คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 เปิดเทอมวันใหม่ แต่ไหงมีแต่เรื่อง !!
.
.
.
.
.
.
내가 당신곁에서 손을 잡아줄께요
เนกา ดังซินกยอทเอซอ โซนอืล จาบอาจุลเกโย
나를 기억해줘요 Fantasy Tale
นารืล กิออกแฮจวอโย Fantasy Tales
เสียงเพลง Fantasy tales ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบ ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องที่กำลังหลับอยู่ในห้วงนิทราอย่างสบายใจ ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันในช่วงปิดเทอม เธอกลิ้งตัวไปอีกฝั่งที่เธอวางโทรศัพท์มือถืออยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงของเธอก่อนจะกดรับอย่างุนงง
“ … ”
(“ ลีน่าจัง .. เฮ้.. ลีน่า !! ตื่นได้แล้ว ตื่น ๆ ๆ เช้าแล้วนะ”)
“ งื๊อออ พาดาจังเองหรอ.. ขออีก 5 นาที...”
(“ 5 นาทีอะไรกันละ ตื่นได้แล้วเช้าแล้วววว ”)
“ เห๋ หนวกหูน่า จะนอนต่อ รบกวนคนจะหลับจะนอนแต่เช้าเลย ”
(“ นี้ฉันอูสาห์มารอรับเธอไปโรงเรียนด้วยกันนะเนี้ย วันนี้ไปโรงเรียนนะตื่นนนนน ”)
“ เอ๋ .. วันนี้ไปโรงเรียนงั้นเร๊อะ ” ฉันที่กำลังงัวเงียจากการที่พึ่งตื่นนอนก็ลืมตาเบิกโพล่งขึ้นเมื่อเตือนสติได้ว่าวันนี้ต้องไปโรงเรียน
ใช่แล้ววันนี้เป็นวันที่โรงเรียนได้เปิดเทอมขึ้นหลังจากที่หยุดมานาน ฉันซึ่งกำลังเหนื่อยล้าจากการที่ไปเที่ยวในวันหยุดพักผ่อนเมื่อไม่นานนี้ ก็ต้องมาเรียนในช่วงเปิดเทอมแรกของสัปดาห์
(“ จะไปเรียนไหมมมม หรือจะนอนอยู่บ้าน ตอนนี้ 7 โมงกว่าแล้วนะ ฉันนั่งรอเธออยู่ที่ห้องนั่งเล่นนะมาไวๆเข้าถ้าจะไป ถ้าไม่ไปก็บอกจะได้ไปเลย ”)
“ หว่าา ~~ รอด้วยคนสิขอไปอาบน้ำแต่งตัวแปบนึงงง ” ฉันรีบลุกขึ้นออกจากเตียงพร้อมกับสปริงตัวเข้าไปในห้องน้ำอย่างไว รออะไรละค่า แงงงง
สวัสดีจ้ะทุกคน ฉันชื่อ ลีน่า อายุ 17 ปี ตอนนี้ฉันกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนของเหล่านักวิ่งตัวยง หรือที่เรียกกันว่า ‘ Talesrunner School ’ หรือเรียกย่อๆว่าโรงเรียนTRนั้นแหละ
ฉันน่ะเป็นนักบัลเล่ชื่อดังที่ใครๆต่างก็รู้จักในนามของ ‘ ลีน่านักบัลเล่สาวเจ้าสเน่ห์ ’ แน่นอนว่าฉันน่ะ มีความสามารถในด้านบัลเล่สูงจนเป็นที่จับตามอง รวมถึงที่ฉันเป็นลูกคุณหนู ออกแนวแสบๆบ้าง .. กวนๆ แต่ก็น่ารักน่า ทุกคนอาจจะมองฉันเพอร์เฟ็คในหลายๆเรื่อง จนมีใครหลายๆคนมาจีบฉัน แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็เลือกคนน่า แล้วยิ่งเป็นแบบนั้นก็ทำให้มีแรงริษยาของพวกเพื่อนบางกลุ่ม แอนตี้ตัวฉัน .. แต่ชั่งเถอะ ใครแคร์ ฉันไม่ ฮ่าๆๆ
เมื่อฉันอาบน้ำ แปรงฟัน ทำธุระส่วนตัว แต่งตัว หวี ผม บลา บลา บลา หลายอย่างเสร็จแล้ว ฉันก็หยิบกระเป๋าที่วางไว้ขึ้นมาสะพายหลัง ก่อนที่จะเปิดประตูลงบันไดไปหาเพื่อนสุดที่เลิฟของฉันที่อยู่ในห้องนั่งเล่น
“ เสร็จแล้วเร๊อะ ยัยบ๊อง แต่งตัวนานอย่างกะจะไปออกงานเลยนะ นี้ 8 โมง กว่าๆ แล้วนะโธ่ ฉันจะรีบไปจองที่นั่งหน้าๆก่อนจะมีคนแย่งนะเนี้ยย ” พาดาบ่นงุ้งงิ้งอย่างอารมณ์เสียเมื่อเห็นฉันเดินมาหา
“ แหม่ๆ เอาเถอะคุณเพื่อนขา ไปกันเถ๊อะ ไปเรียนกานนนน ” ฉันรีบลากมือของพาดามาเดินจูงออกจากห้องนั่งเล่นไปก่อนที่ จะบ่นไปมากกว่านี้ ไม่งั้นมีหูชาแน่ๆ
ฉันเดินตรงไปกับพาดาจนถึงบริเวณหน้าบ้านแต่ก็มีเสียงหนึ่งเรียกฉันเอาไว้
“ คุณหนูค่ะ คุณหนู อย่าลืมอาหารเช้ากับกล่องข้าวกลางวันนะค่ะ อาหารเช้าเป็นแซนวิชกับนมสตอเบอร์รี่ ส่วนอันนี้เป็นยา กินหลังอาหารเช้านะค่ะ ส่วนตอนเย็นค่อยกลับมากินยาที่บ้านทีเดียว ” คุณป้าแม่บ้านเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับยื่นอาหารเช้ากับกล่องข้าวกลางวันมาให้ฉัน ฉันจึงรับเอาไว้
“ โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูไปโรงเรียนก่อนนะค่ะ ”
“ คุณหนูค่ะ คุณหนูจะให้คนขับรถไปส่งหรือไปรับหรือเปล่าค่ะ ที่คุณหนูไม่สบาย-- ”
“ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกใกล้หายแล้วละค่ะ ” ฉันยิ้มให้คุณป้าเล็กน้อยแล้วกำลังก้าวเดินออกไปยังนอกประตู
“ อ๊ะ คุณหนูค่ะ นายหญิงบอกมาว่าวันนี้ไม่ต้องไปฝึกบัลเล่นะค่ะ นายหญิงโทรไปบอกกับครูฝึกไว้ให้แล้ว เดี๋ยวกลับบ้านมาจะได้พักผ่อน แล้วหายไข้ไวๆ ”
“ ค่า งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ ” ฉันพยักหน้าเบาๆพลางจับมือพาดาเดินไป
“ นี้ลีน่า ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ” พาดาพูดขึ้นมาในขณะที่พวกเรากำลังเดินไป
“ งื้มๆ ไหวอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ” ฉันกอดอกเชิ่ดหน้าขึ้นยิ้มให้พาดาที่ตัวสูงกว่าฉันเล็กน้อย
“ ฮ่ะๆ ช่วยไม่ได้นี้นะ ตอนวันหยุดนั้น เล่นในอยู่ดีๆฝนก็ตก น่าเบื่อจริงๆสภาพอากาศเนี้ย ”
“ แหม่ ที่จริงตอนแรกพาดาก็เป็นไข้ด้วยเหมือนกันนี้หน่า แต่ทำไมเธอหายก่อนฉันกันได้ละเนี้ย ขี้โกงอ่า ”
“ ช่วยไม่ได้ ก็ฉันแข็งแรงกว่าเธอ คุณหนูอย่างเธอ ไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกันเหมือนกับคนเมืองอย่างฉัน หัดออกกำลังกายเยอะๆหน่อย เดี๋ยวก็มีวิ่งไม่ไหวหรอก คิคิ ”
“ ไหวอยู่แล้วหน่า บู่ ” ฉันพูดพลางทำปากจู๋ใส่พาดา
“ จ้าๆ แม่คนเก่ง ”
