ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #76 : บทสรุปเมื่อเข้าโปรแกรมครบ 6 เดือน ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.86K
      1
      3 ส.ค. 48





                        หมายเหตุ เขียนวันที่ 3 ส.ค. 48                       หนัก  72.0 กก.





                        กว่าจะหาเวลาเข้ามาเขียนได้ก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มครึ่งครับ  บังเอิญว่าวันนี้งานเพียบเลยครับ แต่ผมก็อยากจะเขียนตอนแรกของบทสรุปภายในวันนี้ครับ เพราะตอนนี้เลข 3 กลายเป็นเลขนำโชคอย่างเป็นทางการของผมไปแล้ว ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ผมจั่วหัวไว้ว่า

    \"บทสรุปเมื่อเข้าโปรแกรมครบ 6 เดือน ตอนที่ 1 \" เพราะผมมีเรื่องที่จะสาธยายค่อนข้างมากครับ ตอนเดียวคงไม่พอแน่ๆ



                        ก่อนอื่นเรามาสรุปถึงความคืบหน้าของการลดน้ำหนักแบบถนอมสุขภาพของผมกันก่อนดีกว่า ถ้าคิดเฉพาะเดือนนี้ ผมลดได้จาก 75 เหลือ 72 ถือว่าลดลงมาอีก 3 โล ซึ่งก็นับว่าไม่เลว เพราะเดือนนี้เป็นเดือนที่ผมไม่ได้ออกกำลังกายทุกวันครับ แต่เปลี่ยนเป็นออกกำลังกายสม่ำเสมอแทน เพราะบางวันก็ไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย เช่นวันนี้เป็นต้น แต่ถ้านับรวมทั้ง 6 เดือนก็อาจเรียกได้ว่า ผมลดน้ำหนักไปแล้ว 35 กก. ครับ   มันเหมือนความฝันนะครับที่วันนี้ผมหนัก 72 กก. มันแทบไม่น่าเชื่อเลย หลายคนที่ทราบข่าวนี้โดยการคุยกันแบบปากต่อปากก็ไม่มีใครเชื่อ ขนาดผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปเลยครับ



                       เมื่อต้นปีนี้ผมยังหนัก 107 กก. อยู่เลย พอเข้ามาถึงกลางปีผมหนัก 72 กก. แล้ว และผมทำแบบนี้ตอนที่ผมอายุ 33 ปีซะด้วย เพราะฉะนั้นความเชื่อที่บอกว่า \"คนที่อายุขึ้นต้นด้วยเลข 3 แล้ว ถ้าอ้วนเกิน 100 กก. ก็อย่าคิดลดน้ำหนักเลย เพราะแทบเป็นไปไม่ได้ หรือยากมาก\" เป็นความเชื่อที่ผิดถนัดครับ พวกเราไม่ควรเชื่อเช่นนั้นอีกต่อไป



                       มาพูดถึงการกินของผมในช่วงนี้บ้างดีกว่า ช่วงนี้ถือว่าการกินในแต่ละวันของผมนั้น ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ผมมีความสุขเป็นอย่างมากกับการกินและการใช้ชีวิตในช่วงนี้ ผมไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลยครับ



                       มาพูดถึงรายการอาหารประจำวันของผมในตอนนี้กันก่อนดีกว่า ผมรู้สึกว่ามันน่าจะลงตัวที่สุดแล้ว

    ถ้าเป็นวันที่ผมมาทำงาน มื้อเช้าผมก็จะกินข้าวราดแกงที่ร้านประจำ การกินข้าวของผมในช่วงนี้ผมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ วันไหนอยากกินหมดจานก็กินหมดจาน วันไหนอยากกินครึ่งจานก็กินครึ่งจาน ข้าวราดแกงที่ผมกินนั้น ผมจะราดกับข้าว 2 อย่าง และแทบจะเป็นสูตรของผมแล้วว่า กับสองอย่าต้องเป็นของคู่กันประเภทหยิน-หยาง ผมขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ



    1. ผัดกระเพรากับผัดผักรวมมิตร

    2. ลาบหมูกับผัดถั่วงอกกับเต้าหู้

    3. แกงเนื้อกับผัดดอกกะหล่ำ

    4. แกงส้มกับคะน้าหมูกรอบ

    5. ขาหมูกับผัดผักแขนง



                        ผมขอยกตัวอย่างแค่นี้ก่อนก็แล้วกันครับ นอกจากข้าวแกงกับ 2 อย่างแล้ว สิ่งที่ผมจะขาดไม่ได้เลยในมื้อเช้าคือ ต้มจืดร้อนๆ 1 ถ้วย ก็แล้วแต่วันครับว่า เขาจะทำอะไร ร้านนี้เขาเปลี่ยนทุกวันครับ ผมขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน ต้มจืดที่ผมกินทุกเช้าก็เช่น



    ต้มฟัก แกงจืดผักกาดดอง ซุปไก่ ต้มเลือดหมู แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ต้มมะระ แกงจืดวุ้นเส้นฯลฯ



                       ส่วนเครื่องดื่มนั้น ผมขอเป็นน้ำเปล่าครับ อย่างน้อย 1 ขวด บางวันก็ 2 ขวด ถือว่าเป็นเช้าวันใหม่ที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุขกับอาหารรสเลิศที่แสนอร่อยและพลังงานโดยรวมที่ไม่สูงและต่ำจนเกินไป และยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆอย่างครบครัน และที่สำคัญ ราคาถูกมากครับ ที่ผมสาธยายไปทั้งหมดนั้น ราคาประมาณ 50 บาทเท่านั้นเอง



