คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #101 : Chapter 96 :: Together
Chapter 96
Together
ลมอ่อน ๆ พัดผ่านเข้ามาผ่านทางหน้าต่างซึ่งเปิดไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท ชายหนุ่มปรือตามองผ้าม่านสีอ่อน จับจ้องอยู่กับมันอยู่ราว ๆ ครึ่งนาที ก่อนจะหันไปข้างตัวหลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เขาไม่ได้นอนตามลำพัง
ลู่หานไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมความโล่งใจแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว เขารู้แค่ว่ามันนานเหลือเกินกับการไม่ได้เห็นมินซอกอยู่ส่วนไหนส่วนหนึ่งในห้องนี้ ห้องที่เราเคยนอนด้วยกันทุกคืน
เป็นครั้งแรกที่อยากนอนอยู่เฉย ๆ มองอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการแยกเสื้อในตะกร้าโดยไม่รู้ว่าถูกจ้องอยู่ ลู่หานนึกไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกมาจนถึงปัจจุบัน มันเหมือนภาพเก่าที่ฉายขึ้นมาในความคิด
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความทรงจำ มีทั้งดีและแย่จนอยากกลับไปแก้ไข เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็นบทเรียนสอนให้ลู่หานรู้ว่าเขายังเด็กนักสำหรับโลกใบนี้ กับสิ่งที่ทำลงไปโดยขาดการยั้งคิด หรือเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจนมองข้ามความรู้สึกคนอื่น
เขาบอกกับตัวเองว่าจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
“ตื่นแล้วเหรอ”
อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเหมือนคนโง่กับคำถามธรรมดา ถึงมินซอกจะตอกกลับมาด้วยสีหน้าเหวี่ยง ๆ หรือการหลอกด่าเจ็บ ๆ ตอนนี้ก็ยอมทั้งนั้นแล้ว ลู่หานพยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานอยุ่ครู่หนึ่ง
“จะไปซักผ้าเหรอ”
“อืม” คนตัวเล็กขานในลำคอพร้อมหันมาสบตากับเขา “อยากช่วยผมหรือเปล่า?” ลู่หานยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะลุกขึ้นตรงเข้าไปยกตะกร้าผ้าที่หนักกว่าขึ้นมา
ผมเผ้าที่ชี้โด่เด่กับตาตี่ ๆ ตามประสาคนเพิ่งตื่นนี่น่าหมั่นไส้จริง ๆ เชียว
หญิงสาวทอดสายตาไปยังดวงอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังโผล่พ้นขึ้นมาให้แสงสว่างกับโลกพัง ๆ ใบนี้ เธอหยุดหอบหายใจ ปล่อยร่างกายได้พักเหนื่อยหลังจากวิ่งขึ้นวิ่งลงมาตลอดชั่วโมงตั้งแต่ฟ้ายังครึ้มอยู่
กาฮีถามตัวเองว่าที่หักโหมอย่างนี้เป็นเพราะอยากฝึกตัวเองให้เข้มแข็งหรือเพราะเพื่อลืมเรื่องว้าวุ่นในหัวกันแน่ หญิงสาวพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่าถูกทั้งสองข้อ
ทุกคนกำลังเหนื่อยทั้งกายและใจ หญิงสาวคิดว่าต่อไปนี้เธอคงไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป ปาร์คกาฮีควรทำอะไรมากกว่าเรื่องงานบ้าน เธอก็ใช่ว่าจะไม่มีฝีมือป้องกันตัวเลย อย่างน้อยครูคนนี้ก็เคยพานักเรียนผ่านช่วงเวลายากลำบากในช่วงแรกเริ่มมาได้
เธอจะออกไปหาเสบียงช่วยคนอื่น ๆ เอง
“คุณกาฮีครับ”
“อ้าว เซฮุน ว่าไงจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตัวผอมที่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ พร้อมยิ้มเป็นการทักทายยามเช้า
“น้ำครับ” เขายื่นขวดน้ำเปล่าให้ กาฮีรับมันไว้อย่างงง ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายซึ่งดูเหมือนว่าการเจอกันระหว่างเธอและเขาครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เธอคงไม่ได้ขึ้นมาเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอกใช่ไหม?”
“ครับ” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เขาทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้าโล่งกว้าง ที่มีต้นไม้ในอุทยานประดับช่วยให้บรรยากาศในวันนี้สดชื่นยิ่งขึ้น
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอปล่อยให้เซฮุนเรียบเรียงคำพูดก่อนที่จะเข้าเรื่อง จากการสังเกตสีหน้าแล้วคาดว่าคงเป็นเรื่องน่าหนักใจ เด็กหนุ่มตัวผอมถอนหายใจ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าเข้าหาครูสาว
“ผมมาที่นี่เพราะเรื่องพี่ซูยอน”
“คยองซูเป็นยังไงบ้าง?”
“หลับอยู่ – เดี๋ยวผม – จะไปเฝ้าเขาต่อ – แทนคุณซูยอน – เธอจะได้เตรียมตัว – ไปทำอาหาร” อี้ชิงชี้ประตูห้องนอนด้านหลังที่ปิดสนิท ก่อนจะมองสำรวจคนเจ็บที่เพิ่งดีขึ้นหลังจากถูกยิงในอุทยานเมื่อคราวนั้น “อาการ – ของคุณ – โอเคไหม?”
“ดีขึ้นเยอะเลย ที่จริงถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกเลยนะ ผมนั่ง ๆ นอน ๆ นานเกินไปแล้ว” สีหน้าจริงจังของจงแดทำเอาคนฟังหลุดหัวเราะออกมา
“ถ้าผมฟังไม่ผิด – คุณคงกำลังพูดประมาณว่า – อยากช่วย – ผม – ใช่ไหม?”
