ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZOMBIES HARD CREEPER | KAIHUN CHANBAEK FT.EXO

    ลำดับตอนที่ #104 : Chapter 99 :: You Owe Me (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.25K
      99
      18 มิ.ย. 59

    ? Tenpoints!

     

     

    Chapter 99

    You Owe Me

     

     

    มินซอกมองเพื่อนตัวสูงที่เอาแต่มองกระจกมองหลังเป็นระยะ แม้ว่าสิ่งที่มองเห็นจะเป็นรถบ้านคันใหญ่มากกว่าภาพประตูรั้วอุทยานที่เราทุกคนต่างภาวนาขอให้มันแข็งแรงไปอีกสักหน่อย เทากำลังเป็นกังวลจนเสียความเป็นตัวเอง ไม่สิ ความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้คือหวงจื่อเทาคนเดิมที่เขาเคยรู้จักต่างหาก แต่เป็นเพราะความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้เพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งมินซอกรู้และเข้าใจดี

    เสียงสบถอย่างหัวเสียกับความไม่ได้ดั่งใจมาพร้อมการขับฉีกออกข้างเล็กน้อย แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มตัวสูงก็ต้องหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายเมื่อเดินทางมาถึงปากทางอุทยานด้านนอก

    บ้าเอ๊ย

    ...

    มินซอกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องพูดอะไรในเวลานี้ และคิดว่าคนอื่น ๆ ก็คงเช่นกัน ที่เขาเลือกนั่งคันนี้เป็นเพราะไม่อยากให้หวงจื่อเทาขับไปคนเดียว ครูกาฮีก็ต้องดูแลคุณอี้ฟาน ถ้าหากเกิดเหตุฉุกละหุกจะได้มีคนช่วยประคองผู้ชายคนนั้นที่ขายังไม่หายดี ซึ่งการอยู่ท่ามกลางความอึดอัดในตอนนี้ มันยังคงเป็นสิ่งที่มินซอกทนไหว

    นัยน์ตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าผ่านเลนส์แว่นกับความอึดอัดที่รายล้อมรถทั้งสามคันเอาไว้ โดยมีภาพฝูงผีดิบข้างทาง ซึ่งมีทั้งประปราย และพวกที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน

    มันมากันเยอะเพราะเสียงรถของเรา

    ถ้าขับเร็วขึ้นจะช่วยได้ไหม? มินซอกมองสีหน้าตึงเครียดของเพื่อนตัวสูง ซึ่งสีหน้าอีกฝ่ายที่กำลังแสดงออกคือความไม่มั่นใจ

    จะมีแค่ส่วนหนึ่งที่ตามเรามา แต่พวกที่อยู่ไกลกว่าจะเดินผ่านอุทยาน เทาถอนหายใจถ้าสามคนนั้นอยู่แต่ในบ้านไม่ออกมาให้พวกกัดคนเห็น รั้วก็จะยังปลอดภัย

    แต่พวกเขาอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ และถ้าออกมาข้างนอก พวกกัดคนก็ต้องเห็น ผีดิบเหล่านั้นต้องส่งเสียงพร้อมเขย่าประตูรั้วแน่ ๆ  

    เทากัดฟันแน่น กับความอึดอัดใจที่ทำได้แค่เหยียบคันเร่งไปข้างหน้าโดยไม่สามารถช่วยอุทยานไว้ได้เลย ที่ตรงนั้นซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำ ทั้งความสุข ความเศร้า ความเสียใจ มันเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่เขาทุกคนปักหลักอยู่ได้นานที่สุด

    แต่ที่ไอ้พวกบ้านั่นเลือกที่จะอยู่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... น่าโมโหชะมัด อยากตายนักหรือไง?



    ปัง!!!!



    ทุกคนในรถทั้งสามคันแทบหน้าทิ่มไปข้างหน้าเพราะการเหยียบเบรกอย่างกะทันหันของรถคันแรก ยูริเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองไปยังเด็กหนุ่มตัวสูงที่กำลังเดินออกมาจากรถ ตามด้วยเด็กแว่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

    เกิดอะไรขึ้น? จงอินขมวดคิ้วพลางมองไปยังเบื้องหน้า

    แม่งเอ๊ย เกือบจูบตูดควอนยูริแล้วไหมล่ะ ลู่หานพึมพำพร้อมปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะหันไปขอมีดดาบกับเซฮุนที่อยู่ตรงเบาะหลัง

    เขาเปิดประตูรถเพื่อลงไปดูว่าอะไรที่เป็นต้นเหตุ สายตาพลันไปเห็นหญิงสาวที่กระโดดลงมาจากประตูคนขับ และแน่นอนว่าสีหน้าเธอกำลังไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

    เป็นบ้าอะไร?

    ทุกคนลงมาจากรถ รวมถึงอี้ฟานที่ขายังเจ็บอยู่ ท่ามกลางความเงียบงันซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ลู่หานก็ตรงไปยังไหล่ถนนพร้อมส่งซิกเรียกเซฮุนให้ไปด้วยกันเพื่อจัดการดิบที่กำลังโซซัดโซเซมาทางนี้

    เสียงปืน เทาหันกลับไปมองทุกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรถของตนเอง พร้อมอาวุธในมือ ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ปลอดภัยที่จะออกมายืนกลางถนน ได้ยินใช่ไหม?

    ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะพวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงที่ดังเสียดหูไปเมื่อครู่ และหลังจากได้ฟังคำตอบของเด็กหนุ่มตัวสูง ยูริจึงถอนหายใจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่เธอไม่ตบหน้าหวงจื่อเทาโดยการดับฝันด้วยความจริงซึ่งไร้การรักษาน้ำใจ

    เสียงต้องมาจากอุทยานแน่ ๆ ไอ้ลู่หาน มึงขับตามมาทีหลัง มึงเห็นใช่ไหมว่ารั้วเป็นยังไงบ้าง?

    คราวนี้เป็นชายหนุ่มถือมีดดาบที่ทุกคนหันไปให้ความสนใจ เทาเห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย และดูเหมือนว่าลู่หานจะเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกว่าต้องอธิบายยังไงกับสิ่งที่เห็นกับตา

    พวกมันไปออกันเต็มหน้าประตูแล้ว

    เป็นจงอินที่ตอบคำถาม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่ายังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น กับการที่ชายหนุ่มสองคนยืนถือปืนล่อเป้าอยู่ในอุทยาน โดยมีเสียงรถทั้งสามคันเป็นชนวนให้พวกมันไปที่นั่น

    งั้นเสียงปืนก็ต้องมาจากสองคนนั้นถูกไหม? ไม่มีใครตอบคำถามในทันทีกับสิ่งที่ไม่ได้เห็นกับตา จึงทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังร้อนรนที่สุดแสดงออกทางสีหน้ามากยิ่งขึ้น

    แต่ที่ผมได้ยินเมื่อกี้ เหมือนมันจะมาจากฝั่งนั้นนะครับ เซฮุนชี้ไปยังเบื้องหน้าหลังจากออกความเห็น แต่ดูเหมือนว่าเทาจะไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่

    จะฝั่งนั้นได้ยังไง แถวนี้มีแค่พวกเราที่อาศัยอยู่ สายตาของเด็กหนุ่มตัวสูงกึ่งคาดโทษ กึ่งย้ำในความเชื่อของตัวเองเพื่อให้เซฮุนทบทวนใหม่

    กูก็ได้ยินเหมือนกัน คราวนี้เป็นจงอินที่เสริมขึ้นมา หวงจื่อเทาไม่อยากเชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะฟันธงที่มาของเสียงได้อย่างแม่นยำ เพราะคนหนึ่งก็ใช่ว่าจะเชี่ยวชาญ อีกคนก็สูญเสียฝีมือไป

    งั้นก็ช่างหัวที่มาเถอะ เราต้องกลับไปช่วยสามคนนั้น

    ไอ้เทา มึงต้องดูด้วยว่าตอนนี้เรากลับไปไม่ได้ ลู่หานเก็บมีดดาบใส่ปลอก พร้อมมองไปยังคนที่กำลังมีแผนจะพาทุกคนกลับไปเสี่ยงตาย ซึ่งถ้าจะปกป้องอุทยานได้ก็ต้องเป็นระดับยอดคนแล้ว

    อี้ฟานมองไปยังเด็กตัวสูงที่ยังคงมีแววตาแน่วแน่ และดูเหมือนว่าจะไม่ยอมถอยจนกว่าจะได้ทำในสิ่งที่พูด เขาไม่ได้แย้งเพื่อหยุดความคิดของเทา แต่ก็ไม่อยากออกความเห็นอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง ชายหนุ่มปล่อยให้ทุกคนช่วยกันออกความเห็น และให้เสียงส่วนมากได้ตัดสินว่าจะทำยังไงกับความต้องการของหวงจื่อเทา

    เรายังกลับไปได้ ตอนนี้เพิ่งออกมาได้ไม่เท่าไหร่ จอดรถไว้ตรงนี้แล้วเข้าไปในป่า ค่อย ๆ เก็บมันทีละตัว

    มึงแหกตาดูก่อนว่าตอนนี้เรามีใครอยู่บ้าง อี้ฟานก็เจ็บ ไอ้จงอินกับมินซอกก็ยังสู้ไม่ไหว ซูยอนที่สู้ไม่ได้ ไหนจะครูมึงอีกลู่หานพยายามเตือนสติ ซึ่งเทาก็เข้าใจเหตุผลนี้ดี

    แต่ถ้าเราไม่ไปช่วย สามคนนั้นก็จะตาย! คิมจงแด คนที่เคยให้ที่ซุกหัวนอนเราทุกคน จางอี้ชิง คนที่ช่วยให้เรารอดตายมาแล้วหลายครั้ง!” เด็กหนุ่มโพล่งออกไปอย่างเหลืออด เขาอยากให้ใครสักคนพูดแทรกขึ้นมา และบอกว่าเห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ แค่คนเดียวก็ได้ ไม่ใช่พากันเงียบอย่างนี้คยองซูที่กำลังเจ็บจนลุกแทบไม่ไหว ทุกคนทำใจได้เหรอถ้าคนพวกนั้นต้องตายไปโดยที่เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย?!”

