ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Be careful! กู...D A N G E R O U S ! ! ★ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : Can't Fight The Moonlight

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.22K
      11
      23 มี.ค. 55

     


     

    Chapter 1 :

    Can't Fight The Moonlight


      

     






     

    แสงไฟหลากสีที่หมุนมาไล้ผิวกายอยู่เป็นพักๆไม่ได้สร้างความตื่นเต้นตกใจให้กับผมแต่อย่างใด    รวมถึงเสียงเพลงจังหวะหนักๆนั่นด้วย... ตอนนี้ผมกำลังพุ่งความสนใจไปที่แก้วคลิสตัล  ไม่ใช่ว่ามันน่าพิศวาสอะไรหรอกนะ  ผมเพียงแค่ใช้มันเป็นจุดรวมสมาธิก็เท่านั้นเอง

     

     

    ผมกำลังคิดถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า...

     

     

    บางอย่าง...ที่ช่างน่าแปลกใจเสียเหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

    "เหี้ยต้า!! กูมาแล้ว!"

     

     

    เสียงหวานติดห้าวอันคุ้นเคยปลุกผมจากภวังค์ความคิด  ผมละสายตาจากแก้วเบียร์ที่มีไอน้ำเกาะอยู่โดยรอบขึ้นมามองใบหน้ากวนๆของไอ้  'ไซน์'   เพื่อนสนิทเพศตรงข้ามของผม  มันกำลังท้าวคางอยู่บนเคาท์เตอร์ฝั่งตรงข้ามกับผม และกำลังทำสีหน้าแบบที่พอจะนิยามได้ว่า 'อยากรู้อยากเห็นแบบสุดๆ -_-'

     

     

    "เล่าต่อเร็วๆเลย"

     

     

    "ถึงไหนแล้วล่ะ" ผมย้อนถาม  เพราะระยะเวลาที่ไอ้ไซน์ขอตัวไปรับแขกมันก็นานอยู่เหมือนกัน  นานจนลืมไปเลยว่าเล่าไปถึงไหนแล้ว -_-

     

     

    "ถึงตอนที่มึงพลัดตกลงมาจากสะพานอ่ะ"

     

     

    "อ๋ออ"

     

     

    ผมลากเสียงก่อนจะเริ่มเล่าต่อจากฉากที่เล่าค้างเอาไว้   "พอกูตกน้ำไป กูก็ไม่ได้สติอีกเลย  จนกระทั่ง  รู้ตัวอีกที...กูก็นอนอยู่ที่โรงแรม"

     

     

    "ในสภาพเปลือยเปล่า!! OoO!" ไอ้ไซน์ทำตาโต

     

     

    "เปลือยบ้านมึงสิ -_-"

     

     

    "อ้าว ...แล้วมึงไปอยู่โรงแรมได้ไง"

     

     

    "มีใครคนนึงช่วยกูไว้"

     

     

    "เป็นคนเดิมกับที่ช่วยมึงออกมาจากโรงแรมไอ้เหี้ยโชกุนรึเปล่า?"

     

     

    "ไม่ใช่อ่ะ ...แต่เป็นคนไทยเหมือนกัน"

     

     

    "พึ่งรู้ว่าที่เวนิสเนี่ยมีคนไทยอยู่ยั้วเยี้ยเลย"

     

     

    "สาบานได้ว่ากูเห็นคนไทยแค่สามคนเท่านั้น คือ ฮีโร่คนแรกของกู  ฮีโรคนที่สอง  และ...ไอ้ส้นตีนโชกุน -_-"

     

     

    "อ่าฮะ แล้วไงต่อ?"

     

     

    "คนที่ช้อน(?)กูขึ้นมาจากแม่น้ำชื่ออีวาน เป็นคนไทยนามสกุลคุ้นหูมาก และที่สำคัญรวยสัด!"

     

     

    "แล้ว?"

