ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #40 : ตอนที่ 37 ท้องฟ้ากับพระจันทร์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 45.32K
      195
      19 มิ.ย. 54









     
     ตอนที่
    37 ท้องฟ้ากับพระจันทร์








     
    วางสายจากไอ้คลื่นผมก็หลับต่อ ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่ายโมงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็รีบไปบอกแม่ว่าเพื่อนจะขึ้นมาหา
     

    แม่ผมดีใจดี๊ด๊าใหญ่ ที่จะมีเพื่อนลูกชายมาบ้าน ตอนที่พวกไอ้คิวมาเที่ยวบ้านผม แม่ปลื้มมาก รักพวกมันมากเพราะแม่ชอบคนหล่อๆอีกอย่างเวลามีเพื่อนผมมา คุณนายจะได้ล้วงความลับของผมด้วย-_-
     


    “แล้วเพื่อนจะมาถึงตอนไหนล่ะ แม่จะได้ให้กิ่งเตรียมอาหารอร่อยๆไว้ต้อนรับ”
     
    “คงทุ่มสองทุ่มมั้งครับ พีมก็ไม่แน่ใจ”


    “มีเพื่อนมาอยู่ด้วยก็ดีแล้วล่ะ แม่เห็นพีมซึมๆมาหลายวันแล้ว”


    “พีมเปล่าซึมซะหน่อย แค่มันเซ็งๆไม่มีอะไรทำ” การโกหกเพื่อให้แม่สบายใจ ผมคงไม่บาปหรอกใช่มั้ย
     

    “แล้วน้องคลื่นนี่เป็นเพื่อนในคณะพีมเหรอ ไม่เห็นเคยเล่าให้แม่ฟังเลย เห็นเล่าแต่เรื่องของน้องภูมิ” น้ำพริกอ่องแทบออกจมูก


    “คลื่นมันอยู่คนละคณะ แต่ทำกิจกรรมด้วยกันไง เลยรู้จักกัน แล้วพีมเล่าเรื่องไอ้ภูมิตอนไหน แม่อ่ะมั่ว”


    “ฉันไม่ได้มั่วย่ะ ก็เวลาแม่โทรหาทีไร พีมก็บอกว่าอยู่กับภูมิ ภูมิพาไปนั่นไปนี่ แม่ก็อยากเจอเพื่อนสนิทลูกเหมือนกันนะ พีมน่าจะชวนภูมิมาเที่ยวบ้านเราบ้าง เห็นบอกว่าหล่อด้วยนิ ฮะๆ”


    “ก็งั้นๆ” หล่อมั้ยไม่รู้ รู้แต่ว่า
    อย่าพูดเรื่องมันตอนนี้จะได้ม๊ายยยยยยย พีมกินข้าวไม่ลงนะแม่ ฮึ่ยเพื่อนสนิทงั้นเหรอ เหอๆ สนิทกายสนิทใจน่ะสิ
     
    “น้องพีม พี่ได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์บนห้องน้องพีมน่ะคะ” ระฆังช่วยชีวิต ผมลุกจากโต๊ะกินข้าวทันทีที่พี่กิ่งเรียก ปล่อยแม่กินข้าวไปคนเดียวเลย  
     

    คนที่โทรมาคือไอ้คลื่น แล้วทำไมผมถึงรู้สึกผิดหวังนิดๆด้วยนะ คงเพราะผมหวังว่าจะเป็นภูมิที่โทรมา


    นี่มึงไม่คิดจะติดต่อกูจริงๆเหรอภูมิ


    ไอ้คลื่นมันโทรมาถามเส้นทางมาบ้านผม เพราะคนขับรถของมันไม่ชินเส้นทางเลยถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบกันหลงทาง


    หลังจากกินข้าวเสร็จแม่ชวนผมมาเดินห้างตากแอร์เย็นๆเพราะกลัวผมจะเบื่อ(จริงๆเอาผมมาถือของให้) ได้เที่ยวกับแม่ อยู่กับแม่ก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ผมไม่คิดถึงใครบางคนจนเหงามากเกินไป
     





    ………………………………..