    คำพูดของหวงจื่อเทาทิ่มแทงทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกผิด แต่การกลับไปช่วยคนที่เลือกทางให้ตัวเองแล้วมันก็เหมือนการเอาชีวิตไปทิ้ง

    มันใช่เรื่องอยากช่วยหรือไม่อยากช่วยหรือไง การกลับเข้าไปในนั้นเพื่อช่วยคนที่มีทางเลือกในใจแล้วก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้ง ควอนยูริขมวดคิ้ว ยืนกอดอกมองเด็กโง่เขลาที่กำลังทำให้ทุกคนเสียเวลาพวกมันแห่มาเรื่อย ๆ ขืนมัวแต่ปกป้องทางเข้าอุทยาน ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

    หุบปากเถอะ คนไม่มีหัวใจอย่างเธอจะไปเข้าใจอะไร?!” เด็กหนุ่มตะโกน นัยน์ตาแข็งกร้าวกับความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธไปได้ ถึงสามคนนั้นจะโง่เง่าที่เลือกอยู่รอความตาย แต่เขาก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น

    พอสักที!”

    ใบหน้าคมหันไปด้านข้างเพราะถูกตบโดยครูสาวที่เขารักมากที่สุด กาฮีหอบหายใจพลางมองใบหน้าเด็กตัวสูงอย่างเหลืออด หลังจากปล่อยให้หวงจื่อเทาพูดตอกย้ำให้ทุกคนต้องลังเลและรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมอยู่นาน ตอนนี้เธอสิ้นสุดความอดทนแล้ว

    เรากลับไปที่นั่นไม่ได้ ต้องให้ใครสักคนตรงนี้คนตายก่อนใช่ไหมเธอถึงจะยอมหยุด!” สาบานเลยว่าปาร์คกาฮีเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากกลับไปอุทยานมากที่สุด แต่เธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้

    แก้มข้างซ้ายยังคงชาวูบจากการเตือนสติด้วยฝ่ามือของคนที่รักและเคารพมากที่สุด ท่ามกลางความเงียบที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะได้ยินเสียงตะโกนจากในใจของหวงจื่อเทา พวกเขาปล่อยให้เวลาผ่านไปราว ๆ ครึ่งนาที ปาร์คกาฮีจึงหันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทุกคนกลับขึ้นรถ ก่อนจะสบตากับเด็กหนุ่มตัวเล็ก

    ย้ายไปนั่งกับคุณอี้ฟานนะมินซอก

    ครับ

    เจ้าของชื่อพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด ก่อนจะเดินไปยังรถคันที่สอง เขาเห็นว่าจงอินกับลู่หานช่วยกันประคองอี้ฟานขึ้นรถ โดยมีเซฮุนยืนมองอยู่ห่าง ๆ ราวกับว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนตัวผอมก็พร้อมจะเข้าไปสมทบ

    สีหน้าคนเจ็บดูไม่ค่อยดี และมินซอกคิดว่ามันคงไม่เกี่ยวกับขาที่กำลังเจ็บ คำขอบคุณหลังจากได้รับความช่วยเหลือมาพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท ซึ่งทั้งสามคนไม่ได้ตอบอะไรและกลับไปขึ้นรถแต่โดยดี

    คนตัวเล็กหันไปมองรถคันแรกอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผู้หญิงตัวผอมบางคนนั้นจะเปลี่ยนความคิดหวงจื่อเทาด้วยวิธีไหน แต่ถ้าครูเปลี่ยนไม่ได้... โลกนี้ก็คงไม่มีใครทำได้อีก

    สีหน้าเพื่อนตัวสูงเหมือนคนกำลังจะระเบิดความอัดอั้นออกมา และเพียงครู่เดียว เทาก็ปล่อยมันเป็นน้ำตาจนได้เมื่อถูกคนตรงหน้าสวมกอด มินซอกเป็นคนเดาอารมณ์คนไม่เก่ง แต่จากที่พยายามสังเกตและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น เขาก็พอจะซึมซับและรู้ได้บ้างว่าหวงจื่อเทากักเก็บความเศร้าไว้กับตัวมานานมากแค่ไหน

    มันเริ่มต้นจากวันแรกในโรงเรียน ความกดดันจากสถานการณ์ในตอนนั้นทำให้เทาต้องทำอะไรมากกว่าคนอื่นจนกลายเป็นแนวหน้าอย่างไม่ตั้งใจ การเห็นเพื่อนตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมาถึงการต้องทิ้งคนเป็นไว้ข้างหลังและหนีออกมา มินซอกคิดว่าเพื่อนของเขาคงถึงจุดขีดสุดแล้ว

    ไม่มีใครตะโกนบอกให้รีบทำเวลา เพราะกว่าจะไปถึงอุลซันก็คงพลบค่ำเพราะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางหลัก พวกเขาปล่อยให้ครูและลูกศิษย์ของเธอได้ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่มีใครอยากยอมรับ มินซอกใจหายที่ต้องไปจากที่นี่ แต่ก็โล่งอกที่การมีปากเสียงระหว่างเทาและครูจบลงได้ด้วยดี

    มินซอก

    ครับ เจ้าของชื่อหันไปมองชายหนุ่มที่อายุมากที่สุด สายตาของอี้ฟานยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เด็กอย่างเขาไม่สามารถคาดเดาเองได้ มินซอกคิดว่าผู้ใหญ่มีความซับซ้อนมากกว่าเด็กซึ่งมักจะแสดงออกมาตามที่รู้สึก

    ขึ้นรถเถอะ มินซอกไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่หันไปมองเพื่อนและครูสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปบนรถบ้านและปิดประตูในวินาทีถัดมา

    เสียงของควอนยูริเบาคล้ายว่ากำลังบ่นกับตัวเอง แต่ก็ถือว่ายังดีที่เธอไม่เลื่อนกระจกลงแล้วตะโกนออกไปเพื่อทำให้ทุกอย่างมันแย่กว่าที่เป็นอยู่ เสียงรถคันที่สามสตาร์ทแล้ว ครูสาวลูบแผ่นหลังนักเรียนของเธอก่อนทั้งคู่จะขึ้นไปบนรถ

    เราเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง และคราวนี้ทั้งสามคันรักษาระยะห่างกันมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง บนรถบ้านไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างอู๋อี้ฟาน จองซูยอน และคิมมินซอก ซึ่งคงไม่นับรวมคนขับที่มีเพียงช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ทำให้ได้ยินเสียงกันและกันได้

    นอนเถอะ อีกนานกว่าจะถึงอุลซัน

    การเป็นผู้ใหญ่มันดีอย่างนี้นี่เองสินะ เหมือนอู๋อี้ฟานจะรับรู้ได้ง่าย ๆ ว่าเด็กอย่างเขากำลังรู้สึกยังไงถึงได้บอกให้นอนเพื่อหลีกหนีช่วงเวลานี้ไป ซึ่งคนตัวเล็กก็เอนตัวลงนอนลงโดยไม่แย้ง และไม่ถึงสิบวินาที จองซูยอนก็ไปที่เตียงนอนทางด้านในของเธอ

    บางคนอยากกลับไปเห็นด้วยตาว่าอุทยานยังอยู่ดีหรือไม่ แต่เชื่อเถอะว่าก็ยังมีใครอีกหลายคนที่อยากปิดหูปิดตาและเลือกเชื่อว่าที่นั่นยังคงปลอดภัย

    แม้เสียงปืนเมื่อครู่จะยังดังกึกก้องอยู่ในหูก็ตาม

     

     
     

     

     

    ผมขอโทษ

    แบคฮยอนจำไม่ได้แล้วว่าใช้คำนี้ไปทั้งหมดกี่ครั้ง ทั้งที่รู้ดีว่าชานยอลอาจจะรำคาญเพราะไม่ชอบการขอโทษพร่ำเพรื่อ แต่ที่พูดซ้ำ ๆ ก็เพราะเขานึกโกรธตัวเองที่เลือกพูดความจริงให้นัมแทฮยอนฟัง ถึงแม้จะไม่หมด แต่มันก็อาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ในอนาคต

    ผมแย่เองที่เอาความรู้สึกเป็นหลัก ขอโทษนะ

    คนตัวเล็กมองประตูห้องน้ำที่ยังคงปิดสนิท เพียงครู่เดียวชานยอลก็เดินออกมาพร้อมใบหน้าซึ่งเปียกไปด้วยน้ำ สองขาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติเมื่ออีกคนก้าวเข้ามาประชิดตัว แบคฮยอนยืนห่อไหล่พร้อมเบือนหน้าหลบ แต่ยังไม่ทันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชานยอลก็คว้าเอาผ้าขนหนูที่อยู่ด้านหลังไปเช็ดหน้าตนเอง

     ผมตั้งใจจะบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่รอเท่าไหร่คุณก็ไม่กลับมาสักที จนผมเผลอหลับไป เด็กน้อยเม้มปากแน่น ช้อนตามองอีกคนที่กำลังมองมาด้วยสายตาซึ่งยากจะคาดเดา

    ดีแล้วครับที่คุณนอนหลับได้

    คุณกำลังคิดว่าผมนอนอย่างสบายใจใช่ไหม มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ

    ชานยอลเลิกคิ้วมองคนตัวเล็กที่กำลังพยายามเถียงคอเป็นเอ็น ผมยังไม่ได้สื่อความหมายไปในทางนั้นเลย คุณจะแก้ตัวทุกเรื่องที่พูดถึงเลยหรือไงครับแบคฮยอน?