ที่จริงแล้วฉันควรจะหยุดด้วยซ้ำนะวันนี้ เนื่องจากฉันไม่สบาย แต่ก็นะวันนี้เรียนวันแรกบวกกับที่ไข้ของฉันก็ทุเราลงบ้างแล้ว ฉันเลยไปโรงเรียนอย่างที่เห็นนั้นแหละ ไม่คิดเลยนะว่าวันที่ไปเที่ยวทะเลวันนั้นฝนจะตกลงมาได้ ที่พักก็ดันอยู่ไกลด้วย ฉันกับพาดาเลยต้องเปียกฝนไปโดยปริยาย แหะๆ
พาดาน่ะนะเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงมากๆเลย ตอนแรกยัยนั้นทำท่าจะทรุดหนักยิ่งกว่าฉันเสียอีก แต่พอมาอีกทีกลับเดินถือไอติมเข้ามาในห้องฉันที่กำลังนอนพักเพราะพิษไข้อยู่แล้วยังมาบอกอีกว่า
‘ มาเยี่ยมคนไข้ค่ะ ’
คิดแล้วอยากตบหน้าสะบัดชะมัด ฮ่ะๆๆ
พาดาเนี้ยเป็นเจ้าแม่เลยนะแต่ก่อนน่ะ เหมือนเป็นพวกนักเลงขาลุย ชอบกุ่ยไปทั่ว เป็นคนที่ค่อนข้างจะเกเรคนนึง ออกนิสัยทอมบอยนิดๆ ชอบมีเรื่องทะเลาะกับพวกนักเลงแถวโรงเรียนเกือบทุกวันไม่รู้จะตีกันไปทำไม อย่างรู้ว่าสนุกกันมากไหมนะ
เวลาพาดาเข้ามาในห้องเรียนมักจะเต็มไปด้วยพลาสเตอร์บนหน้าของเธอ บ้างก็มีรอยฟกช้ำบางส่วน ทำให้ทุกคนต่างไม่อยากจะเป็นเพื่อนกับพาดา เธอจึงต้องอยู่คนเดียวมาตลอด
แต่ก็นะด้วยความเฟรนลี่ของฉัน พวกเราถึงมาเป็นเพื่อนกันได้ ยังไงน่ะหรอ ฉันน่ะไม่ชอบเลยเวลาที่เห็นใครต้องอยู่คนเดียว ต้องเหงาอยู่อย่างนั้น ฉันพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกับพาดาเลยน้า ถึงเธอจะดูนิสัยไม่ดี แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุผล เป็นคนที่อ่อนโยนคนนึงเลย ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน และดูเหมือนว่าเธอจะมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นน้อยลง
ฉันกับพาดาเดินเข้ามาในส่วนของโรงเรียนป้ายที่ดูสะดุดตาอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน โรงเรียนนี้มีชื่อว่า TalesRunner
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เน้นเกี่ยวกับวิชา พละศึกษา เป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนดูจากชื่อโรงเรียนคำว่า ‘ Runner ’แล้วก็รู้ได้เลยว่า ต้องเน้นเกี่ยวกับการวิ่งกรีฑา หรือเรียกว่า การแข่งวิ่งโดยเฉพาะเลย แต่มีอีกคำนึงที่ลืมไม่ได้เลยคือคำว่า ‘ Tales ’ ที่แปลว่า นิทาน นั้นแหละ โรงเรียนนี้ก็สอนเกี่ยวกับพวกนิทานปรัมปรา สอนเรื่องต่างๆเกี่ยวกับเรื่องเทพนิยาย นิทาน ต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนที่เข้ามาศึกษาในโรงเรียนนี้ได้มีความรู้เกี่ยวกับพวกเทพนิยาย นิทานพื้นบ้าน พื้นเมืองอะไรต่างๆนั้นแหละ หรืออีกในนึงก็ให้สำหรับคนที่มีใจรักและเพ้อฝันรวมถึงนักอ่านตัวยง เพื่อฝึกนิสัยรักการอ่านและเพิ่มเติมความรู้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในพวกที่รักการอ่านมากๆเลยละ และฉันน่ะก็ยังสนใจเกี่ยวกับ เรื่องวิ่งแข่งต่างๆ มากๆเลยด้วยน้า เพราะมันน่าสนุกดี รวมถึงที่ฉันเป็นนักบัลเล่ด้วยยังไงละ ก็ต้องมีการฝึกทักษะการวิ่งการกระโดด ให้คล่องแคล่วว่องไว แถมโรงเรียนเนี้ย เรียนก็ไม่หนักอะไรมาก เน้นการปฏิบัติ มากถึงปานกลางกันเลยทีเดียว แต่นักเรียนทุกคนก็มีคุณภาพนะค่ะ มีส่วนน้อยมากกก ที่จะเป็นพวกเรียนแย่
เมื่อมาถึงบริเวณหน้าบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่มีติดชื่อนักเรียนในแต่ละชั้นเรียนอยู่ ฉันและพาดาก็เดินตรงเข้าไปดูรายชื่อนั้น
“ ลีน่าาา เจอแล้ววว ” พาดากระตุกชายเสื้อชั้นนิดๆ ฉันจึงหันไปมองรายชื่อตามที่พาดาชี้ให้ดู
“ ว้าวว ห้องเดียวกันน เย้ ” ฉันและพาดาแปะมือกันด้วยความดีใจ โดยที่ไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองมายังพวกเราที่ส่งเสียงแสดงความดีใจกัน
“ ห้อง E-2 ละปะๆตรงนู้นนน ”
“ ไปเยยยย ” ฉันและพาดาเดินจับมือเหวี่ยงแขนไปมาเป็นเด็กๆตามทางเดินโดยไม่แคร์สายตาใคร หน้าด้านค่ะ อิอิ ด้านไหนก็ดูดี แบร่
ฉันกับพาดาเดินเข้ามาในห้องเรียนที่มีนักเรียนอยู่บางตา แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเลย ฉันกับพาดานั่งแยกกัน เนื่องจากพาดาเป็นคนที่สายตาสั้นมากจึงไปนั่งอยู่บริเวณแถวๆหน้าห้อง ส่วนฉันที่ไม่ชอบนั่งหน้าห้องก็มานั่งอยู่แถวริมหน้าต่างๆหลังๆห้อง เพราะนั่งหน้าห้องมันอึดอัดนี้หน่า ถ้าแอบทำอะไรอย่างเช่น แอบหลับ หรือ ปั่นการบ้านวิชาอื่น อาจารย์ก็เห็นได้ง่ายๆด้วยน่ะสิ ฮ่ะๆ
“ ลีน่า เดี๋ยวฉันมานะขอตัวไปทำธุระก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาตอนใกล้เรียนคาบแรกนะ ” พาดาพูดขึ้นหลังจากที่วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วเดินมาหาฉัน
“ ไปอีกแล้วเหรอ .. ฮืม .. งั้นกลับมาไวๆนะ ” ฉันมองหน้าพาดาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ อ่าเค แล้วจะรีบกลับมาน้า ” พาดาพูดแล้วก็เดินออกไปจากห้อง
นานแล้วนะที่พาดาจะขอตัวไปทำธุระอย่างงี้ เพราะโดยปกติแล้ว เวลาพาดาไปทำธุระมักจะนานอยู่เสมอ กว่าจะกลับมาก็ใกล้เริ่มคาบทุกที แถมเวลาไปทีไรก็มีแผลเล็กๆน้อยๆกลับมา แต่ไม่ได้เยอะเหมือนกับที่พาดาเคยมีเรื่องกับกลุ่มนักเลง บางครั้งฉันก็สงสัยนะว่านอกจากนี้พาดาจะแอบไปมีเรื่องกับใครอะไรโดยปิดบังฉันหรือเปล่า แต่เธอก็มักจะบอกว่า ระหว่างทางเจอแมวข่วนบ้างแหละ สะดุดล้มบ้างแหละ คนชนจนล้มบ้างแหละ ..อืม .. ฉันคงคิดไปเองละมั้งนะ ..
