่งอก รู้สึกดี อะไรก็ไม่รู้ปะปนกันไปหมด
“ผมบังเอิญเจอมินซอก เลยรู้ว่าคุณขึ้นมาแอบดูดาวคนเดียว” ร่างสูงยิ้ม
“ก็สงสัยอยู่ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ข้างบนนี้” แบคฮยอนยิ้มแห้ง ๆ ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่ริมรั้วของดาดฟ้า ลมเย็นตอนกลางคืนทำให้คนตัวเล็กยกมือขึ้นกอดอกตัวเองเพื่อคลายความหนาว
“ถ้าคืนนี้มีดาวก็คงดีนะ” ชานยอลพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งแบคฮยอนก็ทำตาม
“คุณชอบดูดาวเหรอ”
“เปล่าครับ แต่ทุกครั้งที่มองมันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันสวยมากแค่ไหน”
“ตอนดูรูปดาวในหนังสือ มันไม่เห็นสวยเหมือนตอนมองด้วยตาเปล่าเลย” แบคฮยอนยังคงกลอกตามองไปรอบ ๆ เผื่อว่าจะพบดาวสักดวง
“สิ่งที่ดูเผิน ๆ ตอนแรกอาจจะดูสวยงาม แต่ถ้าดูชัด ๆ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ก็เหมือนกับคนเราที่ต้องใช้เวลาศึกษากันและกันถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง”
“แล้วคุณคิดว่าทุกคนเป็นยังไงครับ”
“ทุกคนที่พูดถึงน่ะหมายถึงใครครับ ถ้าให้พูดถึงทุกคนในโรงเรียนเช้านี้คงอธิบายไม่หมด” ชานยอลหัวเราะ
“คนในกลุ่มของเราน่ะ จงอิน คุณอี้ฟาน เซฮุน ลู่หาน แล้วก็ผม” แบคฮยอนยิ้มบาง ๆ ขณะทอดสายตาออกไปข้างหน้า
“ทุกคนเป็นคนดี นั่นคือสิ่งที่ผมรู้”
“สั้น ๆ กะทัดรัดได้ใจความจัง” แบคฮยอนหัวเราะ
“ทุกคนในโลกเป็นคนดีแต่อยู่ที่ว่าเขาเลือกจะปฏิบัติกับใคร แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาไม่ได้เลวกับทุกคน มันต้องมีสักคนที่เขาอยากทำดีด้วย”
“คุณกำลังจะสอนให้ผมมองโลกในแง่ดีเหรอ”
“ถ้าทำได้มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ
ไม่มีบทสนทนาอื่นตามมาอีก ตอนนี้มีเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านมาเป็นระยะ การที่ต้องยืนอยู่ข้าง ๆ คนที่แอบชอบโดยที่พูดอะไรไม่ได้มันรู้สึกอึดอัดแบบนี้เองสินะ...
“คุณจะลงไปตอนไหนเหรอครับชานยอล” พอได้ยินคำถามร่างสูงก็หันมามองอีกคนที่กำลังจ้องหน้าเขาอยู่
“คุณอยากให้ผมลงไปแล้วเหรอ?”
“ป...เปล่านะ ผมอยากให้คุณอยู่ด้วยต่างหาก...” แบคฮยอนรีบยกมือขึ้นปฏิเสธ พอได้ยินอย่างนั้นชานยอลก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “แค่คุณเอาหมวกกับถุงมือมาให้ผมก็ดีใจแล้ว” แบคฮยอนพึมพำ
“นั่นสิ ถ้าอยู่คนเดียวในที่แบบนี้คุณคงเหงาน่าดู” ร่างสูงพูดแล้วเท้าแขนลงบนรั้วดาดฟ้า
“ถึงผมจะเหงา แต่ผมก็จะตอบว่าไม่ครับ”
“ทำไมล่ะ”
“คนอื่นก็เหงาเหมือนกัน ผมคงไม่ได้รู้สึกมากน้อยไปกว่าคนอื่นหรอก พอคิดแบบนั้นการที่จะต้องอยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่” แบคฮยอนหัวเราะขณะทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าที่มืดสนิท
ชานยอลยิ้มบาง ๆ ที่ได้ยินคนตัวเล็กพูด นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้แบคฮยอนทำได้มาตลอด เข้มแข็ง อดทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้นและอยู่คนเดียวให้ได้หากว่าวันหนึ่งทุกคนตายจากไป
“ชานยอล”
“ครับ?”
“ผมขอโทษนะ” ร่างบางเว้นจังหวะไว้ครู่หนึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองหน้ากัน “ถ้าผมทำตัวไม่ดี งี่เง่า หรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณโกรธ”
“...”
“คุณจะดุผมก็ได้นะ ผมจะไม่ชักสีหน้า ไม่ร้องไห้ ไม่วิ่งหนี ไม่โวยวาย แต่ขอแค่อย่างเดียว...” คนตัวเล็กพูดเบา ๆ “อย่าเมินผมได้ไหมครับ...”