    ผมไม่ได้แก้ตัว มันคือการอธิบายให้คุณเข้าใจต่างหาก เขาหันไปอีกทางแล้วยิ้มกับคำพูดคำจาของคนอายุน้อยกว่า จนถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังพยายามบอกกับเขาว่าเรื่องราวเป็นมายังไง

    คุณได้บอกไปหรือเปล่าว่าเราเคยพักอยู่ที่ไหน?

    ไม่ ผมไม่ได้บอกเลย วางใจได้ แบคฮยอนเบิกตากว้าง รีบพูดความจริงที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นบ้าง

    วางใจ?

    อ๊ะ!” คนตัวเล็กกุมหน้าผากเพราะถูกอีกคนดีดเข้าเสียเต็มแรง รู้สึกแสบ ๆ ร้อน ๆ แต่มันก็ยังดีกว่าการเห็นชานยอลเดินหนีเป็นไหน ๆ

    เมื่อคืนผมคุยกับซงมินโฮ เราต้องทำงานใช้หนี้จนกว่าพวกเขาจะคิดว่าคุ้มแล้วที่เข้าไปช่วยชีวิตเรา

    จนกว่าจะคุ้มเหรอ? แบคฮยอนก้าวตามไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มซึ่งนั่งกับขอบเตียง ชานยอลวางผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ข้างตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนอายุน้อยกว่า

    นั่นถือว่าดีกว่าการถูกเอาปืนจ่อหัวแล้วบีบให้เราพาไปในที่ ๆ ไม่อยากไปครับ

    แล้วมันยังไง ทำงานใช้หนี้ที่ว่านั่น

    เราจะได้รู้พร้อมกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมพยักหน้าให้คนตัวเล็กเดินออกไปข้างนอกด้วยกัน

    จนถึงตอนนี้สายตาคนรอบข้างก็ยังไม่ต่างไปจากตอนนั่งร่วมวงกินข้าวเมื่อวาน แบคฮยอนรู้ว่าคนที่นี่คงไม่พอใจและไม่อยากแบ่งอาหารให้เขาและชานยอล ซึ่งมันเคยเกิดคำถาม แต่ก็ได้คำตอบแล้วว่าเพราะอะไรเราถึงได้กินข้าวฟรี ๆ

    หลับสบายไหม? คำทักทายของซงมินโฮมาพร้อมความวาววับจากด้ามมีดที่เพิ่งลับไปกับหินสีเทาเข้ม โดยมีชายชุดดำอีกหลายคนซึ่งอยู่ในละแวกนี้ พวกนั้นกำลังง่วนอยู่กับอาวุธที่ต่างกันไป โทษที เมื่อคืนชวนคุยนานเกินไปหน่อย ไม่งั้นคงได้นอนนานกว่านี้แล้ว

    เราหลับสบายดีครับ

    อ่า นั่นสินะมินโฮเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างมีความหมาย นึกว่าจะอดหลับอดนอนเพราะ... คนเป็นผู้นำทาบมือทั้งสองข้าง แล้วประกบกันรัว ๆ จนเกิดเสียงเพื่อสื่อไปในทางลามก ทำเอาคนที่อยู่ตรงนี้หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

    แบคฮยอนใจกระตุกวูบ นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างตกใจพลางมองไปยังคนข้าง ๆ ที่ยังเก็บสีหน้าไว้ได้ดี เขาหันไปทางชายหนุ่มผมทองที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งแววตาและรอยยิ้มเล็ก ๆ ของนัมแทฮยอนเป็นเหมือนการสั่งสอนว่าอย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ อีก

    ไหนคุณบอกว่า--

    ก็นายตื่นสาย ฉันเลยต้องบอกเขาด้วยตัวเอง แทฮยอนพูดเหมือนไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ซึ่งเด็กอย่างเขาคงพูดอะไรได้ไม่มากนัก กับคนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้ว่าควรไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน

    มินโฮถอนหายใจเบา ๆ พลางก้าวมาหยุดอยู่ตรงกลางสมาชิกใหม่ทั้งสองที่ทำร้ายจิตใจกันด้วยการโกหกตั้งแต่วันแรกได้ลงคอ สองแขนกอดคอสองพี่น้องจอมปลอมไว้แล้วมองหน้าคนที่เรียกว่าพี่

    เมื่อคืนฉันก็หลงเชื่อจนตายใจ จนถึงชั่วโมงที่แล้ว...

    เด็กน้อยกำลังรู้สึกผิดเพราะรู้สึกได้ถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือน แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะมาจากความบังเอิญที่นัมแทฮยอนได้ยินเขากับชานยอลคุยกันก็ตาม แต่การที่แบคฮยอนเล่าเรื่องมากไปกว่าความจำเป็นมันก็แย่อยู่ดี

    มีอะไรบ้างที่เป็นความจริง?

    ซงมินโฮคงไม่พอใจ ซึ่งเขารู้ดีว่าใครที่ไหนก็คงไม่สบอารมณ์หลังจากพาเพื่อนเข้าไปเสี่ยงพร้อมให้ความช่วยเหลือ แต่เขาและชานยอลกลับไม่แสดงความจริงใจ ซึ่งยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องพึ่งความไว้ใจแล้ว ถือว่าบยอนแบคฮยอนกับปาร์คชานยอลจะลำบาก

    เรื่องที่พูดไปทั้งหมดเป็นความจริง และผมเชื่อว่าถ้าคุณต้องเข้าร่วมกลุ่มกับคนแปลกหน้า คุณก็คงเลือกพูดในสิ่งที่อยากให้เขารู้ ผมพูดผิดหรือเปล่าครับ?

    แม้ว่าคำตอบจะแน่วแน่ ฉะฉาน แต่ก็ไม่ทำให้กลุ่มชายชุดดำตรงหน้ารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขาคิดว่าถ้าความคิดและสายตาคนเหล่านั้นจะเปลี่ยนไป ก็ต่อเมื่อซงมินโฮตัดสินและแสดงออกว่ารู้สึกแบบไหน

    แล้วเหตุผลอะไรที่นายสองคนต้องโกหกว่าเป็นพี่น้องกัน?

    คำถามเชิงบังคับถูกส่งมายังคนตัวเล็ก แบคฮยอนเลียริมฝีปากคลายความประหม่า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

    เพราะ--

    เราเป็นคนรักกันครับ

    คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน กับคำตอบที่เขาควรจะเป็นคนคิดแต่ชานยอลดันตัดหน้าพูดไปเสียก่อน แบคฮยอนหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงที่ยังคงนิ่งเฉย ในขณะที่เขาและซงมินโฮต่างก็นิ่งไปหลังจากถูกฮุคด้วยคำตอบเมื่อครู่

    ซี๊ดเลยพี่ บ็อบบี้พึมพำก่อนจะถูกแทฮยอนตบหัวจนหน้าคว่ำ

    อ่า มินโฮขมวดคิ้วขณะใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มออกมาระหว่างเรียบเรียงคำพูด ที่จริงฉันคาดหวังคำตอบที่น่าจะซับซ้อนกว่านี้ แต่ก็...

    คนเป็นผู้นำมองทั้งสองคนสลับกันไปมา เขาเห็นว่าเจ้าเปี๊ยกกำลังกระอักกระอ่วนในขณะที่บยอนชานยอลกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แบคฮยอนพยายามแกะวงแขนซึ่งกอดรัดคอตนเองออก แต่มินโฮกลับออกแรงยิ่งขึ้น

    เป็นอะไร

    เขาแค่อายครับ

    ผมเปล่า!” คนตัวเล็กโพล่งออกไป พลางเลิกคิ้วมองคาดโทษชานยอลที่พูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแม้ไม่หันมามองหน้าเขาเลยสักนิดเดียว

    จะเขินทำไม ก็แค่เป็นผัวเมียกัน ที่นี่ก็มีตั้งหลายคนที่ไม่ได้ชอบผู้หญิง แทฮยอนคว้าบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ พลางมองทั้งสองคนซึ่งดูเหมือนว่าจะผิดใจกันไปชั่วขณะหนึ่ง

    ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ ที่โกหก ก็เพราะผมอยากให้คนอื่นเข้าใจอย่างนั้น

    มินโฮสบตากับรุ่นน้องคนสนิทที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แม้ไม่ได้พูด แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาปล่อยแขนออกจากสมาชิกใหม่เพื่อให้ได้ผ่อนคลาย ก่อนจะกลับไปยืนที่เดิมข้าง ๆ กลุ่มคนชุดดำ

    ถ้าคุณอยู่รวมกันแบบนี้มาตั้งแต่แรกก็ถือว่าโชคดี แต่สำหรับเรา คนที่เคยเจอกลุ่มคนมาหลายประเภท มันทำให้ผมกลัวที่จะไว้ใจใคร ชานยอลเงียบไปครู่หนึ่ง เพื่อดูสีหน้าและท่าทีของฝั่งตรงข้าม โลกนี้หาผู้หญิงได้ยาก และมีหลายคนที่ขอแค่ได้สำเร็จความใคร่โดยไม่สนใจว่าจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ มันเลยเป็นความเสี่ยงถ้าบอกเรื่องเพศให้คนอื่นรู้สึกว่าคุกคามได้

    ...