     

     

    "เขาก็ช่วยใช้เส้นของเขาทำให้กูกลับไทยได้แม้จะไม่มีพาสสปอร์ตก็ตาม"

     

     

    ไอ้ไซน์หรี่ตาจับผิด ก่อนจะเค้นเสียงถาม  "มึง...เสียตัวให้เขารึเปล่า?"

     

     

    ผมแยกเขี้ยวให้กับคำถามลามก แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี "ตอนแรกกูก็นึกว่ากูต้องเสียแน่ๆ...แต่ไม่วะ"

     

     

    "จริงดิ! แสดงว่านายอีวานอะไรนั่นต้องเป็นคนดีสุดกู่!  ไม่น่าเชื่อว่าจะมีดีๆหลงเหลืออยู่บนกากโลกแบบนี้ด้วย!"

     

     

    "-_- อย่าเว่อร์นักเลย  ถึงไม่เสียตัวแต่ก็ต้องทดแทนบุญคุณอยู่ดี"

     

     

    "เวรกรรม -_-! ...แล้วหมอนั่นให้มึงทำอะไรให้ล่ะ  เดินยา?  ออรัลเซ็กซ์? หรือว่าให้ไปเป็นสายในบ่อน?"

     

     

    "อย่าพึ่งถามและอย่าพึ่งขัดได้ป่ะ  กูอยากเล่ารวดเดียวจบ โอเค๊?-_-"

     

     

    ไอ้ไซน์ทำหน้ายู่ ก่อนจะตอบเสียงขึ้นจมูกแบบขัดใจ  "ตามใจย่ะ!"

     

     

    ผมยกแก้วคลิสตัลบรรจุเบียร์ขึ้นแกว่ง  แล้วเริ่มเล่าต่อ  "อีวานให้กูไปทำงานที่อู่ของเขา  แล้วก็...แกล้งเป็นชู้กับเขาให้เมียเขายอมเซ็นใบหย่า...ก็เท่านั้นเอง"

     

     

    "เท่านั้นเอง!  เหอะ! โรคจิตชะมัด -_- ...ถ้าให้เดานะ  อีตาอีวานอะไรนั่นต้องเป็นตาแก่พุงพุ้ยที่มีอีหนูเป็นกระตักจนอยากจะเลิกกับเมียใจจะขาดรอนๆ แต่เมียดันไม่ยอมเลิกเพราะหวังสมบัติ ...ก็เลยเล่นไม้ตายใช้มึงเป็นเครื่องมือ  เพราะคงไม่มีเมียที่ไหนยอมทนอยู่กับผัวที่เป็นเกย์ได้....กูพูดถูกมั้ย?"

     

     

    "จะไปรู้ได้ไง กูไม่ได้ไปเสือกกับเขาขนาดนั้นซักหน่อย -_- ที่ตกลงรับคำก็เพราะอยากกลับไทยเร็วๆก็เท่านั้น...อ่อ !มึงพูดผิดไปอย่าง"

     

     

    "??"

     

     

    "อีวานไม่แก่....และเขาหล่อมาก!"

     

     

     "!!"

     

     

    "แต่ไม่ได้แปลว่ากูสนใจเขาหรอกนะ  ไอ้โชกุนทำกูเข็ด...เข็ดเหี้ยๆ!"

     

     

    "เหอะ....แต่ไม่น่าเชื่อเลย  คนอย่างเบต้าเนี่ยนะ จะไม่ตอบโต้อะไร  แถมยังหนีหัวซุกหัวซุนออกมาอย่างกับหมา"

     

     

    ผมถอนหายใจ  จ้องตาไอ้ไซน์นิ่ง  "สถานการณ์นั้นกูเป็นรองเห็นๆ  ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ได้ซักตัว  แถมพวกมันมีกันตั้งหลายคน ตัวยังกะควายกันทั้งนั้น  ถ้ากูสู้กูก็โง่เต็มกลืนแล้วล่ะ! -_-"

     

     

    "ก็จริงของมึงอ่ะนะ ...เฮ้ออ  ซวยจริงๆเพื่อนกู"

