ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ทฤษฎี The Whole and The Part ( 2 )
                                        หมายเหตุ  เขียนวันที่ 27 มี.ค. 48        หนัก 86.5 กิโลกรัม
                                        วันนี้เรามาพูดถึงทฤษฎี The Whole and The Part  กันดีกว่าครับ ขอเล่าเป็นสามส่วนนะครับคือ
ส่วนที่ 1  ตอนที่ประยุกต์ทฤษฎี The Whole and The Part จากหนังสือประเภท\"ปรัชญาจิตและปรัชญาวิทยาศาสตร์\"มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขอบเขตของ\"จิตวิทยาสังคม\"
ส่วนที่ 2 ตอนที่นำทฤษฎี The Whole and The Part มาประยุกต์ใช้ในโปรแกรมลดน้ำหนัก (เพื่อเพิ่มสีสันในการกิน)ในเดือน มี.ค. 48 จนถึงวันนี้ แล้วปรากฏว่าตอนนี้ลดได้เฉพาะเดือนนี้ 10 กิโลฯแล้วครับ
ส่วนที่ 3 ตอนที่นำทฤษฎี The Whole and The Part ไปใช้อธิบายสาเหตุของคนที่คิดว่า \"ตอนนี้อยู่ในช่วงลดน้ำหนักแล้ว แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด แถมยังเพิ่มอีกต่างหาก งั้นอย่าลดมันเลยก็แล้วกัน น่าเบื่อชะมัด\"
                                        ขอเริ่มจากส่วนที่ 1 ก่อนนะครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆก็แล้วกันคือ สมมติว่าเพื่อนๆหลายคนเห็นว่าผมเป็นคนที่\"สุภาพ\" ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใคร แต่มีอยู่วันหนึ่งหลายคนเห็นผมต่อยกับผู้ชายอีกคนอยู่ริมถนน หลายคนอาจจะคิดได้หลายอย่าง บางคนอาจคิดว่า \"วันนี้ผมคงโดนอะไรมาเยอะเลยสติแตกแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก\" บางคนอาจจะคิดว่า \"ไอ้หมอนั่นมันต้องแย่จริงๆมันถึงยั่วโมโหคนใจเย็นอย่างผมได้\" เป็นอันสรุปได้ว่า การที่หลายคนเห็นผมต่อยกับคนอื่นแค่ครั้งเดียว(และไม่เห็นอีกเลย)นั้นเป็นเพียง The Part ที่ไม่สามารถลบล้างความคิดของคนอื่นที่คิดว่าผมเป็น\"คนสุภาพ\" (The Whole) ได้
                                        อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้า\"นายไม้\"ซึ่งทุกคนทราบดีว่าเป็น \"นักเลง\"หัวไม้ที่ชอบมีเรื่องชกต่อยกับผู้อื่นเป็นประจำ วันหนึ่งมีหลายคนเห็นนายไม้เอาขนมไปให้เด็ก หลายคนอาจคิดว่า \"วันนี้มันจะมาไม้ไหน\"  \"กะหลอกเอาเด็กไปนั่งขอทานรึเปล่า\"  \"มีปัญหากับพ่อเด็กแล้วเอาขนมเคลือยยาพิษให้เด็กกินรึเปล่า\"  ก็คงคิดกันไปต่างๆนานา เพราะพฤติกรรมให้ขนมเด็กที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนั้น (The Part) ไม่สามารถลบล้างพฤติกรรม \"นักเลง\" (The Whole)ของนายไม้ได้  จากทั้งสองตัวอย่างสามารถสรุปได้ว่า พฤติกรรม The Part แทบไม่มีผลต่อ The Whole เลย
