ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    We are ...คือ เรารักกัน [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #29 : ตอนที่ 27 ความสมหวัง 100 %

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 62.94K
      267
      18 มี.ค. 54







    ตอนที่ 27 ความสมหวัง







     
    เย้ สอบเสร็จแล้วครับ ปิดเทอมได้สามวันแล้ว แต่สอบเสร็จงานยังไม่เสร็จ เหลือเขียนรูปชิ้นสุดท้ายส่ง กำหนดส่งหลังสอบ เพราะฉะนั้นผมก็ต้องไปมหาลัยอยู่ดี
     
    ต้องเข้าใจนะครับว่างานศิลปะบางทีไม่มีอารมณ์ นั่งจ้องผ้าใบทั้งวันก็วาดไม่ได้ซักเส้นแต่บางวันนั่งไม่ถึงชั่วโมงก็วาดเสร็จ
     
    อาจารย์ท่านเข้าใจครับ ก็เรามันพวกเดียวกัน ไม่เข้าใจกันแล้วใครจะเข้าใจเราล่ะครับ เหมือนจะดูดีใช่มั้ยแต่ความจริงที่ต้องส่งงานหลังสอบเพราะพวกผมขอร้องอาจารย์ต่างหากครับ มันทำไมทัน กร๊ากกกกกกก
     
    ส่วนเรื่องไอ้เต้ย มันแรงสมกับที่มันบอกไว้เลยครับ คือโดยพื้นฐานไอ้เต้ยมันก็เป็นคนแรงอยู่แล้ว มันบอกว่าอย่าให้มันต้องแสดงอิทธิฤทธิ์เพราะต่อจากนี้ไปมันจะคิดทบต้นทบดอกสิ่งที่มันเก็บกดไว้มาสามปี เหอๆ ผมละห่วงไอ้คิวจริงๆ
     


    แล้วแฟนกำมะลออย่างไอ้เชนก็ดี๊ดี ขับรถมารับมาส่ง มารับไปกินข้าวบ้าง ทำทีเป็นมาเฝ้าบ้าง ทำเหมือนเวลามันจีบสาวนั่นแหละครับ ไม่ต้องสอนอะไรให้ยุ่งยากเพราะจระเข้มันว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว
     


    “พีมๆ ไอ้เชนกับไอ้เต้ยมันแปลกๆรึเปล่าวะ” ไอ้คิวเอาพู่กันที่ยังไม่จุ่มสีสะกิดผมให้ดูไอ้เชนกับไอ้เต้ยที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่โต๊ะข้างๆ ไอ้เต้ยมาปั้นงานของมัน ได้ยินว่าจะเลือกเรียนประติมากรรม
     

    “อ้าว นี่มึงไปอยู่ไหนมา ไม่รู้เหรอมันสองคนคบกัน”


    “ห๊า
    !!! คบกัน? ไอ้เชนเนี่ยนะ กูไม่เชื่อ” ไอ้คิวอ้าปากเหวอมองไอ้เชนกับไอ้เต้ยไม่วางตา ไอ้เชนมันคงได้ยิน รีบกระเถิบเข้าไปนั่งชิดไอ้เต้ย และมีโอบเอวด้วยเว้ย ห่าเต้ยแม่งสะดุ้งเหมือนจะขยับหนี ดีที่มันยั้งตัวทันแล้วรีบป้อนขนมใส่ปากไอ้เชน เชี่ยเอ๊ย ตุ๊กตาทอง ออสก้า
     


    “ไง เชื่อรึยังกอดกันซะขนาดนั้น มึงไม่ไปแสดงความยินดีกับพวกมันล่ะ” บ่าวช่างยุอย่างผมก็ทำตามบทที่ไอ้ปันมันให้มาครับ
     

    “ไอ้เชนเนี่ยนะ แล้วกับไอ้เต้ยเนี่ยนะ” ไอ้คิวยังคงงงวยต่อไป
     

    “เออสิวะ มึงตกใจอะไร ไอ้แทนยังคบไอ้ฟ่าง กูกับภูมิก็เป็นแฟนกัน แล้วทำไมไอ้เชนกับไอ้เต้ยจะคบกันไม่ได้”
     

    “ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันไปสปาร์คกันตอนไหนวะ อย่างมึงกับไอ้ภูมิกูพอดูออก แต่ไอ้เต้ย
    ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย”ผมไม่ได้คิดไปเองนะว่า ไอ้คิวทำหน้าเหมือนขัดใจ
     

    “ก็มึงไม่ได้สนใจมัน มึงจะรู้ได้ไง”
     

    “ใครบอกไม่สนใจ”
     

    “ห๊ะ” ผมสะบัดหน้ามองไอ้คิวสองที โอ้ว จอร์จมันยอดมาก ไอ้คิวสะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา มันดึงสายตากลับมาจากไอ้เชนไอ้เต้ย


    “เอ่อ ก็มันเป็นน้องรหัสกู กูก็ต้องสนใจห่วงมันเป็นธรรมดาไง” รอยยิ้มของผมตอนนี้อาจจะดูร้ายในสายตาไอ้คิวก็ได้ มึงมีพิรุธแล้วคิว เต้ยเอ๊ยมีหวังแล้วไอ้น้อง
     

    “มึงจะห่วงทำไม ไอ้เชนไม่ใช่คนอื่น ก็เพื่อนเรา”


    “ก็เพราะมันเป็นเพื่อนกูไง สันดานมันเป็นยังไงกูรู้ดี”


    “ก็สันดานเดียวกับมึงนี่หว่า ฮ่าๆ”


    “เออ สันดานเก่า ผัวมึงด้วย ระวังไว้เถอะ”
     
    “สัด วาดของมึงไปเลยนะ เหี้ยแม่ง” ฮ่วย กูอยากพ่นไฟ ทำไมทุกคนต้องยอกย้อนผมด้วย ทำไมต้องใช้วาจาทำร้ายผู้ชายแสนดีอย่างผม น้องพีมว่ามันไม่ใช่ อะฮึ๋ย พีมรับบ่ได๋ พอแระๆ ชักจะฮาเกินไปแล้วชีวิตกู
     
    ไอ้คิวผสมสีไปก็หันไปมองไอ้เชนกับไอ้เต้ยมันเอาพู่กันแต้มรูปบนผ้าใบได้สองสามครั้งก็หันไปมองคู่รักจำเป็น เรียกว่าไม่เป็นอันทำการทำงานเลยครับ สมาธิไม่เหลือแล้ว


    แล้วแม่งก็กระแทกพู่กันลงกับจานสี เดินดุ่มๆเข้าไปหาไอ้สองตัวที่กำลังสร้างโลกส่วนตัวแบบปลอมๆ
     
