ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #124 : วันที่ 2 ของ ...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.37K
      0
      2 ธ.ค. 48





                          วันที่ 2 ธ.ค. 48                                                              หนัก 85.7 กก.





                          เมื่อกี้เปิดเข้าไปในตัวบทความแล้วเห็นกระทู้ของน้องๆที่ให้กำลังใจมา ผมก็ต้องขอบคุณไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับ แต่การตอบกระทู้ตามปรกติคิดว่าคงเริ่มต้นพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้ก็คลายเครียดไปพอสมควรแล้ว จริงๆแล้วถ้าคิดแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เขาสูง 174 ซม.และหนักประมาณ 85 กว่าๆก็คงไม่น่าจะต้องไปเครียดอะไรมาก เพราะก็ยังดูแค่ท้วมๆ



                          แต่ถ้าคิดอีกแบบว่าผู้ชายคนนี้เคยหนักประมาณ 85 กก. มาก่อนแล้ว และหลังจากนั้นเขาก็หนักถึง 107 กก. ต่อมาเขาก็หนัก 74 กก. และหลังจากนั้นอีกเขาก็หนัก 86 กก. และก็มาถึงวันนี้ มันก็คงพอเดาได้ว่าความรู้สึกในแต่ละช่วงของเขาจะเป็นอย่างไร



                         แต่สำหรับผมเองคงต้องยอมรับล่ะครับว่า ตัวเองประมาทเกินไป จากแต่ก่อนที่เคยชั่งน้ำหนักทุกเช้า ต่อมาก็ละเลยเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ประกอบกับการงานที่มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จริงๆแล้วต้องขอเล่าตรงนี้สักนิดว่า ปีก่อนๆผมเองก็แค่สอนหนังสือ แต่มาปีนี้ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. 48 เป็นต้นมา ผมก็เริ่มทำวิจัยเป็นปีแรก สำหรับท่านที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกันคงพอจะนึกออกว่า ถ้าเราสอนเทอมนึง 5 วิชาและยังทำวิจัยไปด้วยนั้นมันเป็นงานหนักขนาดไหน



                         ผิดกับตอนที่ผมลดน้ำหนักช่วง 4 เดือนนั้น ช่วงนั้นตรงกับ summer พอดี งานการค่อนข้างเบา สอนก็ไม่มี มีแต่ประชุมสัมมนาและเตรียมการสอนของเทอมถัดไป วิจัยก็ยังไม่ได้ทำ มันจึงเป็นสถานการณ์หรือปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการลดน้ำหนักเมื่อปัจจัยภายในของเราพร้อม แต่พอหลังเดือน มิ.ย. 48 แล้วมันไม่ใช่เลย



                        ประกอบกับการที่เป็นหน้าฝนด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะปีนี้ฝนตกตอนเย็นในช่วงที่ผมกำลังจะออกเดินบ่อยมาก และบางวันก็ต้องยอมรับว่าผมประมาทเกินไปตรงที่ช่วงกลางวันผมกินไม่ยั้งเพราะคิดว่าช่วงเย็นเดี๋ยวก็ไปเดินออกกำลังกายแบบสบายๆ แต่พอบ่ายสี่โมงฝนเริ่มตั้งเค้ามา อะไรๆที่คิดไว้ก็พลอยล้มเลิกกันไปเลย ตอนนั้นถ้าจะบอกว่าให้ไปเดินขึ้น-ลงบันไดแทนก็แล้วกัน แต่ความรู้สึกมันไม่เอื้อเลย



                        ในท้ายที่สุดมันก็จบลงด้วยการไปหาอะไรกินเมื่อความเครียดมันมีมากขึ้น แล้วก็พยายามที่จะลืมความหงุดหงิดด้วยอาหารอันโอชะ พอมาผนวกกับช่วงที่ต้องส่งแบบเสนอโครงการวิจัย ต้องประสานงานอะไรต่างๆนานาแล้ว มันก็ทำให้ความเสี่ยงเริ่มมีมากขึ้น