“ใช่ นั่นแหละ” จงแดชี้นิ้วย้ำ ๆ กับการสื่อสารภาษาเกาหลีแบบงง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ อี้ชิงตบบ่าเขาปุ ๆ แล้วช่วยประคองร่างให้เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานเดินไปบนโซฟาพร้อมกดไหล่ให้นั่งลง
“คุณ – ต้องนั่ง”
“ผมบอกว่าจะช่วย ไม่ได้หมายความว่าให้คุณมาช่วยผม” เจ้าหน้าที่หนุ่มเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มขำกับคำพูดของเขา
“หายเจ็บก่อน – แล้วจะคิด – อีกที”
“ขี้เล่นนะเดี๋ยวนี้” จงแดขยับปากบ่นพึมพำพลางหรี่มองบุรุษพยาบาลเชื้อสายจีน
“ครูสอนเกาหลี – ให้ผม – มีสองคน – คนแรกคือคุณกาฮี – คนที่สองก็ – ลู่หาน”
“อ๋า อย่างนี้นี่เอง” จงแดอ้าปากอุทานพลางพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่ากวนได้ใคร “แต่ถ้ามีเรื่องให้ช่วยล่ะก็ อย่างเกรงใจที่จะบอกผมนะ ที่นี่คือบ้านผม ผมไม่อยากนั่ง ๆ นอน ๆ แล้วดูคนอื่นทำงาน”
“ถ้าคุณอยากทำ – ผมจะไปเอา – รายชื่อเมล็ดพัง – ที่อี้ฟานเก็บมา – ให้คุณเลือกว่าจะปลูกอะไร – หลังจากหิมะ – หมดไป”
“อันนั้นเขาเรียกเมล็ดพันธุ์น่ะอี้ชิง”
“เมล็ดพัง”
“พันธุ์”
“พันธุ์”
“โอเค ถูกแล้ว” จงแดหัวเราะ มองบุรุษพยาบาลชาวจีนที่ชูนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้รอ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากบ้านหลังแรก
“อี้ชิง”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าพลางกอดสมุดที่จดรายชื่อเมล็ดพันธุ์ซึ่งเก็บไว้ในบ้านหลังที่สามเอาไว้แนบอก เขาเห็นว่าอี้ฟานกำลังเดินมาทางนี้จึงไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้าหาฝ่ายเดียว
อี้ชิงช่วยประคองคนตัวสูงไว้ พอเห็นอี้ฟานบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย นั่นหมายความว่าการนั่งหน้าบ้านที่มีคนเดินผ่านอยู่ตลอดคงไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมนัก เขาจึงประคองร่างสูงเดินไปนั่งบนโขดหินหน้ากองไฟ ก่อนจะหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ
“นั่นสมุดอะไรเหรอ?”
“อ้อ รายชื่อเมล็ดพันธุ์ที่คุณหามาได้น่ะ ผมจะเอาไปให้จงแดเลือกฆ่าเวลา เพราะดูท่าเขาจะอยากลุกขึ้นมาจับนั่นจับนี่มากกว่านอนอยู่เฉย ๆ แล้ว อีกอย่าง มันคงดีถ้าเราจะเริ่มทำสวนหลังบ้านก่อนย้ายออกจากอุทยาน จงแดจะได้ไม่ลำบากมากถ้าเขาต้องอยู่ตามลำพังที่นี่”
อี้ชิงมองไปยังบ้านสามหลังที่อยู่ติดกันอย่างนึกใจหาย กับการตัดสินใจในครั้งนี้ที่ไม่ได้ไปในทางเดียวกัน ระหว่างกลุ่มของเขาและเจ้าหน้าที่อุทยานอย่างจงแด เขาหันกลับมาสบตากับคนขาเจ็บ อี้ฟานมักจะทำหน้าเรียบเฉย แต่ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็พอจะดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังมีอะไรในใจ ซึ่งมันคงเป็นเรื่องไม่ดีนัก
“คุณทำหน้าเหมือนคนจะสำลักความอึดอัดออกมาเลย”
“อาจจะ ถ้าผมเก็บมันไว้นานกว่านี้” อี้ฟานถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่กลายเป็นที่พึ่งทางใจของเขาในเวลานี้
“ปกติคุณมักจะคุยกับคุณกาฮี ชานยอล แล้วก็คุณซีวอน แต่ถ้ามีเรื่องที่บุรุษพยาบาลธรรมดาคนนึงจะช่วยได้ล่ะก็ อย่าลังเลที่จะพูดออกมาเลย”
“นั่นสินะ ชานยอล” ชายหนุ่มหยุดสายตาไว้ที่เศษเถ้าทุลีตรงหน้า แล้วนึกไปถึงคนสองคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
“คุณกังวลว่าเขาจะไม่กลับมาเหรอ?”
“ครึ่ง ๆ กลาง ๆ น่ะ ส่วนหนึ่งก็กลัวจะมีอันตราย แต่อีกส่วนก็ได้แต่รอว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะกลับมา แต่พอคิดอย่างนั้น ผมก็รู้สึกแย่อีกว่าเราจะต้องไปจากที่นี่ แล้วทิ้งจงแดไว้ตามลำพัง” สองมือยกขึ้นลูบใบหน้าพลางถอนหายใจหนัก ๆ “ตอนนี้เรามีแต่คนเจ็บ เสบียงก็หายากเต็มทีแล้ว”
“...”
