คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Black Candy : The Final Part
BLACK CANDY : THE FINAL PART
“นี่แกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?”
ร่างบางถามขึ้นขณะที่กำลังจัดแต่งทรงผมให้กับร่างโปร่ง
“อืม...แบบนี้แหละ แล้วฉันก็บอกพี่ยูราไปแล้ว เดี๋ยวคงจะหาทางบอกแม่เร็วๆนี้แหละมั้ง”
“ใครจะเชื่อแกบ้างวะเนี้ย”คริสตัลถามแต่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับเส้นผมของชานยอล
“ถ้าที่บ้านไม่มีใครเชื่อ ฉันคงต้องลากแกไปหาพ่อกับแม่แน่ๆ!”
ร่างโปร่งบอกพร้อมกับยกยิ้มให้คริสตัลผ่านกระจกบานใหญ่
“เฮ๊ย! ไม่ได้! มันผิดกฎสวรรค์ ห้ามให้คนนอกรู้เด็ดขาดว่าฉันเป็นใคร!”
“อ้าว! ทีพี่ยูรายังรู้เลยว่าลีอาห์เป็นใคร”
“ก็เขาถูกกำหนดมาให้รู้อะ เสร็จแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่เปลี่ยนชุด”ร่างบางบอกพร้อมกับยิ้มให้กับผลงานของตัวเองอย่างภูมิใจ
“โห้! สวยเชียว ทูตสวรรค์มีเรียนทำผมด้วยหรอฉันเพิ่งรู้!”
“ระดับนี้แล้วไม่ต้องเรียนหรอกย่ะ!”
“คร้าบบบ~ ขอบใจนะ บางทีฉันก็แอบคิดว่า ฉันเป็นมนุษย์ที่เกิดมาใช้ชีวิตได้คุ้มค่าที่สุด ได้เป็นทั้งผู้ชายแล้วก็ได้เป็นทั้งผู้หญิงในชีวิตเดียวกัน”ชานยอลหันกลับไปมองหน้าเพื่อนก่อนจะยกมือเรียวของคริสตัลขึ้นมาจับไว้เบาๆ
“ยินดีด้วยนะชานยอล ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่เลือกนะ”
คริสตัลบอกพร้อมกับยิ้มแสดงความยินดีให้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชานยอล
“อื้อ! ฉันว่าเราไปเปลี่ยนชุดกันเถอะ”
“โอเค!”
คริสตัลตอบรับก่อนจะหยิบชุดที่เตรียมไว้ขึ้นมาส่งให้ชานยอลทันที
“ฮยอนซึงหยิบดอกกุหลาบมากอีกดอกซิ”ฮยอนอาบอกกับคนข้างๆ ทั้งที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับดอกไม้ช่อโต
“อ่ะนี่”
“ไม่เอาสีแดง! จะเอาสีขาว หยิบสีขาวมา!!”ร่างเล็กแว้ดขึ้นเมื่อฮยอนซึงทำให้ไม่ได้อย่างใจคิด
“อ่าว! ก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะโธ่!”
ฮยอนอาและฮยอนซึงยังคงเถียงกันอย่างเคย แม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังช่วยกันจัดช่อดอกไม้อยู่ก็ตาม ทำให้คนอื่นๆ ต่างพากันส่ายหัวให้กับคนทั้งคู่อย่างเอือมระอา
“มึงว่าพวกเราจะมีโอกาสมาทำอะไรอย่างนี้ให้กับพวกมันสองคนปะวะ” ซิ่วหมินพูดขึ้นในขณะที่กำลังเตรียมกล้องถ่ายภาพสำหรับมือโปรฯอย่างเขา
“มี! แต่อีกนานฮ่าๆๆๆๆๆ” ลู่หานหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อพูดถึงคู่ของฮยอนซึง
“แหมคุณมึง! ว่าแต่เขาและมึงล่ะคร้าบ~” ซูโฮที่กำลังช่วยซิ่วหมินเตรียมกล้องเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนหน้าหวานก็อดที่จะแซวคืนไม่ได้
“อะไร! เกี่ยวไรกะกู” ลู่หานแกล้งทำเป็นเหวี่ยงก่อนจะหยิบน้ำอัดลมของตัวเองขึ้นมาดื่มกลบเกลื่อนอาการเขินอาย
“อย่ามาเหวี่ยงกลบเกลื่อนเลยนะมึงแน่จริงแกรนด์โอเพนนิ่งกันไปเลย อย่าได้อายโลก”
ซูโฮบอกเพื่อนด้วยท่าทีที่ท้าทาย
“มึงจะบ้าหรอ!”ลู่หานว่าพร้อมกับตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อนทุกคน
“โมโหว่ะ มีโมโหเว้ยเฮ้ย พูดความจริงหน่อยเข้าหน่อยโมโหเลยฮ่าๆๆๆ”ซูโฮบอกพลางชี้หน้าลู่หานแล้วหัวเราะใส่จนเจ้าตัวหน้างอไปมากกว่าเดิม
“อย่างนี้เขาไม่ได้แรกว่าโมโห แต่เขาเรียกว่าเขิน~”ซิ่วหมิ่นที่ได้แต่นั่งยิ้มอยู่เงียบๆในตอนแรกก็แซวขึ้นมาด้วยอีกคน
“โถๆๆ รักนะแต่ไม่แสดงออกสินะเนี้ยฮ่าๆๆๆ” ซิ่วหมินยังคงแกล้งแหย่ลู่หานต่อไปแม้ว่าตอนนี้อีกคนจะหน้าหงิกหน้างอแค่ไหนก็ตาม
“พวกมึงหัวเราะอะไรกันนักหนาวะ เสียงดังไปถึงโน้นเลย” คริสที่เพิ่งเดินเข้ามาทักขึ้นกับบรรดาเพื่อนๆที่กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เว้นเพียงลู่หาน
“อ้าววว ว่าไงครับคุณเจ้าบ่าววันนี้หล่อเชียว” ซูโฮทักเพื่อนร่างสูงที่วันนี้ดูดีมากขึ้นกว่าเดิมเพราะสูทเจ้าบ่าวสีขาวสะอาด
“ไม่ต้องมาชม สำหรับกูใส่ชุดไหนก็ดูดีโว้ย!”คริสบอกพร้อมกับยักคิ้วให้เพื่อนอย่างมั่นใจ
“กูถามหน่อยเหอะ เคยมีวันไหนที่มึงไม่มั่นใจในตัวเองบ้างไหม”ซูโฮถามด้วยท่าทีประชดประชัน
“ไม่มี”ร่างสูงส่ายด้วยท่าทางชวนให้เพื่อนอยากจะปากล้องใส่ซะเดี๋ยวนั้น
“เออ เรื่องของมึงว่าแต่ไหนเจ้าสาวมึงอะ?”ซิ่วหมินถามขึ้นเมื่อเห็นว่านางเอกของวันนี้ยังไม่ออกมาเสียที
“ยังแต่งตัวอยู่มั้ง” คริสตอบก่อนจะนั่งลงข้างๆลู่หาน
“นี่แค่พรีเวดดิ้งยอลลี่เธอกะจะเอาให้สวยเหมือนแต่งจริงเลยหรือไงวะเนี้ย”ซูโฮว่าพลางชะเง้อมองไปทางห้องพักของชานยอล
“เอาน่า ในชีวิตหนึ่งของผู้หญิงได้เป็นเจ้าสาวทั้งทีเขาก็อยากให้ทุกอย่างออกมาดีเป็นธรรมดา”ซิ่วหมินบอกพร้อมกับตบบ่าเล็กของซูโฮเบาๆ
“ฮยอนอาๆ ดอกไม้เสร็จยัง ยอลลี่แต่งตัวเสร็จแล้ว”เสียงคริสตัลตะโกนออกมาจากห้องพักทำให้คนอื่นนอกเหนือจากฮยอนอาพลอยหันไปตามต้นเสียงนั่นด้วย
“ใกล้แล้วๆ ขาดอีกนิดหน่อยซอลลี่กำลังมาฉันฝากมันซื้อแล้วรอแป๊ป”ฮยอนอาตะโกนบอกก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดช่อดอกไม้ในมือต่อไป
ร่างสูงมองไปรอบๆ ตัวก็พบกับบรรยากาศที่เขารัก กลิ่นไอของทะเลทำให้เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้สัมผัส กลิ่นของบรรยากาศเก่าๆ กลิ่นของเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาตลอดมา และวันนี้ก็จะเป็นอีกวันที่เขาจะบันทึกเรื่องราวครั้งสำคัญของเขาและชานยอลเอาไว้ที่นี่
“เห้ยยยสวยว่ะ!!”
เสียงซิ่วหมินอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น ทำให้คริสรีบหันกลับไปมองเพื่อนในทันที แต่สิ่งที่ร่างสูงมองกลับไม่เป็นเพื่อนของเขา แต่เป็นหญิงสาวร่างโปร่งที่อยู่ในสีขาวทรงเอไลน์ แม้เธอจะเดินด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความสวยสง่าของเธอลดลงแม้แต่น้อย
“ชุดหนักมากอะ เวลาแต่งงานนี่อยากรู้ว่าพวกเจ้าสาวแบกชุดพวกนี้ได้นานเป็นวันได้ยังไง”ชานยอลเดินออกมาจากห้องพักพร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทาง
“ยอลลี่ เลิกกับไอ้คริสแล้วมาแต่งงานกับพี่ได้ไหมจ๊ะ~~”ลู่หานรีบเข้ามาโอบไหล่บางเอาไว้ก่อนจะส่งสายตาเป็นประกายให้กับหญิงสาว
“โทษนะพี่ พอดีไม่อยากมีปัญหากับเด็ก”ชานยอลบอกพร้อมกับยักคิ้วให้ลู่หานอย่างกวนๆ และนั่นก็ทำให้คนที่เหลือส่งเสียงโห่แซวเพราะรู้ดีว่าชานยอลหมายถึงอะไร
“วันนี้สวยจัง” ร่างสูงบอกพร้อมกับจ้องร่างโปร่งชนิดว่าแทบจะลืมกระพริบตาไปเลยก็ว่าได้
“สวยวันนี้?” ชานยอลเลิกคิ้มถามอย่างเอาเรื่อง
“สวยทุกวันเลยคร้าบ~”
คริสบอกก่อนจะเดินเข้าไปกอดร่างของผู้เป็นเจ้าสาวของเขาเอาไว้ สร้างความอิจฉาให้กับบรรดาเพื่อนๆได้เป็นอย่างมาก
“ดอกไม้ที่เหลือมาแล้วจ้า~”เสียงซอลลี่ดังมาแต่ไกลและมันก็ทำให้ชานยอลยิ้มร่าเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองเดินมาพร้อมกับดอกไม้ในมือและสิ่งที่ทำให้ร่างโปร่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิมก็คือคนที่มากับซอลลี่นั่นเอง
“พี่ชางมิน!”