    “เฮ้ย มึงสองคนเป็นแฟนกันเหรอวะ”ไอ้คิวยืนค้ำหัวไอ้สองคนนั้น ไอ้เชนก็รีบยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ไอ้เต้ย เหมือนจะประกาศว่า เด็กกู something like that แปลว่า บางอย่างชอบไอ้นั่น กร๊ากกก ไม่ใช่เว้ย


    แปลว่า อะไรประมานนั้น ใครว่าพีระณัฐโง่อิ้ง ไม่จริงครับ วงเล็บเปิดอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับไอ้พระเอกวงเล็บปิด(มึงใส่วงเล็บเลยจะง่ายกว่ามั้ยวะ)
     
    “ใช่ เต้ยเป็นแฟนเฮีย เอ่อพี่เชน” ไหมล่ะ ไหมล๊า เจ้าบทบาทมั้ยละน้องผม ในเมื่อคำว่าพี่ไอ้เต้ยเอาไว้เรียกเชี่ยคิวคนเดียว เพื่อให้พิเศษกว่าคนอื่น


    เลยให้ไอ้เต้ยเรียกไอ้เชนว่าพี่และให้ไอ้เชนแทนตัวว่าพี่เหมือนกัน เพื่อลดความสำคัญของไอ้คิวลง ให้ไอ้คิวรู้สึกว่าถูกแย่งความสำคัญแม้ว่ามันอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม แล้วผมจะช้าอยู่ใยเล่า รีบเสนอหน้าเข้าไปหาพวกมันสิครับ มาๆตามมา
     

    “เออ กูลืมบอกมึงว่ะคิว ก็อย่างที่น้องเต้ยบอก กูกับมันคบกัน” รางวัลสุพรรณหงส์สาขาดารานำชาย ปีหน้าขอเสนอชื่อไอ้เชนกับไอ้เต้ยครับ
     

    “มึงแค่อยากลองรึเปล่าเชน”ผมกับไอ้เชนแอบเหล่มองตากัน ไอ้เต้ยนี่ลอบอมยิ้มเลวไปแล้ว คิวเอ๊ย ชะรอยว่าคำสาปของไอ้กรีนจะเป็นผล มึงคงอยากได้เมียเป็นผู้ชายแบบไม่รู้ตัวแล้ววะเพื่อนรัก หึหึ
     

    “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่เต้ยมันใช่สำหรับกู”ป๊าดโธ่ สมแล้วที่มึงเป็นมือวางอันดับหนึ่งเรื่องฟันหญิงไอ้เชน เพราะคารมแบบนี้นี่เอง
     

    “มึงจะไม่ทำให้มันเสียใจ จนเสียพี่เสียน้องใช่มั้ย”มันถามไอ้เชน แต่เหลือบตามองหน้าไอ้เต้ย
     
    “ไม่หรอกคิว เพราะถ้าเต้ยจะเสียใจ คงไม่ใช่เพราะกู” เหมือนมีกระแสไฟพาดผ่านสายตาไอ้เชนกับไอ้คิว
     
    คิวมันคงไม่ได้หึงไอ้เต้ยหรอกผมว่า มันคงเป็นอารมณ์น้อยใจที่ไม่มีใครบอกมันมากกว่าเพราะไอ้เชนก็เพื่อนสนิทไอ้เต้ยก็น้องรหัส แต่ถ้ามันหึง หึหึ อันนี้ก็คงเหนือความคาดหมายของพวกผม
     

    “ก็ดี งั้นกูก็ยินดีด้วย”
     
    “ขอบใจเพื่อน เต้ยคะ เฮีย เอ่อ พี่เชนว่าเรากลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยววันนี้พี่จะพาไปทานอาหารอิทาลี่อร่อยๆ” เชี่ยเอ๊ย สำเนียงภาษาอังกฤษของมึงเสียดแทงหูกูมากไอ้หมอ เชนมันพูดคะกับสาวๆของมัน แต่สงสัยมันจะลืมมั้งว่าไอ้เต้ยเป็นผู้ชาย
     

    “ครับพี่เชน งั้นรอเต้ยเก็บของแปปนึงนะ”
     


    “คะ ถ้าเป็นเต้ย นานแค่ไหนพี่ก็รอได้” ผมกับไอ้เต้ยแอบเบะปาก เบือนหน้าหนีไปโก่งคออ้วก ไอ้เชนตอนแรกแม่งก็โวยวายไม่อยากทำนะ แต่ตอนนี้สงสัยมันจะสนุกมั้งที่ได้แกล้งไอ้คิว ก็ดูสิ ยืนนิ่งหน้าจ๋อยอยู่นู่น
     

    “เฮ้ยคิว มาทำงานของเราต่อดีกว่าว่ะ อยู่ตรงนี้ก็เป็น กขค คนรักเขาเปล่าๆ”
     

    “เออ!!” ไอ้คิวฟึดฟัดเดินกลับไปลงสีรูปต่อ ผมกับไอ้เชนหันมาแท็กมือกัน ส่วนไอ้เต้ย ยืนเป็นโรคบิดอยู่ข้างๆนี่แหละ


    ไม่ว่าไอ้คิวจะมีอาการแบบนี้เพราะอะไร แต่ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดี ดีเกินคาดซะด้วย มึงได้เสียเป็นเมียผัวกับไอ้เต้ยเมื่อไร กูขอสาบานต่อบัตรเหลืองที่กูพกแทนบัตรประชาชน ว่าจะไม่ให้หมาในปากกูว่างงานเลยคิว ฮ่าๆๆ
     
    ด้วยเหตุนี้สองสามวันมานี่ พวกผมก็เริ่มชินตากับภาพคุณหมอเชนรูปหล่อกับน้องเต้ยควงกันไปในทุกที่ที่มีไอ้คิว ฮ่าๆ
     


    แต่ก็แปลกอยู่อย่างนะครับ ไอ้คิวมันชอบแซวไอ้แทนกับฟ่าง บางครั้งก็กวนตีนผมกับภูมิ แต่เชื่อมั้ยว่ามันไม่แซวไอ้เชนกับไอ้เต้ยเลย น่าคิดนะเนี่ย แหล่ว แหล่ว แหล่ว แล้วว ชักยังไงๆแล้วโว้ย
     


    คืนนี้ไอ้คิวมันบอกจะมาค้างกับผมที่บ้านเพราะต้องเร่งทำงานให้เสร็จ ก็กำหนดส่งคือมะรืนนี้แล้วครับก่อนไปค่าย มันบอกจะเข้ามาตอนดึกๆเพราะพาเด็กไปช้อปปิ้งก่อน
     


    ผมเลยกะว่าจะไปง้อภูมิที่ห้องมันซะหน่อย เรื่องค่ายนั่นแหละครับ มันดื้อจะไปด้วย ถ้าไม่ให้มันไป มันก็จะไม่ให้ผมไปเหมือนกัน ไม่งั้นมันก็จะเอาระเบิดไปวางรีสอร์ทที่พวกผมจะไปพัก กูปวดตับกับมึงมากไอ้ภูมิ



