ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #73 : ตอนที่ 63 ปลอบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 33.95K
      139
      9 ม.ค. 55













    ตอนที่
    63 ปลอบ

     








    การฉลองเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปการเรียนการส่งงานการทำโปรเจคก็เข้ามาแทนที่ทันทีครับ เรียกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายและเรียนหนักมาก แค่เรียนในตารางอาจารย์คงยังไม่สาแก่ใจเลยมีนัดสอนชดเชยเพิ่มอีกด้วย กูอยากมอบโล่ให้จริงๆ

     






    สมแล้วที่ประเทศไทยจะได้รับการโหวตว่าเป็นประเทศที่เด็กเรียนหนักที่สุดเป็นอันดับสองของโลก  แต่ผมน่าจะมีการสำรวจต่อนะว่าเรียนหนักแล้วกูมีความรู้มั้ย กูเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้รึเปล่า ระบบการศึกษาไทยควรอัพเกรดบ้างไรบ้างนะครับ หึ

     




    ส่วนตอนนี้เวลาบ่ายสี่โมงโดยประมาณ ผม ไอ้ภูมิ ไอ้คิว ไอ้เต้ย ไอ้ฟ่างกำลังนั่งกินข้าวเย็นที่โรงอาหารวิศวะ เพราะผมกับไอ้คิวมีเรียนชดเชยต่อยันดึกเลยมากินข้าวเอาแรง แต่ไอ้ภูมิกับไอ้เต้ยนี่ของแถมครับมันเกาะขาผมมา

     



    ผมไม่ได้มาเรียนที่คณะวิศวะนี้หรอกแค่แวะมากินข้าวเฉยๆ จำได้ว่าเคยมาเรียนที่คณะวิศวะตอนปีหนึ่งวิชาสถิติเบื้องต้น มันเป็นวิชาพื้นฐานเป็นวิชาบังคับไงครับนิสิตทุกคนต้องเรียน แต่จนถึงทุกวันนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าจะให้กูเรียนทำม้าย กูจะเป็นจิตรกรกูอยากวาดรูปกูไม่ได้อยากรู้ค่ากลางค่าเฉลี่ยห่าไรนี่เลยและผมก็ผ่านมันมาได้แบบแมวๆครับ เหอๆ

     


     

    บอกไปแล้วว่าไอ้ภูมิกับไอ้น้องเต้ยมันเสนอหน้าตามมาเองแต่สำหรับไอ้ฟ่างนี่ผมไม่แน่ใจว่ามันมาด้วยสาเหตุอะไร ไอ้คิวถามมันก็บอกว่ามาหาน้องชายแต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ วันนี้ไอ้ฟ่างดูจะเงียบๆเหงาๆไม่ตะโกนประชันฝีปากกับไอ้คิวเหมือนอย่างเคย ไอ้คิวทั้งแกล้งแหย่ทั้งกวนไอ้ฟ่างก็ไม่ตอบโต้แต่ออกแนว




    เอาสายตาข่มอย่างเดียว สร้างความประหลาดใจให้พวกผมเป็นอย่างมาก และผมพอจะรู้แล้วล่ะครับว่าสาเหตุที่ทำให้ไอ้ฟ่างมีอาการแปลกๆมันน่าจะมาจาก….

     




    ไอ้นั่น!!!!!ไอ้ผู้ชายคนนั้นที่มันถอดเสื้อช็อปพาดบ่าและมันกำลังมุ่งหน้าเดินมาที่โต๊ะแต่พอไอ้แทนเห็น      ไอ้ฟ่างมันก็ชะงักและดูจะแปลกใจนิดๆ พวกผมที่เหลือเลยแอบมองหน้ากันบรรยากาศแม่งยะเยือกชิบหาย เกิดอะไรขึ้นกับตำนานวะ

     




    เพราะปกติถ้าไอ้แทนมันเจอหน้าแฟนมันต้องสปีดเข้ามาเกี้ยวกอดรัดฟัดกันให้พวกผมเอือมระอาแต่ว่าครั้งนี้มันกลับมานั่งเบียดไอ้ภูมิเฉยเลย แถมหน้าตามันตอนนี้นะครับ หงุดหงิดขั้นสุด ตกลงว่ามึงเรียนวิศวะคอมฯหรือช่างกลกันแน่วะสภาพแม่งโทรมมาก

     



    “เฮ้ยแทน มึงกินไรป่ะเดี๋ยวกูให้ไอ้พีมไปซื้อให้”

     




    “ตลกล่ะมึง” ผมเตะขาไอ้คิวใต้โต๊ะก็เข้าใจนะว่ามันอยากทำลายบรรยากาศสีหม่นๆหมองๆที่เหมือนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่3ในอีกไม่ช้าไม่นาน แต่จะดีกว่านี้มั้ยถ้ามันไม่เอาผมไปร่วมด้วย

     



    “ไม่ กูไม่มีอารมณ์แดก” ไอ้แทนตอบเรียบๆไอ้ฟ่างยังก้มหน้าเขี่ยข้าว เฮ้ย เกิดไรขึ้นวะปกติถ้ามันทะเลาะกันไอ้แทนต้องหงอดิ หรือว่าครั้งนี้คนที่ผิดคือ…..