     
     “แม่ สวัสดีครับ”ผมกับแม่กลับจากช้อปไม่นาน ไอ้คลื่นก็มาถึง มันพาหน้าหล่อๆของมันมาสวัสดีแม่ผมแถมยังหันมายิ้มหน้าบานให้ผมอีก
     


      
    “สวัสดีจ๊ะลูก ต๊าย หน้าตาผิวพรรณเหมือนพระเอกหนังเลย”  แม่กำลังบ้าพระเอกละครคนนึง เห็นใครสูงๆหล่อๆไม่ได้ เป็นต้องบอกว่าเหมือนเขาไปหมด เห็นผู้ชายคนไหนแม่ก็บอกเหมือน
     



    ไอ้คลื่นก็ยิ้มเขินๆ ชริส์ ไม่เห็นจะหล่อเลย ถ้าหน้าอย่างงี้เรียกหล่อนะอย่างผมคงพี่โดม ปกรณ์แล้วล่ะ หึหึ “แล้วน้องคิวน้องแทนไม่มาด้วยกันเหรอ”
     



    “ครับ พอดีผมมาทำธุระกับพ่อที่แม่ฮ่องสอนน่ะครับเลยแวะมาหาพีม ยังไงก็รบกวนคุณแม่ด้วยนะครับ”


    “โอ๊ย รบกงรบกวนอะไรกันลูก ไม่ต้องเกรงใจจ๊ะ อยู่กันเยอะๆสนุกจะตาย เอ
    แต่พีมบอกแม่ว่ามีคนขับรถมาด้วยนิ”



    “ใช่ครับ แต่ว่าน้าแกต้องตีรถกลับไปทำธุระให้พ่อต่อน่ะครับ”



    “อ๋อ” ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว แล้วไอ้คลื่นก็เอาของฝากมาประเคนให้แม่ผม ว่าแต่นั่นของฝากหรือมึงล้างสต็อกกันแน่วะ เยอะโคตรๆ
     


    “ขอบใจมากนะลูก แต่คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ งั้นหนุ่มๆก็คุยกันไปก่อนนะ แม่ไปบอกให้กิ่งจัดโต๊ะก่อน ตามสบายนะจ๊ะ”



    “ครับ ขอบคุณครับ” แม่ผมเดินเฉิดฉายเข้าครัวไป ทิ้งไว้แค่ผมกับมันสองคน ทำไมรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกล่ะเนี่ย“ไง นั่งเงียบเลยนะ ไม่ดีใจรึไง กูอุตส่าห์มาหา”
    พอลับหลังแม่ ไอ้คราบชายหนุ่มแสนดีก็หลุดลอยตามแม่ไปด้วย เหลือแต่ไอ้ปีศาจกวนตีนตัวเดิม
     

    “กูต้องจัดขบวนสิงโตแห่ต้อนรับมึงด้วยมั้ย”
    ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมก็ยิ้มให้มัน ก็ใครใช้ให้มันยิ้มก่อนล่ะ “เอาของไปเก็บก่อนป่ะ” ผมพาไอ้คลื่นขึ้นมาชั้นสอง มันก็ชมไม่ขาดปากว่าบ้านผมสวยอย่างโน้น น่าอยู่ยังไงงี้ มันบอกว่าชอบบ้านไม้สักทองแบบนี้มาก
     

    วันนี้พ่อกลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน เพราะรู้ว่ามีเพื่อนลูกชายมาเยี่ยม ไอ้คลื่นเป็นคนที่เข้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ได้ดีมาก ทั้งที่พ่อผมเป็นคนที่เข้าถึงยาก เป็นคนอื่นคงเกร็ง แต่คลื่นผมเห็นมันชวนพ่อคุยจ้อเชียว
     

    เรากินข้าวเสร็จ ต่อด้วยข้าวเหนียวมะม่วงฝีมือหญิงแม่ เล่นเอาผมเกือบเป็นงูเหลือม อิ่มจนกระดิกตัวไม่ได้ผมนั่งดูทีวีที่ห้องรับแขกซักพักแม่ก็ไล่ให้มานอน เพราะคลื่นนั่งรถมาเหนื่อย ให้รีบพักผ่อน
     