ร่างโปร่งถกกระโปร่งที่สุดแสนจะยาวเฟื้อยของตัวเองขึ้นก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาชางมินอย่างดีอกดีใจ
“ว๊ายยย เจ้าสาวหนีไปหาชายอื่น ว๊ายๆๆ” ฮยอนอาแกล้งแซวคริสที่ได้แต่ยืนมองว่าที่เจ้าสาวของตัวเองวิ่งไปหาคนที่เพิ่งมาใหม่
“ก็ทำได้แค่นั้นแหละ เพราะยังไงซะเพื่อนเราก็ต้องแต่งงานกับพี่อยู่ดี” ร่างสูงยกยิ้มอย่างมีชัยให้กับฮยอนอาก่อนจะรับช่อดอกไม้จากร่างบางมือถือไว้
“อู๊ยย จ้า~ พ่อผู้ชนะสิบทิศ เดี๋ยวตอนถ่ายรูปขอหวานๆ นะจ๊ะ ไม่งั้นฉันจะให้พี่ชางมินมาเป็นเจ้าบ่าวแทนพี่ ฮ่าๆๆๆ”ฮยอนอาบอกก่อนจะแยกตัวออกไปหาบรรดาเพื่อนสาวของตัวเอง
“เอาล่ะๆ ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม เรามาเริ่มเลยแล้วกัน เดี๋ยวแสงสวยๆ จะหมดไปซะก่อน”ซิ่วหมินตะโกนบอกก่อนจะสะพายกล้องเดินนำไปที่ชายหาด
“ยอลลี่ ไปกันเถอะ” คริสเดินเข้าไปหาชานยอลพร้อมกับจับมือบางของอีกคนเอาไว้ แต่สายตากลับมองไปที่ชางมิน
“ยินดีด้วยนะ ยังไงก็ดูแลน้องยอลลี่ให้ดีๆก็แล้วกัน เพราะถ้านายทำให้น้องเสียใจเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นคนดูแลยอลลี่แทนนายเอง”
“คัท!!!”
เสียงซอลลี่เบรกขึ้นมาซะก่อนทำให้คริสและชางมินหยุดต่อกรทางสายตากันในทันที
“จบ! จบบริบูรณ์! อวสานซะทีละครเรื่องนี้ แหมให้เล่นเข้าหน่อยเล่นกันยาวเลยนะ พอๆ จบเลยจบ! เลิกกอง!” ซอลลี่พูดเสียงดังจนผู้เป็นพี่ชายอย่างชางมินถึงกับนิ่งไป
“ละคร? ละครอะไร?” คริสถามขึ้นก่อนจะหันไปมองซอลลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“เอ่อ...คืองี้ คือพี่จำสมัยที่พี่กับยอลลี่รักกันแบบ..ยังไงดีวะ อ่อ รักนะแต่ไม่แสดงออกอะ จำได้ปะ?”
ฮยอนอาพยายามหาทางอธิบายให้คริสฟังแต่ดูเหมือนว่าร่างสูงยังคงงงกับสิ่งที่เธอพูดอยู่ดี
“เอาง่ายๆ เลย พวกเราเนี้ยะให้พี่ชางมินสวมบทบาทเป็นมือที่สามเพื่อลองใจพี่กับไอ้ยอล”คริสตัลเป็นคนเข้ามาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวเองเมื่อเห็นว่าฮยอนอาคงจะไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้คริสเข้าใจได้แน่ๆ
“ลองใจพี่กับยอลลี่?” ร่างสูงชี้หน้าตัวเอง คิ้วหนาเลิกขึ้นถามสาวร่างบางที่ยืนอยุ่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ตอนแรกว่าจะสองใจทั้งสองคน แต่บังเอิญว่าไอ้ยอลมันฉลาด ดันรู้ทันซะก่อนก็เลยกลายเป็นว่าละครเรื่องนี้สร้างมาเพื่อพี่คนเดียวเลย แหะๆ”คริสตัลบอกก่อนจะยิ้มให้กับคริสจนตากลมแทบจะกลายเป็นสระอิ
“อ๋อ~ เล่นละครกัน นี่รับบทเป็นพระเอกหน้าโง่ที่โดนนางเอกกับเพื่อนหลอกว่างั้น” ร่างสูงว่าพร้อมกับส่งรอยยิ้มประชด ทำให้ทั้งหมดต้องแสร้งมองไปทางอื่น
“เอาน่า~ ถือว่าเป็นสีสันให้ชีวิต เดี๋ยวฉันจะมอบรางวัลนักแสดงนำหน้าโง่ดีเด่นให้พี่เอง ฮ่าๆๆๆๆ”ชานยอลบอกก่อนจะหัวเราะออกมาจนน้ำตาเล็ด
“สนุกนักหรอ มานี่เลย!”
“เฮ๊ย!”
ชานยอลร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ ร่างสูงช้อนขึ้นไปอุ้มเอาไว้ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางชายหาดสีขาวที่เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“ฉันว่าเจ้าบ่าว เจ้าสาวพร้อมแล้ว ลุยกันเถอะ”คริสตัลบอกเพื่อนๆ โดยที่สายตายังคงมองตามเพื่อนร่างโปร่งที่เพิ่งโดนอุ้มไปหมาดๆ
การถ่ายภาพพรีเวดดิ้งของคริสและชานยอลผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ ทุกภาพออกมาเป็นธรรมชาติมากเพราะซิ่วหมิ่นปล่อยให้ทั้งสองคนเล่นกันได้ตามใจชอบและคนอื่นๆ ก็ดูสนุกกับการถ่ายพรีเวดดิ้งในวันนี้ไปด้วย
หลังจากที่แต่ละคนต้องเหนื่อยจากการจัดหาพร็อพจัดโลเคชั่นให้ว่าที่คู่บ่าวสาวมาทั้งวัน ช่วงกลางคืนจึงเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนได้มารวมตัวสังสรรค์กันอย่างเต็มที่ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานชานยอลกลับปลีกตัวออกมาเดินเล่นอยู่ที่ชายหาดเพียงลำพัง
“ท้องฟ้ากลางคืนนี่ยังสวยเหมือนเดิมเนาะ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังสวยเหมือนเดิมเลย”เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลังก่อนที่ร่างโปร่งจะได้รับสัมผัสจากอ้อมกอดของเจ้าของเสียงนั้น
“เหมือนเดิมจริงๆ จะผ่านไปกี่ปี พี่ก็ยังมาขัดจังหวะฉันในเวลาแบบนี้ตลอดเลย” ร่างโปร่งว่าก่อนจะเอียงใบหน้าเรียวไปมองคนที่กำลังโอบตัวเองเอาไว้
“แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมอยู่อย่างหนึ่งนะ คืนนี้พี่ไม่ได้เอาผ้ามาให้เราคลุมเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้พี่จะกอดเราไว้อย่างนี้ มันอุ่นกว่าผ้าอีกนะจะบอกให้” ร่างสูงบอกพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“โถ~ เลิกเสี่ยวเถอะพ่อคุณ อีกไม่กี่เดือนจะแต่งงานกันอยู่แล้วไม่ต้องจีบกันตลอดเวลาแบบนี้ก็ได้”ว่าอีกคนก่อนจะหันกลับไปมองทะเลที่มืดสนิทอย่างเดิม
“แบบนี้แหละดีแล้ว พี่อยากให้เรารู้สึกเหมือนตอนรักกันใหม่ๆ รู้สึกเหมือนตกหลุมรักแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยากเก็บความรู้สึกที่เวลามองหน้าเราแล้วหัวใจมันเต้นแรงแบบนี้เอาไว้ตลอดไป”
“แหวะ! เสี่ยวว่ะ จะอ้วกจริงๆ นะเนี้ย”ชานยอลบอกพร้อมกับหันไปเบ้ปากใส่ร่างสูง
“หือ? อ้วกหรอ? ท้องอีกแล้วหรอ?” ชายหนุ่มถามก่อนจะหมุนร่างคนในอ้อมกอดให้หันหน้าเข้าหากัน
“ตลกแล้ว! ยังโว๊ย! อย่าเพิ่งรีบ แต่งงานก่อนเรื่องนี้ค่อยว่ากัน” ว่าพลางใช้มือเรียวตีลงไปบนหน้าผากของคนตัวสูงเบาๆ
“ฮ่าๆๆ ก็นึกว่าจะมีเจ้าหนูอีกแล้ว แต่ถ้ามีจริงๆ ครั้งนี้พี่จะดูแลเราให้ดีที่สุดเลย เหตุการณ์อย่างครั้งที่แล้วจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน”น้ำเสียงในประโยคตอนท้ายดูเศร้าลงจนชานยอลต้องส่งรอยยิ้มปลอบใจให้กับอีกคน
“เอาน่า อย่าไปคิดถึงมันเลย เขาคงมาผิดเวลา ไปหน่อย แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขากลับมา ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเลยโอเคไหม?” ร่างโปร่งว่าพลางใช้นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมหนาของคนตัวสูงอย่างเบามือ
“อื้มงั้นท้องก่อนแต่งมันเลยดีไหม ฮ่าๆๆ” ร่างสูงว่าพร้อมกับหอมแก้มอีกคนอย่างรวดเร็ว
“บ้าหรอ! เออนี่ ฉันมีอะไรจะบอกแหละ” ชานยอลบอกก่อนจะส่งรอยยิ้มที่แอบแผงไปด้วยความลับให้กับคริส
“อะไรหรอ?”
ร่างสูงเลิกคิ้วถาม ในใจก็แอบคิดไปว่าชานยอลจะยอมบอกเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้ชาย แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด
“ฉันอ่านไดอะรี่พี่แล้วนะ”
“หือ?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนบอกมา
“ก็ตอนที่พี่กำลังจะแต่งงานกับยูอีน่ะฉันซักเสื้อผ้าแล้วกะว่าจะเอาไปเก็บให้ แต่พอดีว่าไดอะรี่พี่มันร่วงมาจากไหนก็ไม่รู้ เห็นมีรูปฉันอยู่ในนั้นก็เลยถือวิสาสะอ่านมันซะเลย”
“แล้วเป็นไงล่ะ?” คริสถามพร้อมกับจ้องหน้าอีกคนอย่างต้องการคำตอบ
“เขิน”
ร่างโปร่งตอบไปสั่นๆ ก่อนจะแสร้งทำท่าทีเขินอายจนคริสต้องผลักหัวเล็กนั่นด้วยหมั่นเขี้ยว
ทั้งคู่คุยเล่นหยอกล้อกันอย่างที่เคยทำ แม้ว่าเขาทั้งสองคนจะเจอเรื่องราวอะไรมากมายที่ทั้งมีความสุขและทุกข์ แต่ต่อจากนี้ไปทั้งคู่เชื่อว่าความสุขจะต้องมีมากกว่าความทุกข์อย่างแน่นอน
--------------------------------------------------------------------------------------
“อิจฉาว่ะ ได้ไปแคนาดาตั้งสองอาทิตย์ กลับมาถ้าไม่มีของฝากล่ะน่าดู” ชานยอลพูดขึ้นในขณะที่กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของกระเป๋าเดินทางให้อีกคน
“ก็บอกให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป แล้วมาบ่นเอาตอนนี้ เดี๋ยวเหอะ!”