“เมื่อคืนผมคุยกับซีวอน เขาคงไปที่นี่ก่อนเรา” อี้ชิงเบิกตากว้างกับประโยคดังกล่าว
“เขาจะไม่ไปพร้อมเรา-- ไม่สิ หมายความว่าเขาจะแยกตัวไปคนเดียวเหรอ?” ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ “คุณลองรั้งเขาไว้หรือยัง”
“มันไม่ได้ผล อี้ชิง” สีหน้าของอี้ฟานตอนนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ กับปัญหามากมายที่ประดีประดังเข้ามา หากแต่เขาไม่สามารถจัดการแก้ไขมันได้สักอย่างเดียว “ผมเพิ่งรู้จากเทาว่าเมื่อคืนคยองซูคิดจะฆ่าตัวตาย”
“อะไรนะ?” อี้ชิงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง มองอีกคนที่ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ อย่างเก็บไม่มิด กับเรื่องที่เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“เทาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ แต่เขาบอกว่าผมควรจะรับรู้เอาไว้ แล้วคิดว่าจะทำยังไงกับคยองซู”
“...”
“เขาคงรู้สึกผิดกับซูโฮ รวมไปถึงเรื่องอึนจีที่ไม่ใช่ความผิดของเขา” อี้ฟานถอนหายใจอีกครั้ง บุรุษพยาบาลหนุ่มวางมือลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายพร้อมบีบเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“ในโลกที่เปลี่ยนไปแบบนี้ มีไม่กี่เหตุผลหรอกที่ทำให้คนอยากตาย” คนตัวสูงมองอีกฝ่ายที่ทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย “บางคนเหนื่อยที่จะตื่นมาพบความจริง เหนื่อยที่จะสู้ต่อไป ไม่ก็หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร”
“...”
“หนึ่งในนั้นคือผม” บุรุษพยาบาลหนุ่มยิ้มให้กับเขา “รู้อะไรไหม?” อี้ชิงยังคงไม่ละสายตาไปไหน อี้ฟานยังจำครั้งแรกตอนเห็นแววตาคู่นี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอีกแล้วชายหนุ่มที่หวาดกลัวการอยู่ร่วมกับผู้อื่น “ในวินาทีนั้นผมไม่ได้อยากตายจริง ๆ หรอก”
“...”
“ตอนที่คิดอยากตายไปให้พ้น ๆ มันคือช่วงเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด”
“...”
“อยากให้ใครสักคนเข้ามาช่วยทำให้ฝันร้ายนั้นสิ้นสุดสักที” อี้ชิงถอนหายใจเบา ๆ พลางสบตากับอีกฝ่าย “มันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาคนรอบข้างเอาไว้ แต่ผมอยากบอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งคุณก็เคยช่วยชีวิตคนเร่ร่อนข้างถนนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับชีวิตคุณเลย” อี้ชิงยิ้ม “คุณคือคนที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“...”
“แต่ไม่เป็นไรนะอี้ฟาน คุณทำดีแล้ว” บุรุษพยาบาลหนุ่มบีบไหล่เขาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นความคิดในหัวก็ยังคงตะโกนบอกว่าอู๋อี้ฟานไม่ควรอยู่เฉย ๆ
“มีอีกหลายอย่างที่ผมอยากทำในตอนนี้ แต่ร่างกายมันไม่อำนวยเลยอี้ชิง”
“นั่นคือเหตุผลที่คุณไม่ควรเดินไปไหนมาไหนไงล่ะ ขาจะได้ดีขึ้นสักที” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ กับคำพูดบุรุษพยาบาลหนุ่มซึ่งจะเรียกว่าดุก็คงไม่ถูก “ส่วนเรื่องออกไปหาเสบียงก็อย่าเพิ่งกังวลไปเลย ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ห่วงว่าจะถูกมองเป็นภาระ แต่ตอนนี้คุณออกไปข้างนอกไม่ได้ และผมคิดว่าคนอื่น ๆ ก็คงรู้ว่าต้องทำยังไงกับการออกไปหาเสบียงครั้งต่อไป ลู่หานคงไม่พาเด็ก ๆ ไปในที่อันตรายเหมือนในเมืองหรอก เรื่องนี้คุณก็คงรู้ใช่ไหม?”
“อืม” เขาขานตอบในลำคอเบา ๆ
“ผมอยากให้คุณหายดีก่อน หลังจากนั้นจะทำอะไรผมก็พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่”
อี้ชิงไม่ใช่คนปลอบใจเก่ง เรื่องนี้เขารู้ด้วยตัวเอง แต่บุรุษพยาบาลหนุ่มก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับความกดดันรอบข้างที่ไม่มีใครยัดเยียดให้ แต่มันคือสิ่งที่อี้ฟานบอกตัวเองว่าต้องทำ ซึ่งเขาคงปล่อยให้อีกฝ่ายเผชิญมันอย่างลำพังไม่ได้ ในเมื่อครั้งหนึ่งผู้ชายคนนี้ก็เคยช่วยจางอี้ชิงเอาไว้จากความตาย
“ใส่น้ำร้อนเข้าไปในถังด้วยสิ มือคุณมันตายด้านจนไม่รู้จักความเย็นแล้วใช่ไหม?”
