ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #60 : ความลับของโยโย่ บูลิเมีย การกินและการลดน้ำหนัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.04K
      1
      19 มิ.ย. 48





                         หมายเหตุ เขียนวันที่ 19 มิ.ย. 48                            หนัก 74.0 กิโลกรัม





                         ถึงวันนี้ชื่อหนังสือของผมคงไม่เปลี่ยนแล้วครับ เลยคิดว่าน่าจะนำมาเปิดเผยได้บ้าง \"ผู้ชายพร่องมันเนย\"ครับ พอผมได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกชอบทันทีเลยครับ เพราะมันดูไม่หนักและไม่เบาจนเกินไป ยังไงก็ต้องขอบคุณฝ่ายสร้างสรรค์ของสำนักพิมพ์ด้วยครับที่ช่วยกันคิดชื่อนี้ออกมา ตัวชื่อเองก็บ่งบอกถึงเนื้อหาโดยปริยายครับ เพราะเนื้อหาในหนังสือก็จะเป็นการรวบรวมเทคนิคต่างๆในการลดน้ำหนักที่ได้จากประสบการณ์จริง และสามารถทำตามได้ไม่ยาก และที่สำคัญคือ ไม่มีผลข้างเคียงเลยแม้แต่น้อย พอถึงวันนี้ผมกล้ายืนยันว่า ความเสี่ยงที่ผมจะเกิดโยโย่และบูลิเมียนั้นเป็น 0% ครับ เมื่อประสบการณ์ของผมเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมแปลกใจเป็นอย่างมากว่าทำไมหลายคนที่ลดน้ำหนักไปแล้วถึงได้มีปัญหาโยโย่และบูลิเมียกันมากจังเลย



                        ก่อนจะพูดถึงโยโย่ต่อไป ผมขอพูดถึงเนื้อหาในหนังสือสักเล็กน้อยว่า มีเนื้อหาจากบทความในเนตประมาณ 50% และเป็นเนื้อหาที่ผมเขียนขึ้นมาใหม่ประมาณ 50% นั่นคือเราพูดถึงที่ตัวเนื้อหาจริงๆของผมนะครับ แต่เนื้อหาเก่านั้นผมก็ได้นำไปเรียบเรียงใหม่ ปรับชื่อตอนใหม่หมด และตัดคำศัพท์ยากๆทิ้งไปจนหมด เช่น Self Fulfilling Prophecy แต่ประเด็นหรือแก่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นก็ยังมีอยู่ครบถ้วน เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการลดน้ำหนักไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดหรือเทคนิคเล็กๆน้อยๆก็จะสมบูรณ์มากขึ้น และที่สำคัญ อารมณ์ขันก็มีมากขึ้นด้วยครับ จนเพื่อนบางคนที่ได้อ่านต้นฉบับใหม่แล้วเขาบ่นว่า \"พออ่านจบก็ไม่รู้ว่าจะจัดเป็น หนังสือลดน้ำหนักหรือหนังสือแนวตลกขบขันดี\"



                        แต่ผมก็เพิ่งมารู้ภายหลังว่า ตั้งแต่ผมเสนอว่า ถ้าจะมีการนำไปทำเป็นหนังสือจริงๆ ผมขอเวลาในการเรียบเรียงใหม่ ความคิดของผมตอนนั้นได้สร้างความวิตกกังวลให้กับเพื่อนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของบทความของผมกับคนที่สำนักพิมพ์ไปตามๆกัน เพราะสิ่งที่เขาชอบหรืออยากนำไปพิมพ์ก็เพราะว่าเขาชอบลีลาการเขียนในแบบที่มีอยู่ในเนต แต่ผมเองมีความรู้สึกว่า ถ้าจะเป็นหนังสือที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ได้นั้นมันควรจะต้องเป็นยังไง ผมก็เริ่มเรียบเรียงใหม่ท่ามกลางความกังวลของหลายๆคน จนถึงวันที่ต้นฉบับเสร็จเรียบร้อย ผมก็ส่งให้เพื่อนลองอ่านบ้าง และให้คนที่สำนักพิมพ์อ่านด้วย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาชอบเนื้อหาในหนังสือมากกว่าในเนต บางคนบอกว่าเพราะมีสิ่งดีๆบางอย่างที่ในเนตไม่มี สิ่งดีๆเหล่านั้นไม่ใช่เพราะผมกั๊กเอาไว้ไม่เขียนในเนตและถือโอกาสไปเขียนในหนังสือนะครับ แต่มันเป็นคนละมุมมองกัน