     





    “แล้ว แล้วมึงจะไปไหนต่อวะกลับบ้านป่ะ เอ่อ แหะๆ” กูก็พยายามหาเรื่องคุยแล้วนะพวกมึงอย่ามองกูแบบนั้นเด้ เชี่ยภูมิมึงขำกูเหรอห๊ะ

     





    “กูยังไม่กลับวันนี้กูมีนัดแดกเหล้ากับพวกที่เตะบอลด้วยกัน”

     




    “พวกเฮียกริชน่ะเหรอเฮีย” ไอ้เต้ยถามหน้าซื่อตาใสแต่ไอ้คิวตบสวนเลยครับ

     



    “มึงถามถึงมันทำไมมันเป็นผัวมึงรึไงห๊ะ” เฮ้ยๆอย่าเพิ่งตีกันอีกคู่นะดีที่ว่าไอ้เต้ยมันเป็นมนุษย์ที่สับสนทางอารมณ์นอกจากมันจะไม่โกรธไอ้คิวที่ตบหัวมันแล้วมันยังยิ้มแป้นเกาะแขนไอ้คิวหนึบ

     



    “ก็ถามให้ผัวเต้ยหึงไปงั้นแหละ” แรว๊งส์ แรงกว่าน้องกูไม่มีอีกแล้วครับพี่น้อง

     



    “แค่แทะๆเล็มๆเค้าไม่เรียกว่าผัวเมียหรอกเต้ย หึหึ” ภูมิว่าขำๆยักคิ้วให้ไอ้คิวก่อนจะเอื้อมมือไปผลักหัว     ไอ้เต้ยที่หัวเราะคิกๆกอดพี่คิวของมัน

     



    “แหมม ก็ใครมันจะไปไวไฟเหมือนเมียแคระของมึงล่ะห๊ะเชี่ยภูมิ” แล้วไอ้คิวมันก็ทำท่าส่ายนมมาใกล้ๆผม ไอ้ฟายยยย

     



    “จะว่าไปก็น่าอิจฉาพวกมึงเหมือนกันนะ” หืออออ??????? พวกผมเลิกตีกันหันไปมองไอ้แทนทันที “ที่มีแฟนน่ารักพูดอะไรบอกอะไรก็เชื่อ ถ้ากูได้แฟนแบบนี้นะขออะไรกูให้หมด” เอ่อ เกิดบรรยากาศอึดอัดเล็กน้อยถึงปานกลางขึ้นทันที เอ่อแทน กูว่ามึงดูตาม้าตาเรือตาไอ้ฟ่างก่อนพูดก็ดีนะ

     




     “เฮียแทนพูดแบบนี้ เฮียฟ่างก็เสียใจดิ”

     




    “ช่างแม่ง” ตะลึง ตะลึง ตึง ตึง ตึง ตะลึงตึงตึง มึงทำให้กู ตะลึง!!! พอพูดจบไอ้แทนก็คว้าชีทเดินออกไปจากโต๊ะเลยครับ มันไม่เหลือบมองไม่มีการสนใจใครทั้งนั้น พวกผมก็ได้แต่มองหน้ากันงงๆ ก่อนจะพร้อมใจกันหันไปดูไอ้ฟ่างที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวตั้งแต่ไอ้แทนยังไม่มาจนไอ้แทนเดินหนีไปข้าวในจานก็ยังเหลือเท่าเดิม ผมเห็นมันกัดริมฝีปากกัดกรามจนแน่น




     

     

    “ฟ่าง”ภูมิเรียกและแตะไหล่พี่ชาย

     


    “คืนนี้เค้าไปค้างด้วยนะภูมิ” แล้วไอ้ฟ่างก็ลุกออกไปอีกคน ภูมิหันมามองหน้าผมเหมือนขอไอเดีย ผมก็ได้ยักไหล่กลับไปก็ไม่รู้ว่ามันทะเลาะอะไรกันนี่หว่า

     




    “มันเป็นไรกันวะ” ไอ้คิวถามขึ้นแบบงงๆลอยๆ

     




    “ก็เป็นแฟนกันไง” เชี่ยเต้ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเหมือนไม่ได้กวนตีนแต่กูล่ะกลัวรองเท้าไอ้คิวจะลอยมากระแทกปากมันจริงๆ

     



     

    ตามจริงแล้ววันนี้ผมควรจะเรียนเสร็จตั้งแต่ห้าโมงเย็นใช่มั้ยครับแต่ตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้วครับพี่น้องแต่กูยังนั่งแลคเชอร์มือจะขวิดอยู่เลยโดยมีไอ้คิวก็นั่งหาวอยู่ข้างๆผมนี่แหละ

     

     