                        ช่วงที่งานหนักมากๆ ผมเคยต้องนอนตี 5 และตื่น 7 โมงเช้าประมาณ 3 วันติดต่อกัน 3 วันนั้นมันก็ต้องพึ่งคาร์โบไฮเดรทล่ะครับ เพราะสลัดมันจะมาช่วยอะไรได้ การทุ่มเทอะไรแบบนั้นมันก็คงตอบไม่ได้ว่ามันคุ้มรึเปล่า หรือตอบไม่ได้เต็มปากว่างานวิจัยที่เราทำจะสามารถนำไปใช้ขอตำแหน่งได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการตีความงานวิจัยเชิงปรัชญาสำหรับทุกฝ่ายก็ยังเป็นปัญหาอยู่



                        แต่ยังไงซะเราคิดว่ามันคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย จึงได้ตั้งใจทำไป จริงๆแล้วถ้าผมจะระวังสักนิดปัญหาต่างๆมันก็คงไม่เกิดขึ้น แต่คืนนั้นและวันต่อๆมา ผมอาจจะกำลังคิดไปว่า \"น้ำหนักขึ้นก็ช่างมัน ขึ้นมาแล้วเดี๋ยวก็ลดใหม่ได้ เราเคยลดมา 30 กว่าโลยังเคยทำได้เลย และทำไมถ้าน้ำหนักขึ้นอีกนิดจะลดไม่ได้ล่ะ\"



                       การคิดแบบนั้นในขณะนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทอย่างแน่นอนที่สุด หลังจากผ่านช่วงสำคัญที่จะต้องส่งงานคือ 30 ก.ย. 48 อีกช่วงหนึ่งก็คือ 31 ต.ค. 48 ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นผมเคยคิดว่าจะเริ่มลดน้ำหนักอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย. 48 แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมันก็เกิดขึ้นมาอีกเมื่อสิ่งที่ผมเรียกว่า \"ความอร่อยที่ตามมาหลอกหลอน\"ได้กลับมาตามรังควาญและมีผลกระทบต่อปัจจัยภายในอยู่ไม่น้อย มาคราวนี้กินยาวตั้งแต่วันที่ 1-15 พ.ย. 48 พอมันซาลงหน่อย งานการก็กลับมาวุ่นอีกจนมาถึง 30 พ.ย. 48 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าช่วงนั้นฝนก็ยังตกอยู่



                      เมื่อทุกอย่างประเดประดังเข้ามาแบบนี้และผมก็ลืมการชั่งน้ำหนักไปช่วงหนึ่ง การเริ่มต้นลดน้ำหนักครั้งใหม่ในวันที่ 1 ธ.ค. 48 จึงเกิดขึ้น พร้อมกับน้ำหนักที่ชั่งในเช้าวันนั้น 86 กก.



                      เมื่อกลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนไปเมื่อวานก็อาจกล่าวได้ว่าความเครียดที่เกิดขึ้นคงมีหลายสาเหตุ ความเหนื่อยจากงานที่เร่งทำก็คงยังมีอยู่ ความตกใจที่น้ำหนักตัวถีบสูงขึ้นถึง 86 กก. ก็มีไม่น้อย การตกใจนี้ทำให้เกิดการบ่นไปยังคนที่ทั้งหวังดีและไม่หวังดีกับเรา เรื่องต่างๆจึงเกิดขึ้นในตอนที่ผ่านมา



                      ขอพูดถึงเฉพาะกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าไม่หวังดีกับเรา สมมติว่าเขาชื่อนาย ก. ก็แล้วกัน เขาเคยทำให้ผมช็อคมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตอนที่เขาหนัก 85 กก. แล้วผมหนัก 107 เขาก็แซวเรื่องรูปร่างของผมบ่อยมาก บ่อยจนน่ารำคาญ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเจตนาไม่ดี ผมคิดเพียงว่าเขาแซวเพราะอยากให้เรากลับใจมารักษาสุขภาพ



                     แต่พอน้ำหนักของผมลดจาก 107 ลงมาที่ 97 ลงมาที่ 87 จนเกือบจะใกล้เคียงกับเขา อาการของเขากลับกำเริบหนัก และหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนผมงงและทำอะไรไม่ถูก วันที่ผมหนัก 84 และเขาหนัก 86 ในครั้งนั้น มันทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสี และหงุดหงิดมากขึ้นจนผมก็แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เหมือนกัน