ลู่หานเหมือนคนบ้า ที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบเพราะได้ยินเสียงอีกคนบ่น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าซึน ๆ ของเด็กแว่นที่มองมาอย่างคาดโทษ แต่มันกลับต่างไปจากก่อนหน้านี้ ที่ไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่เลย
ใช่ ลู่หานไม่ได้คิดไปเองหรอก
“เป็นห่วงก็เทให้พี่หน่อยสิ”
“งั้นก็เอามือออก” มินซอกขมวดคิ้ว ยกถังน้ำร้อนขึ้นมาเทใส่ในถังน้ำที่ลู่หานกำลังซักผ้าอยู่ เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องอย่างกับปลากัด แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ไม่รู้แล้วว่าต้องตอบโต้ยังไง
“แบบนี้ก็ดีนะ”
“อะไรที่ว่าดี”
“เราสองคนซักผ้าด้วยกัน เหมือนตอนอยู่ทาวเฮาส์ช่วงที่อี้ฟานเพิ่งกลับเข้ากลุ่มใหม่ ๆ” ลู่หานหัวเราะเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น
“ถ้าชอบซักผ้า ผมจะให้คุณทำหน้าที่นี้ไปตลอด”
“ได้ไง แล้วเราล่ะ?” เขาเลิกคิ้วมอง ลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นเสื้อกันหนาวตัวหนาให้อีกคนช่วยบิดน้ำ
“ผมจะออกไปหาเสบียงแทนคุณ”
“ให้พี่อยู่ซักผ้าแล้วเราออกไปข้างนอกนั่นน่ะเหรอ อย่ามาตลก” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมยักคิ้วใส่ ก่อนจะถูกดันหน้าออกไปด้วยมือเล็ก
“ผมอยากออกไปหาเสบียง”
“พี่รู้ว่าเราอยากช่วย แต่ที่ ๆ พี่ไปมันยังไม่เหมาะกับเราหรอก” มินซอกรู้ว่าลู่หานไม่ได้ดูถูกความสามารถของเขา หลังจากออกไปหาเสบียงกับคุณซีวอน ครูกาฮี คิมจงอินวันนั้น คนตัวเล็กก็พอจะรู้ฝีมือตัวเองว่ายังไม่ชินกับการลงสนามจริง “ไว้เริ่มต้นจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไป ชวนไอ้จงอินด้วย”
ลู่หานไม่ได้แสดงมุมน่ารักให้เห็นบ่อย ๆ หรอก แต่เวลาผู้ชายคนนี้แสดงออกแบบธรรมดา ไม่โผงผางมันก็เรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ จากเขาได้เหมือนกัน ซึ่งมันดีเหลือเกินที่ลู่หานเอาแต่ก้มหน้าก้มตาบิดเสื้ออย่างจริงจัง จนไม่เห็นว่าตอนนี้เขากำลังมองในแบบไหน
“ผมดีใจที่คุณไม่ห้ามแล้วบอกให้ผมทำงานบ้านช่วยครูเหมือนเดิม”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโต้บทสนทนาในทันที เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวเล็กแล้วลูบศีรษะทุยเบา ๆ อย่างเอ็นดูพร้อมรอยยิ้ม
“จริง ๆ ก็อยากห้าม แต่พี่ว่าพี่ก็พอจะรู้นิสัยเราอยู่บ้าง”
“ดูไม่ค่อยมั่นใจกับคำตอบเลยนะ” มินซอกสะบัดเสื้อตาก แล้วเดินกลับไปง่วนอยู่กับผ้าในกะละมังอีกครั้ง
“ถ้าบอกว่ารู้จักดีก็กลัวโดนสวนกลับมาว่าคิดไปเองน่ะสิ” มินซอกอมยิ้มกับคำตอบ นั่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้อย่างที่ลู่หานไม่คาดฝัน “ยังรู้สึกไม่ดีเวลาเห็นหน้าพี่อยู่ไหม”
“การที่ผมนอนข้าง ๆ คุณจนถึงเช้ามันยังไม่ใช่คำตอบอีกเหรอ”
“ก็อยากได้ยินให้มั่นใจ พี่มันเป็นไอ้หน้าโง่ที่ชอบคิดไปเองเราก็รู้” ลู่หานบิดเสื้อ แล้วเดินตามไปหยุดอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กที่กำลังจะตากเสื้ออีกตัว
“มันก็ไม่แย่เท่าตอนนั้นหรอก”
“แสดงว่าตอนนี้เราอยู่ด้วยกันได้แล้วน่ะสิ?”
“ทำไมต้องถามมากด้วยนะ จะเอาคำตอบให้ได้เลยใช่ไหม” มินซอกขมวดคิ้วมองค้อน แต่ลู่หานกลับปั้นหน้าอึน ยิ้มกวนใส่เขาเสียอย่างนั้น
“ถ้าใช่ พี่จะได้ขอให้เปาจื่อกลับมาอยู่ห้องด้วยกันเหมือนเดิม”
“...”
“ไม่สิ” ลู่หานเลียริมฝีปาก สบตากับคนตัวเล็กที่กำลังมองมาระหว่างรอให้เขาพูดต่อ “เปลี่ยนคำว่าเหมือนเดิมเป็นเริ่มต้นกันใหม่แล้วกัน”
“...”
“ไม่ต้องในฐานะแฟนก็ได้” เขากำลังประหม่า ในหัวเอาแต่เรียบเรียงว่าต้องพูดยังไงถึงจะไม่ดูโง่ไร้สมองจนมินซอกต้องโกรธ
“แล้วในฐานะอะไร”
“อะไรก็ได้ ขอแค่ได้อยู่กับเปาจื่อพี่ก็โอเคทั้งนั้น” มินซอกก้มลงหยิบกิ๊บหนีบผ้าขึ้นมา ทิ้งจังหวะให้อีกคนลุ้นกับคำตอบของเขาก่อนจะแย่งเสื้อในมือมาตากเสียเอง
“อยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรที่ทำให้คุณยอมผมถึงขนาดนี้”
“นั่นสิ ถ้ารู้แล้วบอกพี่ด้วยนะ” ลู่หานยืนทำหน้าโง่อยู่ตรงนี้ ตรงที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยที่เขาไม่ต้องแอบ มินซอกชำเลืองมองคนเจ้าเล่ห์ที่กำลังทำตัวซื่อบื้อสุด ๆ การกลั้นยิ้มเริ่มกลายเป็นเรื่องยากแล้วในนาทีนี้
“น่ารำคาญจัง”
“รำคาญตั้งแต่ตอนนี้แหละดีแล้ว พอออกไปหาเสบียงด้วยกันจะได้ชิน”
“ผมไม่ชินกับคนแย่ ๆ อย่างคุณหรอก”
“แล้วรักไหม?” ลู่หานก้มหน้าลงเล็กน้อย จ้องมองอีกฝ่ายกับคำตอบที่ค่อนข้างคาดหวัง เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นมินซอกก็หันมาสบตากับเขา แล้วใช้มือเปียกน้ำนั่นดันหน้าเขาออกไปอีกแล้ว
“ถ้าคิดจะหลอกถามล่ะก็ ฝันไปเถอะ”
“ปากแข็งจัง”
“ไปห่าง ๆ ได้ไหม จะยืนเบียดทำไมเนี่ย” มินซอกเบี่ยงตัวหลบ เมื่ออยู่ ๆ ไอ้บ้าที่เคยทำหน้าหงอยระหว่างอ้อนวอนขอความรักก็ดันมารวบเอวเอาไว้จนร่างของเขาเซไปชนกับอกอีกฝ่าย
“หนาวเนอะ”
“กระโดดเข้าไปในกองไฟนั่นเลยสิ มันคงร้อนไม่ต่างจากนรก”
“ไม่เอาล่ะ บอกแล้วไงว่านรกที่ไม่มีเปาจื่อใครจะอยากไป” ลู่หานออกแรงกอดแน่นยิ่งขึ้น พอเห็นว่าอีกคนไม่ทำตาขวางใส่อย่างจริงจัง หรือซัดหน้าเขาจนหงายหลังด้วยหมัดเล็ก ๆ นั่น บอกเลยว่าสู้ตาย!