    ผมเลือกที่จะโกหกตั้งแต่แรกเพื่อปกป้องตัวเองกับเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมโกหกคุณทุกเรื่อง มันไม่มีความจำเป็นขนาดนั้นครับ ชานยอลยังคงล้างสมองฝั่งตรงข้ามโดยไม่ทิ้งจังหวะให้ได้คิด ในฐานะที่เป็นผู้นำและต้องดูแลคนอีกนับสิบ ผมคิดว่าเรื่องนี้คุณคงเข้าใจดี

    แบคฮยอนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ชานยอลกำลังอธิบายเลย เขาไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังไม่พอใจ หรือเป็นเพราะกระดากอายสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง แต่เหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้นไปแล้วกันแน่

    ที่นี่ไม่มีใครปล้ำเด็กนั่นหรอก วางใจได้

    หลังจากได้ยินคำตอบแบคฮยอนก็ค่อย ๆ มองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเห็นว่าซงมินโฮไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ และรอยยิ้มของนัมแทฮยอนซึ่งดูเหมือนว่าจะสนุกกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

    บอกตามตรงนะ นายไม่ได้มีความน่าพิศวาสจนทำให้ฉันอยากถลกกางเกงลงแล้วควงไอ้จ้อนใส่... โอ๊ย!!!!”

    ใครถามมึง แทฮยอนตบหัวบ็อบบี้ไปเต็มแรง ก่อนที่คนอื่น ๆ จะแยกกันกลับไปจัดเตรียมอาวุธเมื่อเห็นซงมินโฮส่งซิกให้

    ฉันเองก็ไม่ใช่พวกชอบเซ้าซี้ งั้นเอาเป็นว่าตกลงตามที่คุยไว้เมื่อคืนแล้วกัน นายสองคนต้องทำการใช้หนี้ตั้งแต่วันนี้ คนเป็นผู้นำผายสองมือลงบนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาวุธของมีคม หากแต่ไม่มีปืนวางอยู่สักกระบอกเดียวโดยการออกล่าเสบียงบนถนนสายสาม

    ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เขาจำได้ว่าตอนอยู่บนรถ คนพวกนั้นคุยกันพร้อมชี้ไปยังถนนเส้นนั้นซึ่งเต็มไปด้วยฝูงผีดิบมากมายที่กระจายอยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ทางเดินเท้า

    ถนนสายสามงั้นเหรอ?

    อ่าฮะ มินโฮล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ขมวดคิ้วขณะใช้ความคิดมันมีรถส่งของจอดอยู่สองคัน ข้างในนั้นต้องมีเสบียงอยู่เยอะแน่ ๆ เพราะไม่มีใครเอามันออกมาได้

    เราต้องการมัน หลังจากเงียบมาตลอด คังซึงยุนก็ได้ออกความเห็น ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนชอบพูดนัก และการที่อีกฝ่ายมองมาทางนี้ มันเป็นเหมือนการกดดันกราย ๆ ว่าเขาต้องตอบตกลง

    ที่อื่นไม่ได้เหรอ ผมหมายถึงที่ ๆ มีพวกกินคนน้อยกว่านั้น แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงเอาแต่เงียบ ไม่ยอมโต้แย้งอะไรสักอย่าง ขืนเข้าไปที่นั่นยังไงก็ไม่รอด แล้วจะต่างอะไรจากตอนโดนพวกผีดิบล้อม

    เราไปมาหมดแล้ว ก็มีตรงนั้นที่ยังไม่ทำให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง บ็อบบี้เป็นคนตอบคำถาม

    ผมจะไปเอง แบคฮยอน คุณรออยู่ที่นี่ ชายหนุ่มหลุบสายตาลงมองขาคนตัวเล็ก แม้ว่าจะเดินได้แล้ว แต่มันก็ไม่สะดวกกับการวิ่งหนีฝูงตัวกินคน

    ไม่ ผมจะไม่ยอมนั่งรออยู่เฉย ๆ ที่นี่แน่

    ทั้งคู่จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แบคฮยอนส่ายศีรษะเป็นการย้ำว่าเขาไม่เห็นด้วย ซึ่งชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างปฏิเสธไม่ได้

    คุณอยากให้ผมไปเอารถคันนั้นกลับมา ถูกต้องไหม? เสียงของชานยอลนั้นอยู่ในโทนปกติ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าเป็นคำตอบได้ แต่ผมต้องการปืนกับกระสุนสำรองคนละชุด

    โทษทีว่ะ แต่เราคงไม่มีให้ สายตาเฉียบคมที่มองมานั้น คิดว่าซงมินโฮคงไม่ได้พูดเล่น เราใช้มันไปอย่างพร่ำเพรื่อตอนช่วยนายสองคน แล้วฉันก็ยังไม่ได้พาเพื่อนออกไปหามาเพิ่ม และนั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเราต้องเซฟกระสุนไว้ใช้ในคราวจำเป็นให้มากที่สุด

    แต่พวกมันเยอะขนาดนั้น เกิดเหตุฉุกละหุกขึ้นมามีดแค่เล่มเดียวคงจัดการผีดิบหลาย ๆ ตัวไม่ได้แน่ แบคฮยอนแย้ง

    ไม่เป็นไร ถ้าพวกคุณคอยคุ้มกันให้ มันก็ไม่น่ามีปัญหา ชานยอลวางมือลงบนไหล่คนตัวเล็ก พร้อมมองไปยังกลุ่มชายชุดดำ

    คนเหล่านั้นหันไปมองหน้ากัน เพียงชั่วอึดใจก็หันมาทางสมาชิกใหม่ทั้งสองขอโทษอีกครั้ง แต่คงไม่มีให้คอยคุ้มกันให้นายสองคนว่ะ

    อะไรนะ?

    ...

    นายต้องเข้าไปเอารถคันนั้น

    ...

    แค่สองคน

    แบคฮยอนอยากหูฝาดมากกว่าจะอยากเชื่อว่านั่นคือความจริง คนกลุ่มนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่คิดจะให้เขากับชานยอลไปเอารถเสบียงทั้งที่เห็นอยู่คาตาว่าแทบจะไม่มีทางให้เดินเลยด้วยซ้ำ

    สีหน้าซงมินโฮคล้ายว่าจะไม่เต็มใจกับทางเลือกนี้นัก แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้หันไปบอกคนในกลุ่มว่ามันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้

    ฉันเคยพาคนเข้าไปที่นั่น ผลลัพธ์คือตายไปสาม กับบาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง และตอนนี้หมอนั่นนอนเดี้ยงอยู่ข้างใน เสียงคนเป็นผู้นำเบาลง ราวกับว่าอยากให้ได้ยินกันเพียงเท่านี้ มากกว่าการตอกย้ำให้ผู้อาศัยนึกถึงการสูญเสียฉันเป็นคนรักความยุติธรรม แต่นั่นก็ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไป

    ...

    ชานยอลสบตากับอีกฝ่าย พลางนึกไปถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนจนถึงดึกดื่น หลายอย่างที่ซงมินโฮหลุดปากพูดออกมาเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่อยากกล่าวถึง ผู้ชายคนนี้มีทั้งมุมสีขาว สีดำ

     
     

    และตอนนี้คนเป็นผู้นำกำลังแสดงความเป็นสีเทาให้เขาเห็น

     
     

    ชายหนุ่มและคนตัวเล็กคงไม่สามารถเดินหนีออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่มีทำการตอบแทนบุญคุณ หรือแอบลอบหนีกลางดึกในที่ ๆ มีการเฝ้าเวรยามอย่างแน่นหนา เขาพยายามเช็กทางหนีแล้ว แต่มันคงไม่คุ้มเสียถ้าหากถูกจับได้

    มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ซึ่งปาร์คชานยอลก็เช่นกัน ยิ่งในโลกที่ทุกอย่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้ เขาและแบคฮยอนก็ต้องหาทางเลือกให้ตัวเองโดยไม่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งในถนนเส้นนั้น

    ผมกับแบคฮยอนไม่ใช่คนมีฝีมือถึงขนาดเข้าไปได้ด้วยมีดเล่มเดียว ทำแบบนี้ก็เหมือนส่งให้ไปตาย

    เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันกับคนอื่น ๆ จะช่วยเคลียร์ทางข้างหน้าให้ มินโฮกำลังอธิบายถึงแผนการที่เหมือนยัดเยียดให้เขาทั้งคู่ไปตายเอาดาบหน้า

    คุณน่าจะไปกับเรา อย่างน้อยก็คนสองคน แบคฮยอนว่า

    ขอโทษ แต่ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นซงมินโฮเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาเองก็รู้สึกผิดในสิ่งที่พูดกับสมาชิกใหม่ทั้งสอง ในฐานะคนที่ช่วยชีวิตไว้ ฉันขอยกมันมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พวกนายไปเสี่ยงแทนคนของฉันแล้วกัน

    ไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนแปลกหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนดี หรือน่าสงสารสักเท่าไหร่ แต่ครอบครัวย่อมมาก่อนเสมอ เสี้ยววินาทีหนึ่งที่แบคฮยอนลองมองย้อนกลับมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าอี้ฟานหรือจงอินจะตัดสินใจยังไงถ้าเจอสถานการณ์อย่างนี้

     

     

    และก็ได้คำตอบว่าครอบครัวของเขาจะไม่มีวันผลักใครออกไปเสี่ยงตายแทนแน่ ๆ

     

     

    โทษทีว่ะ ชีวิตคนเราแม่งไม่ได้มีทางเลือกมากขนาดนั้น

    คนเป็นผู้นำยื่นมีดพกที่ถูกหุ้มปลอกด้วยหนังอย่างดีให้กับแบคฮยอน ก่อนจะส่งอีกเล่มให้ชายหนุ่มตัวสูง ทั้งคู่สบตากันราวกับดูท่าทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งชานยอลก็ได้พูดประโยคหนึ่งพร้อมคว้าพลุแฟล์ติดมือไปสี่อัน ก่อนจะตรงไปหยุดอยู่ข้างรถซึ่งมีคนยืนรออยู่