“ก็พี่ไปทำงาน แล้วที่สำคัญถ้าไม่ติดกับต้องจัดการเรื่องงานแต่งที่จะถึงนี่ฉันคงไม่ปฏิเสธพี่หรอกแหม”
“งั้นค่อยไปหลังแต่งงานเนาะ ถือว่าไปฮันนี่มูนโอเคไหม?” ร่างสูงถามพร้อมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกับร่างโปร่ง
“ถ้าผิดสัญญาฉันจะฆ่าแกเลยนะพี่คริส!” ว่าพลางมองอีกคนด้วยหางตา
“กับภรรยาสุดสวยคนนี้พี่ไม่ผิดสัญญาหรอกคร้าบ”
คริสบอกด้วยน้ำเสียงหวานก่อนจะฝังจมูกโด่งลงบนแก้มนิ้มของหญิงสาว
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่นานะจะรอนาน” ชานยอลบอกก่อนจะส่งเสื้อโค้ทตัวหนาให้กับร่างสูง
“พี่จะรีบกลับมานะ” คริสบอกก่อนจะหอมแก้มแฟนสาวอีกครั้ง
“จะกลับตอนไหนก็ตามใจ แต่ต้องกลับมาให้ทันงานแต่งก็แล้วกัน”
“อีกตั้งสามเดือน เดี๋ยวอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับมานอนกอดเราเหมือนเดิมแล้ว”คริสบอกพร้อมกับดึงร่างของชานยอลเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
“โอยย เมื่อไหร่จะได้ไปเนี้ยห๊ะ! ไป! เดี๋ยวพี่นานะรอ” ชานยอลว่าพร้อมกับดันตัวคริสให้เดินออกจากห้องไป
“โอเค ไปจริงๆแล้ว มีอะไรโทร.หาพี่นะ”
“ครับผม! อย่าลืมของฝากนะ ฮ่าๆ”
ชานยอลบอกพร้อมกับโบกมือให้กับร่างสูง เขายืนอยู่หน้าห้องจนคริสเดินลับตาไปแล้วจึงจะปิดประตูห้อง แต่บานประตูนั้นปิดลงไม่ถึงสองนาทีมันก็ถูกคนข้างนอกเคาะส่งสัญญาณให้เปิดมันออกอีกครั้ง ในตอนแรกชานยอลคิดว่าคริสอาจจะลืมของ แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกไปดูกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“อ้าว คุณป้านั่นเองมีอะไรหรอจ๊ะ?” ร่างโปร่งถามเมื่อเห็นว่าเป็นหญิงวัยใกล้ชราที่มีหน้าที่ดูแลคอนโดที่เขาอยู่และร่างโปร่งก็สนิทกับเธอพอสมควร
“พอดีป้าต้องออกไปธุระข้างนอก หนูพอจะว่างช่วยดูแลเจ้าหนูนี่ให้ป้าสักวันได้ไหมจ๊ะ”
เธอถามพร้อมกับมองไปที่เด็กชายตัวเล็กที่กำลังอุ้มเอาไว้
“ให้ฉันเลี้ยงไอ้แสบนี่น่ะนะ ด๊าย~ แต่ฉันไม่สัญญาว่าตอนป้ามารับ มันจะยังอยู่ในสภาพเดิม หึหึ” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับทำตาโตใส่เด็กชายตัวน้อย
“ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่ำๆ ป้าจะมารับมันนะ ขอใจหนูมากนะหนูยอล” เธอว่าก่อนจะส่งเด็กชายให้กับชานยอล
“โอเคครับผม เดี๋ยวฉันจะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย” ว่าพลางหยิกแก้มนิ่มของเด็กชายที่เพิ่งรับมาอุ้มเอาไว้
“จ้า งั้นป้าไปก่อนนะจ๊ะ”
ชานยอลอุ้มเด็กชายตัวเล็กที่ดูท่าว่าจะซนไม่ใช่น้อยเข้าไปให้ห้องก่อนจะว่างร่างอ้วนกลมลงบนโซฟา ซึ่งทันทีที่เด็กน้อยได้นั่งลงเขาก็จัดการคว้าของที่วางอยู่รอบๆตัวมาเล่นทันที
“แน๊ะ! ฉันว่าแล้วไง ซนเหมือนเดิมเลยนะ ซนตลอดเลยยยยยย” หญิงสาวว่าก่อนจะคว้าเด็กชายตัวเล็กไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความหมั่นเขี้ยว
“หิวไหม? เดี๋ยวน้าไปหาอะไรมาให้กิน นั่งอยู่ตรงนี้นะ อย่าซนนะ” ร่างโปร่งชี้นิ้วสั่ง
“ป้า”
“เฮ๊ย! บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกน้า!!”
“ป้า!”
“เรียกน้าสิโว๊ยยยย!!”
“ป้า”
“อดกินไปเลยแก!”
ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายชานยอลใช้เวลาหมดไปกับการทะเลาะกับเด็กตัวเล็กๆ ทั้งคู่เล่นกันจนหมดแรงสุดท้ายก็ต่างคนต่างหลับไป มาตื่นอีกทีก็ในช่วงเวลาพลบค่ำ
“ป้าๆ หนมจินหนม”
“อื้อ~ ไอ้แสบอย่าซนนะเว้ย” ชานยอลบอกทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมแต่ แต่ก็พยายามคว้าร่างอ้วนกลมนั่นมากอดเอาไว้
“หนมๆ” เด็กชายว่าก่อนจะป้อนสิ่งที่เขาเรียกว่าขนมให้กับชานยอล
“หนมบ้านแกสิ นี่เขาเรียกว่าลูกอมหึ้ยเรด้าในการหาของกินแกนี่ยังใช้ได้เหมือนเดิมเลยนะ”
ร่างโปร่งว่าพลางลุกขึ้นมานั่งมองเด็กตัวน้อยที่กำลังเล่นซนอยู่บนเตียง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไอ้แสบยายแกมารับกลับไปแล้วมั้งน่ะ ไปๆ กลับบ้านกลับช่องเลยไป” ร่างโปร่งว่าก่อนจะลุกขึ้นจะเตียงแล้วอุ้มเด็กชายออกไปจากห้องนอน
“มาแล้วคร้าบ” ชานยอลเปิดประตูออกไปพร้อมกับยิ้มร่าให้กับแขกที่มาเยื่อน
“ไอ้หนูมันซนไหมจ๊ะ มันทำให้หนูยอลเหนื่อยหรือเปล่าลูก” เธอถามชานยอลทันทีที่รับหลานชายไปอุ้มเอาไว้
“ถ้าไม่ซนก็แปลกแล้วล่ะ แต่ก็สนุกดีไม่เหนื่อยสักเท่าไหร่” ร่างโปร่งว่าพลางส่งมือเรียวไปหยิกแก้มนิ่มของเด็กชายอย่างหมั่นเขี้ยว
“ขอบใจมากนะลูก นี่ป้าซื้อขนมมาฝากหนูด้วย” เธอว่าพร้อมกับส่งของที่เธอว่าให้กับชานยอล
“ขอบคุณมากค่ะ ไว้วันหลังเอาเจ้าอ้วนนี่มาให้ฉันรังแกอีกนะป้า ฮ่าๆๆๆ”
“จ้า ว่างๆแวะไปหาป้าได้นะลูก ป้าไปก่อนนะ”
“ครับผม”
ชานยอลตอบรับก่อนจะโบกมือลาหญิงวัยใกล้ชราที่ขอตัวกลับไป แต่อยู่ๆ ชานยอลก็ต้องหุบยิ้มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเด็กชายได้ป้อนลูกอมให้กับตัวเอง ความจริงมันไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากหากไม่นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่เคยซื้อลูกอมเอาติดห้องเอาไว้
ร่างโปร่งรีบวิ่งกลับมาในห้องนอนอีกครั้ง เขารื้อผ้าห่มออกทั้งหมดเมื่อหาเศษห่อลูกอมที่คิดว่าเด็กชายน่าจะทิ้งไว้และเมื่อเจอมันชานยอลถึงกับกลืนน้ำลายให้ลงคอไปไม่ได้ เพราะห่อลูกอมนั้นมันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่ามันเป็นสิ่งนั้นจริงๆ หญิงสาวรีบรื้อลิ้นชักข้างเตียงอีกครั้งและมันก็ทำให้เขาใจหายวาบเมื่อไม่เจอสิ่งที่กำลังค้นหา
“ฉิบหายละ!”
หญิงสาวมองไปยังเศษห่อลูกอมที่อยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาดูชัดๆ และนั้นทำให้เขาต้องตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่เพราะมันคือสิ่งที่เขาได้พยายามซ่อนมันเอาไว้นั่นเอง
ชานยอลรีบหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมาก่อนจะโทร.หาเพื่อนที่สนิทที่สุด สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเขายกฝ่ามือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาดูตลอดเวลา เขายังไม่พร้อมที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในตอนนี้ เพราะอีกแค่สามเดือนข้างหน้านี้เขาและคริสก็จะต้องแต่งงานกันแล้ว
“ฮัลโหล ไอ้แบคมึงอยู่ไหน!?” ชานยอลรีบถามอีกคนทันทีที่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย
“มึงกูแย่แล้ว กูกำลังจะแย่ กูเผลอกินลูกอมเม็ดนั้นเข้าไป คืนนี้กูต้องกลับไปเป็นผู้ชายแน่ๆ!!”
ชานยอลบอกคนในสายด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังจะร้องไห้และเมื่อแบคฮยอนได้ยินสิ่งที่เพื่อนบอกเขาก็ตกลงที่จะมาหาร่างโปร่งทันที
ชานยอลทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างคนสิ้นหวัง เขารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้านี้ สติทั้งหมดของเขาถูกครอบงำไปด้วยความกลัว ร่างผู้ชายที่เคยหายไปกำลังจะกลับมา กลับมาในช่วงเวลาที่เขายังไม่พร้อม ไม่พร้อมเอามากๆ
เวลาผ่านไปไม่นานแบคฮยอนก็มาถึงคอนโดของชานยอลและเขาก็เห็นเพื่อนของตัวเองในสภาพที่ตกอยู่กับความตื่นกลัว ร่างโปร่งดูเหมือนคนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่สามารถร้องออกมาได้ ทุกอย่างมันดูวุ่นวายแบบเงียบๆ
“มึงโอเคป่าววะ?” แบคฮยอนถามเพื่อนที่อาการเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“มึงคิดว่ากูโอเคปะล่ะ”
“เออว่ะ กูไม่น่าถามเลย”
“กูแย่แล้ว พรุ่งนี้ร่างกูต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่ๆ”
ชานยอลบอกก่อนจะทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อปล่อยมือออกจากเส้นผมยาวของตัวเองมันก็ต้องทำให้เขาคลั่งมากกว่าเดิม เมื่อมีเส้นผมติดมือเขามาเป็นกระจุก
“แบค! แย่แล้วอะ!” ชานยอลร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อมองดูเส้นผมในมือของตัวเอง
“มึงใจเย็นๆ นะใจเย็นๆ มึงลองนึกดูสิว่าพอจะมีทางแก้ไขหรือเปล่า” แบคฮยอนบอกพร้อมกลับจับไหล่เพื่อนเอาไว้
“ไม่มี! มันจะมีได้ยังไง ในเมื่อนี่มันคือทางออกของปัญหาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ทางออกนี้แม่ง กลายเป็นปัญหาของกูไปแล้ว!”ชานยอลบอกด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังสติแตก
“เอาแล้วไง! อีกสามเดือนก็จะแต่งงานแล้ว เดือนหน้าก็จะเชิญแขกอยู่แล้ว ทำไงล่ะทีนี้” แบคฮยอนบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลไม่แพ้กัน
“โอ๊ยยยยยย!!!! กูอยากจะบ้า!”
ร่างโปร่งตะโกนออกมาราวกับคนกำลังจะบ้าจริงๆ ผิวหนังที่ขาวเนียนของหญิงสาวค่อยๆเปลี่ยนไปหยาบกร้านในแบบผิวหนังของผู้ชาย น้ำใส่ๆ ในตาค่อยๆไหลออกมา ความฝันของเขาใกล้จะพังทลายไปเต็มที ความลับที่ถูกเก็บไว้กำลังจะถูกเปิดเผย
“มึงทำใจดีๆ ทุกอย่างมันต้องดี พี่คริสรับได้มึงเชื่อกูสิ พี่คริสรับได้ไม่ว่ามึงจะเป็นอะไรก็ตาม”แบคฮยอนพยายามอธิบายในสิ่งที่ตัวเองรู้ให้เพื่อนฟัง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะไม่ได้ฟังมันสักเท่าไหร่
“ไม่! เขารับไม่ได้หรอก เขารับไม่ได้แน่ๆ ไม่มีใครรับได้หรอก!! ฮึก” ชานยอลบอกพร้อมกับร้องไห้ออกมาในที่สุด
“เฮ๊ยมึง! ฟังกูก่อนสิ!” แบคฮยอนพูดเสียงดังลั้นเมื่อเห็นว่าชานยอลเริ่มไม่มีสติที่จะฟังเขาแล้ว
“ไม่! กูอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว กูต้องไป กูจะไปญี่ปุ่น!”