    ผมกับมันเปลี่ยนกันอาบน้ำ แต่แทนที่อาบเสร็จจะรีบนอนมันกลับชวนผมลงมานั่งเล่นที่โต๊ะไม้หน้าบ้าน ดอกกาสะลองที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ บางทีก็ได้กลิ่นหอมเหงาๆของดอกลั่นทม ดอกไม้ทุกต้นที่เบียดกันขึ้นในรั้วบ้าน เป็นฝีมือการปลูกของคุณพ่อผมเองครับ เจ๋งป่ะละ
     


    “ดูมึงไม่ค่อยสดชื่นเลย มีเรื่องอะไรรึเปล่า”ไอ้คลื่นเอ่ยถามทันทีที่เราทั้งคู่นั่งลง นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ



    “ก็นิดหน่อย”


    “หึ ทำไม แฟนไม่โทรหารึไง”



    “สู่รู้นะมึง แล้วนี่คิดไงถึงมาหากูได้วะ”
    เราต้องชิงเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ศัตรูจะจู่โจมมากไปกว่านี้ ผมเท้าคางถามไอ้คนที่นั่งตรงข้าม ไม่เจอกันเกือบสามเดือน เชี่ยนี่หล่อขึ้นเป็นกอง มันใช้โฟมล้างหน้ารกแกะ รกแพะรึไงวะ ใสกิ๊งเลย


    “คิดว่าคิดถึง ก็เลยมา”
    เอ่อมันยิ้มเท่ห์ๆมาให้ผม พร้อมกับเอนหลังพาดแขนไปตามแนวม้านั่ง จะพูดจะจาอะไรเคยคิดถึงใจก็บ้างมั้ย ห๊า
     


    “อ่ะนะ” แม้ว่าผมจะไม่ได้คิดอะไร แม้ว่าเราทั้งคู่จะบริสุทธิ์ใจต่อกัน แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าลึกๆแล้วผมกังวล กังวลว่าถ้าภูมิรู้เรื่องนี้ รู้ว่าคลื่นมาหาผมถึงเชียงใหม่มันจะรู้สึกยังไง ไอ้มันรู้สึกยังไงยังไม่น่าห่วงเท่า ถ้ามันรู้แล้วกูจะมีสภาพ(ศพ)แบบไหน นี่สิที่น่าคิด เหอๆ
     


    แต่ก็ช่างเถอะ ก็มันเล่นหายไปเป็นอาทิตย์คงไม่ห่วงผมแล้วละมั้ง “แล้วทำไมมาคนเดียววะ กูนึกว่ามึงจะหนีบสาวมาด้วยนะเนี่ย” ผมแซวมันหวังว่าจะได้เห็นไอ้คลื่นอาย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะนอกจากมันจะไม่อายมันยังกวนตีนต่ออีกต่างหาก


    “เอามาทำไม มาหาเอาข้างหน้า”


    “หึหึ ไอ้บ้า สาวนะเว้ยไม่ใช่ปั๊บน้ำมันจะได้มาหาเอาดาบหน้า แล้วปิดเทอมมึงเป็นไงบ้างวะ”
     
    “ก็ดี ช่วยงานที่บ้านน่ะ แล้วมึงล่ะ” ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้เชี่ยคุณชายคลื่นบ้านมันทำเกี่ยวกับพวกอสังหาฯ รวยได้อีกไอ้ฝัด(ฟายฟีชเจอริ่งกับสัดน่ะครับ)อิอิ


    “อยู่บ้านเฉยๆ กินกับนอน แม่งโคตรสบาย”


    “เออ ถึงว่า กูเห็นมึงตอนแรกนึกว่าเด็กคนที่มันนั่งขัดสมาธิถือขวดซีอิ๊วขาวซะอีก” หน๊อย จะว่ากูอ้วนใช่มั้ย จะว่ากูเป็นเด็กสมบูรณ์ใช่มั้ย


    “มึงออกจากบ้านกูไปเลยป่ะ แม่ง” คิดดูนะครับ คือผมก็ไม่ใช่คนสูงมากใช่มั้ยละ แล้วถ้าผมอ้วนด้วยมันจะเป็นยังไง กูไม่อยากคิดเลย
    Y_Y