“คุณ”
“เมื่อคืนอุตส่าห์แสดงความแมน นอนนิ่ง ๆ ไม่แตะต้องตัวเราเลยนะ ตอนนี้ขอหอมแก้มทีนึงดิ”
“อย่ามาเพ้อ ผมรู้ว่าคุณแอบทำ”
“ได้ไงอะ” ลู่หานเบะปากทำตาปริบ ๆ เขาเห็นว่ามินซอกกำลังหน้าขึ้นสีจัดกับสิ่งที่เขายัดเยียดให้
“รู้แล้วกัน ปล่อยได้แล้วเดี๋ยวมีคนมาเห็น”
“ไม่มีใครมาหรอก ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริงพี่ก็แถได้ เรื่องนี้ถนัดนัก”
“ไม่” มินซอกยังคงพยายามดันแผงอกหนุ่มชาวจีนออก ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มล้ออย่างนึกสนุก และสุดท้ายคนแพ้ก็คือเขา คิมมินซอกคนปากแข็งแต่ก็ยอมผู้ชายคนนี้เหมือนอย่างเคย
ลู่หานรั้งเอวคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ พร้อมกดจมูกลงบนแก้มขาวเสียฟอดใหญ่ราวกับอยากชดเชยความคิดถึงที่มันสะสมมาเป็นเวลานาน มินซอกก่นด่าเขาไม่หยุด พยายามเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้พ้นจากอ้อมกอดของเขา แต่เชื่อเถอะว่าลู่หานจะไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
ทั้งคู่กลับเข้าไปในบ้านหลังที่สอง มินซอกบอกว่าจะไปช่วยซูยอนในครัว ส่วนเขาก็คงจะไปคุยกับอี้ฟานเรื่องออกไปหาเสบียงสักหน่อย ไอ้จงอินคงยังออกไปด้วยไม่ได้เพราะมือปอกเปิกของมัน แต่ถ้าจะให้พักเรื่องหาเสบียงไปเลยก็คงไม่ได้
“มินซอก”
“...?”
“เรื่องผ้าพันคอผืนนั้นน่ะ” พอพูดถึงเรื่องนี้ คนตัวเล็กที่กำลังพับผ้าห่มถึงกับนิ่งไป เขารู้ว่าคงทำให้มินซอกนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์วันนั้น วันที่ผู้ชายแย่ ๆ อย่างเขาทำคนรักต้องเสียใจอย่างไม่น่าให้อภัย “พี่ยังไม่ได้ขอบคุณที่เราทำให้พี่เลย”
“...”
“มินซอก”
“อืม”
“จะด่าพี่ก็ได้ แต่อย่าเงียบได้ไหม”
“ผมไม่รู้ว่าพูดอะไร ที่จริงคุณไม่ต้องสนใจมันก็ได้” มินซอกเลือกที่จะมองผ้าปูที่นอนมากกว่าหน้าของเขา คนที่เคยทำให้ทุกอย่างพังลงกับมือ
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
มินซอกยืนนิ่งค้างอยู่ในท่าจับมุมของผ้าห่มไว้ทั้งสองข้าง เมื่อตอนนี้ใครอีกคนเข้ามายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง พร้อมใช้ผ้าพันคอผืนนั้นพันรอบคอของเราไว้ ก่อนที่วงแขนของอีกฝ่ายจะกอดทับลงมา
“ขอบคุณนะเปาจื่อ” เสียงลู่หานที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้ความรู้สึกหลายอย่างตีตื้นขึ้นมาตรงหน้าอกข้างซ้าย
มินซอกยังคงยืนนิ่ง ความรู้สึกเกลียดทุกอย่างบนโลกในวันนั้นมันจางลงไปมากแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปเลยเสียทีเดียว คนตัวเล็กยังคงเจ็บทุกครั้งที่รู้ว่าถูกนอกใจ ซึ่งการที่อีกฝ่ายแสดงออกว่ารู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้ มันก็ทำให้เขายอมโอนอ่อนลงบ้าง
“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ใช้เวลาทำนานหรอก”
“ร้องไห้เหรอ?”
“เปล่า”
“อย่าโกหกสิ ไหนขอพี่ดูหน่อย” ลู่หานพลิกคนตัวเล็กให้หันหน้าเข้าหา เขาช่วยถอดแว่นออกแต่อีกฝ่ายก็พยายามดันตัวถอยห่าง จนกระทั่งเขาได้เห็นดวงตาคู่นั้นที่แดงก่ำ ซึ่งมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มโกรธตัวเองเข้าไปอีก เขาทำแบบนั้นกับมินซอกไปได้ยังไง
“...”