ฉันนั่งกินอาหารเช้าที่คุณป้าแม่บ้านได้เตรียมให้ฉัน พร้อมกับนั่งฟังเพลงรอพาดาไปด้วย ที่จริงแล้วไม่ต้องรีบมาก็ได้หรอกนะ ตอนนี้พึ่ง 8 โมงครึ่งเอง เพราะว่าโรงเรียนเข้าตั้ง 9.45 แหน่ะ เป็นเวลาที่โรงเรียนนี้ตั้งเอาไว้เพราะ ตั้งแต่ 10 โมงขึ้นไปเป็นเวลาที่สมองจะได้รับรู้อย่างเต็มที่ มันเป็นมาตราฐานของหลายๆโรงเรียนแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างแพร่หลายเท่าไรนัก ฉันรีบมาเพื่อจะได้มาพร้อมกับพาดาเนี้ยแหละ ฉันไม่อยากให้พาดาต้องไปโรงเรียนยังไงละ อิอิ ..หะ ? ฉันแค่ไม่มีเพื่อนอย่างนั้นเร๊าะ ? เปล๊า ~ ฉันแค่อยากมากับเพื่อนรักน่ะ ผิดหรอ ชิ
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้วคนหลายๆคนเริ่มเข้ามาในห้องเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็นั่งฟังเพลงต่อไปพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ..นานจังแหะเมื่อไรพาดาจะมา
“ ลีน่า ~~ มาแล้วๆนานไปหน่อยโทษทีนะ แฮะๆ ” พาดาวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยท่าทีเหนื่อยหอบเล็กน้อยแล้วแลบลิ้นให้ แปลกแหะ ทำไมวันนี้ไม่มีแผล
“ ฮ่าๆ ไปทำไรมาเนี้ยหอบเป็น น้องหมาโฮ่งๆเลย คิก คิก ” ฉันหัวเราะคิกคักหลังจากที่พาดาทำหน้าเหลอหลาเมื่อฉันบอกว่าเป็นน้องหมา
“ ยัยบ้า! ว่าฉันเป็นหมาได้ไงกัน เดี๋ยวจับฟาดกับโต๊ะเลย ”
“ อู้ยยยย กลัวจังเลย ฮ่าๆๆ ” ฉันทำท่าหวาดกลัวพาดาที่ยกมือขึ้นจะตีฉัน
อ๊อดดดดดดดดด
“ เอาละนักเรียนทุกคนนั่งประจำที่กันได้แล้ว ”
“ แหม่ คุณครูมาตรงเวลาเป๊ะๆสุดๆไปเลยแหะ ไปนั่งที่ก่อนนะ ” ว่าแล้วพาดาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง
“ เอาละสวัสดีนักทุกคนนะครับ อาจารย์ชื่อ -----”
ฉันนั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างโดยที่ไม่ได้ฟังในระหว่างที่อาจารย์กำลังพูดแนะนำตัวและโฮมส์รูมคาบแรกเลย ฉันนั่งเหม่อลอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ..
ครืดดดด
“ ขออนุญาติเข้าห้องครับ ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาทำให้เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในห้อง ใครหลายๆคนต่างพากันสนใจไปที่บุคคลที่มาใหม่
“ เห้ยยย คนนั้นหล่อว่ะแก ” เสียงซุบซิบของใครหลายๆคนดังขึ้นใกล้ๆตัวฉัน
“ เห้ยๆ แกนั้นราฟใช่ปะ คนนั้นน่ะ ” คุ้นๆแหะ ชื่อนี้
“ เออใช่จริงด้วย ผมสีขาว ต่างหูสีแดงรูปไม้กางเขนนั้น ” ใครกันนะ
ฉันหันไปมองตรงบริเวณหน้าห้องที่เจ้าตัวที่กำลังยืนอยู่บริเวณหน้าห้อง น่าแปลกที่ฉันรู้สึกคุ้นตาเขาคนนั้นเป็นอย่างมาก โดยที่แปลกกว่านั้นก็คือ เขาก็กำลังมองมาทางฉันอย่างไม่วางสายตาอีกด้วย อย่าเรียกว่ามองเลย จ้องจนจะถึงสมองแกนกลางฉันอยู่แล้ว ยิ่งดวงตาที่คมกริบนั้น นัยน์ตาสีแดงที่ดูเปล่งประกายคมสวยคู่นั้น ผมสีขาวที่ถูกเซ็ตทรงได้รูปดูเท่สะดุดตา แน่นอนถ้าใครหลายคนถูกจ้องมองแบบนี้คงหัวใจละลายแน่ๆ แต่ฉันน่ะหรอ .. แน่นอนว่าไม่ คนพึ่งเจอกัน ดูแค่หน้าตา ทำให้ฉันหัวใจละลายไม่ได้หรอก
“ กรี๊ด เข้ามองมาทางนี้ด้วย ”
“ หล่อจนฉันจะละลายเลย ”
“ หล่อลื่น ” ฉันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในสภาวะเงียบลงทั้งห้องหันมามองฉันที่พูดขึ้นมาอย่างนิ่งเงียบ
“ ... ” ผู้ชายคนนั้นมองฉันพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉันจึงยิ้มให้บางๆแล้วเลิกคิ้วตามบ้าง
“ เอาละพอๆ นักเรียนทุกคนอยู่ในความสงบ นี้อยู่ในคาบโฮมส์รูมอยู่นะ ส่วนเธอไปนั่งตรงที่ว่างที่เหลือตรงนั้นด้วย วันนี้ครูจะไม่ว่าอะไรเพราะเป็นวันแรกหรอกนะ วันหลังห้ามมาสายอีกนะ”
อาจารย์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอาจากนั้นผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามานั่งตรงบริเวณโต๊ะที่อยู่ติดกับฉัน แล้วก็เกิดเสียงซุบซิบนินทราขึ้นมาอีกระลอก แต่เป็นเสียงเบาๆ
“อ่า ดันได้นั่งกับยัยลีน่าอีก โห้ยย ไม่ยุติธรรม ”
“ ชิ น่าอิจฉาชะมัด ”
“ ยัยนั้นไม่สมควรจะได้นั่งกับราฟของฉันเลยสักนิด ”
“ จะบ้าเหรอ ของฉันต่างหาก ”
เอิ่ม ไม่ทราบว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆนี้เขาได้ตกลงปลงใจกับพวกหล่อนไปแล้วเร๊าะ แล้วดูสีหน้าแววตาแต่ละคนที่จ้องมาทางนี้มีทั้งหญิงและชาย เต็มไปด้วยความ...อืม ..แต่ผู้ชายนี้น่าจะจ้องจะเอาราฟเป็น.. หรอกมั้ง ฮ่ะๆผู้ชายด้วยกันนะเฮ้ยย ถ้ามองราฟแล้วหึงหวงฉันว่าไปอย่าง แต่ถ้าอิจฉาฉัน .. บรึ่ยย ฉันยังไม่อยากเป็นสาววายนะ (////)
ตอนนี้อาจารย์เริ่มพูดโฮมส์รูมต่อไปโดยที่ผู้ชายที่นั่งข้างๆฉันก็ได้แต่ทำสายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ลืมอธิบายน่ะนะ ห้องเรียนจัดโต๊ะไว้เป็นโต๊ะคู่ ฉันนั่งอยู่แถวริมสุดแต่ไม่ได้ชิดหน้าต่างหรอกเพราะฉันเบื่อเวลาลมตีเข้าหน้าฉันเลยนั่งเถิบออกมาอีกนิดเลยเหลือที่นั่งติดริมหน้าต่าง
ฉันลอบมองผู้ชายคนข้างๆอย่างเงียบๆ สักพักเขาก็หันมามองฉันทำนองว่า ‘มองอะไร’ ฉันก็ได้แค่หันหน้ากลับทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากคนข้างๆ