    สมุดแลคเชอร์ของมันขาวสะอาดไร้ร่องรอยขีดเขียนใดๆต่างจากสมุดสเก็ตภาพของมันเต็มไปด้วยรูปภาพรากฐานการก่อกำเนิดมนุษย์ว่าต้องทำยังไงเราถึงเกิดมาได้ มันวาดสวยนะครับแต่ก็ดูจัญไรในเวลาเดียวกัน ส่นอีกรูป แค่มันร่างคร่าวๆไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหน้าไอ้เต้ยแน่ๆ

     





    อื้อหือนี่เพ้อจนถึงขั้นจินตนาการวาดรูปเลยเหรอวะ ผมเหล่มองและส่งเสียงหึในลำคอพอเชี่ยคิวมันรู้ตัวว่าผมมองมันอยู่ด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์มันก็แค่ยักไหล่ให้ผมแถมยังพยักหน้าไปทางอาจารย์ที่สวดมนต์อยู่หน้าคลาส เหมือนมันจะบอกผมว่ามองไรตั้งใจเรียนสิ

     

     



    กว่าจะเรียนเสร็จผมก็แทบคลานออกจากห้อง ออกมาก็เจอไอ้เต้ยซ้อมเต้นกับพรรคพวกมันอยู่หน้าคณะ เห็นบอกว่ามีแข่งต้นเดือนหน้ามั้ง พอมันเห็นผมกับไอ้คิวมันก็เลิกเอาหัวไถกับพื้นแล้ววิ่งหางตั้งมาหาพวกผมทันที

     

     



     

    “พี่คิววววว เฮียพีมเรียนเสร็จแล้วหรอ”

     





    “เออ แล้วนี่อะไรกูบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ใส่ๆเสื้อกล้ามนี่เมื่อไรมึงจะเลิกใส่ห๊ะเต้ย” เอาแล้ววววว ผัวเมียจะตีกันอีกแล้ว ผมรีบชิ่งดีมั้ยเนี่ย

     




    “ก็เต้ยซ้อมเต้นอ่ะ ใส่เสื้อกล้ามมันก็คล่องดีเพื่อนๆเต้ยก็ใส่”

     




    “แล้วเพื่อนมึงเป็นเมียกูมั้ย ไปเอาเสื้อยืดอยู่หลังรถมาใส่ไป” ไอ้คิวโยนกุญแจรถให้ไอ้เต้ย ไอ้เด็กตี๋ตาโตมันก็ยู่ปากใส่เหมือนไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปเปลี่ยนเสื้อ

     



    “อะไรจะหวงขนาดนั้นวะ แบ่งๆชาวบ้านให้ชื่นชมบ้างเห๊อออ”

     




    “เรื่องของกู เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวติดเสา มึงรีบกลับเข้ากรงทองของมึงไปไอ้นกแองกี้เบิร์ดแคระ ฮ่าๆ” ไอ้สัสคิว ไอ้เชี้ย ไอ้ฟายยยย ผมเอากระบอกซูมเก็บงานที่อยู่ในมือฟาดใส่กลางหลังไอ้คิว มันหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปนั่งเฝ้าไอ้เต้ยซ้อมเต้น

     




    ส่วนผมก็ได้เวลากลับเข้ากรงทองเอ้ยกลับคอนโด วันนี้ภูมิให้สิทธิ์ผมกลับก่อนเพราะมันมีซ้อมดนตรีต่อ ผมเดินมาเอารถที่จอดอยู่ข้างคณะพอจะเปิดประตูก็เสียงบีบีเตือน ผมเอาขึ้นมาดู

     





    “เรียนเสร็จแวะมารับกูด้วย”  เป็นไอ้ฟ่างที่บีบีมา เออใช่วันนี้มันบอกว่าจะไปค้างที่คอนโดผมนี่หว่า คึ คอนโดผม? กูก็ช่างกล้า คอนโดนั้นมันเป็นของภูมิก็จริงครับแต่อีกห้องน่ะของฟ่างพ่อแม่ให้อยู่ด้วยกันเพราะอยากให้มันดูแลน้อง แต่พอมันคบกับไอ้แทนไอ้ฟ่างก็ออกเรือนไป หึหึ

     




    ผมถามมันกลับไปว่าอยู่ที่ไหน ฟ่างบอกว่ามันกำลังซ้อมรักบี้ให้น้องอยู่ผมก็เลยขับรถมาที่คณะสถาปัตย์ตามที่มันบอก ไหนๆมาถึงสถาปัตย์ก็โทรหาไอ้คลื่นดีกว่า

     



    (หวัดดีครับที่รัก….ของคนอื่น หึหึ) ดูความกวนส้นเท้าของมัน



    “อาการหนักนะมึงแล้วไม่ทราบว่าตอนนี้คุณมึงมุดหัวอยู่ส่วนไหนของโลกวะ”



    (โหหหพูดเพราะจัง กูอยู่ที่สตูดิโอทำงานกับเพื่อนน่ะมึงมีอะไรรึเปล่า) ไอ้คลื่นยังส่งเสียงสดใสกลั้วหัวเราะมาตามสาย มันเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลาจริงๆนะไอ้คลื่นเนี่ย

