ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #63 : ความลับของโยโย่ บูลิเมีย การกินและการลดน้ำหนัก 3

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.51K
      2
      25 มิ.ย. 48







                              หมายเหตุ เขียนวันที่ 25 มิ.ย. 48                        หนัก 74.0 กก.





                              จริงๆแล้วตอนนี้อยากเขียนวิเคราะห์เรื่องการใช้ยาลดความอ้วนกับเรื่องโยโย่ แต่พอดีมีเรื่องด่วนบางเรื่องที่อยากพูดถึงเลยขอมาพูดวันนี้ซะเลยครับ เอาเรื่องเมื่อวานก่อนเลยก็แล้วกัน เมื่อวานนี้เป็นวันที่ผม relax มากจริงๆและก็มีความสุขกับการกินมากๆด้วย เริ่มจากตอนเช้าผมรีบตื่นแต่เช้าเพราะเมื่อวานต้องไปสอนที่องครักษ์ รถออก 7.30 น ที่ประสานมิตรครับ เลยตื่นมาแต่เช้าตรู่ ผมกินข้าวเช้าประมาณ 7 โมง ผมทานข้าวราดกระเพราไก่กับผัดผัก และน้ำเปล่า 1 ขวด แล้วก็ไปขึ้นรถครับ รถไปถึงองครักษ์ประมาณ 9.30 น หลังจากนั้นประมาณ 10.00น นิสิตช่วยสอนที่เป็นผู้ชายเขาชวนผมไปโรงอาหารเพราะเขายังไม่ได้ทานข้าวเช้ามาเลย ผมก็เลยไปกับเขาเพราะกะว่ามีเรื่องงานวิจัยที่จะต้องคุยกันก็เลยถือโอกาสคุยไปกินไป ตอน 10 โมงผมเลยทานบะหมี่น้ำไปอีก 1 ชามกับน้ำเปล่า 1 ขวด แล้วผมก็ไปสอนตอน 10.30น-12.30น พอสอนเสร็จก็มากินข้าวกันที่ห้องพัก มีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านใจดีมากเลยครับ ท่านทำกับข้าวและหุงข้าวมาเลี้ยงพวกเราประมาณ 10 คน



                              กับข้าวทั้งหมดก็มี หลนปู แกงเผ็ดผักบุ้งหมูสับ แกงส้มมะละกอกับกุ้ง ไข่พะโล้ ส้มตำไทย ปลาทอด ผมทานกับข้าวพวกนี้กับข้าวเปล่า 1 จานเต็มๆ แต่ผมก็เน้นกับครับ พร้อมกับดื่มน้ำเปล่าอีก 1 ขวด หลังจากนั้นก็ไปสอนตอน 13.30น-15.30น แล้วก็ไปขึ้นรถกลับกรุงเทพฯตอนประมาณ 16.00 น  กลับมาถึงกรุงเทพประมาณ 18.00 น หลังจากนั้นพรรคพวกก็ชวนไปกินสุกี้ครับ ผมก็ตามไปกับเขาด้วย เพราะตลอดเดือนมีนาฯ-พฤษภาฯ ผมไม่ได้ไปสังสรรค์เลย เพราะผมงดมื้อเย็น เมื่อวานก็สั่งสุกี้ประมาณว่ามีผักบุ้ง ผักกาดขาว ปลาสวรรค์ ลูกชิ้นกุ้ง เต้าหู้ เกี๊ยวปลา เห็ดฟาง หมูยัดไส้ข้าวโพด สาหร่ายยัดไส้ และอะไรก็ไม่รู้อีกประมาณ 2 อย่างซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว และยังมีหมี่หยกอีกคนละก้อน เป็ดย่างและก็หมูกรอบ ผมก็กินไปอย่างละนิดอย่างละหน่อยอ่ะครับ รู้สึกว่าอิ่มเร็วกว่าเมื่อก่อน ถ้าเป็นสมัยก่อนโน้นล่ะก็ คงสั่งมาอีกรอบและกินไปประมาณ 10 กว่าถ้วย แต่เมื่อวาน 3 ถ้วยก็ท้องเกือบแตกแล้วครับ ผมยังปิดท้ายด้วยไอศกรีมอิตาเลี่ยนอีก 1 ถ้วยพร้อมด้วยแตงโมปั่น อืม...มีความสุขมากๆเลยครับ  และที่มีความสุขมากไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเช้าผมลองชั่งน้ำหนักดูปรากฏว่าก็ยังหนัก 74 กก.เท่าเดิมครับ แต่ก่อนหน้านี้ประมาณ 9 วันผมก็ไม่เคยกินเยอะเท่าเมื่อวานนะครับและยังออกกำลังกายเหมือนเดิม แสดงว่าถ้าเรายังคงรักษาภาพรวมของการใช้ชีวิตไว้ได้ ถึงแม้จะมีข้อยกเว้นบ้างในบางวัน มันก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆทั้งสิ้น แต่มีอาจารย์ท่านหนึ่งมาบ่นกับผมว่า เขางดข้าวเย็นมา 3 วันแล้ว ไม่เห็นน้ำหนักมันจะลดเลย ก็อย่างที่ผมเคยบอกล่ะครับว่า ถึงแม้จะงดข้าวเย็นแต่ยังกิน 2 มื้อแบบหนักๆแถมยังมีอาหารระหว่างมื้อเป็นช่วงๆ ยังไงก็สู้กิน 3 มื้อแบบพอดีและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยไม่ได้หรอกครับ การงดข้าวเย็นหลายครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นการลดน้ำหนัก เพราะการลดน้ำหนักต้องอาศัยภาพรวมของการกิน การออกกำลังกายและการใช้พลังงานในช่วงวันครับผม