เฮ้อ อยากให้คาบนี้จบไวๆจัง เบื่อชะมัด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังเดินไปรอบๆเพื่อหาที่นั่งสำหรับกินข้าวคนเดียว เพราะเจ้าเพื่อนตัวดีของฉันขอตัวไปนั่งทำการบ้านปิดเทอมที่ยังทำไม่เสร็จซะงั้น จริงๆแล้วนั่งข้างบนห้องก็ได้อยู่หรอก แต่จุดประสงค์สำคัญของฉันคือ การหาใครบางคน .. ว่าแล้วก็เจอแล้วละ
ผู้ชายผมขาวคนนั้นนั่งกินอาหารกลางวันอยู่คนเดียวบริเวณใต้ต้นซากุระต้นนึง แววตานั้นดูท่าทางหมองๆยังไงไม่รู้แหะ ไม่เหงาบ้างรึไงกันนะที่มานั่งกินข้าวคนเดียวอย่างนี้
ฉันเดินตรงไปตรงที่เขานั่งอยู่ เขาหันมองฉันเล็กน้อยฉันจึงส่งสายตาประมาณ ‘นั่งด้วยคนนะ’ เขาจึงส่งสายตามองมานิ่งๆแล้วกินขนมปังยากิโซบะนั้นต่อ ฉันจึงนั่งลงบริเวณตรงข้ามเขา ถือว่าเชิญแล้วนะ ไม่รู้ด้วยละ
“ ไง กินแต่ขนมปังยากิโซบะ ไม่เบื่อหรอ ” ฉันเปิดสนทนาขึ้นมาเป็นการชวนคุย ฉันก็พอจะจำเขาได้หรอกนะ ว่าเขามักมานั่งแถวนี้แล้วก็กินขนมปังยากิโซบะประจำเลย
“ ... ” นี่ตานี่กะจะสื่อสารกับฉันด้วยพลังจิตใช่ไหม เขามองมาที่ฉันพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วก็นั่งกินต่อไปอย่างเงียบๆ
“ กินแต่ขนมปังยากิโซบะอย่างเดียว เดี๋ยวก็ขาดสารอาหารหรอก เอ๊า กินนี้สักนิดก็ยังดี ฉันยังไม่ได้ใช้ตะเกียบไม่เป็นไร ” ฉันคีบซูชิที่อยู่ในกล่องข้าวของฉันขึ้นไปจ่อปากของตานี้
เขาเหลือบมองฉันนิดๆด้วยสายตางุนงง เขาทำท่าจะหันหน้าหนีฉันจึงคีบซูชิให้จิ้มที่ปากของเขา เขามองไปที่ตะเกียบเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ แล้วงับซูชิก้อนนั้นเข้าปากไป
“ อร่อยไหม ” ฉันยิ้มอย่างดีใจที่เขากินซูชิเข้าไปแล้ว
“ ... ” เขาไม่ตอบอะไรฉันแต่กลับไปกินขนมปังยากิโซบะต่อ
“ กินอันนี้อีกหน่อยด้วยนะ จะได้มีสารอาหารเยอะๆ ปลาแซลมอลเนี้ยจะได้ให้ไอโอดีนไรเงี้ย ” เขาหันมาหาฉันที่พูดขึ้นฉันจึงจัดการยัดปลาแซมอลเข้าปากทันที เขามองฉันอย่างเอือมๆ พลางส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกินขนมปังของเขาจนหมด ฉันคีบไข่หวานไปจ่อปากเขาอีกรอบแต่เขาหลบฉันเล็กน้อยแล้วอ้าปากขึ้นพูด
“ ..นี้เธอกะจะเลี้ยงฉันเป็นหมูเลยรึไงกัน ..สุดท้ายพอแล้ว ..” เขาพูดก่อนที่จะงับไข่หวานนั้นเข้าปากไปแล้วหันหน้าไปทางอื่นจากนั้นก็หยิบขวดน้ำส้มขึ้นเปิดดื่ม
“ หืมก็นะ นายกินแค่นั้นนายอิ่มรึไงกัน ฉันน่ะกินยังไงก็อิ่มอยู่ละ นายช่วยกินก็ดีไง ฮ่ะๆ ” ฉันยิ้มแล้วแลบลิ้นให้เขาเล็กน้อยแล้วคีบซูชิเข้าปากตัวเองบ้าง
สายตาของฉันพอจะเหลือบมองเห็นเขาในตอนนี้เขากำลังกระดกดื่มน้ำส้มอยู่ แต่ตอนนี้สายตาของเขามองมาที่ฉันที่กำลังคีบอาหารเข้าปากอยู่ ฉันจึงหันไปมองเขาเล็กน้อย แต่เขาก็เมินหันไปมองสิ่งอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ อร่อยหรือเปล่าละที่ฉันให้ลองกินไปน่ะ ” ฉันหันไปมองเขาที่กำลังเหม่อมองสิ่งอื่นอยู่แต่ริมฝีปากยังแตะอยู่กับขวดน้ำนั้น
“ ... ” อ่า ไม่ตอบอีกแล้วแหะ เมื่อกี้ยังตอบอยู่เลย
“ หืม .. ไม่ตอบอีกแล้วแหะ.. อ๊ะ ตรงนี้เปื้อนนะ ” ฉันเอื้อมมือไปเกลี่ยส้มที่ติดใกล้ๆริมฝีปากของเขาออก แต่เขากลับปัดมือของฉันออก
“ อย่ายุ่งหน่า.. ” เขาพูดแล้วลุกขึ้นยืนหยิบเอาขวดน้ำส้มที่ดื่มจนหมดแล้วกับถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มขนมปังเอาไว้เอาไปทิ้งถึงขยะที่อยู่ใกล้ๆ โดยที่ไม่หันกลับมาอีกเลย
“ เห้อ .. ” ฉันได้แต่ถอนหายใจกับท่าทีของเขา
ฉันน่ะไม่ชอบให้ใครอยู่คนเดียวเห็นอย่างงี้แล้วเหงาแทนชะมัด
ฉันนั่งกินข้าวกล่องจนหมดจึงจัดการเก็บให้เรียบร้อยแล้วเดินขึ้นชั้นเรียนไป ระหว่างทางที่ฉันกำลังจะขึ้นไปที่ชั้น 3 ที่ฉันเรียนอยู่ฉันก็รู้สึกสะดุดตากับผมสีขาวของใครบางคนระหว่างทางที่อยู่ชั้น 2
มีเด็กผู้หญิงคนนึงดูท่าจะเป็นรุ่นน้องน้อยกว่าปีนึงเดินมาตรงหน้าของตานั้นแล้วก้มหน้าก้มตาเหมือนเขิลอายอะไรบ้างอย่าง ส่วนตาหัวขาวก็ยืนมองนิ่งๆ .. เด็กคนนั้นคนจะสารภาพรักสินะ ใจกล้าไม่เบาที่สารภาพรักในที่โจ้งแจ้งขนาดนี้
“ รุ่นพี่ค่ะ .. คือ..ฉันน่ะ ชอบรุ่นพี่ที่สุดเลยค่ะ เพราะฉะนั้น.. ”
“ ... ” เขามองเล็กน้อยก่อนที่จะเดินหลบไปโดยไม่พูดอะไร
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็เดินไปดักหน้าของราฟ แต่กลับถูกชนจนล้ม ตานั้นมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นก่อนจะทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไป
ฉันรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของรุ่นน้องคนนั้นทันที
“ น้องค่ะ ..เจ็บตรงไหนรึเปล่า..อ่ะ หัวเข่าถลอก.. ” ฉันมองบริเวณที่มีรอยถลอกเล็กน้อยก่อนจะมองใบหน้าของรุ่นน้องผู้โชคร้ายคนนั้น
“ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่พาไปเอาน้ำล้างแผลก่อนลุกขึ้นไหวไหม ” ฉันจับต้นแขนของรุ่นน้องเบาๆ รุ่นน้องพยักหน้าตอบรับเบาๆ ในตอนนี้ใบหน้าของน้องคนนี้เริ่มตาแดงๆพร้อมกับมีน้ำตาหยดลงมา ฉันปาดน้ำตาเบาๆแล้วพยุงน้องเขาไป
ตอนนี้ฉันช่วยพยุงรุ่นน้องผู้โชคร้ายจากการที่โดนจอมมารชนจนล้มเข้ามาล้างแผลในห้องน้ำ
“ จะไปห้องพยาบาลไปทายาหรืออะไรหรือเปล่า เดี๋ยวพี่พาไป ”
“ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะค่ะ... ” น้องเขาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆทำให้ฉันที่เห็นก็อดที่จะรู้สึกเสียใจแทนไม่ได้ ทำได้ไงกันนะผู้ชายคนนี้ ใจร้ายชะมัด ..
“ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็เช็ดหน้าเช็ดตาให้เรียบร้อยนะ เธอเป็นคนที่น่ารักนะเพราะฉะนั้น อย่าร้องไห้นะ ” ฉันยิ้มบางให้กับน้องคนนั้น น้องเขาก็ยิ้มตอบนะแต่ว่า ..
ซ่าาาา
Rough
ผมเบื่อจริงๆกับการโดนผู้หญิงตามตื้อเนี้ย แต่ก็นะเป็นเรื่องแปลกใหม่ดีเหมือนกันที่คนอย่างคุณหนูลีน่าคนนั้นจะมานั่งกินข้าวร่วมกับผม จริงๆผมก็ไม่ได้สนใจอะไรใครนักหรอกนะ ผมมน่ะเบื่อ .. ใช่เบื่อที่สุดเลยละ .. แต่ก็นะเธอคนนี้ก็ดูน่าสนใจดีไม่เลว ปกติแล้วผมก็ไม่ได้สุงสิงกับใครหรอก เบื่อจะตาย เดี๋ยวก็นินทากัน เดี๋ยวก็นู้นนี้มีทะเลาะกันบ้างละ อยู่คนเดียวดีกว่าเยอะ โดยเฉพาะความรัก..ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก มันเป็นเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด สำหรับอดีตของผม
ผมน่ะเริ่มอยู่คนเดียวตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วตั้งแต่ตอนเรียนในระดับชั้นCแล้วละมั้ง [ระดับชั้นแบ่งคล้ายกับมัธยมเลยเพียงแต่แบ่งเป็น A-F (เช่น A = ม.1)] แต่ก่อนนั้นผมเป็นผู้ชายที่ดูแปลกประหลาดคนนึง เพราะผมได้ประสบกับอุบัติเหตุจนทำให้ประสาทของผมกลับไปคนละทิศละทาง แล้วทำให้เป็นเหตุที่ผมต้องเดินถอยหลังมาตลอด ผมเคยเป็นนักแข่งรถซิ่งคนนึงที่มีชื่อเสียง แต่เพราะอุบัติเหตุนี้ทำให้ผมต้องออกไปจากวงการ แต่พอขึ้นระดับชั้นCแล้ว ผมก็ได้รับการรักษาจากผู้สนับสนุนบางรายที่ผมเคยไปออกรายการแข่งซิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้กลับไปแข่งมอเตอร์ไซต์ต่อ มีแต่บางครั้งที่ได้รับการอ้อนวอนขอให้ผมไปแข่งบ้างอะไรเงี้ยแหละ ช่วยไม่ได้นะ ผมไม่ชอบให้ใครต้องมาขอร้องอะไรผมมากมาย ช่วยๆไปบ้างก็คงไม่เป็นไร
ผมเข้าโรงเรียนนี้เพราะต้องการฝึกฝนร่างกายของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ผมน่ะต้องวิ่งถอยหลังอยู่เสมอ ผมเลยต้องฝึกให้มากๆ ผมไม่อยากให้ใครมองผมเป็นคนพิการ อย่างแสดงออกให้เห็นว่า ผมก็เป็นคนปกติคนนึง ไม่อยากให้ใครมองด้วยสายตาสมเพศหรืออะไรทั้งสิ้น..
ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติตาม ระดับชั้น C ผมเป็นที่รู้จักของใครหลายๆคนในโรงเรียนอาจจะเพราะความเพลย์บอยของผม และจีบติดยาก แล้วหน้าต่างผมสีขาวที่เด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร ก็นะช่วยไม่ได้คนมันหล่อก็เงี้ย แต่ผมน่ะ ไม่อยากมีใครอีกแล้วละ เกลียดนักความรักเนี้ย ไม่อยากจะมีอีกแล้ว
ตลอดเวลาการใช้ชีวิตมัธยมที่โรงเรียนนี้ผมก็มักจะเดินเล่นของผมไปเรื่อยๆแหละ ในเมื่อขากลับมาเป็นปกติแล้วผมก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าสิ จะว่าไปผมก็เคยได้ยินเสียงนินทารวมความรือต่างๆนาๆของยัยคุณหนูคนนั้นเต็มไปหมด ทั้งน่ารักดูเพอร์เฟ็ค แสบซ่า ข่าวเสียๆก็เยอะ แต่มันดูเหมือนกับการก่อข่าวลือขึ้นมามากกว่า ส่วนข่าวดีๆก็มีนะ ความพวกนั้นทำซะเหมือนกับลีน่าเป็นเหมือนกับนางสาวไทยอะไรสักอย่าง อุทิศตนให้แก่สังคม มันดูเว่อร์ไปยังไงก็ไม่รู้ แต่บางส่วนก็ดูเหมือนว่าจะจริง
เพราะบางครั้งแล้วเวลาที่ผมเดินเล่นไปรอบๆโรงเรียนผมก็มักจะเห็นลีน่าช่วยคนอื่นอยู่เสมอทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อน บางครั้งมีคนมาติดต่องานกับโรงเรียนยังช่วยบอกทางให้อีกต่างหาก ก็นะอาจจะมีบางส่วนที่ดีก็ได้
แต่ในส่วนที่ดีก็ย่อมมีผลร้ายตามมา
รู้สึกว่าจะมีคนที่แอนตี้ลีน่าเยอะเหมือนกัน เพราะบางครั้งลีน่าก็ดูจะเป็นคนที่อวดเก่ง กล้าและแสบอาจจะมีปากเสียด้วยแหละมั้ง ถึงได้สร้างศัตรูไว้เยอะขนาดนี้ บางครั้งก็แอบเห็นโดนแกล้งกลายๆอย่างด้วย อย่างเช่น โดนชนจนล้มบ้างแหละ มีคนแกล้งชนจนน้ำที่อยู่ในมือราดตัวเองบ้างแหละ ชนจนเกือบตกบันไดจนต้องเข้าห้องพยาบาล บ้างก็แอบตัดผม เอารองเท้านักเรียนไปซ่อน ตัดเสื้อ สารพัดจนไม่รู้จะว่ายังไง
ผมก็ดูอยู่ห่างๆไม่เข้าไปช่วยไม่เข้าไปทำอะไรเลย แต่ทุกครั้งที่เธอโดนแกล้ง เธอมักเป็นฝ่ายขอโทษก่อนพร้อมกับยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี้เรียกว่า ปล่อยวาง หรือเรียกว่า ซื่อบื้อ ?
ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าของโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ ก็นะถูกสั่งห้ามเข้ามาใครจะกล้าเข้านอกจากผม เด็กเกเรโรงเรียนนี้ไม่ค่อยขึ้นมากันหรอก เพราะหาจับตัวได้ง่ายเกินไปก็คงจะไปที่อื่น
แกร๊ก
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผม ผมหันไปดูก็ผมกับลีน่าที่เดินตัวเปียกเข้ามาหาผม .. ตัวเปียกงั้นหรอ ไปตกน้ำมารึไงกันนะ
“ ไง ” เธอทักผมด้วยน้ำเสียงเบาๆจนเกือบไม่ได้ยิน เธอปิดประตูนแล้วพิงตัวไว้กับประตู
“ มีอะไรถึงตามมาหาฉันถึงที่.. ” ผมมองหญิงสาวที่ตอนนี้เปียกปอนไปทั่วทั้งตัวเสื้อผ้าแทบจะแนบไปกับลำตัวแล้ว เห้อเธอเดินขึ้นมาหาผมได้ยังไงกันนะ
“ ก็แค่..อยากคุย ” ลีน่ายิ้มนิดหน่อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง
“ ... ” ผมเงียบโดยที่จ้องมองไปที่ใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะเล็กๆ
“ฉันแค่อยากรู้ว่า ทำไมนายถึงต้องชนน้องคนนั้นจนล้ม ” เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ ก็ไม่ได้ชน..เดินดักทางอย่างนั้น หยุดไม่ทันก็โดนชนล้มเป็นธรรมดา ” ผมก็ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆไปเหมือนกัน
“ อย่างน้อยพยุงน้องเขาให้ลุกขึ้นแล้วพูดขอโทษก็ยังดี ” ลีน่าทำเสียงตำหนิผม
“ ขี้เกียจพูด ” ผมมองลีน่าอย่างไม่ใส่ใจแล้วเมินเธอ
“ คิดถึงความรู้สึกคนอื่นบ้างก็ดีนะ ” เธอเริ่มขึ้นเสียงกับผม
ผมหันไปมองลีน่าที่ตอนนี้เดินเข้ามาใกล้ผมขึ้นเรื่อยๆ
“ แล้วไงต่อ ”
“ จิตสำนึกน่ะ มีไหม ? ”
“ แล้ว ” ผมมองลีน่าอย่างไม่สะทบสะท้าน
“ ตายด้าน ”
“ ... ”
“ นายไม่คิดว่าน้องเขาจะเสียใจ ? ”
“ เกี่ยวอะไรกับฉัน ”
“ อย่าตอบคำถามด้วยคำถามจะได้ไหม ? ”
“ เกี่ยวอะไรกับเธอ ” ลีน่าขมวดคิ้วให้กับคำตอบของผม
เธอเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วกระชากคอเสื้อของผม ผมมองหน้าเธอนิ่งๆ
“ ถ้าเกิดนายเจอเหตุการณ์ที่โดนคนที่แอบรักทำให้เจ็บปวดงี้ นายจะรู้สึกบ้างไหม ” เธอแว้ดใส่หูผม ตอนนี้ผมรู้สึกว่าหูผมชาไปหมดละ
“ แน่นอนว่าฉันไม่มีอะไรให้เสีย ” ผมตอบไปตามความจริงแล้วจ้องหน้าเธอ
“ นายนี้มัน.. ”
“ ว่าแต่เธอหรอก ที่ตัวเปียกนี้ไม่ใช่ว่าโดนสาดน้ำหรอกรึไง ” ผมพูดพลางมองไปที่เสื้อของลีน่า
“ ... ”
“ มัวแต่สงสารคนอื่นอะ ดูตัวเธอเองบ้างเถอะ อย่าอวดเก่งให้มากนัก ” ผมแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ ฉันไม่ได้อวดเก่ง ”
“ รู้ไหมเธอเดินมาหาฉันทั้งๆที่เสื้อเปียกอย่างนี้น่ะ มันเป็นยังไง .. ” ผมเดินเข้าไปหาลีน่าทำให้เธอเดินถอยหลังผมไปเรื่อยๆ จนในที่สุดตอนนี้เธอก็ยืนติดอยู่กับกำแพง
“ โรคจิต !! ” ลีน่าถลึงตาใส่ผมที่กำลังยิ้มยียวนเถอะอยู่
“ หืม เธอด่าฉัน ”
“ ก็ใช่ไง ฉันด่านาย จะให้ฉันไปด่า---ที่ไหนละ หึ ”
“ เป็นผู้หญิงที่ปากร้ายอย่างที่ใครเขาว่ามาจริงๆด้วยแหะ ” ผมพูดก่อนจะยันมือไว้กับกำแพงแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผู้หญิงตรงหน้า
Lina
“ นายมันโรคจิต ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ !! ” ฉันใช้มือของฉันพยายามผลักตัวของคนตรงหน้าออกไปแต่ก็ไม่เป็นผลอะไรเลย
“ เหอะ ที่นายไม่ให้เกียรติผู้หญิง ชอบทำร้ายผู้หญิง แล้วก็ไม่มีแฟนหรือไม่ได้ชอบผู้หญิงเลยก็คงเป็นเพราะนายเป็นเกย์ใช่ไหมละ หรือเป็นกระเทยแปลงเพศมา ยอมรับมาตรงๆเถอะ ”
“ ไม่ใช่สักหน่อ---- ” ก่อนที่เจ้าโรคจิตนี้จะพูดอะไรขึ้นมาฉันก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยยั่น
“ ไม่ใช่งั้นหรอ ก็เห็นกันอยู่จะจะไม่ใช่รึไงกันละ ทำร้ายผู้หญิง แฟนก็ไม่มี หลักฐานก็มีอยู่อย่างงี้ ยังจะแก้ตัวได้อีกหรอ ว่าไงรุกหรือรับละ เดาง่ายๆก็รับอยู่แล้วละคงเป็นควีนด้วยสิท่า ” ฉันยิ้มเยาะพลางเชิ่ดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย
“ จะให้พิสูทธ์ไหมละว่าฉันไม่ใช่ ? ” ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วขึ้นยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ อ่ะ ๆ จะกางเกงให้ดูรึไงว่ายังไม่ได้ผ่าหรือเหน็---อื้ออออ ” ร่างสูงกดจูบลงไปที่ริมฝีปากของฉันอย่างรุนแรง ทำให้ฉันได้แต่ส่งเสียงตกใจออกมาได้เพียงเล็กน้อยแล้วทุบคนข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย คนตรงหน้าจัดการรวบข้อมือไว้ด้วยกันแล้วกดจูบแรงๆให้รับรู้ถึงรสจูบ มีความรุนแรงผสมอยู่ มันเป็นจูบแรกของฉันที่น่าขยะแขยงที่สุด !
