ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #31 : จิตใจที่แจ่มใสเกี่ยวอะไรกับการลดน้ำหนัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.29K
      2
      21 เม.ย. 48







                              หมายเหตุ  เขียนวันที่ 21 เม.ย. 48                หนัก  82.7  กิโลกรัม







                              แล้ววันนี้ก็ถือว่าครบรอบ 1 เดือนที่ผมเข้ามาเขียนประสบการณ์ในเว็บเด็กดีครับ แล้วก็ยังเป็นวันที่ครบ 80 วันที่อยู่ในโปรแกรมพอดี  ถึงวันนี้ก็ได้ยินข่าวมาหลากหลายครับ ทั้งที่มีคนเอาข้อแนะนำของผมไปใช้แล้วได้ผล กับคนที่อยากลดด้วยความใจร้อน แต่ก่อนเคยหนัก 90 แล้วก็มาหุนหันพลันแล่นลดอาหารอย่างเดียวจนเหลือ 85 แต่พอเริ่มไม่ไหวก็กลับมากินอย่างหัวปักหัวปำจนตอนนี้ก็หนัก 92 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหมือนได้ของแถมมาตั้ง 2 กิโลกรัม แต่มันก็เป็นของแถมที่ไม่ค่อยจะมีใครปรารถนา



                              แต่มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่งที่เขาหุ่นดีอยู่แล้ว เขากลับบอกกับผมว่า อยากอ้วนสัก 110 โลและก็ค่อยๆลดน้ำหนักลงมาจนหุ่นเท่าเดิม เขาคิดว่าการลดน้ำหนักมันให้อะไรมากกว่าที่เขาเคยคิด พออ่านงานที่ผมเขียนแล้วทำให้เขาอยากลองลดน้ำหนักดูบ้าง  พอรับทราบความรู้สึกแบบนี้ก็ภูมิใจยังไงบอกไม่ถูกครับ ตอนแรกกะว่าจะเขียนเพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับคนที่น้ำหนักตัวเกินเหมือนผมแล้วหาทางออกไม่ได้ เหมือนผมอยากจะตะโกนดังๆว่า \"มาทางนี้สิ ตรงนี้ยังมีทางออกให้เสมอ\" แต่พอมันทำให้คนที่ผอมอยู่แล้วอยากอ้วนแล้วค่อยลดน้ำหนักนี่ มันก็...เนอะ...รู้สึกดีอะครับว่างานเขียนนี้มันสร้างแรงบันดาลใจให้ถึงขนาดนั้น



                             วันนี้เรามาพูดถึงประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่หลายคนยังประสบปัญหาอยู่คือ ทำอย่างไรถึงจะลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีน้ำหนักตัวเกินมากๆ อย่างผม ผมว่าสิ่งที่สำคัญก็คือการที่มีจิตใจที่แจ่มใสและไม่เครียด จากประสบการณ์ที่ผมอยู่ในโปรแกรมมาถึงวันที่ 80 ผมมีความรู้สึกว่า \"แรงบันดาลใจกับทัศนคติ\"เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนจากคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขภาพมาเป็นคนที่ให้ความสำคัญได้ และพอเรามาอยู่ในโปรแกรมแล้วทั้ง \"แรงบันดาลใจและทัศนคติ\"ก็หมดหน้าที่ของมัน สิ่งหนึ่งที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนและทำให้เราอยู่ในโปรแกรมการลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่องก็คือ \"จิตใจที่แจ่มใส\" ซึ่งอาจจะรวมไปถึง ความใจเย็น ไม่เครียด และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่



                             สำหรับคนอ้วนอย่างผม ตอนที่ผมกำลังมีความสุขกับการกินโดยที่ไม่ได้สนใจถึงปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินเลยนั้น ผมก็สามารถอยู่กับมันได้ ความอ้วนของผมไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไหร่นัก แต่เมื่อผมเปลี่ยนทัศนคติและคิดว่า \"เราไม่ควรอ้วนแบบนี้แล้วนะ\"เท่านั้นแหละครับ เราจะเริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อความอ้วนของตัวเอง ใครก็ตามที่ดำเนินชีวิตจนมาเจอถึงจุดนี้ ย่อมที่จะเข้าใจว่า มันเป็นจุดที่ก่อให้เกิดความเครียดได้โดยง่าย  หลายคนพออยากลดความอ้วนขึ้นมาก็เริ่มที่จะรู้สึกไม่ชอบความอ้วนของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สังเกตจากการที่หลายคนเกิดคำถามว่า \"มีสูตรอะไรไหมที่จะลดได้อย่างไวที่สุด\"    \"ให้ทำอะไรก็ยอม ขอให้ลดได้อย่างเร็วด้วยเถอะ\"  และนี่ก็ต้องเรียกว่าเป็นจุดอ่อนของคนที่ดำเนินชีวิตมาถึงตรงนี้ แล้วก็กลายเป็นชนวนทำให้เกิดสูตรประเภท \" 10 วันลด 9 โล\"   หรือ \" 13 วัน ลด 10 โล\"  