“ตอนที่พี่ไม่รู้ เราร้องไห้บ่อยไหม?” มินซอกส่ายหน้าเป็นคำตอบ พลางเบือนหน้าหลบไปอีกทาง แม้ว่าจะไม่มีน้ำตา แต่ในระยะใกล้อย่างนี้ลู่หานคงเดาออกได้ไม่ยากว่าคิมมินซอกรู้สึกกับเรื่องที่พูดถึงมากแค่ไหน
“ผมแค่รู้สึกเหมือนถูกสะกิดรอยแผลเดิม แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น”
ลู่หานมองมาอย่างจริงจัง ผ้าพันคอผืนยาวยังคงคล้องคอของเขาทั้งคู่เอาไว้ เหมือนความรู้สึกของมินซอก ที่ตรึงผู้ชายโง่ ๆ อย่างลู่หานให้อยู่ตรงนี้จนไปไหนไม่ได้อีก เขารักมินซอกมากเกินกว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลายเป็นเพียงแค่อดีต เขาไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในครอบครัว ที่ไม่สามารถดูแลอย่างใกล้ชิดได้
“พี่ทำให้เรามีแผล งั้นพี่ก็จะเป็นคนรักษามันเอง”
เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากอย่างติดนิสัย สายตาจับจ้องอยู่กับประตูบังกะโลที่ปิดสนิท ซึ่งเขามั่นใจว่าใครอีกคนอยู่ข้างในนั้น เคาะเพียงแค่สามครั้งตามมารยาทแล้วยืนรอ ชั่วอึดใจเดียวประตูก็เปิดออกพร้อมสีหน้าเรียบเฉยของจงอิน
ชายหนุ่มหลุบสายตามองต่ำกว่าระดับใบหน้าเด็กหนุ่มตัวผอมเล็กน้อย ก่อนจะเห็นหมอนใบใหญ่ที่กอดอยู่แนบอก “ว่าไง”
“คุณบอกว่าจะไปเคาะประตูถ้าผมอยากฟังคุณเล่า เมื่อวานคุณก็ไม่มา คืนนี้มันก็ดึกแล้ว และเสียงประตูห้องผมยังไม่ถูกเคาะ” จงอินแกล้งตายทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวที่อีกคนพูด ชายหนุ่มแสร้งมองไปอีกทางพร้อมปั้นหน้าเรียบเฉย “โกรธผมเหรอครับ”
เซฮุนยิงคำถามจนอีกคนกลอกตามอง จงอินไม่ได้ตอบคำถามในทันทีหลังจากถูกจับได้ เขาเพียงแค่เท้าแขนไว้กับวงกบประตูแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“เรื่องอะไร?”
“ผมไม่รู้ แต่การที่คุณแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นผมทั้งวันมันก็คงเป็นคำตอบได้แล้ว” พูดจบก็ก้มศีรษะลง ลอดผ่านใต้วงแขนอีกคนเข้าไปในห้องอย่างหน้าตาเฉย
“ย่าห์! โอเซฮุน ใครอนุญาตให้นายเข้ามา!”
จงอินขยับปากบ่นอย่างหัวเสีย พอหันกลับไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจัดแจงหมอนตัวเองไว้ข้าง ๆ หมอนของเขาเสียเสร็จสรรพ ไอ้เด็กนี่ทำเขาหงุดหงิดแต่เช้าแล้วยังกล้ามาหือใส่ตอนกลางคืนอีกเหรอ มันน่านัก!
“ผมเข้ามาง้อคุณนะ”
“นายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันไม่พอใจเรื่องอะไร” จงอินแค่นหัวเราะ มองใบหน้ามึน ๆ ของเด็กหนุ่มตัวผอมที่ตอบไม่ได้เลยเอาแต่เงียบ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“อย่างน้อยผมก็เดาถูก คุณหงุดหงิดจริง ๆ ด้วย”
“เหอะ”
“บอกหน่อยสิครับ ผมรู้สึกไม่ดีเลย”
“ฉันต้องพูดมันออกมาหรือไง?”
“คุณบอกว่าชอบผมแล้ว แต่ผ่านไปแค่วันเดียวก็ตึงใส่แบบนี้ ผมก็งงสิครับ”
“แล้วคิดไหมล่ะว่าทำไม”
“คิดแล้วครับ แต่ไม่ได้คำตอบ”
“กวนเหรอ?” จงอินขมวดคิ้วคาดโทษเด็กหนุ่มที่พยายามเม้มปากกลั้นยิ้มเอาไว้
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณไม่อยากพูดตอนนี้ ผมก็มีเวลานั่งมองคุณทำตาขวางทั้งคืน” เซฮุนเดินกลับไปนั่งบนเตียง ถอดรองเท้าอย่างเป็นระเบียบพร้อมห่มผ้าราวกับว่าเตรียมตัวเข้านอน
“ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ขึ้นไปนอนบนเตียงของฉัน”
“คุณต่างหากที่ต้องใช้ความกล้า เมื่อก่อนผมกับคุณคนเก่านอนด้วยกันทุกวันนะ”
“บอกว่าอย่าพูดถึงคนเก่าไง อยากโดนดีใช่ไหม?” จงอินถลึงตามอง นี่โอเซฮุนตั้งใจจะมาง้อหรือยั่วโมโหเข้ายิ่งกว่าเดิมกันแน่
“อ่า ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มอมยิ้ม ค่อย ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงริมฝีปากทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากอีกฝ่ายซึ่งยืนกอดอกอยู่หน้าประตู
“บ้าเอ๊ย...” รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปทันทีที่เห็นว่าจงอินกำลังหัวเสีย เซฮุนคิดว่าการเข้าหาคนผิวแทนด้วยการทำตัวเป็นเด็กขี้เล่นคงทำให้ช่วยบรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น
เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างอีกฝ่าย ยืนพิงกับผนังเตรียมถูกบ่นกับเรื่องที่ทำให้จงอินไม่พอใจ ซึ่งเซฮุนพยายามทบทวนตั้งแต่ช่วงสายว่าวันนี้เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า จงอินถึงได้หัวเสียถึงขนาดนี้
“นายคิดยังไงกับซูยอน”
“...”