    แต่ผมก็ไปหาภูมิไม่ได้เพราะไอ้ปันมันนัดไอ้เต้ยมานั่งชิลล์ดริ้งกาแฟที่ร้านผมเพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องไอ้คิว
     

    “เห็นมั้ย ไอ้คิวมันต้องชอบมึงแน่นอนเต้ย ไม่งั้นมันไม่มีอาการแบบนี้หรอก กูเป็นเพื่อนมันกูรู้ดี” ไอ้ปันว่า ก่อนจะคายก้อนน้ำแข็งที่มันอมไว้ลงในแก้วเดิม ยี๊ นี่มึงเป็นทายาทนักการเมืองจริงหรือเปล่าวะ
     
    “กูว่าถ้ามึงบอกไอ้คิวไปตั้งแต่แรก อาจจะได้คบกันไปแล้วก็ได้” ผมก็รีบให้กำลังใจไอ้เต้ยต่อ

    “จะบอกเมื่อวานหรือวันนี้ไอ้คิวก็ต้องเป็นของมึง เชื่อกูเต้ย”


    “ไม่รักไม่เป็นไรหรอกเฮีย ขอแค่อย่าไปจากเต้ยอีกก็พอ”
     

    “เอาน่า อย่าเพิ่งกลัวไปก่อนสิวะ มีป๋าปันอยู่ทั้งคน ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะน้อง” ผมกับไอ้ปันหัวเราะร่า ไอ้เต้ยก็พลอยยิ้มไปด้วย
     

    “ใช่ เต้ยต้องทำได้ พี่ดินสอต้องกลับมาหาน้องนมปั่นคนนี้ ใช่มั้ยเฮีย”
     
     


    เพล้ง!!!!!!!
     
    พวกผมหันไปมองทางต้นเสียง แก้วใบหนึ่งที่เคยสวยตอนนี้มันแตกละเอียด เศษแก้วกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
     
     





    “พ..พี่คิว”
     
     




    ……………………..
     
     
     
    “พพี่คิว” เสียงครางบางเบาจนเหมือนคนเพ้อละเมอหลุดออกจากปากไอ้เต้ย มันค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาไอ้คิวเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง ผมกับไอ้ปันก็ได้แต่อ้าปากค้าง ลุกขึ้นยืนตามไอ้เต้ย ไอ้คิวมาตั้งแต่เมื่อไรคงไม่สำคัญเพราะมันคงได้ยินสิ่งที่พวกผมพูดหมดแล้ว
     
    ไอ้คิวตอนนี้ เหมือนไม่ใช่คิว หน้ามันขาวซีดยิ่งกว่านมปั่นสีขาวที่เลอะเต็มพื้น ไอ้เต้ยก็ไม่ต่างกัน แววตาของคิวไม่สะท้อนภาพของพวกผมมันว่างเปล่าไม่มีเงาของใครอยู่ในนั้น แม้แต่ไอ้เต้ยที่ยืนอยู่ตรงหน้ามัน
     
    หยุด แค่นั้น อย่าเข้ามาใกล้” แม้จะเป็นคำสั่งแต่เสียงของไอ้คิวกลับสั่นพร่า
     
    พี่พี่คิว ฟังเต้ยก่อน …..เต้ย”
     
    “กูบอกให้หยุด!!!!” ไอ้คิวตะวาดลั่น พร้อมกับถอยหนีมือไอ้เต้ยที่เอื้อมไปหา ผมเป็นแค่คนที่ยืนมองยังปวดใจแทนภาพตรงหน้า ไอ้คิวขบกราบแน่น ตามันแดงแต่ไม่ได้ร้องไห้เหมือนไอ้เต้ย
     
    “คิว มึงใจเย็นๆนะฟังน้องมันก่อน” มันยกมือห้ามเป็นเชิงบอกให้ผมหุบปาก คิวไม่ใช่คนโมโหร้าย แต่มันก็เป็นผู้ชายที่อารมณ์ร้อนคนหนึ่งเหมือนกัน
     
    “ทำแบบนี้ทำไม” ไอ้คิวจ้องหน้าไอ้เต้ยที่เอาแต่ก้มหน้าให้น้ำตาหยดลงที่พื้น
    …………....
    “กูถาม ว่าทำแบบนี้ทำไม!!!
     
    “เพราะเต้ยรักพี่คิว!!! ได้ยินมั้ยว่าเต้ยรักพี่คิว นมปั่นรักพี่ดินสอ ฮึก รักมาตลอด” ไอ้คิวกัดกรามจนเป็นสัน มันเบือนหน้าไปมองทางอื่นเหมือนพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
    เสียงสะอื้นของไอ้เต้ยกับอาการปาดน้ำตา ทำเอาผมกับไอ้ปันจุกจนพูดไม่ออก น้ำตาลูกผู้ชายไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นกันง่ายๆ
    บรรยากาศชวนอึดอัด มันเงียบเกินไป พี่หนิงจะเดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมส่ายหน้า พี่หนิงเลยเดินกลับเข้าร้านไป
     
    “พีม กูง่วง ไปอาบน้ำนอนก่อนนะ”
    “เอ่อ อืม” ไอ้คิวหันหลังเดินกลับไปที่บ้าน ไอ้เต้ยที่น้ำตาเต็มตาก็ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาตัวเอง มันคงอยากจะมองไอ้คิวชัดๆ แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังที่ห่างออกไปทุกที
    “เต้ย” ผมเรียกไอ้เต้ย เอื้อมมือไปบีบไหล่มันเบาๆ
    “เฮีย ฮึก เต้ยเจ็บ” ไอ้เต้ยพลิกตัวมากอดผม น้ำตามันซึมผ่านเสื้อยืดของผม ไอ้ปันก็ซึมเหมือนกัน มันลูบหัวปลอบไอ้เต้ย “พี่คิวเกลียดเต้ยแล้วใช่มั้ยเฮีย ฮึก พี่คิวจะไม่คุยกับเต้ยแล้ว ฮือออ”
     
    ผมได้แต่กลืนน้ำลายฝืดๆลงลำคอแห้งๆ อยากจะปลอบใจน้องแต่ก็พูดไม่ออก เชี่ยปันก็ตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ตามไปอีกคน มันคงคิดว่าเป็นเพราะมัน ผมส่ายหน้า ยิ้มให้ไอ้ปัน และยื่นมือไปผลักหัวมันไม่ให้คิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ทางที่ดีมาหาวิธีแก้ปัญหาจะดีกว่า
     
    …………………………..
     