     

     

    ไอ้ไซน์ถอนหายใจยาว   ผมเองก็พ่นลมหายใจตามมันไปอีกครั้ง    หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก  ผมกลับไปสนใจแก้วคลิสตัลตามเดิม  ส่วนไอ้ไซน์ไม่นานก็มีคนเรียกให้มันเป็นทำงานต่อ หลังจากที่อู้มาเม้าธ์อยู่นานพอควร

     

     

     

     

     

     

    เอาล่ะ! คราวนี้ก็เหลือผมคนเดียวแล้วใช่มั้ย  เรามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกันเถอะ! ...ผมเบต้า  สถานะภาพโสด  ว่างงาน  ไร้บ้าน  และฐานะค่อนข้างยากจน -_-

     

     

    ข้อดี...ไม่มี

    ข้อเสีย...เยอะจนไม่อยากพูด

     

     

    โอเค  รู้จักกันลึกซึ้งแล้วใช่มั้ย :) งั้นรักกันไว้นะ เพราะเราคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน

     

     

     

     

    ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายก่อนจะไถหน้าลงไปนอนแนบกับเคาท์เตอร์บาร์  ที่นี่เป็นที่ทำงานของไซน์เพื่อนสนิทผมครับ  เธอทำงานหลายๆอย่างอยู่ที่ผับใต้ดินแห่งนี้  ทำหลายอย่างจริงๆครับ  ทั้งงานเสิร์ฟ  ทั้งเต้น  ทั้งชงเหล้า  ทั้งล้างจาน  แถมบ้างทีก็ยังต้องเข้าครัวทำกับแกล้มอีกด้วย... เหอะ ผู้จัดการที่นี่มันช่างเขี้ยวเหลือหลาย -_-

     

     

    ผมมาที่นี่ไม่บ่อยหรอกครับ  โดยเฉพาะช่วงหลังๆมานี้ไม่ค่อยได้มาเลย  นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนเลยก็ว่าได้  แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ที่นี่ก็ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมซักเท่าไหร่ ...แต่แปลกอยู่อย่าง  วันนี้โต๊ะเต็มทุกตัว คนแน่นผิดปกติ

     

     

     

    "เอาล่ะค่ะ  ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะคะ  ตอนนี้หนุ่มๆของเรามากันครบแล้วล่ะค่ะ!!!" ผู้จัดการร้านที่ผมพอจะคุ้นหน้าจับไมค์พูดเสียงหวานอยู่กลางเวที  ผมมองดูเธอพูดทั้งๆที่หน้ายังแนบอยู่กับบาร์

     

     

    “กรี๊ดดดดดด!!” พวกสาวๆกรีดร้องกันระงม  ผมเดาได้ว่าคงเป็นเพราะวงดนตรีที่จ้างมาเล่นแน่เลย  แต่จะเป็นวงอะไรก็ช่างเถอะ  ใครจะไปสนกันเล่า

     

     

    ผมค่อยๆหลับตาลง  เคาท์เตอร์บาร์หินอ่อนที่เย็นเจี๊ยบแทรกความเย็นมาที่แก้ซีกซ้ายของผมจนชาไปหมด

     

     

    “พบกับจาร์กัวได้เลยค่ะ!!!

     

     

    สิ้นเสียงนั้น  สาวๆก็พร้อมใจกันกรี๊ดสู้ตายถวายหัว  เสียงของพวกเธอดังหมื่นแปดเดซิเบล  กลบทุกเสียงไปหมด  แม้แต่อินโทรกลองชุดของวงดนตรีนั่นผมก็ไม่ได้ยิน  ผ่านไปนานพอดูกว่าพวกเธอจะสงบกันได้  ตอนนั้นเองที่นักร้องนำเริ่มปริปากร้องออกมา

     

     

     

    Under a lover's sky
    I'm gonna be with you
    And no one's gonna be around
    If you think that you won't fall

     

     

     

     