“...”
“ผมรู้สึกไม่ดีที่ถูกคุณเมินแบบนี้ คุณอาจจะยังโกรธผมอยู่แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่ชอบให้ผมทำอะไร ผมก็จะไม่ทำแบบนั้น” แบคฮยอนยังคงก้มหน้าพูดความในใจออกไป เด็กน้อยอย่างเขาคิดแบบนี้จริง ๆ เขาไม่ได้หวังถึงขั้นให้ชานยอลมาแสดงความรัก เพราะเขารู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
เพราะแค่นี้...มันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับบยอนแบคฮยอน
“พูดอะไรแบบนั้น” ร่างสูงวางมือลงบนหมวกคนตัวเล็กพร้อมกับยิ้มบาง ๆ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายแล้วก็เบะปากโดยไม่รู้ตัว
“คุณอาจจะเป็นคนดีมากเกินที่จะด่าคนอย่างผมก็ได้”
“พูดเกินไปแล้วครับ อย่าคิดเอาเองแบบนั้นสิ” ชานยอลหัวเราะ
“ก็คุณทำให้ผมคิดนี่”
“แล้วผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่คิดมากหืม?”
“อย่าเมินผม อย่าหลบตาผม” พอได้ยินแบคฮยอนพูดร่างสูงก็หันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กแล้วเท้าแขนลงบนรั้วดาดฟ้าอีกครั้ง ทั้งคู่สบตากันราวกับว่าจะสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจด้วยแววตาคู่นี้ แบคฮยอนไม่อยากกลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาชานยอล ไม่ต้องการ...
“ไม่เมิน” พอเห็นชานยอลจ้องหน้าแบบนี้กลับกลายเป็นแบคฮยอนที่เป็นฝ่ายหลบตาไปเสียเอง “ไม่หลบตา”
มือแกร่งถอดหมวกคนตัวเล็กออกก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ ๆ หัวใจของเด็กน้อยเต้นตึกตัก ๆ เมื่อใบหน้าคมเอียงปรับองศาเล็กน้อยก่อนจะเชยคางของเขาขึ้นมาเพื่อรับจูบ นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงเมื่อริมฝีปากถูกประทับโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
มือเล็กกำชายเสื้อไว้แน่นก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง ในหัวมืดมิดไปหมดเหมือนกับบรรยากาศโดยรอบ ไม่มีเรื่องราวให้คิด ไม่มีอะไรอยู่ในหัว มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นที่บยอนแบคฮยอนรู้สึกได้
ก็รู้ว่าปาร์คชานยอลคงรักอีโฮจองมาก...แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ชายคนนี้ไม่เคยรู้เลยก็คือความรู้สึกของบยอนแบคฮยอนที่มีต่อปาร์คชานยอล...มันมากขึ้นทุกวันจนกลัวว่าสักวันหนึ่งจะถูกตีตัวออกห่างเพราะความรู้สึกของเขา
เปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อถูกสะกิด มินซอกปรือตามองอีกคนที่นอนจ้องเขาอยู่บนเตียงแล้วถึงได้รู้ตัวว่าเผลอหลับไป ร่างเล็กขยี้ตาก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อลู่หานขยับตัวไปชิดกับผนัง
“ขึ้นมานอนด้วยกันสิ”
“ผมไม่อยากติดหวัด”
“ไม่ติดหรอก เชื้อโรคในตัวพี่อ่อนแอ”
“ถ้าคุณเป็นห่วงผมสักนิด คุณจะไม่ชวนผมขึ้นไปนอนด้วยกันแบบนี้”
“ก็เพราะเป็นห่วงไงเลยบอกให้ขึ้นมานอนด้วยกัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็เหนื่อย”
“เหนื่อยก็ขึ้นมานอนกับพี่สิ” ลู่หานตบที่นอนปุ ๆ หากแต่อีกคนยังคงนั่งเฉยเหมือนในทีแรก “พี่หนาว ขอกอดหน่อย” ไม่พูดอย่างเดียว คนป่วยเจ้าเล่ห์อ้าแขนกว้างราวกับว่าเขาจะกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้น
“ถ้าหนาวเดี๋ยวผมไปหาผ้าห่มมาให้”
“ไม่ พี่อยากกอดเปาจื่อ”
“ผมบอกไปแล้วนะว่าไม่อยากติดหวัดจากคุณ”
“หรือถ้าหวัดจริง ๆ พี่จะเป็นคนนั่งเฝ้าไข้เปาจื่อทั้งวันทั้งคืนเอง” คำพูดชวนให้ใจเต้นมาพร้อมกับสีหน้าออดอ้อนของคนป่วย มินซอกจ้องหน้าอีกคนเขม็งราวกับจับผิด ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งบนเตียง
“...”
“...”
หันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงส่งสายตาอ้อนวอนมายังเขา สุดท้ายมินซอกก็ใจอ่อนยอมนอนลงข้าง ๆ แต่โดยดี ไม่รอให้ได้ตั้งหลักมือปลาหมึกของคนป่วยก็ตวัดเข้ารอบเอวพร้อมกับรั้งเข้าไปชิดกับแผงอกที่ร้อนเพราะพิษไข้
“นอนดี ๆ ได้ไหม?” มินซอกหันไปต่อว่าคนที่หน้าอยู่ห่างกับใบหูเขาเพียงแค่นิดเดียว แทนที่จะสะทกสะท้านแต่ลู่หานกลับยิ้มพอใจอีกทั้งยังกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นอีก
“อุ่นจัง”
“...”
“เปาจื่อ”
“อือ”
“ตอนพี่ไม่อยู่ มีใครเข้ามาตีสนิทบ้างหรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าตีสนิท?”
“อย่างเช่นอี้ฟานที่ขึ้นไปสอนนายยิงปืน เขาส่งสายตาหวานซึ้งหรือขึ้นมาชวนคุยบ่อย ๆ บ้างไหม?”
“เขาจะทำแบบนั้นกับผมได้ยังไง ผู้ชายที่คิดอกุศลกับผู้ชายด้วยกันแบบนั้นคงมีแค่คุณคนเดียวนั่นแหละ”
“จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน เพราะคำตอบของนายทำให้พี่รู้สึกดี” ลู่หานยิ้มเพียงแค่รู้ว่าไม่มีใครหน้าไหนมายุ่งกับเด็กแว่นของเขา
“ถ้าหายป่วยก็ช่วยเลิกเอาแต่ใจแบบนี้ด้วยนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ถ้าจำไม่ผิดเมื่อตอนหัวค่ำคุณเพิ่งบอกให้ผมตัดใจจากคุณ”
“อ่า...นั่นสินะ” ลู่หานพูดเบา ๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่บาง “พี่ก็ปากดีไปอย่างนั้น ใจจริงอยากให้นายรั้งไว้จะตาย”
“รู้จักคำว่าละอายใจบ้างไหม”
“ไม่รู้หรอก ไม่ต้องสอนด้วยนะ ไม่อยากรู้จัก”
“คุณนี่มันห่วยแตกจริง ๆ ”
“ใช่ พี่มันห่วยแตก ด่ามาอีกสิ” คนป่วยกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น มินซอกไม่ได้ปฏิเสธอ้อมกอดนี้ ได้เพียงแค่นอนเฉย ๆ ให้ลู่หานกอดเท่านั้น
“ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าคุณแล้ว”
“งั้นก็ไม่ต้องด่า”
CUT
TBC
ฉาก CUT รบกวนคุณผู้อ่านเข้าไปดูใน BIO ทวิตเตอร์ของมลินด้วยนะคะ @_malinworld
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่านั่งเขียนตอนนี้ตั้งแต่บ่ายโมง เพิ่งเสร็จตอนตีสอง คือเป็นอะไรที่ยาวนานมาก และรู้สึกเหนื่อยกับตอนนี้มากค่ะ เพราะอิฉากพรีเมียมนี่แหละ ห่างเหินการเขียนฉากนี้มานาน อีกทั้งเป็นคนที่ไม่ถนัดการเขียน NC ซะด้วยเลยออกมาแปลก ๆ จนต้องไปรบกวน @ponggosama ให้ช่วยแก้คำในฉากนี้ให้หน่อย สรุปคือนางแก้มาเกือบทั้งตอนเลยข่า 555555555555 มีการก๊อบฉากเรทที่มลินเขียนแล้วมันตลกมาเยาะเย้ยด้วยนะคะ โหดสรรถอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว TT_TT
ต้องขอบคุณ @ponggosama จริง ๆ นางช่วยมลินเขียน NC (เกือบทั้งหมดเลย) เราผองชาวซอมบี้ไลน์โปรดสร้างอนุเสาวรีย์หรือเทพีเสรีภาพให้นางด้วยค่ะ นางคือผู้ช่วยชีวิตมลินจริง ๆ
TT_TT จะเวิ่น จะด่าอะไรพี่ลู่ก็ใส่มาเยอะ ๆ เลยค่ะ แต่ขอบอกเลยว่าเรื่องของผู้ชายคนนี้มันยังไม่จบง่าย ๆ !!!
ปล.ซีซั่นแรกน่าจะจบในช่วงตอน 30-35 ไม่น่าเกินนี้นะคะ แล้วจะมีต่อซีซั่นสองอีก ทุกคนว่าไงคะ เบื่อฟิคเรื่องนี้หรือยัง ตอนหน้าไปบู๊กันหน่อยไหม ตอนนี้มลินยอมจริง ๆ ค่ะ เป็นคนที่ไม่สันทัดกับการบรรยายฉากรัก ๆ ใคร่ ๆ อยู่แล้ว พอมาเจอฉากพรีเมียมถึงกับซดแสงโสมยอมใจ
#ficzombie
ความคิดเห็น