                             อีกประเด็นที่ค่อนข้างสำคัญก็เกิดตอนที่กินสุกี้กันครับ เพราะเพื่อนผมเขาก็ลดน้ำหนักได้ประมาณ 10 กก. เย็นวานเราคุยกันถึงคนบางคนที่ลดน้ำหนักลงได้ประมาณ 20-30กก.ซึ่งคล้ายๆกับที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ และเขาคิดว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องทางจิตวิทยาอะครับ ใครที่พยายามแล้วทำไม่ได้ก็จะบอกว่าการลดน้ำหนักเป็นเรื่องยาก ส่วนคนที่ลดได้ก็จะบอกว่าการลดน้ำหนักเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนที่คิดอย่างหลังแล้วดันไปกินอาหารมากเหมือนเมื่อก่อนโดยคิดว่า ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้น้ำหนักขึ้นสัก 10 กิโลฯ แล้วค่อยลดก็ได้ เพราะลด 20-30 กิโลฯยังเคยลดมาแล้วเลย ง่ายจะตายไป แต่เหตุการณ์กลับเปลี่ยนไปครับ เพราะคนที่เคยลดน้ำหนักมาได้ประมาณ 20-30 กิโลฯ แล้วดันเผลอปล่อยให้น้ำหนักขึ้นอีก 10 กิโลฯจะพบว่า การลดน้ำหนักในครั้งที่ 2 นี้มันจะยากเย็นเข็ญใจมากกว่าครั้งแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ยังตอบยากอยู่ บางคนที่เจอกับปัญหาเช่นนั้นก็จะตกใจมากว่า เราต้องกลับมาอ้วนอีกแล้วเหรอเนี่ย แล้วก็เครียดครับ ยิ่งเครียดก็ยิ่งกินเพราะยังมีเชื้อแบบนี้อยู่ จนในที่สุดน้ำหนักก็ขึ้นไปอีก 20 กิโลฯ เออ...ใครเจอแบบนี้ก็คงกลุ้มครับ เพื่อนผมก็เลยเตือนผมว่า ประคับประคองแบบนี้ไว้ก่อนน่ะดีแล้ว มันปลอดภัยดี



                           ส่วนที่ผมตั้งใจว่าเดือนหน้าจะลดอีก ก็มีเสียงต่างกันไป 2 กระแสครับ กลุ่มแรกบอกว่าถ้าจะลดอีกหลังจากปล่อยให้คงที่มาเป็นเดือนน่าจะลดยากกว่าเก่า ส่วนกลุ่มหลังบอกว่าน่าจะง่ายกว่าเก่า จะยากหรือง่ายผมว่าก็ต้องพิสูจน์ต้นเดือนหน้านี่แหละครับ เพราะที่ผมตั้งใจคือผมจะลดน้ำหนักลงไปอีกแน่นอนครับ หลังจากเดือนหน้าเราคงรู้กันว่า หลังจากมีการเบรคบ้างแล้วหันกลับมาลดต่อมันจะลดได้ง่ายขึ้น ยากขึ้น หรือพอๆกับ 4 เดือนแรก ผลที่ได้เป็นอย่างไรนั้นมันก็จะมาช่วยสนับสนุนว่าการลดน้ำหนักโดยมีการเบรคเป็นเดือนนั้นสมควรแก่การกระทำหรือไม่ แต่ถ้าวัดจากความสุขที่ได้ในเดือนนี้แค่เพียงอย่างเดียว ตอบได้ทันทีเลยครับว่า ผมมีความสุขมากกว่า 4 เดือนก่อนประมาณ 2 เท่า ทั้งๆที่ 4 เดือนก่อนนั้นก็มีความสุขมากอยู่แล้วที่ผมสามารถลดน้ำหนักอย่างถนอมสุขภาพทั้งกายและจิตของตัวเองได้เป็นอย่างดีกว่าที่ผมเองเคยคิดไว้



                          ข้อสรุปของตอนนี้คือ คนที่เคยลดน้ำหนักได้หลายสิบกิโลฯแล้วหันไปกินอย่างมโหฬารโดยที่คิดว่า ถึงจะอ้วนขึ้นก็จะสามารถลดได้อีก แต่พอเอาเข้าจริงๆ น้ำหนักดันไม่ลดเลยแม้แต่ขีดเดียว ก็เลยมีความกดดันสูงจนกินเพิ่มเข้าไปอีก บางคนลดได้ 20 กก. แต่กินเพิ่มไปอีก 25 กก. อาการแบบนี้ก็คงเรียกว่าเป็นโยโย่ได้เหมือนกันครับ แต่ผมขอใช้ศัพท์เฉพาะว่า \"การเกิดโยโย่แบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์\"ครับผม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×