    “ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า มึงก็ตัวเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ตัดผมใช่มั้ย น่ารักดี
    แล้วทำไมต้องจ้องขนาดนั้นด้วย แล้วทำไมต้องยิ้มหวานขนาดนั้น ผมเคยบอกใช่มัยครับว่าคลื่นเป็นคนที่ยิ้มเก่งมาก


    รอยยิ้มของมันสดใสจริงใจเสมอเพราะมันไม่ได้ยิ้มแค่ปากแต่ตามันก็ยิ้มด้วย ถ้าจะบอกว่าคลื่นเป็นผู้ชายอบอุ่นก็คงไม่ผิดนัก


     “เอ่อ ก็อยากลองเปลี่ยนดูบ้าง ไว้ยาวๆแล้วมันร้อนน่ะ”


    “อืม แล้วตกลงมึงซึมเรื่องอะไร บอกกูได้นะ”
    ผมมองหน้าไอ้คลื่น ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันผมจะรู้สึกสบายใจ แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะใช้ความรู้สึกดีของคลื่นที่มีให้ผม ให้มันมาเป็นที่ปรึกษา ผมรู้ว่ามันต้องเจ็บ แต่ตอนนี้ผม
    อยากให้ใครซักคนรับฟังความรู้สึกของผมบ้าง



    …………………………..


    “พูดมาเถอะ กูยินดีรับฟังมึงทุกเรื่องนะพีม”


    ……ภูมิมันไม่โทรหากูหลายวันแล้ว”


    ………………มึงก็โทรหามันสิ”


    “โทรไปแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้”


    “มันมีเพื่อนอยู่ที่นู่นมั้ย ลองโทรหาเพื่อนมันดูสิ”


    “เพื่อนมันก็เพื่อนกูนี่แหละ”


    “งั้นเหรอ มันอาจจะติดธุระอะไรก็ได้มั้ง หรือไม่ก็อาจจะทำมือถือพัง มึงก็อย่าคิดมาก คิดมากส่วนสูงลดนะพีม หึหึ”


    “ไอ้เชี่ยคลื่น สาดด หลอกด่ากู”


    “หึหึ ตอนเด็กแม่มึงเอาเขียนยักษ์ฟาดปากมึงบ่อยหรอพีม”


    “อือ ฟาดเสร็จกูก็กินสดๆทั้งตัวเลย ถุย ตลกแระๆ” คนยิ่งเซ็งๆมากวนประสาทอยู่ได้ มึงเป็นที่ปรึกษาที่แย่มากไอ้คลื่น


    “ไม่งั้นมึงก็ลองอีกวิธี โทรไปบอกมันว่ากูมาหา กูว่าแม่งคงเหมาเครื่องบินกลับมาแทบไม่ทัน”


    “หึ มึงก็เว่อ”


    “เอาน่า อย่าคิดมาก กูก็มาอยู่เป็นคนแก้เหงาให้มึงตั้งสามวันเลยนะ ยิ้มหน่อยสิ”
    อยู่ๆมันยื่นมือมาลูบหัวผมก่อนจะผลักเบาๆ


    “หึหึ แต๊ะอั๋งกูเหรอ
    ^___^” ไอ้คลื่นหัวเราะและผมยิ้มได้อีกครั้ง การมีเพื่อนหรือใครซักคนอยู่ข้างๆเวลาที่เรารู้สึกเหงา แม้ความเหงานั้นอาจจะไม่หายไป แต่ก็ทำให้เราลืมมันได้ชั่วระยะหนึ่ง ขอบคุณมึงมากนะคลื่น


    “ที่เชียงใหม่ ดาวสวยดีเนอะ ดวงเบ้อเร่อเลย กูจำได้ว่ามึงชอบมองดาวนิ”
    มันแหงนหน้าคอตั้งมองดาว วันนี้ท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆมาบังแสงดาว คืนนี้ดาวสวยมากเลย
     


    “อื้ม ไม่ว่าดูดาวที่ไหน ก็ไม่สวยเท่าบ้านเราหรอก”
    แล้วจู่ๆคลื่นก็ลุกมานั่งข้างผม มันจับมือผมให้ยื่นไปกลางอากาศ แล้วทำเหมือนกำลังจับดวงดาวไว้ได้