“มึง! มึงตั้งสติดีๆ หายใจลึกๆ มันไม่ได้จะเลวร้ายขนาดนั้น”
“ไม่ๆๆ กูต้องไป! มึงกลับไปได้แล้ว กูจะไปเก็บของ กูต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
ร่างโปร่งบอกก่อนจะลุกขึ้นหมายจะไปเก็บข้าวของของตัวเองเพื่อเตรียมเดินทางไปญี่ปุ่นตามที่เขาได้บอก
“ไอ้ยอล มึงบ้าไปแล้วแน่ๆ มึงช่วยฟังกูหน่อยสิวะ!”
“ไป!!! มึงกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ร่างโปร่งตวาดใส่เพื่อนร่างเล็กก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่สนใจแบคฮยอนอีกเลย
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างอีกครั้ง หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่สามารถหยุดมันไว้ได้ ตอนนี้เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ลีอาห์กลับมาหาเขาอีกสักครั้ง แต่มันก็เป็นได้แค่คำภาวนาลอยๆ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยความรู้สึกทรมาน
ชานยอลทิ้งตัวเองให้นอนอยู่ท่ามกลางความมืดของห้อง เขาไม่อยากเห็นร่างที่เปลี่ยนไปของตัวเอง แต่แม้ว่าจะไม่เห็นมัน เขาก็รับรู้ได้ว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว...
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้อง เสียงนกร้องที่ชานยอลเคยรู้สึกว่ามันเพราะพริ้ง ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเพราะอย่างเดิมอีกต่อไป ร่างโปร่งลืมตาขึ้นสู้กับแสงแดดที่ส่องเข้ามา เปลือกตาหนากระพริบถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าแสงมันจ้าเกินกว่าที่จะสายตาจะทนรับได้ ชานยอลลุกขึ้นนั่งราวกับครึ่งหลับครึ่งตื่นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยสภาพที่ล่องลอย
สิ่งที่ทำให้เขาตื่นได้เต็มตาก็คือเงาสะท้อนจากกระจกบานโต เขากลับมาเหมือนเดิมทุกอย่าง กลับมาเป็นชานยอลคนเดิม คนที่เขาเคยใฝ่หาอยากจะเป็น
ชานยอลที่เป็นผู้ชาย...
ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นห้องน้ำอย่างหมดแรง เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาได้หายไปพร้อมๆกับร่างผู้หญิง ทุกอย่างที่เคยสวยงามพังหมดแล้วทุกอย่าง งานแต่งงานอีกสามเดือนข้างหน้าจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกแล้วตอนนี้เขาคิดเพียงแค่อยากหนี หนีไปให้พ้นจากที่นี่ หนีไปให้พ้นจากคนที่เคยรู้จักเขาในรูปแบบของการเป็นผู้หญิง
ใช่...ต้องหนี
KRIS PART
ห้าวันแล้วที่ผมต้องมาอยู่ที่แคนาดา แต่บอกเลยว่าผมรู้สึกใจคอไม่ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่ ผมรู้สึกคิดถึงชานยอลมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เมื่อโทร.ไปหาเจ้าตัวกลับไม่รับโทรศัพท์ผมเสียอย่างนั้น แต่วันนี้มันทำให้ผมรู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมมันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นผ่านๆ แต่มันเป็นลางสังหรณ์ต่างหาก
ในระหว่างที่ผมอยู่ในช่วงพักเบรกตอนกลางวันอยู่ๆ โทรศัพท์ของผมก็มีสายเข้าและเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็ยาวกว่าปกติซึ่งต้องโทร.มาจากต่างประเทศอย่างแน่นอนและรหัสนำหน้ามันก็บอกอยู่แล้วว่าต้นสายมาจากเกาหลี
“ฮัลโหลครับ”
“พี่คริส ผมแบคฮยอนพูดนะครับ!”
ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือใคร แต่น้ำเสียงของเขาทำให้ผมไม่กล้ายิ้มได้มากกว่านั้น เมื่อมันฟังดูแล้วเหมือนจะมีเรื่องที่ไม่ดีสักเท่าไหร่
“พี่คริส พี่..จำเรื่องที่เราเคยพูดกันได้ไหม? เรื่อง...เรื่องชานยอลน่ะ”
ผมยิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ เมื่อคนที่แบคฮยอนพูดถึงเป็นชานยอล ผมไม่อยากคิด ไม่อยากเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมักจะมาเหนือความคาดหมายตลอดทุกครั้ง
“อืม..ว่าแต่ช่วงนี้เขาไปไหนของเขา โทร.ไปก็ไม่รับ”
“เอ่อ..มันไปญี่ปุ่นแล้วพี่”
“หือ?? ญี่ปุ่น? กลับไปหาครอบครัวหรอ? แล้วนอกจากยูราแล้วคนอื่นๆ ก็รู้แล้วรอว่าชานยอลเขาเป็นยังไง”
ผมรู้สึกได้ว่าคิ้วของผมแทบจะรวมตัวกัน เพราะสิ่งที่แบคฮยอนพูดนั้นมันทำให้ผมชักจะงง ชานยอลเคยบอกกับผมไว้ว่าจะกลับไปญี่ปุ่นอีกทีก็อาจจะเป็นหลังแต่งงาน ซึ่งผมเข้าใจว่าเขาอาจจะให้พี่สาวเป็นฝ่ายเคลียร์ทางให้ก่อนและเมื่อทุกอย่างพร้อมเขาถึงจะกลับไป แต่นี่อยู่ๆ ก็กลับไปแบบกะทันหันเสียอย่างนั้น
“คืองี้นะพี่ มันเป็นอุบัติเหตุอะ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด คือ...”
“แบคฮยอน ตักน้ำทิ้งเอาแต่เนื้อๆ มาพอ พี่ไม่มีเวลาคุยมากนัก ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น!”
ผมถามออกไปอย่างเหลืออด เพราะยิ่งอีกคนอารัมภบทมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งใจไม่ได้มากเท่านั้น
“สั้นๆ เลยนะฮะ คือชานยอลมัน....”
ช่วงที่แบคฮยอนเว้นวรรคประโยคไป ความคิดบ้าก็ผุดขึ้นมาในหัวผมมากมาย ผมเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับอีกคน กลัวว่ายูอีจะกลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง แต่เมื่อแบคฮยอนบอกประโยคที่เหลือ สิ่งที่ผมคิดไว้ก่อนหน้านี้กลายเป็นแค่สิ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามาในความคิดเท่านั้นเอง
“ชานยอลมัน...กลับไปเป็นผู้ชายแล้วครับพี่”
บอกแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมักมาเหนือความคาดหมายเสมอ แต่ตอนนี้สมองผมกลับมีเพียงความว่างเปล่า ผมไม่รู้จะตอบคนในสายว่าอย่างไร เพราะสุดท้ายวันนี้ก็มาถึงจนได้ แต่มาถึงเร็วไปหน่อย เพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเราสองคนก็จะเข้าพิธีแต่งงานอยู่แล้ว ผมรู้สึกได้ว่ามือของผมกำลังสั่น แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้ก็คือชานยอล
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ผมบอกคนในสายก่อนจะกดตัดสายไปในทันที ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานอีกต่อไป เรียกได้ว่าแม้ตัวจะอยู่ที่แคนาดา แต่ใจนี่คงไปถึงญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากเคลียร์กับแม่เรื่องงานเป็นที่เรียบร้อย เป้าหมายต่อไปของผมก็คือไปญี่ปุ่น ผมเคยให้สัญญากับชานยอลไว้ว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาหนีผมไป ผมจะเป็นคนตามเขากลับมาเอง แล้ววันนี้ก็มาถึง แต่ที่ผมจะทำต่อไปนี้ ไม่ใช่เพราะคำสัญญา แต่ผมจะตามเขากลับมา เพราะผมรักเขา...
----------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่คริสไปแคนาดาได้เพียงห้าวัน ชานยอลก็ตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนไปยังประเทศญี่ปุ่น แต่ในความเสียใจนั้นก็ยังมีเรื่องให้ยินดี เพราะเขาสามารถกลับไปเจอครอบครัวได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้มันมากมายและได้กลับไปหาครอบครัวในฐานะลูกชายอย่างที่ควรเป็น
ชานยอลขึ้นรถไฟมุ่งหน้าสู่โตเกียว สภาพของเขาตอนนี้ราวกับคนที่ไร้ความรู้สึก แต่ความรู้สึกเดียวที่เขามีก็คือคิดถึง ความคิดถึงที่ไม่สามารถส่งถึงคนๆนั้นได้ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้ารู้สึกว่าคิดถึงเขาก็แค่กดโทรศัพท์หาคนๆ นั้น แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ มันไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว...
หนึ่งชั่วโมงจากนาริตะสู่โตเกียว ภายใต้ความรู้สึกเจ็บปวดก็ยังมีความรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ อีกไม่นานชานยอลก็จะได้เจอครอบครัวอีกครั้งหลังจากที่ต้องห่างหายไปเพราะต้องปกปิดเรื่องที่ตัวเองกลายเป็นผู้หญิง
ร่างโปร่งเดินไปบนถนนที่มีผู้คนสัญจรไม่มากนักและถนนเส้นนี้ยิ่งสวยงามมากขึ้นเมื่อมันถูกโรยไว้ด้วยกลีบซากุระสีชมพูอ่อน ร่างโปร่งหยุดสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยมากออกมาแรงๆ แล้วออกเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว
ร่างโปร่งหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ใหญ่และไม่เล็กมาก บรรยากาศโดยรอบแลดูอบอุ่นมากกว่าบ้านหลังอื่นเป็นพิเศษ ชานยอลยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะผลักประตูรั้วเข้าไปภายในบริเวณบ้านหลังนั้น ร่างโปร่งมองไปรอบรอบๆตัว ทุกอย่างภายในบริเวณบ้านยังเหมือนเดิมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
ร่างโปร่งหยุดที่หน้าประตูอีกบาน เขายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเคาะบานประตูนั้นเพื่อเรียกให้คนข้างในเปิดมันออกมา เสียงตอบรับจากคนข้างในทำให้เขาแอบตื่นเต้นอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะหลายปีแล้วที่เขาไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่ มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนเกือบจะลืมเรื่องที่เป็นสาเหตุให้เขากลับมาที่นี่
“ชะ ชานยอล!!”
ทันทีที่คนในบ้านเปิดประตูออกมาเจอหน้าเขา หญิงวัยกลางดูอึ้งไปก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดร่างโปร่งเอาไว้ อ้อมกอดของคนที่เขาคิดถึงมาตลอดทำเอาชานยอลแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“วันนี้ไม่ได้ไปที่ร้านหรอฮะ?” ร่างโปร่งผละตัวออกจากหญิงวัยกลางและนั่นก็ทำให้เขาเห็นว่าเธอกำลังมีน้ำตา แต่เป็นน้ำตาของความดีใจ
“พอดีแม่กลับมาเอาของน่ะ ว่าแต่เราเถอะจะกลับมาทำไมไม่บอกก่อนห๊ะ! แม่ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เลยเห็นไหม” หญิงวัยกลางว่าพลางตีลงบนต้นแขนของลูกชายเบาๆ
“อ่าว! ถ้าบอกแล้วมันจะเซอร์ไพรส์หรอ ฮ่าๆ” ชานยอลว่าพลางดึงร่างผู้เป็นแม่เข้าไปกอดเอาไว้อีกครั้ง
“โอ๊ยย เซอร์ไพรส์จนมือไม้สั่นไปหมดแล้ว ไปๆ เข้าบ้านๆ” หญิงวัยกลางว่าก่อนจะดันตัวลูกชายเข้าไปภายในตัวบ้าน
“อ้าว! ยูราจะออกไปข้างนอกหรอลูก! ดูสิว่าใครมา” คนเป็นแม่บอกพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับลูกสาวคนโต แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายลูกสาวนั้นจะแสดงสีหน้าตกใจมากกว่าดีใจเสียอีก
“ไอ้ยอล!!”