                       อย่างตอนที่ 60 นี้ผมเขียนความคืบหน้าของหนังสือลงมาด้วย ส่วนในหนังสือก็จะมีบางตอนที่ผมเขียนถึงเว็บเด็กดีลงไปด้วยซึ่งถือเป็นมุมมองที่ผมมีต่อทุกคนที่เข้ามาอ่านและเข้ามาโพสถามเรื่องราวต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับว่ามุมมองแบบนี้มันก็จะหาได้เฉพาะเพียงสื่อเดียวเท่านั้น เพื่อนผมบางคนจึงบอกว่าความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคนในเว็บเด็กดีนั้น มันปรากฏอยู่ในหนังสือในแบบที่เขาประทับใจเอามากๆ และมันไม่มากไปไม่น้อยไป ความรู้สึกเหล่านั้นผมเองก็อยากให้น้องๆในเด็กดีที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือของผมในอนาคตสัมผัสได้เหมือนกัน เพราะถ้าไม่มีน้องๆช่วยกันให้กำลังใจ  ผมก็คงจะไม่มีวันนี้ ผมอาจจะไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลไม่ออก และอาจจะไม่มีแรงเรียบเรียงหนังสือของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะมีน้องๆเป็นส่วนหนึ่งนี่แหละครับที่มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาได้



                        ขอกลับมาพูดเรื่องโยโย่ต่อเลยนะครับ ก่อนหน้าที่ผมจะมาลดน้ำหนักนั้น ข่าวเกี่ยวกับโยโย่และบูลิเมียนั้นถือว่าเยอะมากๆ และแน่นอนครับว่าอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนอ้วนบางคนไม่อยากที่จะลดน้ำหนักเพราะกลัวว่าถ้าลดไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมากินเหมือนเดิมอีก แต่ผมลองลดเองปรากฏว่ามันไม่เห็นจะเสี่ยงต่อการเกิดโยโย่เลยครับ ทั้งๆที่หลายคนก็ทราบกันดีว่าก่อนที่ผมจะลดน้ำหนักนั้น ในวันๆหนึ่งผมกินมากขนาดไหน แต่พอถึงวันนี้ผมเองไม่สามารถที่จะกลับมากินเหมือนเดิมได้อีก เพราะการกลับมากินเหมือนเดิมนั้นมันค่อนข้างยากเลยนะครับ เพราะ 4 เดือนที่ผ่านมาผมได้ปรับทั้งพฤติกรรมการกินและกระเพาะของผมมันก็มีการปรับตัวตามไปด้วย



                         ก็อย่างที่ผมเคยบอกละครับว่า กว่าที่ผมจะอ้วนถึง 107 ได้นั้น ผมต้องใช้เวลาตั้ง 16 ปี แต่ผมสามารถลดน้ำหนักจนมาเหลือ 74 ได้ภายในเวลา 4 เดือน ถ้าดูจากข้อมูลตรงนี้ก็อาจจะวิเคราะห์เล่นๆได้ว่า จริงๆแล้วการเพิ่มน้ำหนักนั้นยากกว่าการลดน้ำหนักเสียอีก ข้อมูลนี้ไม่ค่อยมีใครจะพูดถึงสักเท่าไหร่นะครับ อย่างการลดน้ำหนักเองนั้นแค่ปรับการกินมาให้อยู่แบบพอดีและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมันก็ลดแล้ว ที่ผมพูดไปเมื่อครู่ว่าการเพิ่มน้ำหนักนั้นยากกว่าการลดน้ำหนักนั้นต้องอยู่ในบริบทที่ว่า คนที่อ้วนมากๆแล้วมาลดน้ำหนักกับคนที่หุ่นพอดีแล้วมาเพิ่มน้ำหนัก ผมว่าคนที่สองจะทำได้ยากกว่าในระยะเวลาเท่ากัน



                         อย่างผมเองนั้น หลายคนก็เป็นประจักษ์พยานได้ว่าผมลดน้ำหนักได้ 33 กก.ภายใน 4 เดือน แต่หลังจากนี้ถ้าจะมีใครสักคนให้ผมเพิ่มน้ำหนัก 33 กก.ให้เป็น 107 เท่าเดิมภายใน 4 เดือนนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากๆเลยครับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมสำหรับบางคนโย่โย่ถึงถามหาเขาได้ง่ายจริงๆ เคยลดได้เดือนแรก 5 กก. พออีก 3 เดือนต่อมาก็กินจนเหมือนกับว่าอดอยากเกือบทั้งชีวิตจนน้ำหนักขึ้นมา 10 กก.  ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับใครสักคน สิ่งที่ต้องถามต่อมาคือ 1 เดือนที่น้ำหนักของเขาหายไป 5 กก. นั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นการลดน้ำหนักได้หรือไม่ ก็อย่างที่ผมเคยบอกแหละครับ ผมเชื่อว่า การที่น้ำหนักลดนั้น บางทีก็ไม่ใช่การลดน้ำหนัก หรือที่ผมเคยพูดว่า การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่การทำให้น้ำหนักลด