    “แปลกดีเนอะ ดาวมันอยู่ตั้งไกลกูยังคว้ามาให้มึงได้ แต่หัวใจมึงอยู่ใกล้แค่นี้ทำไมกูไปไม่ถึง”
    ผมได้แต่บีบมือคลื่น กูขอโทษที่ใจแคบนะคลื่น ขอโทษจริงๆ
     


    “หึหึ มึงอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ กูน่ะไม่เป็นไรหรอก” เวลาแบบนี้รอยยิ้มของมันก็ยังมี เราทั้งคู่ต่างก็นั่งเงียบๆ มือคลื่นก็ยังจับมือผมไว้เช่นเดิม “พีม มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงน่ะเหมือนท้องฟ้า”



    “หืม
    ?คลื่นหันมายิ้มอ่อนหวานให้ผมเมื่อผมขมวดคิ้วใส่มัน ก่อนที่มันจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง


    “เวลาที่กูอยู่ใกล้ๆมึง กูรู้สึกเหมือนได้มองท้องฟ้า มันอิสระ สดใส โปรดโปร่ง เวลาที่ได้มองมึงกูสบายใจจนรู้สึกว่าอยากจะยิ้ม
    …. พีม กูขอเป็นพระจันทร์ของมึงจะได้มั้ย
     


    คลื่นบอกกับกับผมว่า ผมเป็นท้องฟ้าและคนที่อยู่คู่กันคือพระอาทิตย์นั่นคงหมายถึงภูมิ ในขณะที่มันคือพระจันทร์ พระจันทร์ที่อยู่กับท้องฟ้าตลอดเวลา แม้ว่าไม่มีใครมองเห็นเพราะพระจันทร์ถูกแสงพระอาทิตย์บดบังไว้ในวันที่ฟ้าแจ่มใส



    แต่ไม่ว่ายังไงพระจันทร์ก็ไม่เคยหายไปไหน ยังอยู่ที่เดิม อยู่กับท้องฟ้า แม้จะมีค่าแค่เวลาที่ฟ้ามืด ก็ตาม



    ผมพูดอะไรไม่ออก ความอบอุ่นจากมือข้างนั้นที่กุมมือผมไว้ ผมรับรู้มันด้วยใจ และคลื่นเองก็น่าจะรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท้องฟ้าก็ต้องมีพระจันทร์อยู่แล้ว
     



    “คลื่น
    ….มึงจะเป็นคนพิเศษของกูเสมอนะ” คนเป็นแฟนกันบางทีอาจจะเลิกรากันไป ความสัมพันธ์นั้นก็จบลง แต่คนพิเศษไม่ว่านานแค่ไหน ไม่ว่าจะนานเท่าไร คลื่นก็จะเป็นคนพิเศษของผมตลอดไป




    ………………………………



     
    เมื่อคืนหลังจากได้คุยหลายๆอย่างกับคลื่น ผมยอมรับว่ารู้สึกดีกับมันมาก ผมอยากขอบคุณคนดีๆอย่างมันที่มอบความรักที่สวยงามให้ผม แม้ผมจะให้กลับไปได้ไม่เท่าที่รับมาก็ตาม
     



    เช้านี้ผมเลยเอาสาเป็นไกด์พาไอ้คลื่นเที่ยวเมืองเชียงใหม่ ก็ไม่ไปไหนไกลหรอกครับ วนๆเวียนๆอยู่ในตัวเมืองนี่แหละ เพราะคลื่นมันก็เคยมาเที่ยวแล้ว
     

    อีกอย่างวันนี้พวกผมก็หนักไปทางของกินซะมากกว่า ร้านไหนว่าอร่อยผมสองคนตะเวนไปหมด ไล่มาตั้งแต่ร้านข้าวซอย ข้าวมันไก่ ไอศกรีมสมุนไพร ร้านเค้ก พักเบรกด้วยการไปไหว้เสาอินทขิลหรือหลักเมืองนั่นแหละครับเป็นศิริมงคลให้ทริปเบาๆชิลๆของเราซะหน่อย