    แทฮยอนละสายตาคู่รักที่หยุดคุยกันอยู่ข้างรถ ไม่ถึงครึ่งนาทีเท่านั้นเจ้าเด็กเหลาะแหละก็เดินขึ้นไปโดยไม่ยื้อดึงอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวตายขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ คนเป็นผู้นำที่กำลังเก็บอาวุธเตรียมพร้อมออกเดินทาง พร้อมคำพูดของบยอนชานยอลที่ยังคงกึกก้องอยู่ในความคิด

     

     

    ผมรู้ว่าไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ และคุณจะได้เห็นว่าผมมีทางเลือกให้ตัวเองอยู่เสมอ

     

     

     

    60%

     

     

      

     

     

    เกิดอะไรขึ้นน่ะ

    ควอนยูริขมวดคิ้ว พลางมองกระจกข้างสลับกับถนนเมื่อพบว่ารถที่สามจอดลง หญิงสาวเหยียบเบรกพลางเปิดสัญญาณขอทางเพื่อบอกรถคันแรกแทนการบีบแตรให้เกิดเสียง เจ้าของผมหางม้าเปิดประตูลงไปดูรถคันที่สามซึ่งจอดลงข้างทาง มองลู่หานเดินมาเปิดกระโปรงรถแล้วสะดุ้งกับควันโขมงที่ตีเข้าหน้าอย่างจัง

    เป็นอะไร

    เดี๋ยวถามมันแป๊บ เฮ้ยมึง เป็นไรวะ หนุ่มชาวจีนหันไปถามรถคันที่ตนเองขับมาตลอดทาง พลางหันไปยิ้มอ่อนใส่หญิงสาวที่กำลังแสดงออกทางสีหน้าว่าเธอไม่ตลกก็แหม่ ขับมาตั้งนาน รถมันคงอยากพักผ่อนบ้างไรบ้าง ขนาดคนยังเหนื่อยอะเนอะ

    ...

    จนถึงวินาทีนี้ควอนยูริก็ยังแสดงออกทางสีหน้าให้เขาเห็นว่าเธอโคตรไม่ความอารมณ์ขัน ลู่หานหุบยิ้มพลางกลอกตามองเทาและครูสาวที่เดินมาด้วยกัน เขาจึงชี้ต้นเหตุที่ทำให้ต้องหยุดรถให้ทั้งคู่ดู

    โอเวอร์ฮีต

    ป๊าด เพื่อนใครวะ ทำไมฉลาด หนุ่มชาวจีนทำตาโต มองจงอินอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าคำนั้นจะหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่ขายความทรงจำให้กับอากาศ

    เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ใครก็รู้ปะวะ เวอร์ไอ้ห่า ลู่หานแทบหน้าคะมำหลังจากถูกไอ้คนกระจอกตบกบาลอย่างแรง

    นายรู้ไหม? หนุ่มชาวจีนป้องปากกระซิบ เซฮุนจึงพยักหน้าเป็นคำตอบกับอาการป่วยของรถที่พ่อเคยสอนเมื่อตอนหัดขับแรก ๆ

    แต่ถ้าคนที่ไม่เคยขับ ก็ไม่น่าจะรู้ คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่าครับ? เด็กหนุ่มตัวผอมกระซิบตอบ ก่อนทั้งคู่จะหลุดยิ้มขำออกมาพร้อมกัน กับการฟื้นความจำที่จงอินคงไม่รู้ตัว

    งั้นพักกินข้าวที่นี่แล้วกัน อี้ฟานว่า ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงจากรถโดยได้รับการช่วยเหลือจากมินซอกและซูยอน

    ไม่มีใครแย้ง หลังจากใช้เวลาอยู่ในรถมาหลายชั่วโมงทุกคนต่างก็รู้สึกหิวไม่แพ้กัน พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้ากับการเดินทางในครั้งนี้ที่ไม่ได้ไปไกลอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะถนนเกือบทุกเส้นเต็มไปด้วยพวกผีดิบ จึงต้องขับหาทางอ้อม

    เทาไม่รอให้ใครบอก เขาเปิดท้ายรถตนเองซึ่งเป็นที่เก็บอาวุธ คว้าเอาสปาต้าเล่มหนึ่งออกมาก่อนจะตรงเข้าไปถางหญ้าเพื่อสร้างพื้นที่ทำอาหารและนั่งพักสักชั่วโมงหนึ่ง

    ลู่หานมาที่รถบ้านเพื่อเอาอุปกรณ์ไปให้ปาร์คกาฮีทำกับข้าว ตอนเดินผ่านเด็กแว่นก็แอบขยิบตาให้ ซึ่งมินซอกก็ถลึงตามองพร้อมขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงว่าเดี๋ยวเถอะ ซึ่งคนถูกขู่เพียงอมยิ้มเดินหน้ามึนไปโดยไม่พ่นคำหวานใส่ให้คนตัวเล็กต้องสละมือจากคนเจ็บมาฟาดเขาได้

    ทำอะไรอยู่ครับ? พอเห็นว่าจงอินไม่ได้ไปตั้งแคมป์ข้างทางกับคนอื่น ๆ เขาจึงเดินมาดูสักหน่อย

    ชายหนุ่มผิวแทนกำลังให้ความสนใจเครื่องยนต์ใต้กระโปรงรถที่มีควันฉุนลอยออกมา คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างจริงจังขณะจับจ้องอยู่กับสิ่งที่เซฮุนรู้ดีว่าอีกฝ่ายเคยคุ้นชินกับมันมากแค่ไหน แม้ว่าตอนนี้จะยังจำไม่ได้ แต่จงอินก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปข้างหน้าอย่างลังเล

    ไอ้ลู่หานบอกว่าขอกินข้าวก่อนเดี๋ยวมันจะมาเช็กเครื่องดู แล้วบังเอิญฉันนึกขึ้นได้ว่าในอดีตชาติเคยเป็นช่างซ่อมรถมาก่อน ก็เลยคิดว่าถ้าลองยืนโง่อยู่ตรงนี้ระหว่างรออาหารเสร็จก็ไม่น่าเสียหลายอะไร

    คนฟังหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะก้าวไปหยุดยืนข้าง ๆ ผู้ชายขี้กังวลที่คงโทษตัวเองว่าไร้ประโยชน์เพราะสูญเสียความทรงจำ ตอนนี้มีเพียงเสียงลู่หานที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปด กับเสียงคมมีดที่ตัดหญ้าฉับ ๆ ของเทาเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในละแวกนี้

    คุณอยากอยู่คนเดียวไหมครับ

    มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำอย่างนั้นเหรอ หรือว่าคิมจงอินคนเดิมมันชอบยืนอึนอยู่หน้ากระโปรงรถคนเดียว? ชายหนุ่มหันไปถามคนตัวผอมที่เอาแต่อมยิ้ม ก่อนเจ้าตัวจะไหวไหล่

    เผื่อคุณกดดันเพราะผมอยู่ตรงนี้ ก็เลยบอกไว้ก่อน

    ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ พูดจบก็ดึงแขนอีกคนเข้ามาจนไหล่ชนกัน จงอินเลิกคิ้วมองคนตัวผอมที่ดูจะตกใจนิด ๆ แต่สุดท้ายเราก็ทำได้แค่กลั้นยิ้มแล้วทำเหมือนว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องปกติ

    โอ๊ย ทำไมควันรถมันพุ่งออกมาเป็นสีชมพูวะเนี่ย ทั้งคู่ผละตัวออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงแซวของผู้มามาใหม่ ชายหนุ่มผิวแทนปั้นหน้านิ่งยกมือขึ้นเกาท้ายทอย พลางมองไปยังสีหน้ากวนส้นตีนของเพื่อนสนิทที่กำลังหรี่มองยิ้มอย่างมีความหมาย

    จงอินกำลังดูอาการรถอยู่น่ะครับ... เซฮุนถอยหลังก้าวหนึ่ง เพื่อให้ลู่หานได้เข้าไปดูใกล้ ๆ

    พี่เห็นแล้วหนู เขายิ้ม พลางชะโงกหน้ามองต้นเหตุของควันที่ทำให้ต้องนิ่วหน้าเพราะกลิ่นฉุน เคยเป็นช่างซ่อมรถนี่เนอะ ฝากด้วยนะมึง ซ่อมไม่เสร็จข้าวไม่ต้องแดก

    สัดนี่... จงอินพูดลอดไรฟัน มองตามแผ่นหลังลู่หานซึ่งกำลังเดินกลับไปหาคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าไอ้เวรนั่นจะเป็นคนเดียวที่ไม่เศร้าเหงาหงอย และพยายามสร้างสีสันให้ความอึมครึมที่ปกคลุมอยู่โดยรอบหลังย้ายออกมาจากอุทยาน

    จงอินเท้ามือลงแล้วกลับไปให้ความสนใจเครื่องยนต์อีกครั้ง ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่กับความเงียบอยู่ราว ๆ สองสามนาทีซึ่งเซฮุนก็ไม่เร่ง ถ้าหากว่าอีกฝ่ายอยากฟื้นความจำด้วยตัวเอง

    ไปดูเข็มไมล์หน่อยว่ามันยังขึ้นสัญญาณเตือนสีแดงอยู่หรือเปล่า คนตัวผอมทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมพยักหน้าเป็นคำตอบ ซึ่งมันคงเป็นโจทย์ให้จงอินต้องใช้ความคิดเพิ่มมากขึ้น

    กินข้าวก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยมาดูอีกทีพร้อมลู่หาน เขานึกเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว ดูท่าจงอินจะไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ เพราะสมองคงสั่งการว่าต้องทำให้ได้แม้จะนึกอะไรไม่ออก

    เซฮุนไม่อยากให้อีกฝ่ายโทษตัวเองเพราะเรื่องเดิมซ้ำ ๆ เขาเห็นด้วยถ้าหากจงอินอยากฟื้นความทรงจำ แต่ต้องไม่ใช่การกดดันตัวเอง