                                        เรามาว่าถึงส่วนที่สองกันเลยนะครับ ส่วนที่สองของผมนั้นผมจะเซ็ตโปรแกรมลดน้ำหนัก (The Whole)ในเดือนมีนาคมว่า กินวันละสองมื้อคือมื้อเช้าและมื้อเที่ยง  โดยผมทำการลดปริมาณอาหารเย็นตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาฯ โดยใช้ส้มตำมะละกอคือกิน 1 จาน เย็นต่อมากิน 3/4 ของจาน เย็นต่อมากิน 1/2 ของจาน และเย็นต่อมาก็ไม่กินเลย ทุกวันของเดือนนี้ ผมจะใช้เกาเหลาโฟเป็นอาหารหลัก 1 มื้อ ส่วนอีก 1 มื้อจะผลัดเปลี่ยนโดยเอาอาหารเย็นของเดือนที่แล้วยกระดับขึ้นมาอยู่ในมื้อเที่ยง มื้อเที่ยงจะกินอาหารเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนไปทุกวัน ส่วนมื้อเช้ายังเป็นเกาเหลาโฟตามระเบียบ ส่วนช่วงเย็นของทุกวันผมก็จะออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วหรือการเต้นแอโรบิกวันละ 2 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้คือโปรแกรมที่จัดว่าเป็น The Whole ของผม
                                        หลังจากนั้นผมได้ทดลองใน 7 วันแรกคือเอาอาหารที่อาจจะไม่ควรกิน แต่มันก็น่ากินอะน่ะ มาแซมในฐานะที่มันเป็น The Part อาหารเหล่านี้ เช่น ไอศกรีมกะทิ ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวขาหมู ข้าวเป็ดย่าง ข้าวมันไก่ ฯลฯ แต่ผมมีหลักการอยู่ว่า
1.ในหนึ่งสัปดาห์ที่เรากิน 14 มื้อ ไม่ควรเอาไปแซมเกิน 4 มื้อในหนึ่งสัปดาห์คือทำให้มันอยู่ในฐานะที่เป็น The Part
2.ในหนึ่งวันควรแซมเพียงหนึ่งมื้อ
3.การกินแซมในแต่ละมื้อไม่ควรมากเกินไป เช่นข้าวเหนียวมะม่วง ผมกินแค่ 5 คำ ที่เหลือผมแบ่งไว้ให้เพื่อนก่อนแล้ว หรือ ไอติมกะทิกะข้าวเหนียว ผมกินไอติมแค่ 2 ก้อนเล็กกับข้าวเหนียวประมาณ 4 คำ
ผมลองทำในสัปดาห์แรกแล้วน้ำหนักตัวยังลดประมาณ 3.5 กิโลกรัม ผมก็เลยลองทำต่อไป
ผมทำแบบนี้จนถึงวันนี้ น้ำหนักตัวในเดือน มี.ค.48ก็ลดลงมาแล้ว 10 กิโลกรัม แต่มีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า อาจขึ้นอยู่กับบุคคลด้วย ถ้าใครเอาไปทำแล้วน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นควรระงับด่วน
                                        เพียงเท่านี้มันก็เกือบเรียกได้ว่า กินได้ทุกอย่างที่อยากกิน แต่จะต้องกินให้เป็นระบบและเอื้อต่อการลดน้ำหนัก การกินแบบนี้จะทำให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น ต่อโปรแกรมควบคุมน้ำหนักต่อไปเมื่อเราลดน้ำหนักตามที่ต้องการได้แล้ว
                                        ส่วนที่ 3 ขอไปต่อตอนหน้านะครับ เพราะผมมีธุระที่ต้องรีบออกไปทำ กว่าจะกลับเข้าบ้านอีกทีก็ค่ำเลย
หมายเหตุ  ตลอดเดือน มีนาฯที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมก็ต้องไปงานเลื้ยงตอนเย็นบ้างในบางวัน และผมก็กินอะไรเล็กๆน้อยๆ เราไปได้ครับเพราะว่ามันเป็นเพียง The Part อย่าลืมนะครับว่าเราเพิ่มการออกกำลังกาย เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แต่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตที่มันมีความสุขอยู่แล้ว
 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น