    ผมให้ไอ้ปันไปส่งไอ้เต้ยที่บ้านไอ้เชนเพราะถ้ามันกลับบ้านไปป๊ากับม๊าไอ้เต้ยคงช็อคที่เห็นสภาพลูกชาย ผมโทรเรียกไอ้แมทให้มาอยู่เป็นเพื่อนมัน ก่อนจะขึ้นมาดูอาการของอีกคน
     


    ผมเปิดประตูเข้ามากลิ่นบุหรี่ก็ฟุ้งเต็มห้อง ไอ้คิวไม่ได้อยู่ในห้องมันกำลังเท้าแขนกับราวระเบียงด้านนอก ในมือคีบบุหรี่ มันไม่ใส่เสื้อมีแค่เดฟสีดำกับผ้าเช็ดตัวพาดไหล่
    มันมองฝ่าความมืดไปยังที่ไหนซักแห่ง ผมผ่อนลมหายใจ และเข้าไปยืนข้างๆมัน



    “หิวข้าวมั้ยมึง”


    …………...


    “คิว ไอ้คิว”


    “หะ หืม มึงว่าไงนะ”
    มันหันมาถามผม ตาไอ้คิวแดงก่ำ ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่ตัวมันก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไร รู้สึกยังไง


    “มึง โอเคมั้ยวะ”



    “ไม่รู้ว่ะ”


    “โกรธน้องมันเหรอ”


    ………………………” มันส่ายหัว ก็ยังดีที่ไม่โกรธ ไอ้คิวลูบหน้าตัวเองอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก


    “อย่าโกรธมันเลยนะคิว”



    …………………………” มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ย้อนกลับมาหาผม ในเมื่อมันไม่พูด ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนเงียบยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆมัน



    “เต้ยคือนมปั่นจริงๆเหรอพีม”


    “อืม”



    “หึ หัวใจกูอยู่ข้างๆกูมาตลอดสินะ”
    ไอ้คิวแค่นหัวเราะ แต่เสียงมันทั้งสั่นและเบาเหลือเกิน



    ……….....……



    “พวกมึงรู้เรื่องนี้ด้วยใช่มั้ย” ไอ้คิวหันมาถามผม 
     



    “อืมก็เพิ่งรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกมึงสองคน แต่มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าพวกเราคือเพื่อนกัน” ผมกอดคอมันไว้ ไอ้คิวหันมามองหน้าผม ก่อนจะโผมากอด มันซบหน้าลงกับไหล่ของผม ไม่มีเสียงสะอื้น มีแค่อาการสั่นไหวและความเปียกชื้นจากหยดน้ำตาที่ผมรับรู้ได้ ว่ามันกำลังร้องไห้



     “มันทำแบบนี้ทำไม ทำเพื่อกูทำไม”


    “เพราะมันรักมึง น้องน่าสงสารนะคิว มึงไม่สงสารน้องเหรอ ไม่รักน้องนมปั่นของมึงแล้วเหรอ”



    “ก็เพราะรัก กูถึงได้ทำแบบนี้ แต่
    แม่งเอ๊ย” ไอ้คิวสบถเสียงดัง ดันตัวออกจากผม มันเท้าเอวแหงนหน้ามองฟ้าเหมือนอยากให้น้ำตาไหลย้อนกลับสู่ที่เดิม มันทรุดลงไปนั่งชันเข่าพิงผนังเหมือนคนหมดแรง ผมก็ตามไปนั่งข้างๆมัน


    “ไอ้เต้ยมันเล่าให้พวกกูฟัง ที่จริงมันถูกพวกกูบังคับน่ะ เพราะไอ้แมทมันหลุดปากว่าไอ้เต้ยชอบมึง พวกกูเลยไปขู่ให้มันพูด”

    ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอ้คิวฟัง ทั้งเรื่องโพสอิทที่ไอ้คิวก็คงรู้ดี เรื่องที่ไอ้เต้ยเห็นไอ้คิวเดินผ่านร้านทุกวันแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่ดินสอ


    เรื่องที่ไอ้เต้ยให้มันเป็นไอดอล เรื่องที่ไอ้เต้ยเรียกไอ้คิวว่าพี่เพราะเป็นคนพิเศษ และเรื่องที่ไอ้เต้ยไม่เรียนหมอ ไอ้คิวซบหน้าลงกับเข่า
    มันใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำมูก
     


    “แต่มีเรื่องนึงที่พวกกูไม่รู้ และไอ้เต้ยเองก็คงอยากจะรู้เหมือนกัน ทำไมมึงถึงทิ้งมัน
    …. คิว บอกกูได้มั้ยวะ” ไอ้คิวผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ มันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า



    เวลาที่คนเราไม่สบายใจถ้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ผมไม่รู้ว่าไอ้คิวจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่าเพราะฟ้าคืนนี้ไม่สวยเอาซะเลย มันดูมืดครึ้มอึมครึมกว่าทุกวัน มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
     



    “กูรู้สึกดีกับคนที่กูไม่เคยเจอหน้า
    ………………….” มันเงียบไป ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ



    “กูผูกพัน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันเริ่มจากกล่องดินสอไม้อันนั้น ที่ปู่ทำให้กูก่อนที่ปู่จะเสีย”

    คุณปู่ของไอ้คิวเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ไอ้คิวชอบวาดรูปก็เพราะท่าน มันอยู่กับศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ ไอ้คิวคลุกคลีและเติบโตมาในครอบครัวศิลปิน แม้พ่อของมันจะไม่ได้ดำเนินรอยตามปู่เพราะท่านเลือกที่จะเป็นนักธุรกิจ แต่พ่อก็สนับสนุนไอ้คิวทุกอย่าง
     



    “ตอนที่กล่องดินสอหายไป มึงก็เห็นว่ากูร้องไห้ มันสำคัญกับกูมาก ตอนที่พี่โอ้เอามาคืน บอกว่ามีน้องคนนึงเก็บได้ กูบอกไม่ถูกเลยว่าดีใจแค่ไหน กูถามว่าใครเก็บได้ เก็บได้ที่ไหน พี่โอ้บอกเป็นเด็กผู้ชายม
    .ปลาย น้องมันทำนมปั่นหกก้มเช็ดพื้นเลยมองไปเห็นพอดี”
     

    ไอ้คิวเริ่มจะมีรอยยิ้มบ้าง ตอนที่ไอ้เต้ยเล่ามันก็มีรอยยิ้มแบบเดียวกับคิว รอยยิ้มที่เหมือนกับมีความสุขที่สุดแม้ดวงตาของมันจะมองเหม่ออกไปอย่างไร้จุดหมาย