    เพลงนี้เป็นเพลงที่เก่ามากๆแล้ว และต้นฉบับเป็นเสียงร้องของผู้หญิง ...แต่เสียงที่ผมได้ยินอยู่ตอนนี้เป็นเสียงแหบห้าวชวนหลงใหลของผู้ชาย  เขาร้องออกมาในท่วงทำนองร็อค  ดนตรีหนักแน่นฉีกจากต้นฉบับ

     

     

    แต่สิงที่เหมือนกัน...นั่นคือเสน่ห์ที่ตราตรึงคนดู

     

     

     

    You can try to resist
    Try to hide from my kiss
    But you know, but you know
    That  you, can't fight the moonlight
    Deep in the dark you'll surrender your heart

     


    But you know, but you know
    That you, can't fight the moonlight,
    No, you can't fight it
    It's gonna get to you'r heart

     

     

     

     

    ผมไม่เก่งอังกฤษหรอก  แต่ป้าผมชอบเพลงนี้ เธอเปิดมันทุกวันในตอนเช้าก่อนผมจะไปโรงเรียน  ป้าบอกว่ามันหมายถึงการต่อสู้ภายใต้แสงจันทร์  แสงจันทร์จะทำให้ความต้านทานของเราต่ำลง  และสุดท้ายเราจะเสียหัวใจของเราไป ...ให้กันคนที่เขาจูบเราใต้แสงจันทร์  เขาขโมยหัวใจเราไป  ด้วยอำนาจของแสงจันทร์

     

     

    เพราะเพลงใต้แสงจันทร์นี้...ความต้านทานของผมจึงต่ำลง

     

     

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา   มันคงเป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ดวงตาของผมได้สบกับดวงตาคมยิ่งกว่าปลายมีดของนักร้องนำ  เขาจุดยิ้มที่มุมปาก  พร้อมเนื้อเพลงท่อนสุดท้ายก่อนจบเพลง

     

     

     

    But  you know, but you know
    That you, can't fight the moonlight,

     

    แต่คุณก็รู้ ...คุณก็รู้ว่า...

    คุณสู้แสงจันทร์ไปไม่ได้หรอก

     

     

     

     

    หัวใจของผมเหมือนหยุดเต้น เมื่อถูกอำนาจดึงดูดจากดวงตาคู่นั้น

    ก่อนที่มันจะกลับมาเต้นอย่างบ้าระห่ำ เมื่อเขาคนนั้นกระพริบตาและมือกลองตีเป็นจังหวะสุดท้ายก่อนที่เพลงจะสิ้นสุด

    ดวงตาคู่นั้นของเขา...พระเจ้า!! เขาคือฮีโร่ของผม! เขาคือคนที่ช่วยผมออกมาจากไอ้โชกุน!

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เป็นไง อึ้งไปเลยล่ะสิ! ไซน์เท้าคางบนเคาร์เตอร์บาร์ฝั่งตรงข้ามกับผม เมื่อวงจาร์กัวปิดคอนเสิร์ตเล็กๆไปแล้ว

     

     

    ผมพยักหน้าเห็นด้วย  พวกเขาเจ๋งจริงๆ  มีเสน่ห์และเฟอร์ฟอร์มดีเยี่ยม ...น่านับถือมาก!

     

     

    “ยัยป้าสีดาทึนทึกจ้างมาเมื่อสามเดือนก่อน  สาวๆติดกันน่าดู  วันศุกร์ทีไรคนแน่นทู้กกกที”  ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง  ยัยป้าสีดาทึนทึก  ของไซน์ก็คือผู้จัดการร้านนั่นแหละ

     

     

    “เสียงร้องดียังกะมืออาชีพ  น่าจะไปเป็นนักร้องจริงๆมากกว่ามาร้องในผับใต้ดินอย่างงี้” ผมพูดตามที่คิด

     

     

    ไซน์เอามือป้องปากแล้วชะโงกหน้ามากระซิบข้างหูผม  “นี่ๆ มีข่าวลือว่าวงพวกเขาถูกทาบทามจากค่ายเพลงตั้งหลายที่”

     

     

    “อ้าว...”