                       มาพูดถึงมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นกันบ้าง เพราะ 2 มื้อนี้ผมทานเหมือนกันครับ

    อาหารจานหลักตอนนี้ของผมใน 2 มื้อนี้คือสลัดทูน่าครับ ต้องขอชมร้านประจำที่ผมไปทานว่าเขาทำอร่อยจริงๆ ขอเอ่ยชื่อหน่อยก็แล้วกันนะ เพราะเขามีส่วนช่วยให้ผมมีวันนี้เป็นอย่างมาก ร้านนั้นก็คือร้าน \"ไหมแก้ว\"ครับ เป็นร้านที่ชาว มศว รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นร้านที่อยู่ทางฝั่งถนนเพชรบุรี เนื่องจากผมกินอาหารที่ร้านนี้ทุกวันตั้งแต่ผมหนัก 107 จนเหลือ 72 พนักงานในร้านทุกคนจึงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมเป็นอย่างดี ร้านนี้มีขนาดประมาณตึกแถวห้องเดียว เปิดบริการ 2 ชั้น การตกแต่งร้านถือว่าถูกใจผมเป็นอย่างมาก อาหารอร่อย ราคาไม่แพง และยังมีให้เลือกหลากหลายครับ ผมประทับใจในหลายสิ่งหลายอย่างของร้านนี้ก็เลยถือโอกาสมาเล่าสู่กันฟัง อย่าหาว่าผมมาโฆษณาร้านอาหารเลยนะครับ แต่ผมรู้สึกดีกับเขาจริงๆ



                     มาว่ากันถึงการกินของผมกันต่อครับ นอกจากสลัดทูน่า เครื่องดื่มที่ผมกินเป็นประจำคือ ชา 1 ขวดกับน้ำเปล่า 1 ขวด ต่อมื้อ สรุปว่า 1 มื้อผมกินน้ำ 2 ขวด กินไอซ์ที 1 ขวดก่อน กินสลัดทูน่าแล้วตามด้วยน้ำเปล่าอีก 1 ขวด อร่อยสุดยอดเลยครับ



                     แต่จนถึงวันนี้มีอาหาร 2 อย่างที่ผมเบื่อมากและคงจะไม่กินไปอีกนาน นั่นก็คือเกาเหลาเย็นตาโฟกับสลัดปลา เพราะ 4 เดือนแรกผมกินบ่อยมากครับ จนตอนนี้พาลเอาเบื่อไปเลย แต่อาหารทั้ง 2 ชนิดนั้นมันก็ทำหน้าที่ของมันได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว



                     สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งในวันนี้คือ การที่ผมงดอาหารระหว่างมื้อได้สำเร็จครับ ทั้งๆก่อนหน้านี้ผมเป็นแชมป์อาหารระหว่างมื้อตัวจริงเสียงจริง แต่ผมปรับเปลี่ยนเป็นว่า 10 วันที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะเริ่มทานของว่างหลังจากออกกำลังกาย ก่อนหน้านั้นหลังจากออกกำลังกายแล้วผมจะดื่มเพียงน้ำเปล่า แต่ตอนนี้หลังจากเดินประมาณ 1 ชม. ครึ่งแล้ว ผมจะดื่มชาเขียว 1 ขวดกับกินขนมเบเกอรี่ชิ้นพอดีคำประมาณ 3 ชิ้น เบเกอรี่พวกนี้ผมซื้อตามร้านสะดวกซื้ออะครับ ซื้อถุงนึงอาจมี 5 ชิ้นบ้าง 6 ชิ้นบ้าง แต่ผมจะจำกัดไว้เพียง 4 ชิ้น ส่วนที่เหลือก็เอาไปให้ที่บ้าน การกินอาหารว่างแบบนี้หลังออกกำลังกายมันทำให้เราสดชื่นมากเลยครับ แล้วผมก็มีสมมติฐานว่ามันน่าจะเป็นการป้องกันโยโย่ได้วิธีหนึ่ง เอาไว้วันหลังผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ การทำแบบนี้ต้องคุมปริมาณให้อยู่ครับ อย่ากินมากเกินไป กินแค่นี้เท่าที่ผมพิสูจน์มา 10 วัน มันไม่มีผลต่อการที่น้ำหนักมันจะขึ้นเลยครับ ถ้าเรายังสามารถรักษาภาพรวมทั้งหมดได้อยู่



                     เห็นทีวันนี้ผมคงต้องพอแค่นี้ก่อนครับ เพราะตอนนี้ผมยังอยู่แถวมาบุญครองอยู่เลย เดี๋ยวถ้ากลับไม่ทันรถไฟฟ้าล่ะก็ผมจะลำบากครับ เพราะคิดว่าจะขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่พระโขนงแล้วก็นั่งแท๊กซี่กลับบ้าน งั้นขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้วันหลังค่อยมาเล่าต่อ เชื่อผมแล้วใช่มั้ยครับว่า บทสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 6 เดือนเนี่ย ผมมีเรื่องมาเล่ามากมายขนาดไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×