                             หลายท่านพอมาถึงจุดนี้แล้วก็จะเกิดปมขัดแย้งว่า

    1. อยากเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนที่รูปร่างดี และไม่กลับมาอ้วนอีก

    2. ใจร้อน พอคิดได้ก็อยากจะเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยลืมไปว่าการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนั้นมันไม่มีเวลาพอที่จะ\"ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเคยชิน\"จนถึงขั้นที่ไม่กลับมาอ้วนอีกเหมือนข้อ 1



    ปมขัดแย้ง 2 ข้อนี้เป็นตัวทำให้เกิดคามเครียดสะสมโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของคำตอบที่ว่า \"ทำยังไงมันก็ไม่ต่อเนื่องแน่\"



                             นักธุรกิจหลายท่านรู้ถึงปมขัดแย้งนี้ จึงคิดสโลแกนให้สอดคล้องกับปมขัดแย้งที่คนที่อยากจะลดน้ำหนักในช่วงแรกมีคือ



    \"ลดน้ำหนักได้ทันใจภายใน 2 สัปดาห์ ถ้าใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้ว คุณไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ไม่ต้องออกกำลังกาย และผลิตภัณฑ์ของเราได้ผ่านการรับรองแล้วว่าไม่มีผลข้างเคียงทางกาย\"



    มันเป็นคำโฆษณาที่ตรงกับปมขัดแย้งทั้ง 2 ข้อเด๊ะเลยครับ แล้วพวกเขาก็ไม่เคยคำนึงถึง \"ผลข้างเคียงทางใจ\" เพราะคงไม่รู้ว่าจะวัดอย่างไร พอการลดน้ำหนักแบบนี้เกิดแพร่หลายมากขึ้น อีกไม่กี่ปีศัพท์แสงใหม่ๆก็เกิดขึ้นมากมายทั้งโยโย่ เอฟเฟ็ก โรคกินแล้วต้องล้วงคอให้อ้วก โรคกลัวอาหารแคลอรี่สูง ฯ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก และหลายคนก็ต้องพึ่งสถานบริการลดความอ้วนและก็เริ่มเข้าสู่วงจรอุบาทคือ อ้วนแล้วผอม ผอมแล้วอ้วน อ้วนแล้วผอม หลายคนหมดเงินหลายแสนบาทเวลาที่เข้าสู่วงจรพวกนี้ ผมเองลดน้ำหนักมาได้ 80 วันผมกลับเก็บเงินได้ 4000 บาท เพราะสมัยก่อนผมสิ้นเปลืองไปกับการกินมาก พอมาลดเอง เงินก็เหลือครับ อย่างน้อยก็เดือนละ 2000 บาท  ลดแบบผมผลข้างเคียงทั้งทางกายและทางใจก็ไม่มี แถมเก็บเงินได้อีกเดือนละ 2000 บาท นึกไปนึกมาก็ยิ่งกว่าถูกหวยอีกนะครับ



                            เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาความเครียดในช่วงแรกคือต้องเข้าใจก่อนว่า ปมขัดแย้งข้อ 1 และ 2 นั้น เราไม่สามารถรับมันได้ทั้งคู่ เพราะลึกๆแล้วมันขัดแย้งกันอยู่ ถ้าดึงดันจะรับมันให้ได้ทั้งคู่ มันก็ต้องเครียดล่ะครับงานนี้ พอเครียดถึงขั้นที่ไม่อยากลดน้ำหนักต่อแล้ว ก็มีข่าวลือแพร่ไปสู่สังคมว่า อย่าลดน้ำหนักเลย ลดยากแล้วเครียดด้วย  พอไม่ลดแล้วทางการแพทย์เริ่มบัญญติคำว่า\"โรคอ้วน\" คนอ้วนก็เริ่มเครียดมากขึ้นเพราะเริ่มมีการเรียกสิ่งที่ติดอยู่กับตัวเขาว่าเป็น\"โรค\"  พอเครียดก็เกิดกระแสดูถูกคนอ้วน  แล้วก็เกิดมีการจัดกิจกรรมเพื่ออยากให้คนอ้วนเป็นที่ยอมรับ เช่น นางงามช้าง ฯ แล้วก็มีหลายคนที่หนัก 110 ก็เพิ่มเป็น 120 เพื่อต้องการที่จะพิชิตตำแหน่งให้ได้



                            ค่อยๆลองพิจารณาเถอะครับ \"ปมขัดแย้ง\"มันทำให้เกิดความขัดแย้งต่างๆขึ้นในสังคมโดยรวมอีกด้วย มันช่างเป็นอะไรที่มีอิทธิพลมากซะเหลือเกิน เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมันอีกเลยครับผม...





      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×