    “กูอยากตอบแทนน้องเค้า แต่แค่คำขอบคุณมันอาจจะน้อยไปเลยวาดรูปให้ด้วย รูปดินสอหมายถึงตัวกู และ
    …..แก้วนมปั่นก็หมายถึงตัวน้อง” ผมฟังอย่างตั้งใจ เหมือนได้เห็นอีกมุม อีกด้านจากเหตุการณ์เดียวกัน



    “มึงก็รู้กูไปร้านพี่โอ้เพราะที่นั่นก็เหมือนบ้าน มันเป็นครั้งแรกที่ภาพเขียนของกูได้โชว์โดยไม่ต้องใช้นามสกุลกูเป็นใบเบิกทาง กูใช้ความสามารถของกูเอง พี่โอ้ก็เหมือนพี่ชาย กูเขียนรูปเสร็จก็แวะมาหาแกทุกครั้งมาคุยเล่น กินขนมอย่างที่มึงเคยไปด้วยนั่นแหละ
     

    แต่ครั้งนั้นมันมีบางอย่างที่ต่างไป พี่โอ้บอกกูว่ามีเด็กฝากโพสอิทไว้ให้ คนที่เก็บกล่องดินสอกูได้ หึหึ มันเอาไปแปะไว้ที่ข้างหลังรูป ตลกชิบหาย ยิ่งพอได้อ่านกูรู้เลยว่าเชี่ยนี่แม่งกวนตีน จากวันนั้นมากูกับน้องนมปั่นก็คุยกันผ่านโพสอิท
    แรกๆกูก็คิดว่ามันปัญญาอ่อน ที่เด็กม.5มาทำอะไรแบบนี้ แต่พอนานไปกูกลับรู้สึกว่ามันพิเศษ มันเป็นสิ่งที่กูกับมันทำร่วมกัน มีแค่เราสองคนที่รับรู้เพราะพี่โอ้แกไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว”
     

    “มึงไม่คิดอยากจะเจอหน้ามันบ้างเหรอ”



    “เจอหรือไม่เจอมันก็มีค่าเท่าเดิม เพราะความรู้สึกกูมันพิเศษไปแล้ว ต่อให้มันหน้าตาเป็นยังไงความรู้สึกกูก็ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่นับพวกมึงกูไม่เคยรอใคร ไม่เคยศึกษาเรียนรู้คนอื่น พอได้เรียนรู้นมปั่นผ่านโพสอิทมันบอกไม่ถูกว่ะ มึงรู้มั้ยพีมมันบอกกูทุกเรื่อง เมียทิ้ง หมาตาย ขี้ไม่ออก แม่งบอกหมด หึหึ
     


    ผ่านไปเป็นปี น้องนมปั่นของกูก็พูดถึงเรื่องเรียนมากขึ้น เรื่องความฝัน เรื่องอนาคต มันเริ่มเครียดกับชีวิต กูทำได้แค่ทำให้สบายใจไปวันๆ แล้ววันนั้นมันบอกกูว่าจะไปสอบชิงทุนไปเมืองนอก หม่าม๊ามันอยากให้สอบ มันเองก็อยากไปแต่ไม่อยากห่างกู
     


    ตอนนั้นบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง กูรู้สึกเหมือนกำลังถ่วงอนาคตของนมปั่น ถ้าไม่มีกูมันจะดีกว่ารึเปล่ากูอยากให้คนพิเศษของกูได้เรียนรู้โลกใบใหญ่ อยากให้มันไปเจอสิ่งดีๆได้ทำตามความฝัน กูเลยเลือกที่จะจากมา แต่มึงรู้มั้ย….ว่าตอนนั้นกูรักนมปั่นไปแล้ว


     
    ผมเอื้อมมือไปตบไหล่ไอ้คิว  ไม่ใช่ไม่อยากรักแต่ไม่กล้าที่จะรัก เรื่องราวระหว่างไอ้คิวกับไอ้เต้ยมันคงเป็นอะไรที่มากเกินกว่าคำว่ารัก มันคงไม่มีคำมาจำกัดหรือนิยามสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ว่าคืออะไร
     

    “รักแล้วทำไมมึงไม่คบกับมัน มึงก็รู้ว่าไอ้เต้ย เอ่อ น้องมันรักมึงแค่ไหน”



    “น้องต้องมีอนาคตที่ดี แต่ถึงจะไม่เกี่ยวกับเรื่องอนาคตของมัน กูมันก็แค่ผู้ชายเหี้ยๆคนนึง กูกลัวว่าซักวันมันต้องเจ็บเพราะกู”


    “มึงเลยชิ่งทำมันเจ็บซะตั้งแต่วันนั้นว่างั้น”



    ………………………



    “ฟังนะคิว ไม่มีผู้ชายเหี้ยๆคนไหน กลัวว่าจะทำให้คนรักเจ็บ ไม่มีคนเลวคนไหนห่วงใยอนาคตคนรักหรอก มึงเป็นคนที่ดีพอสำหรับมัน เชื่อกูสิ”
     


    “กูกลัวมันเจ็บ”
    ไอ้คิวพูดย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง



    “กลัวน้องเจ็บหรือกลัวตัวเองเจ็บ ความรักมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มึงคิดหรอกนะคิว ถ้ามัวแต่กลัวแล้วเมื่อไรมึงถึงจะได้รักซักที” มันถอนหายใจแล้วเราก็เงียบกันไปพักใหญ่
     


    “พีม กูรู้สึกดีกับไอ้เต้ย”
    คราวนี้ผมหันหน้าไปมองไอ้คิวอย่างไม่เชื่อหู ผมแอบหวังให้มันรู้สึกกับไอ้เต้ยก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง ผมไม่ใช่ไอ้เต้ยผมยังรู้สึกดีใจแทนเลย



    “ถึงกูจะชอบทะเลาะกับมัน แต่เหมือนมีบางอย่างในตัวมันที่ทำให้กูรู้สึกดี ไม่ใช่ความรู้สึกรักหรือชอบ กูอาจจะมีเซ้นมั้งว่าสายตามันเวลาที่มองกูต่างจากเวลามองพวกมึง เวลาอยู่ใกล้ๆมันให้ความรู้สึกสบายใจ เหมือนยืนอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างๆ ท้องฟ้าใสๆ อากาศดีๆ มึงเข้าใจมั้ยพีม”
     


    “อืม เป็นความรู้สึกที่พิเศษใช่มั้ย ในเมื่อมึงก็รู้สึกดีกับไอ้เต้ยกูว่าไปคุยกันเถอะ ไปเคลียร์กับน้องให้เข้าใจ”
     


    “กูขอเวลาหน่อยนะพีม บอกตรงๆ ตอนนี้กูโคตรสับสน กูยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องจริง หรือกูฝัน หึ กูฝันอยู่ใช่มั้ยพีม มึงปลุกกูหน่อยสิ” คิวเองก็คงสับสน คงตั้งตัวไม่ทันที่รู้ว่าคนที่อยู่ในใจมาตลอดจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัว



    สำหรับผม เรื่องระหว่างไอ้คิวกับไอ้เต้ย เป็นความสัมพันธ์ที่คนอื่นยากจะเข้าใจ แม้แต่ผมที่เป็นเพื่อนสนิท ของพวกมัน ไอ้คิวกับไอ้เต้ยเหมือนคนแปลกหน้าแต่ว่าผูกพัน เหมือนคนที่ไม่รู้จักกันแต่ก็รู้จักดีกว่าใคร เหมือนคนที่อยู่ไกลแสนไกลแต่ก็ใกล้แค่เอื้อม
     


    จะว่าไม่รู้จักก็คงไม่ถูกเพราะเต้ยมันรู้มาตลอดว่าคนที่มันรักเป็นใคร ผมไม่อยากจินตนาการความรู้สึกมันเวลาที่เห็นไอ้คิวอยู่กับแฟน และความรู้สึกของไอ้คิวที่แม้จะมีใครเข้ามาในชีวิตมากมาย แต่มันยังคิดถึงรักครั้งแรก รักที่สัมผัสจับต้องไม่ได้ รักของคนที่กลัวความรัก สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็คงขึ้นอยู่กับพวกมันสองคน
     
    …………………………….



    เรื่องเล่าจากน้องเต้ย




    “มึงก็เสน่ห์แรงนี่หว่า สมแล้วที่เป็นน้องกู ฮ่าๆ” พี่คิวพูดกวนตีนผมตอนที่รถติดไฟแดง



    พี่คิวเพิ่งช่วยผมจากพี่หมอบ้าคนนั้น พี่คิวบอกพี่กริชว่าเป็นแฟนของผมด้วย ผมดีใจมากๆเลย แต่มาว่าผมแบบนี้ผมไม่ยอมหรอก ผมมองรอยยิ้มของพี่เขาพร้อมกับคิดหาคำด่ากลับ คนอะไรชอบหลงตัวเอง มีคนมาชอบผมก็เพราะผมเอง ไม่เกี่ยวกับเป็นน้องรหัสพี่คิวซะหน่อย




    “นี่ถ้าหน้าพี่คิวไม่ด้านจริง ไม่กล้าหลงตัวเองแบบนี้นะเนี่ย ที่เต้ยเสน่ห์แรงก็เพราะเต้ยหล่อเว้ย”


    “อ่ะจ่ะ หล่อ หล่อมากหล่อจนมีผู้ชายมาเฝ้าถึงคณะ มึงจะเดินตามรอยเท้าไอ้พีมเหรอวะ ฮ่าๆๆ”

    “พี่คิวก็อย่าเดินทางเส้นเดียวกับเฮียภูมิเฮียแทนแล้วกัน” พี่คิวยิ้ม ยักไหล่ ก่อนจะออกรถเมื่อสัญญานไฟเป็นสีเขียว



    ถึงผมจะพยายามทำตัวปกติกับพี่คิว ทำเหมือนเฮียคนอื่น แต่ใครจะรู้ดีเท่าผมล่ะ ว่ามันไม่เหมือนกัน จนมันกลายเป็นช่องว่างเล็กๆของเราสองคน ผมไม่กอด ไม่อ้อนกับพี่คิวเท่าไร


    ผมรักพวกเฮียพีมเฮียแทนแบบพี่ชายเลยสนิทใจที่จะทำแบบนั้น แต่สำหรับพี่คิวบังคับให้ตายผมก็คิดเป็นพี่ชายไม่ได้



    “พรุ่งนี้มึงมีสอบมั้ยน้องรัก”


    “สอบบ่ายครับพี่รัก”


    “เหรอ ไม่รีบกลับใช่มั้ยเดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงหนม”ผมหันไปมองพี่คิวจนคอแทบเคล็ด คงไม่ได้หูฝาดหูแว่วใช่มั้ย



    “ไม่ใช่เลี้ยงลูกอมเม็ดเดียวเหมือนคราวก่อนนะ” จะมีพี่รหัสคนไหนเลี้ยงน้องด้วยลูกอมเม็ดเดียวบ้างมั้ยครับ ผมจำได้ไม่เคยลืม วันที่พวกผมได้สายรหัสเพื่อนผมคนอื่นๆพี่รหัสพวกมันพาไปเลี้ยง
    MK KFC  ฟูจิ ชาบู
     



    แต่พี่คิวต้อนรับผมด้วยลูกอมผมเม็ดเดียว ฮาร์ทบีตสีชมพู แล้วยังมีหน้ามาบอก พี่ให้หัวใจเลยนะน้อง ได้ข่าวว่าบ้านก็รวย ลูกชายเจ้าของโรงแรม รีสอร์ท มีปัญญาเลี้ยงผมแค่นั้นอ่ะ
     


    แต่ลูกอมเม็ดนั้นก็ยังอยู่ในกล่องบนหัวเตียงของผมจนถึงทุกวันนี้ แม้พี่คิวจะพูดด้วยความกะล่อนกวนตีนหรือแกล้งว่าให้หัวใจ แต่ผมว่ามันก็เหมาะสมแล้ว ในเมื่อผมได้มอบหัวใจให้พี่คิวไปแล้ว ผมก็ควรได้หัวใจกลับมาแม้ว่าจะเป็นหัวใจปลอมๆก็ตามที


    และหัวใจผมก็แทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกอก เมื่อเห็นร้านที่พี่คิวพามา เป็นร้านของพี่โอ้ ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ




    “นี่คุณน้องเต้ยครับ มึงจะรอพรมแดงมาปูที่ประตูรถก่อนรึไง ลงมาสิเฮ้ย”

    “เอ่อ
    ..ครับ”
     
     

    “พี่โอ้ หวัดดีพี่” พี่คิวส่งเสียงทักทายพี่โอ้ ที่กำลังตั้งใจชงกาแฟ



    “อ้าวไอ้คิวไอ้เต้ยทำไมมาด้วยกันได้ อ๋อพวกมึงเรียนที่เดียวกันนิ ใช่มั้ย”พี่คิวหันมามองหน้าผมงงๆ คงแปลกใจที่เห็นว่าผมกับพี่โอ้รู้จักกัน


    “ครับ แล้วพี่รู้จักไอ้เต้ยด้วยเหรอ”


    “โหยย ลูกค้าวีไอพี มันน้องรักกู” ผมยิ้มให้พี่โอ้ เรื่องกล่องดินสอในวันวานพี่แกคงลืมไปแล้ว ส่วนเรื่องโพสอิทพี่โอ้ก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย


    “สบายดีป่าวพี่ ราศีเสี่ยจับนะช่วงนี้ ฮ่าๆ”