    แล้วก็ไปต่อที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ พวกผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควรเพราะไอ้คลื่นดูจะสนใจหุ่นขี้ผึ้งเป็นพิเศษ แต่ที่ใช้เวลาแบบว่าคุ้มจริงๆคุ้มสุดๆก็ตอนเดินฮิปสตรีทนี่แหละครับ ถนนนิมมานเหมินทร์ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่คงไม่ใช่ไอ้คลื่น เพราะมันจะหยุดถ่ายรูปทุกๆสามก้าว
     



    ก็อย่างที่รู้ว่าแถวนี้ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมเก๋ๆของร้านต่างๆที่ต่างก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นจนสดุดตาไอ้หนุ่มสถาปัตย์ไปซะทุกร้าน แค่เสาไฟกับป้ายบอกทางมันยังถ่ายคิดดู
     


    แต่จะว่ามันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกครับ เพราะผมก็ขังตัวเองในแกลลอรี่เป็นชั่วโมงเหมือนกัน ถึงจะเคยมาแต่ว่าก็ไม่ได้มาบ่อยนี่ นานๆมาทีขอชื่นชมศิลปะล้านนาหน่อยละกันนะครับ
     


    พอเดินจนเหนื่อยก็ได้เวลาหม่ำๆแล้ว และพวกผมก็ตกลงกันว่าจะไปฝากท้องที่ถนนคนเดิน กูเดินแม่งทั้งวันอ่ะ เชี่ยคลื่นจะจ่ายค่าเหนื่อยให้เท่าไรวะเนี่ย ฮ่าๆ


    “ไง เหนื่อยเลยดิ”


    “ไม่เหนื่อยมั้ง วิ่งรอบจังหวัด”
     


    ไอ้คลื่นมันสละเวลาดูทางมาถามผม ขามาผมขับรถ แต่ขากลับนี่ไม่ไหวจริงๆครับ เหนื่อยมากแต่ว่าก็สนุกมากเหมือนกัน มีสาวเหนือมาขอเบอร์ไอ้คลื่นด้วยตอนที่อยู่ถนนคนเดิน มันก็ให้นะแต่ให้เบอร์เพื่อนมัน เลวจริงอะไรจริงคนเรา



    แล้วผมกับมันก็เพ้นเสื้อคนละตัวด้วย แบบว่าก็ไม่ได้อยากโชว์อะไรหรอกนะครับ ผมก็เด็กศิลปะใช่มั้ย ไอ้คลื่นแน่นอนว่าเรียนถาปัตย์เรื่องวาดรูปก็ต้องเทพ เลยมีการประชันกันนิดหน่อย
     


    ตอนคนอื่นวาดคนก็ไม่เห็นมามุงนะ พอผมกับไอ้คลื่นนั่งวาดไปได้ซักพักคนเริ่มมามุง และแล้วไอ้คลื่นก็ชนะไปเหตุผลเพราะว่ามันวาดรูปที่คนเข้าใจ แต่ว่ารูปของผมเป็น
    abstract รูปนามธรรมน่ะครับ ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่เข้าในนิว่ามันคืออะไร เลยแพ้ไอ้คลื่นวะได้ ไม่น่าเล้ย
     

     “หึหึ หิวมั้ย ขนมอยู่หลังรถเอามากินดิ”


    “ไม่ไหวแล้วว่ะ อิ่มโคตร มึงหิวเหรอกูหยิบให้เอามั้ย”


    “อืม ขอน้ำหน่อยละกัน คอแห้ง” ผมก็หยิบขวดน้ำมาเปิดฝาให้มัน ไอ้คลื่นขับรถ ผมก็เลยต้องป้อน เชี่ยคลื่นแม่งขยิบตาเจ้าชู้ใส่ผมอีก เอาน้ำกรอกจมูกซะหรอก ห่านี่ ผมเก็บขวดน้ำ ตาก็เหลือบไปเห็นกาละแม กูหน่อยละกัน อิอิ


    “กินมั้ยมึงกูแกะให้”


    “ฮ่าๆ เมื่อกี้หมาตัวไหนบอกกูว่าอิ่มจนท้องจะแตกวะ”



    “เมื่อกี้กับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน” ผมยักคิ้วให้มัน มัวแต่คุยกาละแมหลุดมือมันหล่นลงตรงเกียร์ ผมรีบหยิบขึ้นมาเข้าปากอย่างไวว่อง ไอ้คลื่นหันมามองผมตาโต ผมก็ยิ้มโชว์ฟันให้มัน “เชื้อโรคมันหลับไม่เห็นหรอกเนอะ”