                         ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีอยู่หลายครั้งที่เราไปทำอะไรบางอย่างแล้วก็เกิดน้ำหนักตัวลดลงมา เช่น

    -เรียนหนัก

    -รับน้อง

    -ป่วย

    -อดนอน

    -ทำงานหนักจนลืมกินข้าว

    ฯลฯ

    สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่เป็นการดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ในช่วงที่การดำเนินชีวิตประจำวันของเราต้องการ มันก็เท่านั้น แต่หลายคนคงไม่อยากเรียกว่าการกระทำหรือไม่กระทำดังกล่าวนั้นเป็นการ\"ลดน้ำหนัก\" อย่างคนที่ไปเจาะหน้าท้องแล้วดูดไขมันออกมาซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวของเขาลดลงนั้น ผมเองก็ยังไม่สะดวกปากเลยครับที่จะเรียกการกระทำเช่นนั้นว่า \"การลดน้ำหนัก\" แต่แน่นอนครับว่าการทำเช่นนั้นมันทำให้ \"น้ำหนักลด\"



                         เรากลับมาพูดถึงสิ่งที่ผมสงสัย ณ ขณะนี้ว่า คนที่ไปทำอะไรบางอย่างมาแล้วน้ำหนักตัวของเขาเกิดลดลง แต่พอหลังจากนั้นพวกเขาต้องประสบทั้งปัญหาโยโย่ บูลิเมีย และภาวะทางจิตต่างๆอีกมากมาย เราจะเรียกกระบวนการที่ทำให้น้ำหนักของพวกเขาลดว่าเป็น \"การลดน้ำหนัก\"ได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะขุดคุ้ยต่อไปครับว่า มันเรียกได้ไหม



                         อีกเรื่องหนึ่งที่ผมลองทำแล้วเวิร์คคือการที่มีช่วงเบรค เพราะคนไม่ค่อยพูดถึงกันเลย ที่ผ่านมาจะเน้นแต่ว่าจะลดยังไงให้ได้มากที่สุดในเวลาที่น้อยที่สุด หรือไม่ก็ลดแข่งกันว่าภายใน 1 เดือนลดกันได้มากแค่ไหน หรือไม่ก็ต้องลดได้เยอะมากๆถึงจะถือว่าสุดยอด แต่ช่วงเบรคนี่ก็ถือว่าสำคัญมากๆเลยครับ อย่างผมเองนั้นก็เบรคเพราะความบังเอิญคือ พอลดได้ครบ 33 กก. ในปลายเดือน พ.ค. 48 ก็กะว่าเดือน มิ.ย. 48 จะเบรคให้น้ำหนักตัวคงที่เพื่อเตรียมต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ เช็คเรื่องโยโย่และบูลิเมีย เช็คว่าวิธีที่เราทำมานั้นถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ แต่พอมาอยู่ในช่วงเบรคจริงๆแล้ว ผมคิดว่าผมได้อะไรมากเกินกว่าที่ผมคิดไว้ ประโยชน์ของการมีช่วงเบรคนั้นผมอาจจะยังตอบไม่ได้แน่ชัด คงต้องรอให้พ้นไปสักเดือนสองเดือนก่อน ผมอาจจะย้อนกลับมาพูดอีกที



                         ผมคิดว่าตอนหน้าคงต้องมาขุดคุ้ยเรื่องโยโย่ บูลิเมีย ต่อว่าทำไมบางคนจึงเกิดง่ายจัง ผมคิดว่ามันผิดปรกตินะ เพราะของผมเองมันจะเกิดยากมาก วันนี้ความเสี่ยงที่มันจะเกิดผมให้เท่ากับ 0 แล้วทำไมบางคนจึงเกิดได้ง่ายมากๆๆ ทำให้สงสัยได้ว่าที่เขาไปทำอะไรกันมาแล้วเกิดน้ำหนักตัวลดก่อนหน้านั้น มันเรียกว่าเป็นการลดน้ำหนักหรือเปล่า ผมคงจะต้องสืบสวนเรื่องพวกนี้ต่อไปแล้วล่ะครับ เพราะข้อสงสัยมันมีมากมายก่ายกองจริงๆเลยล่ะครับ งานเนี่ย



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×