กึก
ฉันกัดลงไปที่ริมฝีปากจนทำให้ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้คนตรงหน้าผละถอยหลังออกไปเล็กน้อย
“ เลว!! ” ฉันตะโกนใส่พร้อมกับเช็ดเลือดที่ปะปนกับน้ำลายที่เปร๊อะอยู่บนริมฝีปากของฉัน
“ เป็นไงจูบแรกงั้นเหรอ..? หึ ” เขายิ้มเยาะแล้วกำลังจะเดินเข้าไปหาอีกรอบ
เพี๊ยะ
ฉันใช้หลังมือตบเข้าไปที่หน้าของราฟ เขาพูดไม่ออกไปสักพักนึงก่อนจะยกยิ้มขึ้น
“ นายมันเลว ..เลวที่สุด !! ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้งเพราะยังคิดคำนวนเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ทัน
“ เห๋ ~~ เธอก็ตบฉันไปแล้วไม่ใช่รึไงก็เสมอกันแล้วไง ” เจ้าบ้าตรงหน้าพูดอย่างไม่ใสใจอะไร พลางเหลือบมองฉันเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมาอีกรอบ
“ นายมันเลวที่สุด ชั่ว ! อย่าเข้ามาใกล้นะ เจ้าโรคจิต อึก ! ปล่อยนะ!! ” คนตรงหน้ากระชากแขนของฉันเข้าไปไกล ก่อนที่เจ้าโรคจิตนี้จะทำอะไร ฉันก็สะบัดแขนออกแล้ววิ่งออกไปทางประตู
ก่อนที่ฉันจะก้าวขาลงบันได อยู่ๆก็เหมือนทั้งโลกมืดลง ..
“ ลีน่า !! ”
เสียงของผู้ชายคนนึงที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นมาอย่างตกใจ .. ฉันซึ่งกำลังตกลงไปสู่ด้านล่างได้แต่หลับตาลงพร้อมกับภาพที่มืดสนิท แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่อบอุ่นห้อมล้อมไว้ตามด้วยเสียงอะไรบางอย่างกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
ตุ๊บ !!!!!!!!
Pada
“ ไม่สนใจจะไม่ดูเพื่อนหน่อยหรอ หึ ” ผู้ชายตรงหน้าที่กำลังดันหลังฉันติดกับรั้วของดาดฟ้าของอาคารฝั่งตรงข้ามกับที่เรียนอยู่เอยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขำขัน
“ หนวกหูหน่า แล้วก็อย่ามาแตะตัวฉัน ” ฉันผลักคนตรงหน้าให้เซถอยหลังไปพร้อมกับจ้องด้วยสายตาเคียดแค้น
“ เห๋ ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยละ หึ หึ ” ผู้ชายตรงหน้าตรงเข้ามาเชยคางฉันขึ้นเล็กน้อยแต่ฉันก็ปัดมือออกแล้วตรงไปทางประตูทางลง ก่อนที่ฉันจะลงไปก็มีน้ำเสียงเย้ยหยันดังมาจากข้างหลัง
“ ขอให้พวกเขาไม่เป็นอันตรายอะไรละกันนะ ” เขาพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะออกมา
“ ไปตายซะ ” ฉันตะโกนโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมองแต่อย่างใดแล้ววิ่งลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็วเพื่อไปที่ตึกที่เพื่อนสนิทของฉันอยู่
ฉันก้าวกระโดดขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วแต่ฉันก้าวไปได้ไม่กี่ขั้น เจ้าของร่างทั้งสองคนที่ฉันเห็นบนดาดฟ้านั้นก็กำลังลงบันไดลงมาเช่นกัน ว่าแต่เลือดที่เปร๊อะบนเสื้อนั้นมันอะไรกันที่หัวของเจ้าหัวขาวนั้น ?
“ น..นาย ที่หัวนั้นมัน.. ” ฉันอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจและช็อคกับภาพที่เห็นตรงหน้า
“ แค่ตกบันได ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนเธอหรอกนะรับทัน ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ แล้วทำไม... ”
“ ก็แค่สลบ ” เขาพูดปัดๆไปพร้อมกับรีบวิ่งตรงไปทางที่หน้าจะเป็นห้องพยาบาลทันที
“ นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย.. ” ฉันพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆกับตัวเองแล้วมองไปที่ผู้ชายคนนั้นที่วิ่งไป
Lina
‘ปวดหัวชะมัด’
นี้คือสิ่งแรกที่ฉันคิดเมื่อเริ่มรู้สึกตัว ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆมองไปที่เพดานห้องแล้วค่อยๆมองไปรอบๆ
‘ที่นี้คือห้องพยาบาลนี้หน่า’
ฉันคิดได้เช่นนั้นจึงค่อยๆแตะที่หน้าผากตัวเองที่มีผ้าชุบน้ำที่เริ่มอุ่นๆ ไข้ฉันขึ้นอีกแล้วหรอเนี้ย คิดแล้วปวดหัวจริงๆ ฉันลุกขึ้นพิงกับหัวเตียงหยิบผ้าที่แปะอยู่บนหัวถือเอาไว้แล้วเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง
ทำไมฉันต้องเสียจูบแรกให้กับคนที่น่าขยะแขยงอย่างนั้นด้วยนะ เป็นคนที่เลวร้ายที่สุด .. ฉันเกลียดชะมัด แต่ทำไมเขาถึงเรียกชื่อฉันละ ตอนนั้น .. เขารู้ชื่อของฉันได้ยังไงกันนะ ไม่เคยบอกนี้หน่า
แต่แล้วคนที่ฉันกำลังนึกถึงก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ฉันเหล่ตามองเล็กน้อย ตอนแรกก็กะว่าจะทำเป็นเมินอยู่หรอกนะ แต่ฉันก็สะดุดเข้ากับผ้าพันแผลที่ศรีษะของเขา เขาเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วยืนมองฉันอยู่ตรงข้างเตียงที่ฉันนอนอยู่
“ ไม่ต้องห่วง ฉันไปคลีนิคใกล้ๆนี้มาละ ” เขาพูดขึ้นมาในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้พอดี
“ ฉันไม่ได้เป็นห่วง แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ถามนายด้วย ” ฉันพูดออกมาแล้วมองไปที่ผ้าพันแผลนั้น ที่ยังมีเลือดซึมออกมานิดๆจากบริเวณผ้านั้น
“ หืม..งั้นหรอ ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติแล้วลากเอาเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวมานั่งข้างเตียงของฉัน
“ ฉันหลับไปกี่ชั่วโมงแล้ว ” ฉันหันหน้าไปมองหน้าต่างอีกครั้งนึง
“ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ” เขาเอื่อมมือมาแตะหน้าผากและแก้มของฉันราวกับจะตรวจอุณภูมิ
“ ทำอะไร ” ฉันมองเขาที่กำลังลุกขึ้นแล้วหยิบกาลามังที่มีน้ำอยู่ไปเททิ้งที่อ้างน้ำแล้วรองน้ำมา จากนั้นก็วางไว้ที่เดิมพร้อมกับหยิบผ้าที่อยู่ในมือฉันไปชุบน้ำ
“ ป่วยก็นอนไปนิ่งๆ ” เขาเอาผ้าที่หยิบไปเมื่อกี้จุ่มน้ำแล้วบีบหมาดๆ แล้วจับตัวฉันให้นอนลงแล้วนำผ้ามาแตะที่ข้างๆแก้ม
ฉันสะดุ้งเล็กๆเพราะความเย็นจากผ้าที่ผู้ชายตรงหน้านำมาแตะ เขาชะงักเล็กน้อยแล้วค่อยๆเช็ดมาตามลำคอ เขาดึงมือของฉันขึ้นมาแล้วเช็ดตั้งแต่บริเวณต้นแขนถึงมือ ทีละข้างจากนั้นก็นับผ้าไปแช่น้ำบิดอีกรอบแล้ววางผ้านั้นลงบนหน้าผากของฉัน ฉันหลับตาปี๋เมื่อเขาเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ฉัน
“ นอนพักไปมีอะไรเรียกฉันละกัน ” เขาพูดแล้วเดินไปล้มตัวนอนลงที่เตียงข้างๆ
“ จะว่าไปนายชื่อ ราฟ ใช่ไหม.. ?” ฉันค่อยๆหันตะแขงข้างไปทางที่นายนั้นนอนอยู่
“ อ่าหะ ” ราฟตอบโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองอะไรฉัน
“ นายรู้ชื่อของฉันได้ยังไงกัน ” ฉันถามขึ้นโดยมองไปที่ใบหน้าที่กำลังหลับตาอยู่
“ แค่ได้ยินผ่านๆน่ะ ” เขาพูดแล้วลืมตามองฉันเล็กน้อย อ่า..แค่ได้ยินผ่านๆสินะ
“ นี่.. ” ฉันเรียกเขาด้วยเสียงเบาๆ
“ ไม่ต้องขอโทษหรอกหน่า ฉันต่างหากต้องขอโทษ ” อะไรกันเนี้ยทำไมเขารู้ไปซะทุกอย่าง
“ ก็.. ” ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรเขาก็พูดขัดขึ้นมาอีกครั้ง
“ ทำเสียงง่อยขนาดนั้นก็รู้หรอกว่ารู้สึกผิด แต่ก็นะก็ไม่เป็นไรแล้วไงไม่ต้องไปสนใจอะไรกับเรื่องแค่นี้หรอกหน่าพักผ่อนไปเถอะ บอกจารย์แล้ว ” เขาพูดปัดๆไปแล้วนอนตะแขงข้างหันหลังให้กับฉัน
สักพักนึงเมื่อฉันแน่ใจว่าเขานอนหลับแล้วฉันก็นอนหงายหน้าขึ้นแล้วพูดออกมาเบาๆ
“ อือ..ขอบคุณนะ.. ” จากนั้นฉันจึงปิดตาลงเพื่อพักผ่อนบ้าง
โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้หลับแต่อย่างใด..