     

     

    “แต่เพราะว่าพ่อของไคโรนักร้องนำเป็นนักการเมืองชื่อดัง พ่อเขากีดกันเต็มที่ สงสัยคงอยากให้เล่นการเมืองมากกว่าเป็นนักร้องมั้ง  แถมยังเป็นนักร้องแนวดาร์กๆอีก พ่อคงนอยด์น่าดู”

     

     

    ผมกลอกตามองผนังผับอย่างเบื่อหน่าย  “จริงดิ  แย่ชะมัด  แล้วเขาลูกใครล่ะ”

     

     

    “ท่าน สส.พงษ์ภิภากไง”

     

     

    “กูนึกว่าเขามีลูกสาวคนเดียวซะอีก”  คงคิดอย่างนั้นจริงๆนะ เวลาเปิดทีวีที่ไรเห็นแต่ควงลูกสาวออกงาน  ไม่เห็นมีฮีโร่ของผมเลย

     

     

    “ลูกสาวคงเป็นความหวังเดียวล่ะมั้ง  เห็นว่าใช้ลูกสาวเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย”

     

     

    “ให้ทำอะไร?”

     

     

    “ก็ให้แต่งงานกับลูก สส.อีกคนไง  ลูกท่านพูสิน  สส.อีกพรรคนึงอ่ะ”

     

     

    ผมคิดตาม ...แต่งงานกับลูก สส.พูสิน   พัฒนาไพโรจน์

     

     

    เดี๋ยวนะ!! นามสกุลพัฒนาไพโรจน์มันคือนามสกุลของอีวานคนที่ช่วยผมขึ้นมาจากแม่น้ำที่เวนิสนี่นา!!!

     

     

    พระเจ้า!!  ตลกน่า...

     

     

    ถ้าอย่างงั้นผู้หญิงที่เป็นภรรยาอีวานก็ต้องเป็นพี่สาวของฮีโร่คนแรกของผมน่ะสิ!

     

     

    แล้วผมจะไปทำให้พี่สาวของฮีโร่คนแรกเสียใจได้ยังไงกัน!  ผมจะทำให้เธอเซ็นต์ใบหย่ากับอีวานลงได้ยังไง!!!

     

     

     

     

     

     

    เมื่อความคิดน่าปวดหัวนั่นวนเวียนไม่ยอมไปไหน  ผมเลยดื่มจนเมา  บ้า...นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ!

     

     

    ผมคิดพาลไปถึงไอ้เลวโชกุน  เรื่องมันยุ่งเหยิงอย่างนี้ก็เพราะคนเลวอย่างมึงคนเดียว  ...เพราะมึงคนเดียวเลย!

     

     

     

     

    คืนนั้นผมจึงตัดสินใจไปที่บ้านพักของโชกุนด้วยสภาพไม่สมประกอบเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

     

     

    ก๊อกๆๆๆ  ผมรัวกำปั้นทุบประตูบ้านเสียงดังสนั่น  ซักพักผู้ชายแก่ๆคนนึงก็เปิดประตูออกมา

     

     

    “ไอ้บ้าโชกุน!! ม่ายเจอกันเดี๋ยวเดียวนายแก่จนหัวหงอกหมดแล้วเรอะ -O-

     

     

    “พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย  ฉันแก่คราวพ่อเธอแล้วนะ พูดอะไรเคารพกันบ้างซิ!

     

     

    “อ้าววว  นายไม่ใช่โชกุนหรอกหรอออ  แล้วนายมาอยู่บ้านนี่ได้งายย”

     

     

    “เจ้าของบ้านขายต่อให้ฉันน่ะสิ  อะไรของเธอ  เด็กสมัยนี่เมาเป็นหมาแย่ชะมัด!

     

     

    “อารายกัน! แล้วไอ้บ้านั่นมันย้ายไปอยู่ไหน!