     



    “อ้าวหรอ มึงทำงานอยู่หรอ”

     



    (อืม แต่คุยได้ๆ ตกลงมึงมีอะไรหรือว่าแฟนเผลอเลยโทรหาชู้ ฮะๆ) ยัดเยียดต้นงิ้วกับกระทะทองแดงให้กูบ่อยซะเหลือเกินนะเชี่ยคลื่นนนนนนนน กูไม่เล่นชู้โว้ยยยย สาดดดดดดดดดด

     



    “ไอ่สัส กูอยู่ที่คณะมึงอ่ะกูมารับไอ้ฟ่างเลยโทรหาเผื่อมึงจะสิงสถิตอยู่แถวนี้กูจะได้เอาของขวัญให้”

     



    (โอเคๆ เดี๋ยวลงไปหา อย่าไปยิ้มเรี่ยราดให้ใครล่ะ)

     



    “เอ๊ออ มึงรีบๆมาเห้ออออ” ทำไมกูต้องเจอแต่พวกสติไม่ค่อยเต็มวะ ขยันทำให้กูหงุดหงิดจริงๆ ฮึ่ยยยย

     



    จะว่าไปคณะสถาปัตย์นี่ดีนะครับดึกดื่นแค่ไหนยังมีนักศึกษาเพ่นพ่านไปหมด มีเตะบอลอยู่ที่ลานหน้าตึกด้วย มึงไม่กลับบ้านกลับช่องกันรึไงสงสัยพวกมันคงเก็บกดจากการเรียน ฮ่าๆ ผมนั่งรอไม่นานไอ้คลื่นก็พาหน้าหล่อๆที่ติดจะเพลียๆมาอยู่ตรงหน้าผม มันส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เหมือนอย่างเคยผมเลยยื่นของขวัญไปให้มัน

     




    “อ่ะ แฮปปี้นิวเยียร์และแฮปปี้เบิร์ดเดย์ โลกมันร้อนกูเลยให้กล่องเดียวในสองโอกาส ทูอินวันเนอะมึงเนอะ” คลื่นรับกล่องของขวัญไปถือก่อนจะหัวเราะแบบไม่เหลือความขรึมที่ได้ยินคำคมของผม

     



    “อ่ะจ๊ะ ยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละจ๊ะต่อให้มึงห่อใบตองห่อกระดาษขยะมากูก็ยินดีรับหมดนั่นแหละ”



    “ดีมาก พูดง่ายๆแบบนี้เดี๋ยวพาไปตัดเล็บตัดผมนะ”

     



    “หึหึ” มันยื่นมือมาผลักหัวผมก่อนจะนั่งยิ้มกว้างมองกล่องของขวัญในมือ “อยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร” มันเงยหน้ามายิ้มให้ผม

     



    “อยากรู้ก็แกะดิ แกะเลยๆ” ผมก็นั่งยุนั่งเชียร์ให้ไอ้คลื่นเปิดมันจะได้รู้ว่าของที่ผมให้น่ะอะเมสซิ่งแค่ไหน



    “ไม่เอาเดี๋ยวมึงแอบดู”

     

    “เออน่ากูไม่แอบดูหรอก หึ เชี่ยติงต๊องแล้วมึงกูเป็นคนเลือกให้มึงนะเว้ยเอางี้กูใบ้ให้ก็ได้ว่ามันเป็นของใช้ที่มึงพกพาได้”



    “ไอโฟน4s

     



    “พ่องสิกูยังไม่มีปัญญาซื้อใช้เองเลย” บ้านกูไม่ได้นำเข้าแอปเปิ้ลนะสัสบ้านกูมีแต่สวนส้ม กร้ากกกก




    “ขอบคุณนะพีม” มันผลักหัวผมเบาๆก่อนจะนั่งจ้องหน้าผมจนผมต้องหลบตาหันหน้าไปมองทางอื่น เกาแก้มเกาหัวไปเรื่อย แอบได้ยินมันหัวเราะชั่วร้ายด้วย แม่ง

     


    “เออๆไม่ต้องมาทำซึ้งเลย คนหล่ออย่างกูก็ใจดีแบบนี้แหละนะคลื่นนะ”

     



    “หึ หล่อแบบน่ารักๆโอเคให้อภัย”

     



    “น่ารักเชี่ยไร กูหล่อโว้ย หล่ออ่ะหล่อ” ของขึ้นเลยเนี่ยของขึ้น

     



    “แต่ก็น้อยกว่ากูหรือจะเถียง” เจอความจริงฟาดหน้าเข้าไปไอ้พีมถึงกับปล่อยหมาออกไปจากปากไม่ได้ครับพี่น้อง ไอ้คลื่นได้ทีมันก็ขำใหญ่แถมยังทำเนียนมาดึงแก้มผมอีก มากไปแล้วมึงเกิดใครบางคนส่งลูกสมุนมาตามกูล่ะก็งานนี้มีแต่ตายกับตายลูกเดียว เหอๆ