ยูรามองอีกคนอย่างไม่เชื่อสายตา ชานยอลกลับมาเป็นผู้ชายเหมือนเดิมโดยไม่มีอะไรผิดปกติไปแม้แต่น้อย หญิงสาวจ้องหน้าผู้เป็นน้องชายแทบจะไม่กระพริบตา แต่เมื่อเรียกสติตัวเองกลับมาได้ เธอก็รีบคว้าตัวน้องขึ้นไปชั้นบนทันที
“แกกลับมาเป็นผู้ชายได้ยังไง!” ยูรายิงคำถามทันทีที่ลากตัวชานยอลขึ้นมายังห้องนอนได้สำเร็จ
“เค้าไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ” ร่างโปร่งว่าก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างอ่อนล้า
“แกเอ๊ยยยย! ซวยแล้วไหมล่ะทีนี้ จะแต่งงานอยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้แล้ว นี่ดีนะที่ฉันยังไม่ทันได้บอกแม่ไปว่าแกเป็นผู้หญิง” ยุราว่าก่อนจะพ้นลมหายใจออกมาแรงๆ
“อยากหายไปจากโลกนี้จังเลย” ชานยอลพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เอาน่ะ ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าทุกอย่างต้องมีทางแก้”
“เหนื่อยอะ ไม่อยากแก้แล้ว ตัดมันเลยเถอะ ทิ้งมันไปเลย”
ยูรานั่งมองน้องชายของตัวเองด้วยความสงสารจับใจ ครั้งแรกที่เธอเห็นว่าชานยอลกลับมาเป็นผู้ชายเธอแอบตกใจไม่ต่างจากตอนที่เห็นว่าชานยอลเป็นผู้หญิงเลย
ครืด~ ครืดดด~~
หญิงสาวปรายตาไปมองต้นเสียงที่สั่นอยู่ในกระเป๋า ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบมันออกมา แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทร.เข้ามา
“เดี๋ยวฉันออกไปทำงานก่อนนะ แกก็พักผ่อนไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะรีบกลับมา”
ร่างบางบอกกับน้องชายก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายออกจากห้องไป
“จบแล้ว..ละครของเรามันจบลงแล้ว..”
ชานยอลพูดกับตัวเองก่อนจะปล่อยให้หยดน้ำตาไหลออกมา ร่างโปร่งพยายามใช้ความเหนื่อยล้าข่มตาให้หลับไป อยากให้ตื่นมาแล้วพบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น...
----------------------------------------------------
สามวันที่ชานยอลใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่น หลังจากที่กลับมาใช้ชีวิตในร่างเดิมเขาแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย เพราะทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมโดยอัตโนมัติ มีเพียงอย่างที่เดียวที่เขาไม่สามารถทำให้มันเป็นปกติได้ นั่นก็คือ..หัวใจ
“อ่าว ชานยอลจะออกไหนหรอลูก ไม่อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันหรอ?”
หญิงวัยกลางถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กกำลังจะออกไปข้างนอก
“ว่าจะออกไปเดินเล่นน่ะแม่ ไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นตั้งนานขอสำรวจความเปลี่ยนแปลงกันหน่อย”
“ไปดิ! ไปเลย แถวชิบุยะมีงานอะไรสักอย่าง แกลองไปเดินดูดิ” ยูราที่กำลังช่วยผู้เป็นแม่ทำกับข้าวรีบหันมาส่งเสริมให้น้องชายออกไปข้างนอกทันที
“อ่อ หรอ เออเดี๋ยวจะไปเดินๆดู ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะแม่” ร่างโปร่งบอกก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
“น้องแกดูแปลกๆไปนะยูรา” หญิงวัยกลางพูดขึ้นหลังจากที่หันกลับมาทำอาหารต่อ
“ปล่อยนางไปก่อนเหอะแม่ ช่วงนี้นางเฮิร์ท” ยูราที่กำลังหั่นผักบอกพลางอมยิ้มไปด้วย
“แน่ะ! โดนสาวทิ้งเร๊อะ ถึงว่าล่ะถึงได้บินมามปุบปับขนาดนี้”
“ใครบอกว่าโดนหญิงทิ้ง” ยูราว่าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็นแม่
“แกหมายความว่าไง?” หญิงวัยกลางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“แม่ ถ้าหนูบอกไปแล้ว แม่อย่าโกรธไอ้ยอลมันนะ” หญิงสาวบอกด้วยสีหน้าที่แอบเป็นกังวลเล็กน้อย
“ว่า?”
“ที่หนูบอกว่ามันกำลังเฮิร์ท มันไม่ได้โดนสาวทิ้ง แต่...” ยูราเว้นวรรคประโยคเอาไว้ ยิ่งทำให้คนเป็นแม่อยากรู้มากขึ้นกว่าเดิม
“แกอย่ามาพูดยืดเยื้อเหมือนละครหลังข่าว แล้วอย่าได้คิดตัดเข้าโฆษณาเลยเชียว!”
“โอเคๆ ไอ้ยอลมันเพิ่งทิ้งผู้ชายมา!”
“ห๊ะ!!”
หญิงวัยกลางแทบจะทิ้งกับข้าวลงถังขยะทันทีที่ได้ยินคำตอบจากปากของลูกสาวคนโต
“แม่ห้ามโกรธ!!” ยูราว่าพร้อมกับทำตาโตใส่แม่ของตัวเอง
“โอย เป็นลมแป๊ป!” หญิงวัยกลางบอกก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะทำกับข้าว
“อนุญาตให้เป็นลม แต่ไม่อนุญาตให้โกรธไอ้ยอลนะ” ยูราบอกก่อนจะกลับไปสนใจวัตถุดิบที่กำลังจะใช้ทำอาหารมื้อเย็น
“ตายแล้วลูกชายฉัน! ไม่ได้อยู่ดูแลไม่กี่ปีมันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เลยหรอ!?”
“เอาหน่า~ ยังไงมันก็ยังเป็นลูกแม่ ยังเป็นน้องชายหนูนะ ตอนที่หนูรู้นะหนูโกรธมันยิ่งกว่านี้อีก แต่เรื่องอย่างนี้มันบังคับกันไม่ได้หรอก มันเหมือนตอนที่ตากับยายห้ามแม่ไม่ให้คบกับพ่อนั่นแหละ สุดท้ายเป็นไงล่ะ?” ยูราหั่นผักไป แต่ปากก็ตั้งคำถามหญิงวัยกลางไปด้วย
“สุดท้ายก็มีแกนี่ไง”
“นั่นไง! เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องไปโกรธไอ้ยอลมันหรอก เพราะถ้ามันจะรักซะอย่างนะ พ่อกับแม่ห้ามมันไม่ได้หรอก เชื่อหนูสิ”
“แล้วถ้าพ่อแกรู้ล่ะ?” หญิงวัยกลางถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะกลัวว่าผู้เป็นสามีจะโกรธเรื่องของลูกชายคนเล็ก
“พ่อเขาก็พูดประโยคเดียวกับแม่นี่แหละ!”
“ห๊ะ!” หญิงวัยกลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินคำตอบของลูกสาว
“นั่นแหละ ตามนั้นเลย หนูคุยกับพ่อไปตั้งแต่วันแรกที่หนูกลับมาที่นี่แล้ว”
“แล้วพ่อแกว่าไง?” ผู้เป็นแม่ถามลูกสาวด้วยความกระตือรือร้น
“ก็มีเงิบนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ปลง”
“แล้วทำไมไม่มีใครบอกฉันเลย!?” หญิงวัยกลางเริ่มโวยวายเมื่อรู้ตัวว่าเธอรู้เรื่องนี้เป็นคนสุดท้าย
“พ่อบอกว่าอย่าบอกแม่ เพราะถ้าแม่รู้แม่จะพูดมาก!”
“ยูรา!! เย็นนี้แกเตรียมตัวไดเอทได้เลย!”
“โอ๊ะๆๆ แม่จ๋าๆ แม่ใจดีที่สุดเย้ยยยย~”
ทั้งสองแม่ลูกง้องอนกันไปตามทาง แม้จะติดใจเรื่องของชานยอลอยู่บ้างก็ตาม แต่ด้วยความที่รักลูก เธอจึงจำเป็นต้องปล่อยไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องของความรักมันเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเพศเดียวกัน แต่ในเมื่อมันรักไปแล้ว เรื่องเพศก็คงไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป เธอจึงคิดไปเสียว่าหากลูกชายของเธอมีความสุข เธอก็จะมีความสุขไปกับลูกชายของเธอ
-----------------------------------------------------------------
ชานยอลเดินเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ร่างโปร่งยกข้อมือของตัวเองขึ้นมาดูและพบว่าสายข้อมือเส้นสีฟ้ามันดูแน่นไปกว่าเมื่อก่อน เพราะหลังจากกลับมาร่างเดิมทุกส่วนก็กลับมาแกร่งตามสภาพ ร่วมทั้งข้อมือที่เคยเล็กนั่นด้วย
ร่างโปร่งมองข้อมือตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะถอนหายใจแล้วจัดการแกะสายข้อมือเส้นสีฟ้านั้นออกแล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากจะถอดมันออกจากข้อมือ แต่หากยังใส่เอาไว้เขาคงไม่มีทางหยุดคิดถึงคนให้แน่ๆ
ร่างโปร่งเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปเจอลานน้ำพุกว้างในจุดหนึ่งของชิบูย่า ซึ่งมันถูกจัดขึ้นมาสำหรับงานเทศกาลสักงานหนึ่ง ความมหัศจรรย์ของมันก็คือสายน้ำมันจะพุ่งออกมาตามจังหวะเพลง ความมืดยามค่ำคืนทำให้เห็นแสงสีของไฟที่ใช้ประดับตกแต่งน้ำพุนั่น
ชานยอลยืนมองสายน้ำที่ถูกพ่นออกมาอย่างเพลิดเพลิน สายตามเต้นไปตามจังหวะเพลงราวกับว่ามันมีชีวิต ความสวยของน้ำและไฟหลายสีทำให้ชานยอลอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจบเพลง น้ำทุกหยดร่วงกลับลงสู่พื้น เพลงหยุด ทุกอย่างเงียบลงในทันที
แต่ไม่ใช่ใจของเขา...
เมื่อน้ำพุที่เคยพวยพุ่งหยุดลง มันทำให้ร่างโปร่งมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจนและสิ่งที่ทำให้ใจชานยอลเต้นแรงกว่าปกติคือร่างสูงโปร่งของคนที่เขาคุ้นเคยยืนเด่นอยู่อีกฝั่ง ตาคมคู่นั้นมองตรงมาราวกับต้องการสะกดให้ร่างโปร่งเดินเข้าไปหา
ชานยอลหลบสายตาคู่นั้นก่อนจะสบัดหัวไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองและเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้งก็พบว่าคนๆ นั้นไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“เป็นเอามากเลยนะเรา”
ชานยอลพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากลานน้ำพุกว้างนั้นทันที
หลังจากเดินเที่ยวเป็นที่สมควรแล้ว ชานยอลจึงมุ่งหน้ากลับเข้าบ้านของตัวเอง เขานั่งรถมาจนถึงทางเข้าบ้านและเนื่องจากว่าเป็นเวลาดึกแล้วถนนสายนี้จึงดูเงียบสงบไร้คนสัญจรอย่างตอนกลางวัน แต่เขาพึงพอใจกับความเงียบสงบนี้มาก ร่างโปร่งเดินตามถนนอย่างไม่เร่งรีบ แต่แล้วเขาก็ต้องชะลอความเร็วในการเดินให้ช้าลงกว่าปกติ เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนเดิมตามเขามา
“!!”