     

     

    ผมคาดคั้นลุงแก่จนได้ที่อยู่ใหม่ของโชกุนมาในที่สุด   อย่าคิดว่าจะหนีกูพ้นเลยไอ้ชั่วโชกุน!

     

     

     

     

     

    ผมโบกแท็กซี่ก่อนจะให้เขาพามาส่งยังที่อยู่ใหม่ของโชกุน  มันเป็นห้องแถวที่ใหญ่พอสมควร   พอเช็คหมายเลขห้องว่าถูกชัวร์แน่แล้วผมก็ระดมหมัดทุบประตูทันที

     

     

    ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

     

     

    ผมหลบไปอยู่หลังบานพับประตู  ซักพักไอ้โชกุนก็เปิดประตูออกมา  มันชะโงกหน้าซ้ายขวาเพื่อหาตัวคนเปิด  แต่ไม่เห็นผมเพราะผมอยู่หลังประตูนั่น  มันทำเสียงจิ๊จ๊ะหงุดหงิดก่อนจะปิดประตู   จังหวะนั้นเองที่ผมรีบดึงลูกบิดประตูไว้

     

     

    “ว่าไงล่ะไอ้สารเลว!!!  ผมตะโกนพลางพยายามสอดมือเข้าไปข้างใน  ไอ้โชกุนดูเหมือนจะตกใจมาก  มันปิดประตูหนีบมือผมทันที

     

     

    “โอ๊ยย!  ผมครางออกมาอย่างเจ็บปวด  มือทั้งสองข้างของผมถูกบีบจนเจ็บและห้อเลือด

     

     

    “กลับไปซะ!!

     

     

    “ไม่!  เปิดประตูซะ มันเจ็บนะเว้ย!!

     

     

    “เจ็บก็กลับไปซะสิ!!

     

     

    คิดว่าจะยอมง่ายๆรึไง!  ผมปล่อยให้ประตูหนีบมืออยู่อย่างนั้น  มันเจ็บราวกับว่ามือจะขาดออกมา ...ซักพักก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของโชกุน  หมอนั่นยอมแพ้และเปิดประตูให้ผมเข้าไป

     

     

     

    “นายมีอะไรจะพูดมั้ย?”  ผมถามหลังจากเข้าไปในห้องของโชกุนได้แล้ว  มันมองผมด้วยสายตาสมเพชเวทนา

     

     

    “กูถามว่ามีอะไรจะพูด จะแก้ตัวมั้ย!!  อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้นนะ!  ผมตะคอกใส่หน้าไอ้บ้านั่น  มีสิทธิอะไรมามองผมด้วยสายตาสงสาร  ผมไม่ได้น่าสงสาร!

     

     

    “ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว  นายไปดื่มมาใช่มั้ย?  ไม่รู้รึไงว่าเวลาเมาไม่ควรมาเคาะห้องคนอื่นแล้วมาอาละวาดแบบนี้”  หมอนั่นพูดด้วยเสียงห่วงใย  ผมใช้มือที่เจ็บอยู่ผลักเขาจนล้ม

     

     

    “ไอ้สารเลว!!  ผมจ้องไปในดวงตาของโชกุน  มันสงบมาก  มันนิ่งเหมือนแม่น้ำที่ไหลลึก  “มึงไม่เคยรักกูเลย”

     

     

    “ก็เคยรัก ...แต่ฉันรักผู้หญิงของฉันมากกว่า”

     

     

    ผมกำหมัดแน่น  ถึงแม้ว่ามือจะเจ็บ  แต่ผมจะต่อยปากมัน

     

     

    ผลั่ก!

     

     

    ผมต่อยโชกุนที่ล้มไปแล้วหนึ่งหมัด ก่อนจะขึ้นไปคร่อมบนตัวมันแล้วใส่ไม่ยั้ง ทั้งลูกตบ  ลูกหมัด  โชกุนไม่ตอบโต้อะไรเลย  เอาแต่มองผมด้วยสายตาสงสาร ...เหมือนว่าผมมันเป็นแค่ไอ้ลูกหมาน่าสงสารตัวหนึ่งเท่านั้น!