     



    เราเถียงกันเรื่องความหล่ออยู่ซักพักเพื่อนไอ้คลื่นก็โทรตาม คลื่นเลยขอตัวขึ้นไปทำงานต่อมันบอกว่าถ้าเคลียร์โปรเจคเสร็จจะพาผมไปเลี้ยงข้าวให้ผมลักลอบออกมาจากไอ้ภูมิ ดูมันใช้คำดิลักลงลักลอบติ่งไร กูเพิ่งบอกอยู่แหม่บๆว่าอย่ายัดเยียดต้นงิ้วให้กูปีน เดี๋ยวเจอยมบาลตัวเป็นๆสวยร่วงแล้วจะตกนรกแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน เหอๆ







    ผมยืนมองจนคลื่นมันขึ้นลิฟต์ไป ขอให้มึงมีความสุขได้เจอคนที่ดีและมีความรักที่ดีนะคลื่น

     





    ให้ของขวัญไอ้คลื่นเสร็จผมก็ไปหาฟ่างที่สนามรักบี้ เห็นอยู่ไกลๆว่ามันนั่งหงอยๆอยู่ข้างสนาม พอฟ่างหันมาเจอผม มันก็พยักหน้าให้ก่อนเดินเข้าไปในสนามตะโกนสั่งน้องๆในทีม แล้วก็เรียกมาประชุมอะไรกันซักอย่างไม่นานฟ่างก็ปล่อยน้องกลับส่วนมันก็เดินมาหาผม




    “เสร็จแล้วหรอวะ” ผมเอ่ยถาม



    “อืม”



    “เอ่อ แล้วจะกลับเลยมั้ย” ฟ่างพยักหน้าและเดินนำไปก่อนมันปล่อยให้ผมยืนเอ๋อเกาหัวตัวเองด้วยความไม่เข้าใจและความกลัว ทำไมต้องเป็นกูด้วยว๊าที่ต้องมาอยู่กับไอ้ฟ่างตอนที่มันเข้าโหมดดาร์ค




    ตลอดทางกลับบ้านบรรยากาศในรถเงียบมากครับ ฟ่างมันเอาแต่หันหน้าออกไปมองวิวด้านข้าง ผมถามมันว่าหิวข้าวรึเปล่าจะแวะกินอะไรมั้ยเพราะที่ห้องไม่มีอะไรเหลือให้กินเลยในตู้เย็นโบ๋เบ๋มาก สงสัยพรุ่งนี้คงจักต้องชวนภูมิไปกว้านซื้อเสบียงเสียแล้วกระมัง คึ




    เพื่อนกำลังเครียดกูยังจะฮานะครับพี่น้อง ฟ่างมันก็บอกไม่กินไม่หิวผมเลยแวะซื้อผัดไทร้านประจำไว้ให้ภูมิแล้วก็ซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมปังสังขยาให้ฟ่างด้วยเผื่อดึกๆมันหิว พอมาถึงคอนโดยังไม่ทันที่ผมจะเอาของไปเก็บฟ่างก็ชวนผมขึ้นไปเล่นบนดาดฟ้า

     









    ฟ่างเท้าศอกทั้งสองข้างกับขอบกำแพงที่สูงเท่าเอวมันดูดบุหรี่และมองออกไปยังเบื้องหน้า ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆมัน ฟ่างหันมามองผมก่อนจะยื่นบุหรี่ให้ ผมแค่รับมาถือไว้แต่ยังไม่จุดสูบผมกับไอ้ฟ่างอยู่กับความเงียบปล่อยให้ลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า

     


    เข้าหน้าหนาวแล้วสินะถึงแม้กรุงเทพจะไม่หนาวเท่าต่างจังหวัดแต่ตอนกลางคืนอากาศก็ค่อนข้างเย็นอยู่เหมือนกัน เส้นผมของไอ้ฟ่างปลิวน้อยๆตามแรงลม สายตามันไม่ได้จับจ้องอะไรเป็นพิเศษ เท่าที่ผมเป็นเพื่อนกับฟ่างมามันเป็นคนตรงๆปากร้ายแต่จิตใจดี เหมือนจะไม่แคร์ใครแต่จริงๆแล้วฟ่างแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าที่แสดงออกเพียงแต่ฟ่างไม่ใช่คนที่จะระบายเรื่องอะไรกับใครง่ายๆ

     




    “ทะเลาะกันหรอมึง” ผมถามขึ้นทำลายความเงียบบุหรี่ที่อยู่ในมือถูกผมหมุนเล่นจนนิ่ม



     

    “ก็นิดหน่อย” ไอ้ฟ่างตอบแล้วดูดบุหรี่ต่อ แล้วเราก็เงียบกันไปอีก ผมว่ามันคงไม่นิดแล้วล่ะมั้ง ผมเท้าแขนแบบที่ฟ่างทำก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า ผมไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด ไม่เห็นอะไรเลย เรายืนมองบรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเทพ


     

    แสงไฟตามท้องถนนที่เรียงตัวเป็นระเบียบแต่ดูไม่อิสระ แสงหลากสีจากตึกสูงจากสถานที่ต่างๆพอมองจากมุมนี้มันก็ดูสวยดีแต่มันไม่มีชีวิตชีวา ต่างจากแสงของดาวที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบอยู่บนท้องฟ้า ดาวมีเพียงแสงสีขาวแต่มันกลับมีเสน่ห์น่ามองเสมอ



     

     

    “ฟ่าง…..กูถามไรหน่อยดิ” ผมเอ่ยทำลายความเงียบ ฟ่างหันมาเลิกคิ้วเชิงอนุญาตให้ผมถาม

     



    “อืม ว่ามาสิ”






    “มึงว่า…..ความรักแบบพวกเรามันจะยาวนานมั้ยวะ” ไอ้ฟ่างเลิกมองไปข้างหน้าแล้วหันมาจ้องหน้าผมแทน มันจ้องตาผมเพียงครู่ก่อนจะพรั่งพรูลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับปล่อยควันสีขาวให้ลอยไปในอากาศและค่อยๆจางหายไป มันส่งเสียงหึ ก่อนจะเขี่ยๆไส้บุหรี่ทิ้ง

     


     

    “มึงพูดเหมือนความรักมันมีหลายพวกหลายแบบ มึงแบ่งพรรคแบ่งพวกจัดกลุ่มความรักได้หรอน้องสะใภ้” น้ำเสียงราบเรียบของฟ่างทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก





    “ก็…..


     

    “สิ่งที่เราเป็นอาจจะไม่ถูกอาจจะไม่ดีในสายตาคนอื่นหรืออาจจะต่างจากใครๆ แต่ความรักของกูก็เหมือนความรักของคนอื่นๆบนโลกใบนี้แหละพีม”

     




    ………………………..



     

    “กูไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นจะนิยามความหมายของความรักห่าเหวอะไรบ้างแต่สำหรับกูรักก็คือรัก กูรักไอ้แทน ไม่เจอกันไม่เห็นหน้ามันกูก็คิดถึง กูหวงมัน ห่วงมัน อยากอยู่ใกล้ๆคอยดูแลมัน ถ้านี่คือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่ารัก ถ้ามันคือความรู้สึกที่คนเราเรียกว่าความรัก กูก็มีไม่ต่างจากใครๆ”

     




    ……………………”ผมได้แต่ก้มหน้าฟังเสียงของฟ่าง

     



    “และมึงก็คงมีไม่ต่างจากกู แต่จะยาวนานมั้ยกูไม่รู้และคงไม่มีใครรู้ไม่มีใครกำหนดได้ แต่ถ้าขอได้กูก็อยากอยู่แบบนี้ไปตลอด อยู่กับไอ้แทนไปทั้งชีวิต” น้ำเสียงของไอ้ฟ่างทุ้มๆนุ่มๆจนผมอมยิ้มตามถึงจะรู้ว่าฟ่างรักไอ้แทนไม่น้อยไปกว่าที่ไอ้แทนรักแต่มันก็ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้ยินได้เห็นมันพูดหรือแสดงออกมา

     




    “มึงเข้มแข็งว่ะฟ่าง” ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆยิ่งพอเทียบกับตัวเองแล้วผมห่างจากฟ่างเยอะ

     




    “หึ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอ่อนแอ กว่าจะเจอคนที่ใช่กว่าจะรักกันไม่ใช่เรื่องง่าย กูไม่เอาสายตาคนอื่นมาวัดความรักกูหรอก มึงเองก็อย่าคิดมาก อย่าไปแคร์อะไรไร้สาระกูอาจจะปลอบคนไม่เป็นแต่เชื่อสิน้องกูปกป้องมึงได้” มันบี้ก้นบุหรี่ที่เหลือลงกับขอบกำแพงก่อนจะทิ้งลงสู้พื้นเบื้องล่าง “ความรักของภูมิมีไว้เพื่อมึง จำแค่นั้นพอ”

     


     

    “อืม กูรู้”

     




    “หึ ปากหมาอย่างมึงคิดมากกับเขาก็เป็นด้วยหรอวะ แต่ลุคนี้ไม่เหมาะกับมึงว่ะพีม มองแล้วขัดลูกตา”มันผลักหัวผมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ไอ้ฟ่างพูดด้วยรอยยิ้มดวงตาคมโตคู่นั้นทั้งมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว จนผมเองเผลอยิ้มไปกับมัน

     




    “อือ ขอบใจวะ”

     




    "แม่งหลบมาอยู่นี่เอง”  ทั้งผมและฟ่างหันไปมองคนมาใหม่เป็นภูมิที่ตามขึ้นมามันรู้ได้ไงวะว่าผมอยู่ที่นี่ “ฟ่างปิดโทรศัพท์ทำไมรู้มั้ยไอ้แทนตามหามึงแทบจะพลิกแผ่นดินแล้ว” ภูมิบอกพี่มันแล้วมองเลยมาที่ผม