                    หลังจากนั้นที่เขาเคยแซวว่าอ้วน เขาก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการบอกว่าการที่เขาหนักเท่านี้น่ะดีแล้ว ผู้ชายที่เครียดเรื่องพวกนี้มากไปคือพวกที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ชอบมาทักผมว่าตัวลีบจังนะ หน้าตอบแบบน่าเกลียดจังเลย หรือพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ตอนที่ผมหนักประมาณ 75 ว่าผมกำลังเดินไม่ถูกทาง เขาพยายามบอกกับผมเสมอว่า \"มีคนแอบนินทาว่าผมโทรมลง น่าเกลียดลง และแย่ลงเรื่อยๆ\" ถ้าเขาคิดหยั่งงั้นจริงๆ ตอนที่ผมน้ำหนักขึ้นมาถึง 86 กก. เขาก็น่าจะชมผมว่าผมดูดีขึ้นนะ แต่เขากลับบอกว่า \"ทุกอย่างที่ทำมากำลังจะหายไป ตอนที่หนัก 75 ดูดีกว่าตั้งเยอะ และตอนนี้มันคงเปลี่ยนไปจนไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก\"



                   ผมไม่อยากจะประเมินว่า นาย ก. เป็นคนแบบไหน แต่ยอมรับว่าเครียดกับคนแบบนี้บ้าง หรือไม่ก็รำคาญ ผมเองเคยบอกกับน้องๆว่าอย่าไปแคร์คำพูดของคนรอบข้างมากนัก แต่นั่นก็คือการหวังดีและต้องการจะให้กำลังใจน้องๆอย่างแท้จริง ทั้งๆที่รู้ว่าบางครั้งเราเองก็นึกรำคาญคนบางคนเช่นนาย ก. เหมือนกัน



                  คงไม่เกินไปที่จะสรุปว่า เขาอิจฉาผมและพยายามจะทำทุกอย่างให้ผมเสียศูนย์ แต่บางทีมันก็น่าเห็นใจเขานะ เพราะตอนที่ผมลดน้ำหนักได้ คนรอบข้างก็ชอบเปรียบเทียบเขากับผม



                  \"ดูสิเขายังลดได้เลย ทำไมคุณทำไม่ได้ล่ะ\"



                 โดนเปรียบเทียบมากๆ เขาก็คงเครียดเหมือนกันเลยหาทางระบายออกเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เขาคงเหมือนเด็กวัดคนหนึ่งที่แม่บ่นซ้ำๆทุกวันว่า \"ทำไมถึงไม่เอาตัวอย่างเด็กข้างบ้านบ้างล่ะ เขาเรียนโรงเรียนเตรียมฯเชียวนะ ทำไมแกช่างโง่แบบนี้\" ถ้าใครโดนอย่างนั้นแล้วจะรู้สึกโกรธเพื่อนข้างบ้านที่เรียนโรงเรียนเตรียมฯก็คงพอจะเข้าใจได้ และผมก็กำลังเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนเตรียมฯคนนั้น และเด็กข้างบ้านผมก็ไม่ได้มีคนเดียวด้วยนะ



                 พอวิเคราะห์สถานการณ์แบบนี้มันก็น่าเห็นใจทุกฝ่ายนะครับ ตอนแรกผมก็เขียนเหมือนจะเอาเป็นเอาตายกับเขานะ แต่พอวิเคราะห์มาถึงบรรทัดนี้ พวกเขานั่นแหละคือคนที่น่าเห็นใจที่สุด ไม่ใช่ผม



                 เออ ... นี้เป็นตอนที่สองแล้วนะที่ผมขึ้นต้นด้วยความรู้สึกอีกแบบและลงท้ายด้วยความรู้สึกอีกแบบ



                 ผมว่าเรามาปิดท้ายกันดีกว่าว่าเมื่อวานนี้ผมกินอะไรบ้างและทำอะไรบ้าง



                 ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ ตอนเช้ากินก๋วยเตี๋ยว 1 ชามกับน้ำเปล่า 1 ขวด



                 กลางวันกิน ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวกับชาดำเย็น 1 แก้ว



                ตกเย็นผมกินสลัดกับน้ำเปล่า แล้วเดินออกกำลังกายประมาณชั่วโมงครึ่งโดยไม่หยุดพัก



                หวังว่าชีวิตของผมคงเข้าที่เข้าทางมากขึ้นในเร็ววัน...







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×