     

     

    ผลั่ก!

     

    ผลั๊วะ!

     

     

    “แฮ่กๆๆ คิดได้ยังไง เอากูไปขายให้ฝรั่ง! มึงมันเลว”  ผมพร่ำความอัดอั้นในใจออกไปพร้อมเสียงหอบ  ผมต่อยจนเหนื่อยไปหมด  ต่อยจนใบหน้าของโชกุนเต็มไปด้วยเลือด ...แต่มันไม่ยอมสวนกลับมาซักหมัด

     

     

    ผมต่อยจนหมดแรงที่จะต่อยได้อีก  แต่ผมยังคงนั่งหอบอยู่บนตัวมัน  มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลของคนรักเก่าอย่างสะใจ  ก่อนที่สายตาผมจะเหลือบไปเห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงบนโต๊ะ  มันคงเป็นกล่องใส่แหวน

     

     

    ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่แหวนนั่น

     

     

    “อย่าจับมัน...”  โชกุนพูดออกมาด้วยความยากลำบาก  คงเพราะปากแตกยับ  ผมหัวเราะในลำคอ

     

     

    “หึ  แหวนนี่หรอค่าตัวกูน่ะ”  ผมไม่สนใจคำทัดทานของโชกุน และหยิบกล่องใส่แหวนขึ้นมาเปิด  ในนั้นเป็นแหวนทับทิมสีแดงเม็ดโตล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กๆอีกเป็นสิบ  ความแวววาวของมันเล่นเอาผมตาพร่าไปเลย  ช่างเป็นแหวนที่หรูหราเสียเหลือเกิน

     

     

    “ห้ามแตะต้องมัน...” โชกุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  แต่ผมไม่สน   ความเชื่อใจผมถูกทำลายย่อยยับก็เพราะเขา  นับจากนี้ผมจะไม่เชื่อใจอะไรกับคำพูดพล่อยๆของผู้ชายคนนี้อีก   ผมหยิบแหวนนั่นออกมาจากกล่อง

     

     

    “สวยดี  เท่าไหร่ล่ะ!” ผมตะคอกถาม  โชกุนมองผมด้วยแววตาเปลี่ยนไปก่อนที่จะทรงตัวลุกขึ้นยืน

     

     

    “ฉันบอกว่าอย่าแตะต้องมันไง!!

     

     

    เพี๊ยะ!!

     

     

    โชกุนใช้หลังมือตบหน้าของผมอย่างแรง  จนผมเสียการทรงตัวล้มไปกับพื้น  โชกุนแย่งแหวนออกไปจากมือผมก่อนจะใช้ชายเสื้อเช็ดแหวนราวกับผมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ   ผมจ้องมันอย่างโกรธแค้น  โชกุนแสยะยิ้มให้ผมก่อนจะใช้เท้าถีบมายังกลางอก

     

     

    “ฉันเตือนนายแล้วใช่มั้ยว่าอย่าแตะต้องแหวนของฉัน!!  โชกุนใช้เท้าเหยียบที่หัวของผม ก่อนจะขยี้อย่างไม่ไยดี    ยิ่งผมพยายามลุกเท่าไหร่  เท้าของมันก็ยิ่งดันให้ผมจมดินไปมากเท่านั้น

     

     

    “หึ  ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นผู้หญิงที่ดวงตกที่สุดในโลก ที่ดันมาหลงกลคนชาติชั่วอย่างมึง!!

     

     

    ผลั่ก!

     

     

    โชกุนเตะแก้มผมด้วยเท้า  ผมได้กลิ่นคาวเลือดในปาก  โชกุนถ่มน้ำลายใส่หน้าผมอย่างเลือดเย็น

     

     

    “รู้มั้ยทำไมฉันถึงเอาแต่เตะนาย ...ก็เพราะว่านายมันสกปรกเกินกว่าที่ฉันจะเอามือไปจับน่ะสิ!!