เวลาล่วงเลยไปถึงตอนเย็น ฉันเริ่มได้ยินเสียงนักเรียนหลายๆคนคุยกัน คงจะเลิกเรียนแล้วละมั้ง ... ฉันเริ่มขยับตัวหันข้างไปทางเตียงที่ราฟนอนอยู่ เขายังหลับตาอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาหันตะแคงมาทางฉัน ฉันมองสังเกตใบหน้าของเขา จะว่าไปราฟถือเป็นผู้ชายคนนึงที่ดูมีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ดวงตาที่หลับพริ่ม สีผิวขาวเนียนนั้น ผมสีขาวที่ถูกเซ็ตเป็นทรงนั้นแม้ว่าอาจจะมีรอยสีแดงๆจากเลือดอยู่เล็กน้อยก็เถอะ นี้ฉันเป็นโรคจิตแอบมองใบหน้าคนเงียบๆรึไงเนี้ย ... ฉันเหม่อมองใบหน้าเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็มีเสียง เสียงหนึ่งทักขึ้นมาทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
“ แอบมองอย่างงี้กำลังคิดอะไรอยู่ หืม ” อ่ะ เขาตื่นเมื่อไรกันเนี้ยไม่เห็นรู้เลย เขามองมาที่ฉันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ เปล่าสักหน่อย แค่มองว่าเมื่อไรจะตื่นสักที ” ฉันตอบปัดๆแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่กลับต้องล้มลงไปนอนอีกรอบ ราฟรีบลุกขึ้นมาแล้วค่อยๆพาฉันลุกขึ้นนั่งดีๆ
“ ลุกไวแบบนั้นก็หน้ามืดสิ พึ่งตื่นค่อยๆลุก ” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว
“ แล้วนายรีบลุกแบบนั้มเป็นไรหรอ ” ฉันมองเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ ฉันมีความอดทนพอที่จะไม่ล้ม ” ราฟมองมาที่ฉันแล้วก็หันหลังกลับไปแล้วหยิบกระเป๋านักเรียนทั้งสองใบขึ้นมา จะว่าไปใบนึงเป็นกระเป๋าของฉันนิ
“ นายเอามาเมื่อไรกันเนี้ย ” ฉันว่าพลางชี้ไปที่กระเป๋านักเรียนทั้งสองใบ
“ ตอนเธอหลับอยู่ ” เขาตอบแล้วก็เดินไปทางประตู
“ อ่ะ งั้นหรอขอบคุณมากนะ ” ฉันยันตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหาราฟ
ราฟเปิดประตูออกไปนอกห้องพยาบาลฉันจึงเดินตามเขาไป
“ นี่ นายกระเป๋าฉัน-- ”
“ เดี๋ยวฉันถือให้ ” เขาพูดแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ
“ อ่ะ ฉันต้องรอกลับพร้อมกับพาดาน่ะ ” ฉันพูดขึ้นอย่างรุกรี้รุกรน
“ วันนี้ฉันจะเป็นคนพาเธอไปส่งบ้านน่ะ อีกอย่างพาดามีธุระ เข้าใจ๊ ? ” เขาหยุดเดินพร้อมกับมองมาทางฉันเล็กน้อยแล้วเดินต่อไป
เขาเดินไวมากจนฉันแทบจะเดินตามไม่ทันเลย ฉันจึงต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามเขาต้อยๆ แต่เขาคงสังเกตเห็นละมั้งถึงค่อยๆลดความเร็วลงจนกลายเป็นเดินข้างๆฉัน พวกเราเดินไปจนถึงประตูทางออกของโรงเรียน
“ บ้านไปทางไหน ”
“ ทางนู้นอ่ะ ” ฉันชี้ไปทาง
ฉันกับราฟเดินไปที่บ้านฉันด้วยกัน ระหว่างทางฉันก็ชี้ทางบอกราฟไปเรื่อยๆ
“ นี่ พรุ่งนี้ฉันทำข้าวกล่องมาให้เอาไหม ” ฉันพูดขึ้นหลังจากที่พวกเราเงียบสักพัก
“ หืม.. ” ราฟเหล่ตามามองฉันเล็กน้อย
“ ก็แค่ขอโทษเรื่องที่ทำให้นายต้องตกบันไดเพราะฉัน.. ”
“ ไม่เป็นไรหรอกหน่า .. เจ๊าๆกันไป ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ แต่ฉันอยากขอโทษนี้หน่า... ” พอพูดถึงก็รู้สึกอยากจะขอโทษอีกครั้งแหะ
“ แล้วแต่เธอละกัน ” เขาพูดแล้วก็มองไปยังทางข้างหน้า
“ อื้ม ! งั้นพรุ่งนี้ฉันจะทำข้าวกล่องมาให้ละกันนะ ” ฉันหันไปยิ้มให้กับเขา เขามองลงมาที่ฉันแล้วหันไปมองทางอื่นต่อ
พวกเราเดินกันต่อไปเรื่อยๆจนถึงบ้านของฉัน
“ ขอบคุณนะ ” ฉันกล่าวขอบคุณกับราฟอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าบ้าน
“ อ่า ”
“ แล้วก็นะ ราฟอย่าลืมไปสระผมด้วยนะ ผมของราฟกลายเป็นสีแดงๆน่ะ ” ฉันเอื้อมมือไปลูบบริเวณผมที่เปื้อนของราฟ ฉันลูบผมของเขา .. อ่า ผมสีขาวของเขาต้องเปื้อนเพราะเรา ..
ราฟจ้องมองมาที่ฉันแล้วกระแอ่มเสียงเล็กน้อยแล้วค่อยๆแตะที่มือฉัน ฉันจึงรีบดึงมือออกทันที
“ อ่ะ ขอโทษด้วยนะ ”
“ อ่า ฉันไปละ ”
“ อืม โชคดีนะ ” ฉันโบกมือลาราฟที่เดินไป
เขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นก็ได้ละมั้ง ..
ความคิดเห็น