    หม้อน้ำอาจจะรั่ว

    ... เซฮุนมองใบหน้าคมที่เหมือนว่าจะมั่นใจแต่ก็ไม่มั่นใจกับสิ่งที่พูด ชายหนุ่มผิวแทนถอยออกมาก้าวหนึ่งและสบตากับเขา พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่เหมือนจะบอกว่าสิ่งตรงหน้ามันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับคิมจงอิน ไม่ว่าจะคนเก่าหรือคนใหม่

    ปล่อยให้เครื่องเย็นก่อนแล้วค่อยมาลองเติมน้ำดู เซฮุนพยักหน้า ขณะสบตากับชายหนุ่มผิวแทน อะไร ทำหน้าหงอยเหมือนหมาไม่ได้เล่นกับเจ้านาย

    ผมอยากยิ้มเหมือนกันครับ แต่คงไม่ใช่ตอนที่คุณเอาแต่ทำหน้าอย่างนี้ เซฮุนเอานิ้วชี้จิ้มกลางหัวคิ้วอีกฝ่าย ชายหนุ่มผิวแทนยืนนิ่งมองดวงตาคู่นั้นที่มองมาด้วยความเป็นห่วง เขากลอกตามองคนอื่น ๆ ที่ยังคงวุ่นวายในส่วนที่ตนเองต้องรับผิดชอบ ก่อนจะคว้านิ้วชี้เซฮุนและจุ๊บลงไปเบา ๆ

    ถ้าไม่ยิ้มก็หน้าแดงไปก่อนแล้วกัน

     

     

     

     

     

     



     

    รถขับเทียบจอดข้างถนนตามด้วยเสียงเบรกมือ ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งยืนบนท้ายกระบะพร้อมใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตโดยรอบ ชานยอลหันไปมองคนตัวเล็กที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นเสื้อคอเต่าสีดำเหมือนกับเขา หลังจากซงมินโฮบอกว่าพวกเราทุกคนควรทำตัวให้กลมกลืนกับสิ่งรอบข้างเอาไว้

    วันนี้เราคงไม่ได้เดินอย่างเดียว ผมจะถามคุณอีกครั้งว่าแน่ใจแล้วใช่ไหม? ชายหนุ่มตัวสูงถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งแบคฮยอนก็พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล ถ้าพูดถึงอาการเจ็บข้อเท้า มันก็ดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่หายเลยเสียทีเดียว แต่เขาเลือกที่จะไปกับชานยอลมากกว่านั่งอยู่เฉย ๆ กับคนแปลกหน้า

    เดี๋ยวจะพาไปส่งหน้าทางเข้าร้านกาแฟ ฉันวาดแผนที่ไว้ให้แล้วซงมินโฮยื่นกระดาษยับ ๆ ที่พับเป็นสี่ทบให้คนตัวสูง พลางมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายที่ไม่แม้แต่จะแสดงความกลัวออกมาให้เห็น

    ถ้าสามชั่วโมงผมไม่กลับ ก็ให้คุณตีความหมายได้ตามที่ต้องการนะครับคนเป็นผู้นำแค่นหัวเราะ ก่อนจะสบตากับเจ้าของดวงตารูปหยดน้ำซึ่งดูเหมือนว่าจะแค้นเขาอยู่ลึก ๆ ที่ทำแบบนี้

    ถ้าคิดจะเล่นตุกติกล่ะก็อย่าเลย ฉันกับคนอื่น ๆ เคยลองเข้าไปหลายครั้งแล้ว ทางที่เข้าไปได้ก็คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด มินโฮพูดอย่างไม่โกหก เขากับคนในกลุ่มเคยหาทางเข้าไปเอารถคันนั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และการใช้ร้านกาแฟเป็นทางผ่านไปยังตึกอื่นก็เป็นความคิดที่ดีที่สุดแล้ว

    บางทีแผนที่ของคุณอาจจะมีช่องโหว่อยู่ก็ได้ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอครับ?

    ช่องโหว่ที่พานายไปตายน่ะเหรอ อาจจะใช่ มินโฮหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มตัวสูง เอาชีวิตกลับมาให้ได้ล่ะไอ้หนู

    ... แบคฮยอนไม่ได้จัดแจงทรงผมให้เข้าที่หรือแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่พอใจแค่ไหนที่ถูกสั่งให้ตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีนี้ คนตัวเล็กเงยหน้าสบตากับชานยอลที่กำลังพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เดินไปด้วยกัน หลังจากที่ซงมินโฮและคนอื่น ๆ นำไปแล้ว

    รอบข้างมีรถยนต์หลากหลายยี่ห้อซึ่งจอดไม่เป็นระเบียบ บางคันซื้อมายังไม่ถึงสองปี แต่สภาพกลับดูเก่าจนแทบไม่หลงเหลือความสวยงามตามหลังจากปล่อยให้ตากแดดตากลมในโลกที่มีแต่สิ่งใช้แล้วทิ้งมากกว่าดูแลรักษา

    ทางเนินสูงเบื้องหน้ามีตัวกินคนอยู่ประปราย และชายชุดดำหลายคนก็มีฝีมือมากพอที่จะตรงเข้าไปจัดการพวกมันด้วยมีดใบตายโดยไม่เสียเวลาถามความสมัครใจใคร ชานยอลมองคนข้าง ๆ เป็นระยะ เขายังคงกังวลถึงข้อเท้าของแบคฮยอน ดังนั้นการไปในครั้งนี้จึงต้องมีสติให้มากกว่าเดิมหลายเท่า

    จากตรงนี้ไปจนถึงจุดสีแดงในแผนที่ แทฮยอนชูนิ้วชี้ขึ้นมาปลอดภัย

    โชคดี

    มินโฮกล่าวเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะผลักประตูร้านกาแฟเพื่อให้ทั้งคู่เข้าไป ชานยอลยืนนิ่ง อาจจะสักราว ๆ สองวินาทีหรือน้อยกว่านั้น แต่เขาก็ก้าวเข้าไปพร้อมชักมีดออกมาจากปลอกหนัง

    กลุ่มชายชุดดำถอยออกห่างจากประตูโดยไม่รอดูทั้งคู่เดินเข้าไปข้างในเลยด้วยซ้ำ ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้คาดหวังแต่ก็รู้สึกว่าการกระทำของคนกลุ่มนั้นน่าเกลียดเหลือทน ชานยอลชูสัญญาณมือบอกให้คนตัวเล็กอยู่ข้างหลังเขาเอาไว้ ซึ่งเขาก็ทำตามอย่างไม่อิดออด

    เด็กน้อยชักมีดออกมาพลางเลียริมฝีปากคลายความประหม่า กับความมืดที่ปกคลุมมากกว่าแสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่บาน รองเท้าหนังบดลงบนพื้นไม้จนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ทุกย่างก้าวอยู่ในความระมัดระวังแม้ว่าซงมินโฮจะเคยบอกแล้วว่าที่นี่ปลอดภัย

    ซากเศษแก้วแตกบนพื้นคือสิ่งที่ควรเลี่ยง ชานยอลชูมือขึ้นเพื่อบอกให้อีกฝ่ายหยุดยืนรออยู่ตรงนั้น ก่อนจะชะโงกหน้าสังเกตความปลอดภัยโดยรอบ และกลิ่นเหม็นเน่ากับซากศพนอนแน่นิ่งให้แมลงวันตอมอยู่บนพื้นก็เป็นความปลอดภัยที่ทำให้เขาหันไปพยักหน้าเรียกแบคฮยอนให้ตามเข้ามาได้

    ขายาวก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ชานยอลต้องรีบทำเวลาสักหน่อยเพราะดันออกปากอวดเก่งบอกฝ่ายนั้นไปว่าแค่สามชั่วโมง เสียงรองเท้าบดกับพื้นไม้ยังคงกดดันคนที่เดินตามหลังได้เป็นอย่างดี แบคฮยอนกำมีดแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นมือมา

    ...ครับ?

    ผมช่วย

    ถ้าปาร์คชานยอลดูออกจนต้องหาเรื่องอื่นมาทำให้เขาลืมความกลัวล่ะก็ วิธีนี้มันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่อย่างที่รู้ ๆ กันว่าผู้ชายคนนี้คงไม่เคยยอมถอดใจง่าย ๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตาม ซึ่งแน่นอนว่าจนถึงวินาทีนี้คนตัวสูงก็ยังไม่ชักมือกลับไป

    จนถึงชั้นบน ชานยอลพูดเพียงเท่านั้นราวกับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังคิดอะไร ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ซึ่งถ้าหากแบคฮยอนต้องการเวลาคิดเขาก็พร้อมให้ ถ้าเจ้าตัวไม่ใช้มันนานเกินสามชั่วโมงที่เขาบอกซงมินโฮไว้

    เด็กน้อยหลุบสายตาลง เขาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ระหว่างตัดสินใจหรือคิดไปถึงเรื่องอื่นที่มันไม่ควรเกิดขึ้นในหัวตอนนี้ ซึ่งบางทีชานยอลอาจจะแค่ไม่อยากให้เขาเป็นภาระเท่านั้น

    แม้จะสวมถุงมือไว้ทั้งคู่ แต่บยอนแบคฮยอนก็ยังรู้สึกเหมือนทุกครั้งเวลาสัมผัสผู้ชายคนนี้ ชานยอลยืนรอให้เขาก้าวขึ้นมาบนขั้นเดียวกัน ก้าวขึ้นไปทีละขั้น ทำอยู่อย่างนั้นกระทั่งถึงชั้นสองของร้านกาแฟ

     

     

    และคนตัวสูงก็ยอมปล่อยมืออย่างที่ว่าไว้จริง ๆ

     

     

    ที่นี่สว่างกว่าข้างล่างหลายเท่า อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องหรี่ตาเพื่อปรับสภาพให้มองในความมืด คราบเลือดสีเข้มแห้งกรังไปตามทางยาวจากซากศพที่ถูกลากไปนั่งพิงอยู่กับกำแพง  และเก้าอี้ไม้ที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นอย่างผิดวิสัย คาดว่าทุกอย่างคงเป็นฝีมือของกลุ่มซงมินโฮที่เคลียร์พื้นที่ไว้เป็นทางหนีให้ตนเอง

    เก็บติดตัวไว้ครับ ถ้าพวกมันมาเยอะจนใครคนหนึ่งจวนตัว ให้จุดแฟร์แล้วเขวี้ยงไปเพื่อเบี่ยงความสนใจ ชานยอลยัดแฟร์ใส่มือคนตัวเล็กสองแท่งหลังจากนั้นก็รีบหนีไปที่ ๆ ปลอดภัย เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?