ประโยคเดียวที่เป็นคำตอบของความมึนตึงทั้งหมด และนั่นก็เป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มกังวลจริง ๆ ว่าจงอินจะรู้ เดาได้ไม่ยากหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากผู้ชายคนนี้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ซูยอน ซึ่งมันคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เชื่อ
“ผมไม่ได้คิดอะไร”
“เหรอ”
“ครับ”
บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ความอึดอัดเมื่อทั้งคู่เลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้ความคิดในหัวเล่นงาน จนถึงตอนนี้จงอินก็ยังคงหัวเสียกับเรื่องที่ได้รับรู้โดยบังเอิญ กับการที่เขาตั้งใจไปหาเซซฮุนที่บังกะโลเมื่อคืน แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่กับผู้หญิงอีกคน ที่คิมจงอินคนนี้เคยรู้สึกกับเธอมากพอสมควร
“ถ้าคุณจะโกรธเพราะเรื่องนี้ ผมคงไม่ยอม”
“เสียใจด้วยที่ฉันรู้สึกไปแล้ว”
“ผมไม่ยอมหรอก”
จงอินมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่าย ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มตาหยีที่ทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักขึ้นเป็นกอง ตอนนี้เหลือเพียงแค่โอเซฮุนคนที่ทำหน้าจริงจังและไม่ยอมหันมาสบตากับเขา
“งั้นอธิบายมาสิว่ามันเรื่องอะไร จองซูยอนถึงไปหานายถึงห้องดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนั้น”
“คุณเห็นเธอเดินเข้ามาในห้องผมก็เลยโกรธเหรอครับ”
“ตอบมาก่อนสิ”
“ผมอยากได้คำตอบจากคุณก่อน” เด็กหนุ่มหันมาสบตากับเขา “ผมจะได้รู้ว่าที่ถูกมึนตึงใส่ทั้งวันเป็นเพราะคุณหึงพี่ซูยอนหรือผมกันแน่” แววตาคู่นั้นมองมาอย่างตัดพ้อ จงอินไม่สามารถตอบได้ในทันทีซึ่งมันยิ่งทำให้สีหน้าเซฮุนแย่ลงไปกว่าเดิม
“ใช่ ฉันเห็นเธอเดินเข้าไปในห้องของนาย แล้วก็อะไรอีกหลายอย่างที่รู้สึกว่านายสองคนมีอะไรแปลก ๆ”
“เธอมีเรื่องไม่สบายใจก็เลยมาปรึกษาผม แค่นั้นแหละครับสำหรับคำตอบที่คุณอยากได้” เขาอาจทำได้ไม่ดีนักกับเรื่องเก็บอาการ เซฮุนเดินกลับไปหยิบหมอนใบเดิมขึ้นมาเพื่อเตรียมออกไปจากที่นี่ เมื่อการค้างกับจงอินคงไม่ใช่เรื่องสมควรแล้วหลังจากได้คำตอบอย่างกระจ่าง
แต่ฝีเท้าก็หยุดลงเมื่ออีกคนรั้งข้อมือเอาไว้ก่อนจะถูกกระชากเข้าหาจนร่างของเขาเซไปประทะอกแกร่ง เด็กหนุ่มมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียว ใช่ จงอินก็ชอบมองแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วตั้งแต่สูญเสียความทรงจำ ถ้าจะมองเพราะรู้สึกหึงหวงคุณซูยอนอีกก็คงไม่แปลกหรอก
ให้ตายเถอะ เขากำลังน้อยใจเป็นบ้า
“อยากชกหน้าผมเหรอครับ ถ้าทำแบบนั้นบอกไว้เลยนะว่าผมร้องไห้แน่” เสียงของเซฮุนกำลังสั่น แววตาแดงก่ำที่มองมาช่างน่าสงสารและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน
“พูดบ้าอะไร”
“ผมเข้าใจว่ามันเป็นช่วงสับสนของคุณ พอเห็นผมอยู่กับพี่ซูยอนก็ไม่แปลกที่คุณจะหึงเธอ แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณลืมคำพูดตัวเองเมื่อคืนก่อน”
“...”
“คำพูดที่ทำให้ผมกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง... อย่าทำลายมัน” เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เขาพยายามเข้มแข็งกับความรู้สึกบ้า ๆ นี่มาตลอด พยายามปลอบใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นถ้าจงอินจบเรื่องพี่ซูยอนได้
แต่มันคงไม่ง่ายอย่างนั้น
“ฉันรอให้นายเล่าเรื่องนี้ตั้งแต่เช้า แต่นายกลับเก็บเงียบจนถึงช่วงสายแล้วจะให้ฉันทำยังไง...” จงอินกดเสียงลงต่ำ เขาพยายามใจเย็นเพื่อสงบอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้
“...”
“สนุกมากเลยใช่ไหมกับการดูถูกความรู้สึกฉัน ในสายตานายคิมจงอินมันคือไอ้หอกหักที่พร้อมจะไขว้เขวไปกับอีกคนได้เพียงแค่เห็นหน้างั้นเหรอ?”
