ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #41 : ผู้หญิง กับ ความอ้วน ( 4 )

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.9K
      2
      3 พ.ค. 48





                           หมายเหตุ   เขียนวันที่ 3 พ.ค. 48               หนัก 79.0 กิโลกรัม





                           พอดีไปเจอความคิดเห็นจากบทความอื่นและเห็นว่าสอดคล้องกับเรื่องเมื่อตอนที่แล้ว เลยเอามาลงให้ดูกันครับ น้องๆหลายคนที่อ่านแล้วจะได้ได้แง่คิดจากประสบการณ์จริงของคนอื่นด้วย ความคิดเห็นของน้องเค้ามีอยู่ว่า



                           \"เคยกินยาลดความอ้วนนะ ตอนนั้นก่อนกินยาหนัก 57 โล สูง 158 ซม. อ้วนมากๆๆๆๆๆๆ หลังกินยาน้ำหนักเหลือ 46 เอง ใช้เวลาเดือนนึง หลังจากเลิกกินยาก็กลับมาหนักตั้ง 54 แน่ะ แล้วก็ตัดสินใจลองลดด้วยตัวเองดูเมื่อตอนเดือนกุมภา เราลองกินอาหารเช้าปกติ อาหารเที่ยงลดลง อาหารเย็นลดบ้างกินบ้างแต่ไม่ให้มากเท่าเมื่อก่อน พยายามออกกำลังหรือใช้แรงให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ แต่อย่าไปซีเรียสนะ ตอนนี้น้ำหนักเราอยู่ที่ 48-49 แล้ว ลองทำดูเรื่อยๆนะ ไม่ทรมานไม่มีผลข้างเคียง รับรอง ช้าๆได้พร้าเล่มงาม\"



                           ที่เอามาให้ดูเนี่ยต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้มีอคติต่อยาลดความอ้วนนะครับ เพราะทราบดีว่าจะมีน้องบางคนที่ใช้วิธีลดเองแบบคนอื่นเขาไม่ได้ด้วยเหตุผลทางระบบร่างกายของตัวเองบางอย่างมันไม่เอื้อ เขาก็ต้องใช้ยาลดความอ้วนเป็นวิธีสุดท้าย แต่ก็ต้องไปปรึกษาแพทย์ครับ ให้แพทย์เป็นคนดูแลจัดการเรื่องพวกนี้ให้ เพราะสมัยนี้ยาลดความอ้วนมีหลายแบบครับ มีทั้งแบบที่พอใช้ได้และแบบที่เป็นโทษต่อตัวผู้ใช้เป็นอย่างมาก ถ้าใช้เองจะไม่รู้หรอกครับว่าควรใช้ยังไง ปรึกษาแพทย์ดีที่สุดแล้ว



                          ที่ผมชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่บอกว่าถ้าเป็นการลดน้ำหนักแล้ว ควรเน้นวิธีแบบ \"ช้าๆได้พร้าเล่มงาม\" ทำให้ผมนึกถึงตอนที่เรียนอยู่ ม.ปลาย วิชาภาษาไทย แล้วมีเพื่อนถามอาจารย์ว่า \"ทำไมสำนวนที่ว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก กับ ช้าๆได้พร้าเล่มงาม มันดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันล่ะครับ\" อาจารย์ตอบกลับมาว่า \"มันไม่ขัดแย้งกันหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับบริบทมากกว่า\" ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน เรื่องการเรียนของน้องๆนั้น น่าจะเข้าข่าย น้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะยังมีกำลังวังชาและมีทุนทรัพย์ ก็ควรตักตวงความรู้เอาไว้มากๆ เพราะถ้าไม่รีบตักตวงแล้วมันจะเสียการ แล้วเมื่อไหร่ที่ขี้เกียจก็ต้องรีบตักความขี้เกียจทิ้งไป ถ้าไม่รีบทำ นาวาชีวิตของน้องๆอาจมีปัญหาได้ในอนาคต



                          ส่วนเรื่องลดน้ำหนักนั้น ถ้าจะให้ดีก็ไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะเวลาที่น้ำหนักขึ้นนั้นมันก็ไม่ได้ขึ้นโครมคราม ตอนเราจะลด มันก็ต้องค่อยๆลด เพราะถ้าผลีผลามรีบลดแล้วล่ะก็อาจทำให้เสียการเรียนและก็เสียอย่างอื่นด้วย ผมมีประสบการณ์จริงที่จะบอกน้องๆให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้ครับ



                          ผมเองตอนนี้ก็ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีอยู่เทอมหนึ่ง ประมาณต้นเทอมก็มีนิสิตหญิงชั้นปีที่ 1 คนหนึ่งเดินมาบอกผมว่าเพื่อนป่วย ขอพาไปที่ห้องพยาบาลก่อน ครั้งนั้นผมก็ไม่คิดอะไรมาก พอผ่านไปประมาณครึ่งเดือนก็มาป่วยในวิชาของผมอีก ผมเริ่มสงสัยบ้างแต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากมาย หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 สัปดาห์เธอก็ป่วยอีก ผมเลยถามไปตรงๆว่า เป็นโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า นิสิตที่ป่วยไม่ได้ตอบผม เธอได้แต่นั่งก้มหน้า แต่เพื่อนของนิสิตคนนั้นบอกผมว่าเธอกำลังลดความอ้วน ผมดูรูปร่างของเธอก็ไม่เห็นว่ามันจะอ้วนมากเท่าไหร่เลย ค่อยๆลดไปก็น่าจะได้ ผมจำได้ว่าเธอคนนี้กำลังปิ๊งอยู่กับนิสิตชายในห้องเดียวกัน เรื่องแบบนี้ผมพอจะมองออก ผมหันหน้าไปมองนิสิตชายคนนั้น เขาก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม



                         ถ้าจะวิเคราะห์ถึงความคิดของนิสิตชายคนนั้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็อาจเป็นได้ 2 แนวทางคือ

    1. อาจจะภูมิใจมากมายเหลือเกินที่มีผู้หญิงคนหนึ่งยอมลดความอ้วนด้วยความทรมานจนถึงขั้นเสียการเรียนเพื่อเขา โรแมนติกมาก

    2. เธอไม่น่าทำถึงขนาดนี้เลย นี่ก็ครั้งที่ 3 แล้วที่เธอขัดจังหวะการสอนของอาจารย์โดยที่ไม่จำเป็นเลย

    แต่บังเอิญว่านิสิตชายคนนี้คิดอย่างหลัง ความระหองระแหงจึงเกิดขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ผมเองก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ถ้าไม่มีอะไรที่เกินเลยก็คงจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของนิสิต แต่สิ่งที่น่าคิดในกรณีนี้คือ มันคุ้มกันมั้ยกับสิ่งที่นิสิตหญิงคนนี้ได้ทำลงไป สุดท้ายตัวเธอเองได้รับผลอะไรบ้าง

    1. สุขภาพทรุดโทรมลงเรื่อยๆ

    2. ผลการเรียนตกลง

    3. ผิดใจกับแฟนของตัวเอง



                         ผมรู้มาว่ามีเพื่อนบางคนที่ชอบล้อว่านิสิตหญิงคนนี้อ้วน ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเอง แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องมาแยกแยะให้ดีครับระหว่าง\"คนที่ล้อเรา\"กับ\"คนที่รักเรา\" อย่างที่ผมเคยบอกล่ะครับว่า สำหรับ\"คนที่รักเรา\"จริงๆแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงเขาก็ยังรักเราและเข้าใจเราเหมือนเดิม ส่วน\"คนที่ล้อเรา\"นั้น เขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตัวเขาเองได้หรอกครับ ถึงแม้จุดนี้จะหมดไป เขาก็จะต้องควานหาจุดอื่นมาว่าเราได้อยู่ดี ผมมีตัวอย่างหนึ่งจะเล่าให้น้องๆฟัง



                        ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งสมัยเรียน ม.ปลาย เขาเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ ส่วนคุณป้าข้างบ้านนั้นลูกของแกเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง คุณป้าข้างบ้านก็จะชอบพูดจาถากถางและกระแนะกระแหนเพื่อนผมตลอด จนเพื่อนผมมีแรงฮึด ก็เลยขยันอย่างหัวปักหัวปำจนสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯได้ พอเพื่อนผมรู้ว่าลูกของคุณป้าข้างบ้านสอบติดเกี่ยวกับสาขาการท่องเที่ยว เขาก็โล่งใจว่าต่อไปนี้เขาคงไม่ถูกดูถูกเหยียดหยามจากคุณป้าข้างบ้านอีกแล้ว แต่พอเจอหน้ากัน คุณป้าข้างบ้านกลับพูดว่า



                        \" ลูกของฉันน่ะติดการท่องเที่ยวซึ่งกำลังบูม จบออกไปจะลงทุนทำทัวร์ให้ ต่อไปคงรวยกันใหญ่แล้ว ลูกป้าช่างมีบุญดีจริงๆ ผิดกับเธอนะ จบมาก็เป็นหมอ ต้องไปสัมผัสขี้ สัมผัสเยี่ยวของคนอื่น ไปๆมาๆ อาจเป็นเอดส์ตายก็ได้ น่าเวทนาจริงๆเลยนะหนู\" อืม...ให้มันได้อย่างนี้สิครับ หันกลับมาเรื่องความอ้วนเหมือนกัน ถ้าใครเขาล้อเราด้วยเจตนาไม่ดีเนี่ย ถึงแม้เราจะหุ่นสมส่วนเขาก็คงไม่ยินดีไปกับเราสักเท่าไหร่ ต่อหน้าอาจจะดีหน่อย แต่ลับหลังก็คงเหมือนเดิม แล้วทำไมเราจะต้องไปแคร์เขาล่ะครับ ทำไมเราจะต้องไปแคร์คนอย่าง \"คุณป้าข้างบ้าน\"ด้วย สู้มาทำอะไรที่แคร์ต่อคนที่เขารักเรา หวังดีกับเราอย่างจริงใจไม่ดีกว่าเหรอครับ



                        วันนี้เลยไม่ได้เล่าประสบการณ์ดีๆของผู้หญิงอายุ 70 ปีเลยครับ ผลัดไปก่อนก็แล้วกัน เพราะประเด็นที่ติดพันกับเรื่องในตอนที่แล้วยังคงมีอยู่ครับ...



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×