    “ยี้ เชี่ยพีม แม่งซกมก”


    “ฮ่าๆ กูเป็นตัวของตัวเองไง รับไม่ได้เหรอจ๊ะ”


    “กูชอบมึงได้ไงวะเนี่ย ” มันทำหน้ายี้ มองผมแบบรังเกียจ กร๊ากกก เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ทันนะมึง
     




    ระหว่างที่ผมกับคลื่นคุยกันว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดี อยู่ๆก็มีรถกระบะขับออกมาจากซอยเร็วมาก เร็วจนรถเราหลบไม่ทัน หัวใจผมเหมือนหยุดเต้น ผมจำได้ว่าตัวเองตะโกนเรียกไอ้คลื่นสุดเสียงก่อนที่
    …..
     
    “คลื่นนนน!!!!!ไอ้คลื่นหักพวงมาลัย ผมรู้สึกว่ารถมันหมุนได้ยินเสียงยางบดกับพื้นถนนดังก้องไปหมดทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ร่างผมนิ่งเกร็งไปทั้งตัว เหมือนจะลืมว่าต้องหายใจยังไง สมองผมไม่รับรู้อะไร วินาทีเฉียดตาย นี่ผมตายไปแล้วรึยัง ผมมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ผมพยายามตั้งสติ ผมยังนั่งอยู่ในรถ ผมไม่เจ็บตรงไหน แสดงว่าไม่เป็นอะไร แล้วคลื่นล่ะ



    “พีม พีม ได้ยินกูมั้ย พีม”
    มันจับไหล่ผมทั้งสองข้าง ทั้งตะโกนเรียก



    “ค
    คลื่น”


    “พีม เจ็บตรงไหน มึงได้ยินกูมั้ย” มันกระชากผมเข้าไปกอด คลื่นกอดผมแน่นมาก ทั้งที่ตัวมันสั่นแต่มือมันยังลูบหัวลูบหลังผม
     

    ตามสัญชาตญาณ เวลาเกิดอุบัติเหตุรถชนคนขับต้องหักฝั่งตัวเองออก มันเป็นสัญชาตญาณการรักษาชีวิต แต่
    …. คลื่นกลับหักฝั่งของผมออก ถ้าเมื่อครู่รถชน มันหลบไม่ทัน คนที่จะไม่รอดคือมัน นั่นหมายถึงชีวิต ชีวิตของมัน มันยอมแลกกับผม
     


    หลังจากตั้งสติอยู่ซักพักเราลงมาดูรถ ทั้งคนทั้งรถไม่เป็นอะไร แต่ผมยังสั่นไม่หาย
    ก็คนมันตกใจนิครับ พอกลับเข้ามาในรถ คลื่นมันก็กอดผมอีกครั้ง




     
    “กูขอโทษ ขอโทษนะพีม ถ้ามึงเป็นอะไรไป กู
     


    “เฮ้ย อย่าคิดมากดิ ไม่ใช่ความผิดมึงซะหน่อย เราขับมาดีๆ ไอ้นั่นมันโผล่มาเอง อีกอย่างกูก็ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”


    ผมเป็นฝ่ายตบหลังปลอบใจคลื่นบ้าง มันเองก็คงขวัญเสียเหมือนกัน ทั้งที่ตอนนั้นเป็นวินาทีแห่งความเป็นความตาย มันยังคิดปกป้องผม “แต่ว่าคลื่น มึงอย่าทำแบบนี้อีกนะ ชีวิตมึง
    ……..
     






    “สำหรับมึง มากกว่าชีวิตกูก็ให้ได้”
     
     



     
    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
     



    ………………………………………….
     




    เอิ้วววว สมาคมคนรักคลื่นเริ่มแสดงจุดยืนแล้ว ฮ่าๆๆๆ ตอนหน้าถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย ใครจะอยู่ใครจะไป(ใครจะตาย) โปรดติดตามตอนต่อไป โฮะๆๆๆ




    คิดซะว่าคุณคลื่นกำลังเดินฮิปสตรีท อิอิ
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×