    “มึงพูดเหมือนมึงไม่เจอกูนานเลยนะเต้ย มาบ่อยจนคนคิดว่าเป็นเด็กกูแล้วเนี่ย”


    “ฮ่าๆ จริงดิพี่โอ้ ก็งี้แหละเต้ยมันคนหน้าตาดี ไปไหนก็เป็นข่าว”


    “นี่ถ้าหน้าไม่ด้านจริง ไม่กล้ายกหางตัวเองแบบมึงนะเต้ย” พี่คิวเอาคำพูดผมมาย้อนกวนตีนผม แล้วพี่คิวกับพี่โอ้ก็รุมหัวเราะผม ผมทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ยืนหน้าบูด


    “แล้วนี่ลมอะไรหอบพวกมึงมาร้านกูเนี่ย”



    “พาน้องรหัสมาเลี้ยงก่อนปิดเทอมน่ะพี่ ยังไม่เคยเลี้ยงมัน เดี๋ยวจะเอาไปนินทาว่าพี่รหัสไม่ดูแล ซึ่งมันไม่จริง ฮ่าๆ ของผมเอานมปั่นเหมือนเดิม เต้ยมึงจะกินไรวะ”


    แค่ได้ยินพี่คิวพูดว่านมปั่น หัวใจผมก็เหมือนจะพองเต็มอก จนทำให้ผมต้องเผยรอยยิ้มแต่มันก็แค่รอยยิ้มชั่วครั้งชั่วคราว หัวใจของผมก็ต้องกลับมาเหงาเหมือนเดิม

    “เหมือนพี่คิวก็ได้”

    “เออ เลี้ยงง่ายโว้ยน้องกู” ผมบอกพี่คิว แล้วเดินมานั่งรอ ผมเลือกนั่งโต๊ะเดิมเหมือนทุกครั้งที่มาที่นี่

    ตั้งแต่ม
    จนตอนนี้อยู่ปี 1 ผมก็ยังนั่งที่เดิม มุมเดิม ถึงจะเข้ามหาลัยผมก็ยังกลับมาที่นี่บ่อยๆ มาคุยกับพี่โอ้ มานั่งเงียบๆคนเดียว มองผู้คนผ่านกระจกใสเหมือนที่เคยทำ นั่งคิดถึงพี่ดินสอ คนรักที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ช่างไกลแสนไกลเกินจะไขว่คว้า


    “เป็นไรวะ ซึมเหมือนหมาป่วยเลยนะมึง” พี่คิวตบหัวผม ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามพร้อมกับจานเค้กสองจาน พี่คิวเลื่อนจานเค้กช็อคโกแลตมาให้ผม


    “เต้ยกลัวสึนามิเข้าไทย เพราะพี่คิวพาเต้ยมาเลี้ยง”


    “เออใช่ กูก็ลืมถาม มึงกินเค้กกินนมได้ใช่มั้ย เพราะปกติต้องกินอาหารเม็ดนิ ฮ่าๆ”


    “เต้ยก็อยากเปลี่ยนดูบ้าง แล้วพี่คิวล่ะ ปกติเล็มหญ้า แล้วทำไมวันนี้มากินเค้กได้ กินในจานได้ด้วย เก่งว่ะเห็นลากไปกินในน้ำตลอด ฮะๆ”

    ผมแลบลิ้นใส่พี่คิวแล้วเริ่มลงมือกินเค้กหน้าตาน่ารักตรงหน้า


    “ลามปามนะมึง เดี๊ยะๆ”

    ผู้ชายหน้าหล่อมาดเซอร์เอาซ่อมเล็กๆชี้หน้าผม แล้วก็ตักเค้กกินต่อ แม้ผมจะคุยกับพี่โอ้ปกติ แม้จะกวนตีนพี่คิวเหมือนเดิม แต่หัวใจผมกลับต้องทำงานหนัก



    ผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มานั่งร้านนี้พร้อมพี่คิว บรรยากาศเก่าๆ ความทรงจำดีๆที่เราได้สร้างมาด้วยกัน กรอบรูปที่เป็นที่แปะโพสอิทยังแขวนอยู่ที่เดิม กระถางต้นไม้ที่ผมเก็บกล่องดินสอพี่คิวได้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนตรงหน้าล่ะ ยังเห็นนมปั่นเป็นคนพิเศษเหมือนเดิมอยู่มั้ย
     


    “นมปั่นได้แล้วคะ” พนักงานของร้านยกนมปั่นสองแก้วมาเสิร์ฟ พี่คิวยิ้มหวานขอบคุณแบบคนเจ้าชู้ ผมชินแล้ว ผมก็ยอมรับว่าตัวเองเจ้าชู้ แต่ไม่ได้มีเซ็กส์กับทุกคนที่เคยคบ ซึ่งต่างจากคนตรงหน้า ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพี่คิวไม่เคยผ่านเลยไปโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย
     

    “กูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงก็ชอบมาร้านนี้เหมือนกัน ทำไมเวลากูมาไม่เคยเจอมึงวะ”


    “ก็มาคนละวันคนละเวลาคงเจอกันหรอก ก่อนจะถามอะไรพี่คิวใช้สมองคิดก่อนได้มั้ย”


    “เอ๊า นี่มึงด่ากูเหรอเต้ย เชี่ยนิ” ผมหัวเราะพี่คิวเพราะปกติสมองพี่คิวจะมีต่อมที่เอาไว้ผลิตคำด่า มันจะส่งข้อมูลตรงลงมาที่ปาก ซึ่งไอ้ต่อมที่ว่าผมก็มีเหมือนกัน


    “ไม่ได้ด่าซักหน่อย เต้ยออกจะเคารพยำเกรงพี่รหัสเต้ยจะตาย”


    “เกรงมาก จะเล่นหัวกูอยู่แล้วมึงน่ะ”


    “อืม พี่คิว ทำไมพี่คิวพาเต้ยมาเลี้ยงร้านพี่โอ้”


    “ถูกดี” พี่คิวยิ้มร้ายๆยักคิ้วกวนๆให้ผม


    “โหยแม่งพี่คิว เอาดีๆดิ”



    “ก็กูชอบมาที่นี่ มึงเห็นรูปพวกนั้นมั้ย พี่รหัสมึงวาดเลยนะเว้ย ตั้งแต่สมัยยังละอ่อน จะว่าไปกูนี่ก็เก่งเนอะ หึหึ” พี่คิวชี้ให้ดูรูปที่แขวนโชว์อยู่ผนังร้านผมตักเค้กเข้าปาก ได้แต่ก้มหน้ายิ้มกับตัวเอง อยากจะบอกพี่คิวเหลือเกิน ว่าเต้ยรู้ รู้ดีทุกอย่าง ทุกเรื่องของพี่คิว



    “โม้ว่ะ”