     



    “มึงมาก็ดีแล้ว เด็กมึงจิตตกเอามันไปจัดการล้างสมองด้วย” ฟ่างเอื้อมมือมาผลักหัวผมก่อนจะหันหลังเดินกลับลงไป เหลือเพียงผมที่ยืนอยู่ที่เดิมโดยมีภูมิมองจ้องมาตาแทบไม่กระพริบ

     




    “เป็นไร” ไอ้ภูมิเข้ามายืนแทนที่ไอ้ฟ่าง มันมองหน้าผมนิ่ง

     



    “เปล่า”ผมยิ้มให้มัน พยายามมองสบตาให้รู้ว่ากูไม่ได้โกหกกูไม่เป็นอะไร แต่ผมก็ต้องรีบก้มหน้าหลบตามองรถราเบื้องล่างแทนดวงตาคู่นั้น ดวงตาไอ้ภูมิเหมือนรู้ทุกอย่างที่ผมกำลังคิด เหมือนมันมองทะลุหัวใจของผมได้

     



    “บอกมาพีม อย่าให้กูต้องเค้นคอ” มันจับหน้าผมให้เงยมามองสบตากันอีกครั้ง ผมฝืนหน้าออกจากมือมัน ก่อนจะเอนหัวพิงไหล่กว้างๆของภูมิ มันก็โอบกอดผมไว้ผมหลับตาลงพลางถอนหายใจ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงรู้สึกหน่วงๆที่หัวใจแบบนี้



    ผมก็แค่กลัวมันเป็นความรู้สึกกลัวว่าถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันจะเป็นยังไง ผมจะอยู่ได้หรือเปล่า ถามตอนนี้ก็ได้คำตอบตอนนี้ว่าไม่มีทาง ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภูมิ

     




    “มึงคิดมากเรื่องอะไร เรื่องพ่อเหรอ” มันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กูขอโทษวะภูมิที่กูอ่อนแอ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร พ่อยังไม่ได้คุยเพื่อนพ่อก็โทรมาพอดี พ่อบอกกูว่าเอาไว้คุยกันวันหลังแล้วพ่อก็ออกไป ก็แค่นั้น”ผมเชื่อภูมิผมรู้ว่ามันไม่เคยโกหกไม่เคยปิดบังแต่ผมแค่อยากฟังเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง “มึงดูกังวลกับเรื่องนี้มากนะพีม กูยังไม่ได้คุยกับพ่อจริงๆมันไม่มีอะไรหรอกอย่าคิดมาก”

     




    “จริงนะ มึงอย่าโกหกกูนะ”



     

    “กูจะโกหกมึงทำไม กูไม่เคยมีความลับกับมึงอีกอย่างต่อให้พ่อรู้เรื่องของเรากูก็จะอธิบายกับพ่อเองจะไม่ให้ใครมาทำให้มึงเสียใจเด็ดขาด” ผมพลิกหน้าลงถูกับอกภูมิอยากขอโทษที่คิดมากอยากขอบคุณที่มันอยู่ตรงนี้ “แล้วที่ฟ่างพูดเมื่อกี้คืออะไรที่บอกว่ามึงจิตตก”

     



    “ไม่มีอะไรหรอกกูแค่คิดเล่นๆน่ะว่าอยากให้เรารักกันนานๆอยากอยู่กับมึงทุกวัน อยากให้เราอยู่ข้างกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

     



    “มึงก็ได้ทุกอย่างตามที่อยากแล้วนิ”

     

     

    “หึ นั่นสิแต่กูกลัวกูไม่มั่นใจว่ามันจะนานแค่ไหน” ผมอาจจะคิดมากไปเองกลัวไปเองทั้งที่ปัญหามันยังไม่เกิด ภูมิหัวเราะเบาๆและขยี้หัวผม

     

     


    “นานเท่าที่กูยังหายใจ”





    “ภูมิ…….

     



    “มึงฟังกูนะพีม ไม่มีมึงกูก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไม่ได้รักมึงก็ไม่รู้ว่าจะมีหัวใจไว้เพื่ออะไร มึงไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น รู้แค่ตอนนี้ วันนี้เรายังรักกันก็พอ” ผมซุกตัวกอดมันไว้เต็มอ้อมแขน แม่งเอ๊ย อย่างร้องไห้ชิบหาย มืออุ่นๆของภูมิที่ลูบหลังผมช่วยไล่ความหนาวและหวาดกลัว อารมณ์สีหม่นๆหายไปแล้วแค่ได้ใกล้กันแค่มีมันอยู่ข้างๆ มีไหล่นี้ให้พึ่งพิงยามเหนื่อยล้าก็พอแล้ว

     

     

     







    …………………………………








     