    ผมเริ่มจะไม่เข้าใจก็ตอนที่คุณเอาแต่พูดเหมือนเราจะไม่รอดนี่แหละ

    อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น และทางนี้ยังคงปลอดภัยอย่างที่ซงมินโฮว่าไว้

    แต่คุณจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้น ใช่ไหม?

    ชานยอลยืนนิ่งอยู่หน้าประตู พลางหันกลับไปสบตากับคนตัวเล็กที่มองมาอย่างคาดหวังคำตอบ ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะเป็นไปอย่างที่คิดไว้หรือไม่

    แบคฮยอนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ช้อนตามองเพื่อกดดันเอาคำตอบที่น่ารื่นหูมากกว่าจะเป็นความจริงที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ดี เด็กคนนี้กำลังกลัว และเขาเองก็เช่นกัน

    คุณเชื่อใจผมหรือเปล่าครับ แบคฮยอน? เขามองเงาตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น และการที่คนตัวเล็กเงียบไปมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก สำหรับคนที่จำเป็นต้องทบทวน ไตร่ตรองเสมอถ้าเป็นเรื่องของผู้ชายที่เคยสร้างความทรงจำแย่ ๆ ไว้อย่างเขา

    ผมเชื่อ

    เด็กน้อยไม่ได้ฉายแววประหม่า ขลาดอาย หรืออะไรก็ตามที่สามารถทำให้คิดไปในแง่อื่น แววตาของแบคฮยอนนั้นหนักแน่น และนั่นเป็นเรื่องดี เพราะเขารู้สึกเหมือนได้กลับไปที่โรงเรียนช็อลลาใต้อีกครั้ง

     

     

    ที่ ๆ เราทั้งคู่เคยมีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน

     

     

    เพราะคุณคือปาร์คชานยอล

     

     


     

     


     

     

    แฮ่ก... แฮ่ก...

    เราต้องทำ – ต้องทำอะไร – ต้องทำ ถึงจะตระหนกตื่นกลัวจนแทบตั้งสติไม่ได้ แต่บุรุษพยาบาลชาวจีนก็พยายามสื่อสารกับคนตรงหน้าเป็นภาษาเกาหลี

    แม้จะผ่านพ้นช่วงวิกฤติหิมะตกไปหมาด ๆ แต่อากาศข้างนอกก็ยังอยู่ในเลขหลักเดียว แต่ร่างของชายหนุ่มทั้งสองกลับชื้นไปด้วยเหงื่อท่ามกลางความหนาวเหน็บ หลังจากพบเจอภาพน่าสยองขวัญมาเมื่อครู่

    อี้ชิงทาบสองมือลงบนแก้มจงแดที่นั่งชันเข่าพร้อมกำปืนไว้แน่น นัยน์ตาเบิกค้างมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ตัวสั่นเทาเพราะความหวาดกลัวจากพวกผีดิบที่พังประตูอุทยานเข้ามาได้สำเร็จ

    เขาคิดว่าพวกมันคงซาลงไปตามเวลา แต่เปล่าเลย... รั้วที่ว่าแข็งแรงก็มิอาจสู้ความหิวของพวกผีดิบข้างนอกได้ พวกมันใช้ความรุนแรงจนพังเข้ามาในที่สุด จงแดจึงเหนี่ยวไกไปหนึ่งนัด และแน่นอนว่ามันไม่ตายหากไม่ถูกเล็งที่หัว

    อี้ชิงจึงรีบพาเจ้าหน้าที่หนุ่มเข้าไปในบ้านเพื่อหาที่หลบ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องโหยหวนของพวกมันที่กำลังตะโกนบอกให้รู้ว่าร่างของเขาทั้งคู่จะถูกฉีกเข้าปากเป็นชิ้น ๆ

    จงแดกลัวเหลือเกิน เขารู้สึกเหมือนพวกผีดิบทุกตัวได้มารวมอยู่ที่นี่เพื่อรอกินเขาและสัตว์ในอุทยาน คนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยสายตาว่างเปล่า เสียงกระจกแตกด้านนอกเปรียบเสมือนเสียงมัจจุราชเคาะประตูเพื่อนำตัวเขาไปลงนรก จงแดแทบนั่งไม่ติดกับที่ ริมฝีปากเอาแต่พร่ำบอกว่า

     

     

    ไม่ได้... พวกมันจะทำแบบนี้กับอุทยานไม่ได้

     

     

    พร้อมปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่างออกมาเป็นน้ำตา

     

     

    พวกคุณควรรีบหนีไปตั้งแต่ตอนนี้ คยองซูประสานมือไว้บนอก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสงบ หลังจากดิ้นทุรนทุรายหาทางหนีอย่างคนขี้แพ้มาตลอด

    ไม่ได้... พวกมันเข้ามาในอุทยานไม่ได้...”

    จงแด – ตั้งสติ – หน่อย

    พวกมันจะเข้าไปกินสัตว์ข้างใน ได้ยินไหมอี้ชิง ที่นี่กำลังจะ --

     

     

    พลั่ก!!!

     

     

    ผมบอกให้คุณตั้งสติ!!!!”

    จงแดล้มคว่ำไปนอนกองกับพื้นทันทีที่ถูกหมัดลุ่น ๆ ของบุรุษพยาบาลหนุ่มซัดเข้าเต็ม ๆ อี้ชิงหอบหายใจหนัก เขารู้สึกปวดชาไปทั้งหลังมือ แต่ก็นับว่าได้ผลที่หยุดความสติแตกอีกฝ่ายไว้ได้

    เสียงสะอื้นของคนที่รักอุทยานเสียยิ่งกว่าชีวิตน่าสงสารและน่าสมเพชในคราเดียวกัน โดคยองซูเหม่อมองเพดาน และตระหนักถึงการมีชีวิตอยู่ของคนโง่เหล่านี้ซึ่งพยายามดิ้นรนหาทางรอดบนโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์

    เรายังแก้ไข – ได้

    ...

    ได้ยินไหม – ข้างนอกนั่น – พวกมัน อี้ชิงชี้ไปที่ประตู ก่อนจะกระชากคอเสื้ออีกคนเข้ามาสบตากันในระยะใกล้กำลังจะ – มาฆ่า – เรา

    ใช่ ผมกำลังจะตาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่กำลังจะตาย นัยน์ตาของเจ้าหน้าที่หนุ่มเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และจางอี้ชิงก็รู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้

    “If you die, everything's gonna get worse.” (ถ้าคุณตาย อุทยานก็จะตาย)

    ...

    “You're still alive, actually.” (แต่ตอนนี้คุณยังมีชีวิตอยู่) อี้ชิงค่อย ๆ ละมือออกจากคอเสื้อชายหนุ่มที่กำลังร้องไห้ให้กับความสิ้นหวัง ทั้งคู่สบตากัน และเป็นครั้งแรกที่เขาอยากให้จงแดฟังเขา “We've got to survive to protect this place, our home.” (เราต้องรอดจากที่นี่ เพื่อหาทางกลับมาช่วยอุทยาน)

    ...

    ลุกขึ้นเถอะจงแด – คุณจะถอดใจยอมตาย – ไม่ได้

    น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม หัวใจที่เต้นผะแผ่ว เสียงโหยหวนของพวกมันที่กำลังพังประตูและกระจกหน้าบ้านยังคงกดดันอยู่เรื่อย ๆ บุรุษพยาบาลหนุ่มจับมืออีกคนผ่านปืนกระบอกนั้นพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ คิมจงแดเงียบไป เขายังคงกลัวและมองไม่เห็นทางออกของเรื่องนี้ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็หยัดตัวลุกขึ้นพร้อมปาดน้ำตาออก

    บอกผม จงแดกลืนก้อนสะอื้นลงคอ พร้อมมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง บอกผมมาว่าเราต้องทำยังไงบ้าง

     

     

     

     

     

     

    ไป

    เสียงของบุรุษพยาบาลหนุ่มเบาจนเรียกได้ว่ากระซิบ จงแดมองซ้ายขวาพร้อมหิ้วปีกคยองซูออกมาจากห้องแม้คนเจ็บจะไม่เต็มใจนัก แต่ก่อนหน้านี้ได้อี้ชิงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กยัดใส่ปากเด็กหนุ่มไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเจ้าตัวเอาแต่เถียงคอเป็นเอ็นว่าจะนอนรอความตายอยู่ในห้อง

    เขาไม่ใช่คนชอบบังคับ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างตามใจเพื่อปล่อยให้คยองซูต้องตาย กับแกล้งหูหนวกแล้วลากคนเจ็บออกมาด้วยกัน เขาก็ยอมเลือกอย่างหลังดีกว่า

    จางอี้ชิงไม่ใช่คนใช้ปืนเก่ง อันที่จริงเขาพอฝึกมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นคุ้นชินกับมัน และพอเจอเหตุการณ์จริงอย่างตอนนี้มือไม้มันก็สั่นชนิดว่าต่อให้ตัวกินคนยืนนิ่งเขาก็ไม่สามารถยิงโดน และการใช้ปืนก็เสี่ยงเรียกพวกข้างนอกให้เข้ามาที่นี่ยิ่งขึ้นไปอีก