    “โม้เหี้ยไร ไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วมึงล่ะ ทำไมถึงชอบร้านนี้ พี่โอ้บอกมึงมาบ่อย” มือของผมที่จับซ่อมมันสั่นจนยากจะควบคุม ผมเงยหน้ามองพี่คิว พี่คิวก็มองกลับมาแต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้แฝงความนัยอะไรไว้ คงมีแค่ความสงสัยว่าผมจ้องหน้าพี่เขาทำไม



    “เมื่อก่อนเต้ยมารอแฟน แต่หลังจากที่เลิกกับแฟน
    ….. เต้ยก็มาเพราะใครบางคน” ผมสบตากับพี่คิวอีกครั้งอย่างตั้งใจ แต่พี่เขาไม่เข้าใจความหมายที่ผมสื่อ พี่คิวพยักหน้าเหมือนจะให้ผมเล่าต่อ



    “เต้ยรู้จักคนๆนึงที่นี่ เราผูกพันกันมาก มากจนมันกลายเป็นความรัก” ผมมองไปที่รูปนั้นที่ผมเคยแปะโพสอิท รูปหมาน้อยสองตัวกำลังคลอเคลียกัน มันเป็นรูปวาดที่ไม่ได้ลงสี คนที่วาดก็คือพี่คิว



    “แล้ววันนึงเขาก็หายไป แต่เต้ยก็ยังมารอทุกวัน และได้แต่หวังว่าซักวันเขาจะกลับมาหาเต้ย แต่เขาก็ไม่เคยกลับมา เต้ยไม่โกรธเขาหรอกนะ เพราะเต้ย
    รักเขามาก” พี่คิวพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่ได้รู้เลยว่า ใครคนนั้นที่ผมพูดถึงคือตัวเอง


    “อืมเศร้าว่ะ มึงก็มีมุมแบบนี้หรอวะเต้ย หึหึ เหมือนเรื่องของกูเลย สงสัยร้านพี่โอ้มีมนต์ขลัง ฮ่าๆ”ผมเห็นความเศร้าอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่มันก็ไม่นาน พี่คิวก็กลับมายิ้มเหมือนเดิม



    “เล่าเรื่องของพี่คิวให้เต้ยฟังบ้างสิ”พี่คิวมองหน้าผม เหมือนลังเล เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะทุกข์หรือจะสุข ผมก็มีไอ้แมทที่คอยรับฟัง ผมได้ระบายให้มันได้รับรู้และร่วมแบ่งปัน แต่พี่คิวคงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเฮียคนอื่นเลย ถ้าพี่คิวยังรู้สึกแบบเดียวกับผม พี่คิวอาจจะทรมานกว่าผมก็ได้



    “ก็ไม่มีอะไร กูมีความทรงจำดีๆกับคนๆนึงที่นี่ ทุกครั้งที่กลับมาจะรู้สึกอบอุ่นผูกพัน แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วละ เพราะกูได้ทำลายความรู้สึกดีๆของคนนั้นไปแล้ว”น้ำเสียงพี่คิวราบเรียบปกติ แต่ดวงตาก็เก็บซ่อนความรู้สึกไม่ได้หรอก ถ้าเจ็บแล้วจากไปทำไม


    “แล้วทำไมพี่คิวไม่ไปบอกเขาละ ว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนั้น บางทีเขาอาจจะรอพี่คิวอยู่ก็ได้ เขาอาจจะไม่โกรธพี่คิวเลยก็ได้”พี่คิวยิ้มบางๆให้ผม ก่อนจะมองเหม่อออกไปด้านนอก


    “เรื่องบางเรื่องถ้าเก็บเอาไว้ ก็อาจจะดีกว่าพูดออกไป”



    “แล้วพี่คิวไม่คิดบ้างเหรอ ว่าคนนั้นจะรักพี่คิวมากแค่ไหน จะเจ็บปวดมากเท่าไร กับการที่เฝ้ารอคอยทุกวัน อยู่กับความรักความหวังเพียงลำพังโดยไม่รู้อะไรเลย”ผมไม่ได้ใส่อารมณ์ในน้ำเสียง กลับกัน เสียงของผมกลับเบาเหลือเกินที่จะเปล่งคำพูดแต่ละคำออกมา



    “ถึงกูจะยังไม่รู้จักความรักดีพอ แต่สำหรับกูความสุขสมหวังในรักไม่ได้ถูกจำกัดว่าต้องจบลงด้วยการอยู่คู่กันเสมอไป ถึงกูไม่ได้อยู่กับเขา แต่หัวใจที่มีความรักก็ยังอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน นานเท่าไร กูก็รักเขาได้ เพราะมันคือรักแท้


    ผมกระพริบตาถี่ๆ เพราะกลัวว่าน้ำตาจะไหลให้พี่คิวเห็น ผมกลืนไอ้ก้อนอะไรบางอย่างที่มันจุกจนแน่นหน้าอก มันบอกไม่ถูกเลยว่าความรู้สึกของผมตอนนี้เรียกว่าอะไร ตื้นตัน ดีใจและเจ็บปวดไปพร้อมกัน ดีใจที่รู้ว่าพี่คิวยังเหมือนเดิม แต่ก็เสียใจที่เราสองคนจะไม่มีวันได้คู่กัน



    นั่นสินะ ลึกๆแล้ว ผมยอมรับ ว่าผมแอบหวังที่จะได้อยู่คู่กับพี่คิว หวังว่าซักวันอาจจะได้เป็นแฟนกัน ได้คบกัน หวังทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และผมเพิ่งจะเข้าใจว่าถึงแม้เราจะไม่ได้คบกัน ความรักที่ผมมีให้พีคิวก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป มันยังมีอยู่ ยังอยู่ตรงนี้ อยู่ในใจของผมเสมอมาและคงตลอดไป





     
    TBC >>>>>>>>>>>>>>>>>
     




    ……………………………………
     



    ก่อนไปมีเพลงให้ฟังด้วยคะ คิดภาพพี่คิวเกากีต้าร์ร้องเพลงนี้ให้น้องเต้ยนะ ฮืออออออออออ
     
    งื้ออ พี่คิวน้องเต้ย  ก็อย่างที่ไอ้คุณคิวมันบอกอ่ะคะว่าการสมหวังในความรักไม่ได้จบลงด้วยการคบหาเป็นแฟนเสมอไป ชิมิเคอะ อิอิ มีความสุขได้ถ้ายังมีรัก วิ่งหลบฝาหม้อพ่อยกแม่ยกคิวเต้ย ขอลาไปทำใจซักหลายวันหน่อยนะคะ แอร๊ยยย

    ปล ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน
    1วันมี3ฤดู ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ
    ปลล แม้คิวเต้ยจะมาแรง แต่ก็อย่าเพิ่งลืม P&P เด้ออออ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×