    ผมกับภูมิเรายังใช้ชีวิตกันตามปกติ มาเรียน  ไปดูภูมิซ้อมดนตรี เรายังอยู่ด้วยกันผมยังมีภูมิอยู่ข้างๆและได้แต่หวังว่าวันพรุ่งนี้เราก็จะยังมีกันและกันแบบนี้

     


     

    วันนี้วันเสาร์หลังจากช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดห้อง เอาผ้าไปส่งร้านซักรีด ผมกับภูมิก็ได้เวลาไปลั้นลาผ่อนคลายสมองที่เรียนหนัก(เหรอ)มาทั้งสัปดาห์ พวกเราไปดูหนังกันแล้วก็แวะซื้อหนังสือ ไอ้ภูมิน่ะซื้อหนังสือมีความรู้คู่สาระ





    แต่ผมนี่ไปเหมาการ์ตูนอย่างเดียวเลยครับตอนจ่ายเงินไอ้ภูมิมองหน้าอ่ะคิดดู ฮ่าๆแต่ผมก็ได้กระดาษปอนด์กับสีล็อตใหม่มานะเว้ยเห็นมั้ยว่าพีระณัฐก็ไม่ใช่ขี้ๆนะเฟ้ยเด็กเรียนครับเด็กเรียน คึคึ แต่คิดไปคิดมาแม่งเปลืองว่ะซื้อสีทุกอาทิตย์หนวดเคยด่าผมว่ามึงไม่ซื้อมาแดกแทนข้าวเลยล่ะแมวจะได้คุ้ม แอ๊บแอมีพ่อที่ไหนบอกลูกกินสี หนวดแม่งบ้าว่ะ

     



    เสร็จจากซื้อหนังสือก็ได้เวลาไปกินข้าวกัน ชาบูๆๆๆๆ ก่อนกลับห้องผมกับภูมิก็ไปตะลอนซื้อของกินของใช้เข้าห้อง กว่าจะกลับถึงคอนโดก็เกือบสี่ทุ่ม มาถึงก็ใช่ว่าจะได้ขึ้นไปพักผ่อนได้ง่ายๆนะครับเพราะตอนนี้ผมกับไอ้หล่อกำลังตีกันเรื่อง……



     

    “มึงขี้โกงอ่ะ อันนั้นมันเบา” กำลังสู้กันว่าใครจะหิ้วถุงไหนเพราะของเยอะมากแล้วแม่งเสือกหนักอีกต่างหากเชี่ยภูมิก็โคตรรักกูเลยมันถือแต่พวกขนมปังพวกอาหารแห้งๆส่วนผมแบกนมเป็นแกลลอนครับ

     




    “หึหึ เอามาๆเตี้ยแล้วยังขี้บ่นอีกแฟนใครวะ” แฟนมึงแหละไอ่ห่าและในที่สุดผมก็ชนะครับ ฮ่าๆ ภูมิคว้าของหนักๆไปถือเองส่วนผมก็เดินตัวเบาเข้าลิฟต์ คึ

     

     



    “รีบไปไขห้องเลยข้อมือกูจะขาดแล้ว” ไอ้ภูมิมันบ่นครับ โด่ แค่นี้ทำเป็นหนักของกูตั้งหลายถุงกูยังไม่บ่นเลย กร้ากก

     




    “เออๆ” ผมก็รีบวิ่งออกจากลิฟต์ไปเปิดประตูรอภูมิ แต่ผมก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อลองบิดลูกบิดประตูแล้วปรากฏว่าห้องไม่ได้ล็อค

     




    “ภูมิ มึงไม่ได้ล็อคห้องเหรอ” ผมเงยหน้าขอคำยืนยันจากภูมิ มือไม้ผมเริ่มสั่นเพราะใจผมคิดไปไกลว่าเราโดนงัดห้อง

     




    “ล็อคแล้ว” ภูมิขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะหันมาสบตากับผม นาทีนั้นเราคิดได้อย่างเดียวว่าห้องโดนงัด แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่คอนโดหรูมีระบบป้องกันความปลอดภัยเข้มงวดจะมีโจรมีขโมยแอบเข้ามาได้

     





    “พีมถอยออกมา” ภูมิบอกให้ผมหลบไปอยู่ข้างหลังก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายผลักประตูเข้าไป

     

     





    และถ้าผมรู้ล่วงหน้าผมจะไม่มีวันให้ภูมิเปิดประตูบานนี้โดยเด็ดขาด

     

     










    “พ่อ แม่”

     

     









     

     





    TBC >>>>>>>>>>>>>>





    …………………………..






    -         มาน้อยๆแต่มาบ่อยๆ อิอิ ช่วงนี้ตาลวิ่งรอกมากค่ะแต่ไม่ว่าชีวิตจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหนก็จะพยายามพาหนุ่มๆมาหาเรื่อยๆนะคะ อาจจะมีคำผิดเยอะหรืออะไรดูแปลกๆก็ขอโทษด้วยนะคะ ช่วงนี้มีแต่ของสดอ่านไประวังร้อนนะ ฮ่าๆ รักทุกคนเสมอ จุ๊บๆ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×