ชานยอลแสดงอาการตกใจทันทีที่หันหลังกลับไปและพบว่าคนที่กำลังเดินตามหลังเขาอยู่นั้นก็คือ...คริส
“เดินคนเดียวแบบนี้มันอันตรายรู้ไหม?” ร่างสูงบอกพร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปหาชานยอล
“คุณ...เป็นใคร” ชานยอลถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนมีอะไรมาขวางคอเอาไว้
“ชานยอล....กลับไปด้วยกันเถอะนะ”
คริสมองชานยอลด้วยสายตาอ้อนวอนและมันก็ทำให้ร่างโปร่งทำอะไรไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจเตรียมจะวิ่งหนีอีกคน แต่หันหลังยังไม่ทันพ้นก็โดนคริสคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ไปกับพี่เดี๋ยวนี้!”
“ไม่ไป! แล้วก็ปล่อยมือผมด้วย! ผมไม่รู้จักคุณ!”
เมื่อเป็นผู้ชายเรี่ยวแรงของเขาจึงมีมากกว่าเดิม ชานยอลสะบัดข้อมือตัวเองออกจากมือหนาของคริสเพียงครั้งเดียวข้อมือของเขาก็หลุดออกจากมือของคริสทันที
“ชานยอล...”
คริสเรียกอีกคนด้วยน้ำเสียงเบาพร้อมกับมองด้วยสายตาอ้อนวอน แต่ร่างโปร่งกลับเมินหน้าหนีก่อนจะหลังเดินต่อไป
“ชานยอลกลับไปกับพี่เดี๋ยวนี้!” ร่างสูงบอกเสียงแข็งพร้อมกับเข้าไปกระชากแขนของชานยอลไว้อีกครั้ง
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่รู้จักคุณ เพราะฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกับคุณ!!” ร่างโปร่งบอกและพยายามดึงแขนกลับ แต่ครั้งนี้มันถูกคริสจับไว้แน่นจนเขาไม่สามารถดึงแขนตัวเองออกมาให้เป็นอิสระได้
“อย่าทำแบบนี้เลย ไม่ว่าเราจะเป็นใคร อยู่ในร่างไหน พี่ก็จำเราได้ทั้งนั้นแหละ!” คริสบอกด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน แต่มันก็ขัดกับสายตาที่เขาใช้มองชานยอล สายตาที่ดูเหมือนพยายามที่จะวิงวอนให้อีกคนใจอ่อนยอมกลับไปกับเขา
“ปล่อยผมเถอะ...ปล่อยผมไปเถอะ...” ชานยอลบอกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เราไม่รักพี่แล้วหรอ?..........”
คำถามของร่างสูงทำให้ชานยอลนิ่งเงียบไป แม้ในใจมันอยากจะตะโกนเสียงดังลั่นว่ารักมากแค่ไหน แต่ชานยอลก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดให้คริสได้ยินได้
“กลับไปกับพี่เถอะนะ...พี่ขอร้อง”
“คุณกลับไปเถอะ...ทุกอย่างมันจบบริบูรณ์แล้ว”
ร่างโปร่งบอกด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนจะดึงแขนที่ถูกคริสจับเอาไว้ออกมาอย่างง่ายดาย ตากลมพยายามหลบสายตาไปทางไหนก็ได้ที่จะทำให้ไม่เห็นหน้าของคริส เพราะยิ่งเขาได้เห็น มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บ
“ได้.....พี่กลับก็ได้ แต่...”
ร่างสูงเว้นวรรคคำพูดเอาไว้ ทำให้ชานยอลต้องหันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้งและมันทำให้เขาเห็นว่านัยตาของร่างสูงเริ่มแดงก่ำ ตาคมมองมายังชานยอลด้วยสายตาที่แข็งกร้าวก็จะพูดประโยคต่อมา
“พี่จะกลับก็ต่อเมื่อเราไปกับพี่ด้วยเท่านั้น!!”
“เฮ๊ย! ปล่อย!!”
ร่างสูงว่าก่อนจะกระชากแขนชานยอลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาออกแรงกระชากอย่างแรงจนทำให้ชานยอลต้องเดินตามเขาไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่ข้อมือและไม่ว่าจะร้องขอให้ร่างสูงปล่อยเขาสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าคริสจะไม่ได้สนใจเสียงของคำขอร้องนั้นเลย
ทั้งคู่ใช้เวลาในการเดินทางมาอีกที่ในเวลาไม่นาน ซึ่งร่างโปร่งเดาว่าอาจจะเป็นโรงแรมที่คริสพักอยู่และเมื่อทั้งสองลงจากแท็กซี่คริสก็ยังคงกระชากแขนชานยอลให้เดินตามเขาต่อไป แต่ครั้งนี้ชานยอลไม่ได้ขัดขืนอะไรมาก เพราะอยากจะคุยกันให้จบๆ เช่นเดียวกัน
“คุณกลับไปเถอะ ผมกลับไปกับคุณไม่ได้หรอก คุณก็เห็นหนิว่าตอนนี้ผมเป็นยังไง”
“แล้วไง?” คริสหันกลับมาตอบอีกคนทันทีที่ปิดบานประตูลงเป็นที่เรียบร้อย
“นี่คุณไม่มีความรู้สึกตกใจ แปลกใจหรืออะไรบ้างเลยหรอที่ต้องมาเห็นผมอยู่ในสภาพนี้!?” ร่างโปร่งถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัว
“ไม่! เพราะรู้อยู่แล้วและก็คิดไว้แล้วว่าสักวันมันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นตัดปัญหาข้อนี้ทิ้งไปได้เลย” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าชานยอล
“คุณรู้ได้ยังไง...” ตากลมเบิกกว้างเมื่อรู้ว่าอีกคนรู้เรื่องของตัวเองมาโดยตลอด
“รู้แค่ว่าพี่เคยชิมลูกอมปีศาจนั่นเหมือนกันก็พอ”
เมื่อคริสพูดถึงลูกอมประหลาดนั่น มันทำให้ชานยอลอึ้งอยู่ไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายมันจะเวียนว่ายอยู่กับคนรอบตัว
“ยังไงก็ไม่ได้อะ! เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เด็ดขาด! เพื่อนของเราจะว่ายังไง? ครอบครัวเราจะรู้สึกยังไง? คนพวกนั้นต้องรับมันไม่ได้แน่ๆ!” ชานยอลบอกท่าทีกังวล
“ชานยอล..รู้ตัวไหมว่าเราสนใจความรู้สึกทุกคน....แต่ยกเว้นพี่”
ร่างสูงบอกด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ สายของคริสที่มอง มันทำให้ชานยอลแทบจะใจอ่อนซะเดี๋ยวนั้น แต่เขาก็ต้องดึงคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกมาห้ามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“มันไม่ได้...ยังไงก็ไม่ได้! เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เราจบกันตรงนี้เถอะ ให้เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝันก็พอ” ชานยอลบอกและพยายามทำน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติ
“ไม่!!”
ร่างสูงบอกก่อนจะดึงตัวชานยอลเข้าไปหาตัวเองและมันก็สร้างความตกใจให้ร่างโปร่งเล็กน้อย แต่ชานยอลก็ยังคงพยายามไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป
“มันต้องได้..เรารักกันได้ เชื่อพี่สิว่าเรารักกันได้!”
“เลิกพูดแล้วปล่อยให้เรื่องมันจบไปซะเถอะ” ชานยอลบอกก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น
“จบหรอ..อยากจบมากใช่ไหม”
ร่างสูงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย เขาคว้าร่างโปร่งเข้าไปประกบจูบอย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างไม่เคยเป็น มันเร็วเสียจนชานยอลทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อไหร่สติเขาก็รวบรวมกำลังทั้งหมดผลักร่างของคริสไปให้พ้นตัวทันที
“อย่ามาทำอะไรบ้าๆแบบนี้กับผมนะ!” ร่างโปร่งว่าพลางถอยหลังหนีคนตรงหน้า
“จะกลัวอะไร ทุกอย่างมันเหมือนเดิมอยู่แล้ว”
คริสบอกพลางย่างกรายเข้าไปหาชานยอลช้าๆ สายตาที่คริสมองอีกคนในตอนนี้แทบจะเผาร่างของเขาคนนั้นได้เลยทีเดียว
“คุณก็เห็นว่ามันไม่เหมือนเดิม”
ทันทีที่ชานยอลพูดจบร่างสูงก็ดึงร่างโปร่งเข้าไปจูบอีกครั้งและครั้งนี้เข้าเพิ่มความเร้าร้อนและรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมก่อนจะผ่อนความรุนแรงนั้นให้เหลือเพียงจูบที่อ่อนละมุนอย่างที่เขาเคยมอบให้เมื่อครั้งที่ชานยอลยังเป็นผู้หญิง
มันเหมือนเดิม...เหมือนเดิมทุกอย่าง จูบที่คริสได้มอบให้ชานยอล ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป แม้ว่าคนที่คริสกำลังมอบจูบให้นั้นจะเป็นผู้ชายไปแล้วก็ตาม
ชานยอลเริ่มหลงเคลิบเคลิ้มไปกับจูบที่หอมหวานของคริส ความอ่อนโยนที่คริสได้มอบมันผ่านรสจูบทำให้ชานยอลเหมือนได้ย้อนกลับไปผู้หญิงอีกครั้ง
[เอ๊ะ! ตอนที่หายไปทำยังไงให้ได้อ่านน้า?]
----------------------------------------------------------------------------
แสงแดดอ่อนยามเช้ากระทบกับหยาดน้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบไม้จนเกิดแสงเป็นประกายราวกับมีคริสตัลติดอยู่บนใบไม้เหล่านั้น ร่างโปร่งหยุดมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเลยผ่านมันไป
ชานยอลรีบออกมาจากโรงแรมก่อนที่คริสจะตื่นและเขาก็ไม่สามารถบอกความรู้สึกของเรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนได้ แต่ภายในใจลึกๆ ก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยที่คริสไม่ได้รังเกลียดในตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกแปลกๆกับตัวตนเดิมนี่อยู่ดี
“เป็นไงบ้าง?!” ยูรารีบวิ่งเข้าไปถามทันทีที่น้องชายเป็นประตูบ้านเขามา
“หึ...รู้ตั้งแต่แรกแล้วสินะ”
“ก็..เออ! เอาเถอะ ว่าแต่เป็นไงบ้าง?” หญิงสาวยังคงอยากรู้เรื่องระหว่างชานยอลและคริส
“ก็ไม่เป็นไง บอกแล้วว่าจบคือจบ แล้วไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นแม่สื่ออีกนะ มันจบแล้ว!” ร่างโปร่งบอกน้ำเสียงเน้นก่อนจะเดินขึ้นห้องไป ทิ้งให้ยูราถอนหายใจออกมาอย่างหมดหวัง
ชานยอลทิ้งตัวลงบนเตียง แม้จะเจ็บปวดร่างกายที่เกิดขึ้นเพราะเรื่องเมื่อขึ้น แต่อาการปวดร้าวที่เกิดขึ้นกับหัวใจมันทำให้เขาลืมความเจ็บปวดของร่างกายไปแล้ว ที่ใจมันเจ็บเพราะทั้งๆที่อยากกลับไปหาใจจะขาด แต่เขาก็ต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ เรื่องมันต้องจบเพียงแค่นี้...
ตึ๊ง!