    อื้อ!” คยองซูขมวดคิ้ว และยังส่งเสียงในลำคอแม้จะไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดเผือดของคนเจ็บไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ใจอ่อนพากลับไปนอนบนเตียง

    พวกมันอยู่ข้างนอกกันเต็มไปหมด จงแดแหวกผ้าม่านในครัวหลังบ้าน ขอโทษนะอี้ชิง เพราะผม คุณถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

    นี่ไม่ใช่ – เวลา – มาโทษตัวเอง อี้ชิงพูดช้า ๆ คุณต้องบอกผม – ว่าเรา – ต้องไป – ทางไหน ชายหนุ่มตรงไปเลือกมีดในครัวซึ่งดูเหมือนว่าจะคมไม่มากพอที่จะใช้ฆ่าพวกมัน บุรุษพยาบาลหนุ่มลนลาน ควานหาอาวุธในครัวที่ไม่มีอะไรดีไปกว่าปืนซึ่งมันมีไม่มากพอที่จะจัดการผีดิบทุกตัวได้

    เราไปไหนไม่ได้นอกจากเข้าป่า

    นั่นแหละ อี้ชิงชี้นิ้วย้ำ ๆ แล้วคว้าท่อเหล็กขึ้นมาถือไว้ เราจะเข้าไป – ในนั้น – กัน

    ถ้าไปที่หลุมศพเด็ก ๆ ได้ เราก็รอด จงแดกลืนน้ำลาย พร้อมกระชับเอวเด็กหนุ่มเอาไว้

    โอเค – งั้นผมจะ ออกไปก่อน

    คุณจะใช้ท่อนั่นสู้กับมันเหรอ?

    ไม่ควร – ใช้ปืนแล้ว อี้ชิงส่ายหน้า ผมจะวิ่งกัน – หลังให้ – คุณรีบพา – คยองซูวิ่ง – วิ่งให้เร็ว หนุ่มชาวจีนพยายามสื่อสารกับอีกฝ่าย ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับ

    ห้ามทิ้งเรานะ สัญญากับผม จงแดมองคนตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง เขายังคงรู้สึกผิดกับการตัดสินใจที่ลากให้คนอื่นมาเจอเรื่องแบบนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอะไรเป็นอะไร

    “God will always be with us.” (พระเจ้าจะอยู่กับเรา)

    อี้ชิงยิ้มบาง ๆ พลางเหวี่ยงกระเป๋าสารพัดยาและอุปกรณ์ทำแผลไว้ข้างหลัง เขาเอื้อมไปหมุนลูกบิดประตูหลังบ้านอย่างช้า ๆ  พร้อมก้าวขาออกไปอย่างเงียบเชียบที่สุด

    เบื้องหน้ามีผีดิบอยู่ประปราย บางตัวกำลังเดินโซซัดโซเซ บางตัวยืนหันหลังให้ ซึ่งมันเป็นโชคของพวกเขาที่ไม่ต้องแลกกับพวกมันตั้งแต่ก้าวออกมาจากบ้าน

    ความชื้นของเหงื่อจากฝ่ามือทำให้ต้องกำด้ามท่อเหล็กไว้แน่นยิ่งขึ้น อี้ชิงพยักหน้าบอกให้ทั้งคู่เดินออกมา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ก้าวถอยหลังตามไป รองเท้าย่ำเหยียบบนพื้นหญ้าหลังจากหิมะละลาย เขารู้สึกคอแห้งจนอยากไปให้ถึงธารน้ำโดยเร็วที่สุด

    จงแดรู้สึกเสียใจที่ตอนเป็นเด็กไม่ค่อยดื่มนมและเล่นกีฬา ไม่อย่างนั้นเขาคงจับคยองซูขึ้นขี่หลังและวิ่งไปข้างหน้าได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะล้มหน้าคะมำจูบพื้นเมื่อไหร่

    ในส่วนของหน้าบ้านและจุดที่เคยนั่งก่อกองไฟนั้นมีผีดิบกระจายอยู่ประปราย ชายหนุ่มนิ่วหน้าพร้อมกระชับร่างคนเจ็บให้อยู่ในท่าที่สะดวกในการเดิน พลางหันไปมองหลังเป็นระยะ ซึ่งเขารู้สึกดีเหลือเกินที่ยังเห็นอี้ชิงมีชีวิตอยู่

    กรรรรซ์...

    เสียงจูมงน่าฟังกว่านี้... คิมจงแดสาบานได้เลย เจ้าหน้าที่หนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะหยุดฝีเท้า เพราะเห็นผีดิบยืนอยู่ตรงช่องทางเดินระหว่างบ้านหลังที่สองและสาม ซึ่งมัน... กำลังมองมาทางนี้

    กร๊าซซซซซซซ!!!”

    ไป! ไป! ไป!”

    ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง จงแดก็รีบหิ้วปีกคยองซูวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่เขาพึงจะมีได้ มันช่างทุลักทุเลเหลือเกิน เจ้าหน้าที่หนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูลู่ถูกังคยองซูจนแทบล้มอยู่รอมร่อ

    อี้ชิงขมวดคิ้ว กำท่อเหล็กแน่นพร้อมเหวี่ยงเสยคางผีดิบสาวที่ตรงเข้ามาหาเขาอย่างแรง ก่อนจะใช้ไหล่พุ่งชนอีกตัวที่ตรงเข้ามาจนล้มลงไปคลุกกับพื้นด้วยกัน

    ชายหนุ่มหอบหายใจ พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพื่อพบว่าสิ่งที่เขาพยายามแทบไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยสักนิดเดียว ผีดิบสาวยังคงลุกขึ้นได้ แม้รอยแผลจากการโดนหวดเมื่อครู่จะทำให้ผิวเนื้อของเธอเหวอะจนมองเห็นกะโหลก

    ตัวที่สองที่กำลังส่งเสียงครางฮือในลำคอ อี้ชิงหันซ้ายขวาและพบว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าเขาจะเล่นกับไอ้สองตัวนี้โดยที่รอบข้างยังมีพวกมันทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ

    จงแด... คยองซู...

    ทันทีที่ฉุกคิดได้ ชายหนุ่มก็ฟาดแท่งเหล็กใส่ตัวกินคนจนล้มไปอีกครั้ง เขาหันไปสู้กับพวกมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และคิดว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าคงพลาดท่าถูกกัดเข้าสักที แต่จะให้ทำยังไงได้อีก คนอย่างเขารอดมาได้ไกลถึงขนาดนี้ก็ถือว่าเกินความคาดหมายแล้ว

    นึกย้อนกลับไปถึงวันนั้น จางอี้ชิงปกป้องใครไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวเอง วันนี้ชายหนุ่มควรได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่การฆ่าพวกมันด้วยท่อนเหล็กคงเป็นเรื่องเหนือความสามารถผู้ชายที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังมาตลอด เขาทำได้แค่ทำให้พวกมันเสียหลักเท่านั้น อี้ชิงเอี้ยวตัวหันหลังเตรียมวิ่ง แต่มันคงช้าไปสำหรับโอกาสที่มีอยู่ เขาจึงหยุดฝีเท้า

    รู้สึกได้ถึงลมหายใจเน่า ๆ ที่มาจากทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ใบหน้าเหวอะหวะกับริมฝีปากที่ฉีกขาดน่าขยะแขยงเป็นเท่าตัวเพราะดวงตาข้างหนึ่งทำท่าว่าจะหลุดออกมา อี้ชิงหันหลังไปเหวี่ยงท่อเหล็กใส่ผีดิบที่อยู่ด้านหลังจนล้มไปอีกครั้ง พอหันมาอีกทีก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าริมฝีปากสุดสยองนั่นกำลังอ้ากว้างเตรียมจะกัดเขา...

     

     

    ฟึ่บ!!

     

     

    เลือดสีเข้มกระเด็นออกมาจากหน้าผากเล็กน้อยตามความแหลมของลูกดอกยาว ซึ่ง เสียงคล้ายลมหวีดหวิวนั่นดังเฉียดหูเขาไปราว ๆ สามสี่ครั้งเห็นจะได้ จางอี้ชิงเบิกตาค้างกับการรอดตายอย่างน่าเฉียดฉิว พร้อมภาพผีดิบตรงหน้าซึ่งค่อย ๆ ล้มตัวลงไปหลังจากถูกจบชีวิต

    ไม่มีเสียงโอดครวญดังมาจากด้านหลังอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่จางอี้ชิงมองเห็นก็คือคิมจงแดที่กำลังหิ้วปีกโดคยองซูอยู่ข้าง ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งค้างอยู่ในท่าเล็งหน้าไม้เหล็กมาทางนี้ เพียงชั่วอึดใจเดียว เจ้าของร่างสูงโปร่งก็ค่อย ๆ ลดอาวุธลงเพื่อให้บุรุษพยาบาลหนุ่มได้รู้ว่าคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเขาทั้งสามคนไว้คือใคร

    “You can't do this alone.” (คุณคนเดียวกู้โลกไม่ได้หรอก)

     

     

    ผู้ชายคนนั้นที่ทำให้จางอี้ชิงรู้ว่า... พระเจ้ายังอยู่กับพวกเราจริง ๆ

     

     

    ซีวอน...

     

     

     

    TBC

     

     

     

     

    อัม ครี่ปปิ่ง อิน หยั่ว ฮ่าท เบ่บ // ไหน ๆ ใครบอกว่าถ้าเราอัพฟิคแล้วจะหวีดจนติดเทรนด์ไทย ไหนใครพูดดดดดด

    กราบขอบพระคุณ @pekozzang ที่ช่วยแปลภาษาอังกฤษให้อี้ชิงด้วยนะคะ เริ้บ

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×