     

     

    เหมือนคำพูดนั่นเป็นมีด  มันกรีดมาที่ใจของผม ....

     

     

    “เพราะนายฉันถึงต้องขายบ้าน  เพราะนายหนีไปฉันถึงต้องซื้อแหวนวงนี้แทนที่จะเป็นบลูไดมอน! เพราะนายคนเดียวฉันถึงต้องจ่ายค่าเสียหายให้ไอ้ฝรั่งพวกนั้น!  นายมันตัวซวย  เบต้านายมันตัวซวย!!  พูดพลางเตะท้องของผมราวกับคนบ้าคลั่ง  ผมหลับตารอรับแข้งของโชกุน  เปลือกตาบวมตุ่ยใกล้ปิดเต็มทน ...ให้ตาย  ผมสู้แรงมันไม่ได้เลย  ทำไม่ได้แม้แต่จะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ

     

     

    ไม่นานหลังจากอัดผมจนหนำใจ โชกุนก็ลากคอเสื้อผมโยนออกไปนอกห้อง ก่อนจะปิดประตูดังปัง!  ผมคลานเหมือนหมาเพื่อไปโบกแท็กซี่ ...ทำไมย่านนี้ถึงได้มีผู้คนเยอะไปหมด  อย่ามองนะ!  ห้ามใครก็แล้วแต่มองผมด้วยสายตาสงสารอย่างนั้น!!

     

     

    แท็กซี่คันนึงจอดรับผม

     

     

    “ไปโรงพยาบาลใช่มั้ยครับ?” คนขับหันมาถาม 

     

     

    “ไม่ใช่...” ผมบอกทางที่อยู่ของผมให้คนขับแทน   จากนั้นคนขับก็เอาแต่เหลือบมองผมผ่านกระจกมองหลังตลอดเวลา  คงกลัวว่าผมจะมาตายในรถของเขาล่ะมั้ง

     

     

     

     

    ระหว่างที่รถกำลังแล่นไป  ผมมองไปข้างทางอย่างเหม่อลอย

     

     

    รู้มั้ยโชกุน ...ฉันเกลียดนายเหมือนเกลียดเต้าเจี้ยวที่อยู่ในราดหน้า

    เต้าเจี้ยวที่บอกคนขายไปไม่รู้ตั้งกี่รอบต่อกี่รอบว่าไม่ต้องใส่มันลงมา ...แต่คนขายก็ยังทำเป็นไม่ได้ยินและใส่มันลงมาอยู่ดี

     

     

     

    ฉันเกลียดนายเหมือนเกลียดเต้าเจี้ยว...

    และเกลียดหนักกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว  เมื่อฉันเผลอตักเต้าเจี้ยวที่แสนเกลียดเข้าปาก

    และพบว่ามันอร่อยดี

     

     

     

    ผมเกลียดความรู้สึกนี้ ...เกลียดความรู้สึกที่เรายังคงรักในสิ่งที่เราเกลียด

    ผมเกลียดความรู้สึกนี้ ....เกลียดความรู้สึกที่ว่า ผมยังคงรักโชกุนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

     

     

     


















    100%



    นานมากที่ลงไว้แค่อินโทรตอนเดียว 555+ ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์มาลงตอนที่หนึ่งแล้ว~

    ต่อไปนี้จะลงต่อเนื่องแล้วจ้า

    ที่ดองไว้เพราะอยากปั่นเรื่องเก่าให้จบ  ไม่อยากแต่งไปสองเรื่องพร้อมๆกัน  อยากให้จบไปทีละเรื่อง~



    จะว่าไปเรื่องนี้ดาร์กน่าดู -_- 

    ไม่เป็นไร ค่อยหาเรื่องตลกๆแทรกเอาแล้วกัน  5555

    แล้วเจอกันค่ะ




    see  U


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×