อยู่ๆเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้นหลังจากที่ชานยอลหลับตาลงไม่นาน เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูที่เพิ่งส่งเสียงนั่นออกมา
‘ออกมาหาหน่อย’
ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งมา แต่ที่ทำให้เขางงยิ่งกว่าก็คือคนที่ส่งมาให้เขาเป็นคริสตัล แต่ถึงจะงุนงงขนาดไหนเขาก็เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านตามสัญชาตญาณและมันก็เป็นไปตามที่เขารู้สึกเมื่อชานยอลได้เจอกับเพื่อนสาวที่ยืนรออยู่หน้าบ้าน
“โอ๊ะ! แปลกตาดีเนาะ เป็นผู้หญิงก็สวย เป็นผู้ชายก็หล่อ นายนี่มันมหัศจรรย์จริงๆเลย” คริสตัลทักขึ้นทันทีที่เห็นชานยอล
“ไม่ตกใจหน่อยหรอ?” ร่างโปร่งถามคริสตัลที่มองมายังเขาพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ต้องตกใจ? โอเคตกใจก็ได้ โอ้! นี่นายแป็นใคร! แล้วเพื่อนฉันอยู่ที่ไหน?! ยอลลี่อยู่ไหน นายเอาเป็นฉันไปซ่อนใช่ไหม?!”
“พอเถอะ ว่าแต่มาที่นี่ได้ยังไง” ชานยอลยกมือขึ้นเบรกเพื่อนเอาไว้ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่เจือปนความดีใจอยู่เล็กน้อย
“ลืมไปแล้วหรอว่าฉันเป็นใคร”
“เออ นั่นสินะ เธอไปรอบโลกได้ทุกเมื่อนี่หว่า” ร่างโปร่งยกยิ้มเล็กน้อย เมื่อคืดได้ว่าเพื่อนสาวคนนี้ไม่ได้เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างคนอื่นๆ
“ใช้สรรพนามอย่างที่เคยใช้เถอะ ได้ยินแกเรียกฉันว่าเธอแล้วรู้สึกแปลกๆ” หญิงสาวยู่หน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำที่เขาทั้งสองเคยใช้เรียกกันแปลกไปจากเดิม
“ขอโทษนะที่มาโดยไม่บอกอย่างนี้ มันกะทันหันจริงๆ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะเข้าไปโอบไหล่คนตัวเล็กว่าให้เดินตามเขาไป
“ฉันน่ะไม่เป็นไร แต่ยัยสองคนที่เหลือนี่สิ โวยกันใหญ่เลย ฮ่าๆๆ” คริสตัลบอกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันคิดถึงพวกมันนะ แต่ขืนกลับไปหาในสภาพนี้คงแย่แน่ๆ มันต้องคิดว่าฉันเป็นปีศาจกลายร่างแน่ๆ”
“ฮ่าๆๆ เออนั่นสิ ให้ฉันกลายร่างเป็นเพื่อนแกไหม?” คริสตัลถามก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้กับคนข้างๆ
“อย่าเลย เดี๋ยวไม่มีไอ้เตี้ยที่ไหนให้กอดคอแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะเบี่ยงตัวหนีฝ่ามือเล็กของคริสตัล
“สูงหน่อยเป็นข่ม เดี๋ยวเถอะๆ ว่าแต่แกอะ ไปเคลียร์กับพี่คริสหรือยัง” ชื่อที่คริสตัลเอ่ยขึ้นมาทำให้รอยยิ้มของชานยอลหายไปทันที
“ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ มันไม่ได้เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว ฉันคิดว่าฉันควรจะลืมเขาไปซะ” ชานยอลบอกด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะปกติ แต่ร่างบางกลับเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนตัวเองไม่ได้แสดงอารมณ์ปกติอย่างเสียง
“ลืมได้หรอ? แกคิดว่าแกลืมได้งั้นหรอ? แล้วขอถามหน่อยนะ ทำไมแกต้องหาเรื่องลืมเขา ในเมื่อพี่คริสเขาไม่ได้อยากจะลืมแก”
“ก็ฉันกลับมาเป็นผู้ชาย แล้วจะให้เขาประกาศแต่งงานกับผู้ชายอย่างฉันน่ะหรอ เฮอะ! แกคิดว่ามันเป็นไปได้หรอ?” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับเด็ดใบไม้ข้างทางเป็นการระบายอารมณ์ทางอ้อม
“หึ แกถามเขาหรือยัง? แกคิดเองเออเองตลอด แกไม่ได้ถามพี่คริสเขาเลยว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขารับแกไม่ได้น่ะนะ เขาคงไม่ตามแกมาถึงที่นี่หรอก อ่อ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเขารับสภาพนี้ของแกไม่ได้ เขาคงเลือกที่จะทิ้งแกไปนานแล้ว”
คิ้วเรียวของชานยอลขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อเขาเอาสิ่งที่เพื่อนพูดมาคิด มันถูกต้องตามที่คริสตัลพูดทุกประการ คริสไม่เคยคิดจะให้เรื่องระหว่างเขาสองคนจบเลย มิหนำซ้ำยังตามเขามาถึงที่นี่ แต่คนที่คิดจะจบกลับเป็นชานยอลเพียงฝ่ายเดียว
“ขอคำตอบเพียงคำเดียวสั้นๆนะ แกรักพี่คริสไหม?” ร่างบางถามพร้อมกับจ้องหน้าอีกคนอย่างต้องการคำตอบ
“ฉัน.....”
“ฉันขอแค่คำเดียว!” คริสตัลรีบพูดตัดหน้าเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่างโปร่งกำลังลังเล
“...........รักสิ”
ชานยอลตอบกับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ซึ่งความจริงแล้วเขาอยากบอกคำนี้กับคริสเองเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะความกังวลในหลายๆ เรื่องมันทำให้เขาเลือกที่จะพูดคำว่าจบออกไปแทน
“ก็แค่นั้นแหละ ในเมื่อแกทั้งคู่รักกัน ก็ทำตามความรู้สึกได้เลย ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องไปคิดแทนว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง เพราะเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับแกสองคน อย่าให้คนอื่นมาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตรักของแกสิชานยอล”
คริสตัลพูดเตือนสติอีกคน ซึ่งชานยอลก็ได้แต่นิ่งเงียบไปและเมื่อร่างบางเห็นว่าเพื่อนไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เธอจึงถือโอกาสพูดต่อไป
“ถ้าแกเลือกที่จะแคร์ความรู้สึกของคนอื่นๆจริง ฉันขอให้แกแคร์ความรู้สึกของพี่คริสบ้าง พี่คริสเขารักแกมากนะเว้ย” มือเรียวเอื้อมไปจับมือของร่างโปร่งเอาไว้เบาๆก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้จนชานยอลต้องยิ้มตาม
“ขอบใจแกมาก ขอเวลาให้ฉันสักแป๊ปนะ”
“ทุกคนมีเวลานะ แต่เราไม่รู้ว่าเวลาที่มีนั้นมันมากน้อยแค่ไหน ตัดสินใจได้แล้วรีบทำก่อนที่แกจะเสียทุกอย่างไปจริงๆ”
คริสตัลบอกพร้อมส่งยิ้มบางๆให้กับชานยอลก่อนจะเดินนำหน้าร่างโปร่งไปทางต้นซากุระที่กำลังแข่งกันออกดอกผลิบานอย่างสวยงาม ร่างโปร่งยืนมองเพื่อนที่กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปดอกซากุระไปยิ้มไปจนเขาอดที่จะยิ้มให้กับความร่าเริงของเพื่อนคนนี้ไว้ไม่ได้
หลังจากที่คุยกับเพื่อนรักอย่างคริสตัลกันจนเข้าใจก็ถึงเวลาที่ชานยอลต้องแยกตัวกลับบ้าน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านไปร่างโปร่งก็ต้องมีเรื่องให้ตกใจ เมื่อเขาต้องพบกับคนที่ไม่พร้อมจะเจอหน้าในเวลานี้
“เอ่อ..มีแขกหรอ พอดีจะมาบอกว่าจะออกไปข้างนอกนะ อาจจะกลับดึกหน่อยหรือ...อาจจะไม่กลับเลย”
ร่างโปร่งบอกกับแม่และพี่สาวโดยที่ไม่ได้สนใจกับแขกผู้มาเยือนเลยแม้แต่น้อยก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอีกครั้งอย่างเร็วที่สุด
“ตามไปสิ!”
ยูราหันไปบอกกับเพื่อนร่างสูงของตัวเองอย่างรวดเร็วและคริสเองก็ไม่รอช้า เขารีบบอกลาทั้งสองคนก่อนจะวิ่งตามชานยอลออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ชานยอลเดินออกจากบ้านมาอย่างไร้จุดหมายปลายทาง เขาไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปที่ไหนเหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่าต้องไปให้ไกลจากคนๆ นั้นก็เป็นพอ
ขายาวก้าวเดินไปเรื่อยๆ ความงดงามของดอกซากุระที่กำลังร่วงลงมาเพราะแรงลมทำให้เขาเผลอยิ้มให้กับความสวยงามของกลีบดอกซากุระเหล่านั้น ความสวยงามของดอกไม้ทำให้เขานึกย้อนกลับไปคิดถึงความสวยงามของความรักระหว่างเขาและคริส ซึ่งความจริงแล้วคริสพยายามจะดูแลความรักนั้นให้สวยงามอยู่ตลอดเวลา แต่เขากลับคิดจะถอนรากของโคนต้นรักนั้นทิ้งเพียงเพราะเหตุผลที่เขาคิดกังวลไปเอง
ชานยอลเดินออกมาไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่เขารู้ตัวอีกทีก็ตอนเงยหน้าขึ้นมาพบกับตอนซากุระที่เรียงรายอยู่ตรงหน้ามากมาย กลีบดอกซากุระร่วงลงมาสัมผัสกับใบหน้าเนียนของชานยอล สัมผัสที่รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนทำให้เขานึกไปถึงสัมผัสที่คริสเคยมอบให้กับเขามันอ่อนโยนดังเช่นกลีบซากุระเหล่านั้น
แต่ในขณะที่ชานยอลกำลังคิดถึงสัมผัสนั้น อยู่ๆเขาก็ได้รับมันโดยที่ไม่ต้องเรียกหา แขนแกร่งของใครบางคิดกอดเขามาจากทางด้านหลัง ไออุ่นและสัมผัสที่คุ้นเคยเช่นนี้ไม่ต้องทายชานยอลก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าใครคือเจ้าของ
“กลับบ้านเรากันเถอะ”
เสียงที่คุ้นเคยกระซิบขึ้นที่ข้างหูของร่างโปร่ง เขานิ่งเงียบอย่างความคิด ก่อนจะถามอีกคนขึ้นเบาๆ
“คุณแน่ใจแล้วหรอว่าจะรักผมต่อไปอย่างนี้?”
“เรียกพี่คริสสิ”
ชานยอลเผลอหัวเราะให้กับประโยคคำสั่งที่คริสเคยพูดมันตั้งหลายครั้งและกว่าเขาจะทำตามคำสั่งนั้นมันก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร
เมื่อชานยอลลองคิดกับตัวเองอีกครั้งอย่างละเอียดถีถ้วนมันก็ทำให้เขาได้คำตอบกลับมาว่า เขาแคร์คนอื่นมากไปจริงๆ แคร์ทุกคนยกเว้นคริสและการที่เขาแคร์คนอื่นๆนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้เขามีความสุข มิหนำซ้ำมันยังทำให้เขาต้องทนทรมานกับการที่เขาต้องเอ่ยคำบอกเลิกกับคนที่เขารักอีกด้วย
“พี่จะรักเราต่อไปอย่างนี้แหละและไม่มีอะไรมาทำให้มีหยุดรักเราด้วย” คริสบอกพร้อมกับทอดสายตามองไปยังต้นซากุระที่เรียงรายไปสุดลูกหูลูกตา
ชานยอลยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาแพ้ผู้ชายคนนี้จริงๆ แพ้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนเขาต้องยอมแพ้ให้กับผู้ชายคนนี้ตลอด กลีบดอกซากุระที่ปลิวอยู่รอบตัวยิ่งทำให้ภาพที่มีชายร่างสูงสวมกอดชานยอลมาจากทางด้านหลังละมุนและอ่อนโยนมากขึ้นเป็นพันเท่า
มันคงถึงเวลาแล้ว...ถึงเวลาที่ชานยอลจะต้องตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
-----------------------------------------------------------------
ไม่กี่วันต่อมา ชานยอลรีบออกจากบ้านตัวเองเพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่งตามที่คริสได้นัดเขาเอาไว้ เขาใช้เวลาเดินทางออกจากบ้านเพียงไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทางและทันที่ที่เข้าไปถึงบริเวณสถานที่แห่งนั้นเขาก็เห็นว่าร่างสูงที่คุ้นเคยได้ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมต้องมาที่โบสถ์ด้วย?”