สายตาของคนผิวแทนดูจริงจังและดุดัน ถ้าจงอินไม่เจ็บแผลแล้วก็คงโมโหมากถึงได้ออกแรงบีบข้อมือเขาอย่างนี้ เสียงลมหายใจที่ผ่อนออกบ่งบอกถึงความหงุดหงิดหัวเสีย จงอินขบกรามแน่น ค่อย ๆ ดันเด็กหนุ่มตัวผอมไปจนแผ่นหลังชิดกับผนังทั้งที่สายตายังคงไม่ละห่างไปไหน
“ชอบก็คือชอบ ไม่ลังเลบ้าบออะไรทั้งนั้นแหละ ฉันชอบนายจนแทบเกลียดตัวเองอยู่แล้ว ฉันหึง ฉันไม่ชอบใจ ฉันไม่ชอบให้นายไปยุ่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น”
“...”
“จากที่โกรธอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะสติแตกเพราะคำพูดของนาย รู้เอาไว้ด้วยโอเซฮุน”
น้ำตาใสคลอหน่วงก่อนจะไหลออกมาอาบแก้มอย่างเหลืออด เซฮุนสบตากับคนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยอปากรับจูบหนัก ๆ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายมอบให้ ข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบขึ้นเหนือศีรษะไว้ด้วยมือเดียว พร้อมเสียงลมหายใจที่ผ่อนออกผ่านทางริมฝีปากขณะถูกบดขยี้จนบวมเจ่อ
ทั้งที่หลงถึงขนาดนี้ แต่โอเซฮุนกลับคิดว่าเขาหึงจองซูยอนงั้นเหรอ ในสายตาเด็กคนนี้เขาดูโลเลมากเลยใช่ไหม คิมจงอินไม่ชอบให้ใครหน้าไหนมาตกหลุมรักเด็กคนนี้เหมือนกับเขา ซึ่งไม่ใช่แค่จองซูยอนคนเดียว
จริงอยู่ที่เขาเคยชอบเธอ แต่หลังจากที่จมอยู่กับความสับสนมาตลอดและได้รับการเตือนสติจากจองซูยอนในวันนั้น คิมจงอินก็เริ่มทบทวนตัวเองว่าแท้จริงแล้วเขารักเธอจริงหรือเธอแค่เป็นผู้หญิงคนแรกที่อยู่กับเขากันแน่
ชายหนุ่มถอนจูบออกมาอย่างเสียดาย ค่อย ๆ คลายมือออกจากข้อมือคนตรงหน้า เพื่อลดลงมาไล้น้ำตาออกจากแก้มอย่างเบามือ พอได้สติกลับคืนมาคิมจงอินก็รู้สึกผิด ที่ทำร้ายโอเซฮุนอีกแล้ว
“พี่ซูยอน... เครียด ๆ น่ะครับ”
“...”
“เธอไม่รู้ว่าจะเล่าให้ใครฟัง ก็เลยนึกถึงผม”
จงอินเบือนสายตาไปอีกทางเพื่อให้ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นใช้ความคิด ว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนผิด หลังจากตอบโต้กันด้วยคำพูดแย่ ๆ ไปอย่างนั้น
“ที่ผมไม่ได้บอกเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมกลัวคุณหงุดหงิด โมโหที่เข้าใกล้ผู้หญิงที่คุณชอบ...”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อไหม แต่สำหรับเด็กผู้ชายโง่ ๆ ที่ชื่อโอเซฮุน...” เสียงของเด็กหนุ่มแผ่วลง พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วสวมกอดคนตรงหน้าเพื่อขอให้เชื่อใจ “เขามีคุณแค่คนเดียวครับ...”
“ฉันกำลังจะสำลักความรู้สึกผิดตายเพราะน้ำตานายอยู่แล้วโอเซฮุน...” คนขี้โมโหก้มลงมองอีกคนที่ซบหน้าลงกับไหล่เขา อีกทั้งยังกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นอีก จงอินลูบกลุ่มผมสีเข้มของเด็กหนุ่มตัวผอม ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละตัวออกมาสบตากัน
“คุณอาจจะไม่ชอบ แต่ผมแค่อยากบอกว่าสำหรับผมแล้ว พี่ซูยอนคือพี่สาวคนหนึ่ง”
“...”
“อย่างระแวงผมเลยนะครับ ผมรักใครนอกจากคุณไม่ได้อีกแล้ว” คล้ายว่ากำลังขอความเห็นใจ แต่ในสายตาคิมจงอินมองเห็นว่าโอเซฮุนกำลังออดอ้อน ชายหนุ่มเกลี่ยปอยผมออกจากดวงหน้าขาว แล้วพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ
“เวลาหึงแล้วเหมือนหมาบ้าเลย ไอ้คนเก่ามันหนักหนาเท่าฉันไหม” เขารู้สึกเสียฟอร์มอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ไล้น้ำตาออกจากแก้มคนตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ต่างกันเท่าไหร่ครับ แต่รายนั้นเดินหนีผมด้วย เขาไม่รั้งไว้อย่างคุณหรอก” เด็กหนุ่มหัวเราะทั้งน้ำตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“เจ็บหรือเปล่า ขอโทษนะ” จงอินถอนหายใจ หลุบสายตามองริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่บวมเจ่อเพราะถูกบดขยี้จูบจากโทสะ เด็กตัวผอมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบ จงอินยังรู้สึกเกร็ง ๆ กับการแสดงออกต่ออีกฝ่ายอยู่ แต่บางครั้งมือไม้มันก็ไปไวจนน่าตกใจที่ไม่ผ่านการยั้งคิด เขาเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ซึ่งการที่อีกฝ่ายวางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเขาพร้อมปิดเปลือกตาลงนั้นก็เป็นสัญญาณดี ที่คิมจงอินคนนี้จะทำความคุ้นชินกับการสัมผัสคนตรงหน้า
เซฮุนเผยอปากรับลิ้นร้อนและจูบตอบ ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างนุ่มนวล เชื่องช้า แต่ค่อนข้างหวือหวากับคนที่จำเรื่องเก่า ๆ ไม่ได้อย่างคิมจงอิน
CUT
TBC
เมาแล้ว แก้วเดียวยังเมา
ความคิดเห็น