ชานยอลถามขึ้นด้วยสีหน้างงๆ และคริสก็ไม่ได้ตอบกลับไปแต่กลับยิ้มให้ก่อนจะโอบร่างโปร่งเขาโบสถ์ไป
และทันทีที่ชานยอลก้าวเท้าเขาโบสถ์ไปเจอกับบุคคลกลุ่มหนึ่งที่รอเขาทั้งสองคนอยู่ข้างใน มันทำให้เขาอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีไปเสียให้ได้ เมื่อพบว่าคนกลุ่มนั้นคือเพื่อนของเขานั่นเอง
“ออมอ!! ยอลลี่ เอ๊ย!! ไม่สิต้องชานยอลสินะ” ฮยอนอาอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเพื่อนสาวสุดสวยของตัวเองกลายร่างเป็นผู้ชายอย่างเต็มรูปแบบ
“โลกเรามันช่างอยู่อยากขึ้นทุกวันจริงๆ เลย” เซฮุนพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับมองไปที่ชานยอลอย่างไม่เชื่อสายตา
“เอ่อ..ขอโทษทุกคนนะ ที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก แต่..มันพูดไม่ได้จริงๆ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ” ชานยอลบอกด้วยอย่างรู้สึกผิด
“ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ” ซอลลี่เดินเข้าไปจับข้อมือทั้งสองข้างของชานยอลเอาไว้พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่คุ้นเคยให้กับชานยอล
“ขอบคุณที่เข้าใจฉันนะ” ร่างโปร่งยิ้มให้กับเพื่อนรักก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างที่เคยทำ
“เอาล่ะๆ เลิกซึ้งได้แล้ว ได้ฤกษ์แล้วล่ะ” คริสตัลหันไปบอกทุกๆคนด้วยรอยยิ้ม
“ฤกษ์อะไร? เออว่าแต่มาทำอะไรกันที่นี่ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว” ร่างโปร่งถามทุกคนอย่างงงๆ
“มางานแต่งเธอไง” ซอลลี่บอกพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับเพื่อนร่างโปร่ง
“งานแต่ง?”
“งานแต่งงานของเราสองคนไง” คริสยิ้มให้ก่อนจะโอบร่างโปร่งไปที่แท่นพิธีที่มีซูโฮยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“โอ๊ะ! ไม่ได้เจอกันไม่นานเท่าไหร่ เปลี่ยนไปเยอะเลยนะยอลลี่ ไม่สิ! ต้องชานยอลสิถึงจะถูก” ซูโฮบอกก่อนจะยิ้มให้รุ่นน้องร่างโปร่ง
“นี่..ทุกคนเรารู้เรื่องของผมได้ยังไง?” ชานยองหันไปถามคนข้างตัวด้วยความสงสัย
“พี่เล่าให้ทุกคนฟังเองแหละ แถมมีแบคฮยอนกับคริสตัลเป็นพยานยืนยันอีกต่างหาก”
“เขาไม่ตกใจกันบ้างหรอ?”
“ก็มีบ้าง แต่เราอย่าลืมสิว่าเพื่อนๆของเราอะรักเรามากแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ไม่ทิ้งเราหรอก” คริสบอกพร้อมยิ้มให้กับคนข้างๆอีกครั้ง
“อ่ะๆ เจ้าบ่าว เจ้าสาวเลิกคุยๆ เอ๊ะ? ต้องเรียกงี้ป่าววะ? เออช่างมันเถอะ! มาเริ่มพิธีกันเลยดีกว่า”
“เดี๋ยวๆ เราจะเข้าพิธีกันแบบนี้จริงๆหรอ?” ชานยอลถามคริสขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็ถ้าแต่งแบบเป็นพิธีการอย่างที่เตรียมไว้ตอนแรกไม่ได้ ก็แต่งกันแบบนี้แหละ ให้เจ้าพวกนี้เป็นพยานว่าเราจะรักกันไปตลอดชีวิต” คริสบอกพร้อมกับยิ้มหวานให้กับชานยอล
“พ่อขออ้วกแป๊ปนะลูก” ซูโฮที่มารับบทเป็นบาทหลวงจำเป็นถึงกับทนความหวานของทั้งคู่ไม่ได้
“อ่าวๆ หลวงพ่ออย่าเพิ่งเป็นอะไรไปสิครับทำพิธีให้ผมก่อน ฮ่าๆ” คริสบอกเพื่อนก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“อ่าๆ พร้อมนะ ทุกคนพร้อมนะ?”
“โอเคพร้อมแล้ว”
คริสและชานยอลพยักหน้าให้กับซูโฮพร้อมกับรอยยิ้มและเมื่อบาทหลวงจำเป็นเห้นว่าทุกคนพร้อมแล้วจึงเริ่มทำพิธีตามที่ได้ศึกษามา
“อู๋อี้ฟานกับปาร์ค ชานยอล ท่านทั้งสองมาที่นี่โดยไม่ได้ถูกบังคับ แต่มาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริงเพื่อเข้าพิธีสมรสหรือ?”
“ครับ/ครับ” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะหันไปยิ้มให้กัน
“เมื่อเข้าสู่พิธีสมรสเช่นนี้แล้วท่านทั้งสองพร้อมที่จะรักและยกย่องให้เกียรติกันและกันจนตลอดชีวิตหรือ?”
“ครับ/ครับ”
“หากท่านทั้งสองมีเจตจำนงที่จะสมรสกัน ขอให้ท่านจับมือขวาของกันและกันและแสดงความสมัครใจต่อหน้าพระเป็นเจ้า”
เมื่อสิ้นสุดประโยคของซูโฮคริสและชานยอลหันหน้าเข้าหากันก่อนจะจับมือขวาของกันและกันแล้วเริ่มประกาศคำสาบานด้วยเสียงดังฟังชัด
“ผมอู๋อี้ฟาน ขอรับคุณปาร์ค ชานยอลเป็นคู่ชีวิตและขอสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรต์คุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่...” ร่างสูงบอกกับจนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“ผมปาร์ค ชานยอล ขอรับคุณอู๋อี้ฟานเป็นคู่ชีวิตและขอสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรต์คุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่” ชานยอลบอกกลับไปพร้อมกับนน้ำตาที่เริ่มล้นเอ่อออกมารอบดวงตา วันนี้เวลานี้ทำให้เขาเข้าใจถึงอารมณ์ของผู้หญิงที่กำลังแต่งงานได้เป็นอย่างดี
เมื่อกล่าวคำสาบานเสร็จแล้ว ทั้งสองคนจึงนำแหวนที่คริสได้เตรียมมาสวมให้กัน ชานยอลรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิต วันที่เขาคิดว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว เสียงกรีดร้องดีใจจากบรรดาเพื่อนๆ ทำให้ชานยอลหันกลับไปสนใจบุคคลเหล่านั้นอีกครั้ง
“ดอกไม้ๆ! เจ้าสาวโยนดอกไม้เลย ด่วนๆเลยยยย!!” ฮยอนอาตะโกนบอกพร้อมกับวิ่งมาหน้าแท่นพิธีก่อนใครเพื่อน
“ดอกไม้? แล้วจะเอาดอกไม้ที่ไหนไปโยนให้มันล่ะทีนี้?” ชานยอลพูดขึ้นพร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างใช้ความคิด
“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว พ่อเตรียมมาให้แล้ว” บาทหลวงจำเป็นบอกก่อนจะส่งช่อดอกกุหลาบสีแดงให้กับชานยอล
“โอ๊ะ! นี่เตรียมพร้อมกันจริงๆเลย” ชานยอลว่าพร้อมกับรับช่อดอกไม้มาไว้ในมือ
“โยนเลยครับคุณเจ้าสาว” ร่างสูงบอกก่อนจะฝังจมูกโด่งลงไปบนแก้มเนียนของชานยอล
“โอ๊ยยย!! อย่าเพิ่งหวาน โยนดอกไม้ก่อน!” ฮยอนอาโวยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าทั้งสองเริ่มหยอดความหวานใส่กัน
“อ่าๆ จะโยนแล้วน้า~”
ชานยอลบอกก่อนจะหันหลังให้กับคนที่รอรับช่อดอกไม้และเมื่อดอกกุหลาบช่อนั้นลอยขึ้นสู่อาการ ทุกคนต่างลุ้นให้มันไปตกอยู่ในมือของตัวเองและคนที่ได้มันไปกลับมีถึงสองคน นั่นก็คือเซฮุนและลู่หานที่รับดอกไม้ช่อนั้นได้พร้อมกัน
“โห่~ อะไรว้า” ฮยอนอาบ่นขึ้นมาราวกับเด็กที่โดนขัดใจ
“ฮยอนอา..”
“ห๊ะ”
ฮยอนอาหันไปตามเสียงที่เสียงเธอ และเธอก็พบกับฮยอนซึงและดอกกุหลาบสีขาวช่อโตความจริงแค่นี้ก็ทำให้เธอประลาดใจพอแล้ว แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจได้มากกว่านั้นก็คือฮยอนซึงคุกเข่าลงต่อหน้าเธอก่อนที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกไป
“ไม่ต้องไปแย่งดอกไม้กับคนอื่นเขาหรอก เพราะผมเตรียมมันมาให้คุณแล้ว แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่าคุณต้อง...แต่งงานกับผมนะ”
ฮยอนซึงบอกกับคนตรงหน้าและประโยคนั้นก็สามารถเปลี่ยนสีหน้าที่กำลังงงในตอนแรกมาเป็นร้องไห้ได้ในทันที
“แหมะ! จบคู่นึงอีกคู่ก็ต่อทันทีเลยนะ” คริสตัลพูดพร้อมยกยิ้มให้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ทั้งคริสและชานยอลมองภาพตรงหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข วันนี้เป้นวันที่ดีอีกวันของเขาทั้งสองคน วันที่เขาได้กลับมารักกันและสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตโดยไม่ต้องแคร์อะไรอีกต่อไป
“อย่าหนีพี่ไปไหนอีกนะ” คริสหันไปกระซิบกับคนที่กำลังมองไปยังเพื่อนของตัวเอง
“ถ้าผมหนีพี่ก็ตามหาผมให้เจอสิครับ”
ชานยอลว่าพร้อมกับชูข้อมือขึ้นมาเผยให้เห็นว่ามีสายข้อมือที่คริสเคยให้กับเขาไว้ก่อนจะออกตัววิ่งหนีคริสไปข้างนอกในทันที
เมื่อเห็นว่าชานยอลและคริสกำลังวิ่งออกไปนอกโบสถ์ทุกคนก็ไม่รอช้าและพร้อมใจกันวิ่งตามออกไปด้วยกัน เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างยิ้มให้กับเพื่อน แฟน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ไม่ว่าจะเป็นอะไรกัน แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความรักและห่วงใยกันเช่นเดียวกันกับคริสและชานยอล ที่ไม่ว่าอีกคนจะอยู่ในร่างไหนเขาทั้งสองก็เลือกที่จะรักกันไปตลอดชีวิต....
ความคิดเห็น