ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter I: The Oak Tree 02

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 79
      0
      4 มี.ค. 53


    ฤดูร้อนเมื่อ 15 ปีก่อน...

     

                    รุณป่วยเป็นโรคลูคีเมียมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย เธอจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอด จนอายุได้ 5 ขวบ

                    แม้ว่าพ่อกับแม่จะมาเยี่ยมเธอเป็นประจำ แต่ก็มีบางครั้งที่ท่านทั้งสองติดงานหายไปเป็นอาทิตย์ เธอจึงมีผมเพียงคนเดียวคอยอยู่เป็นเพื่อน

                    ผมมักจะเอาหนังสือนิทาน และหนังสือที่มีภาพประกอบต่างๆ มาอ่านให้เธอฟัง สิ่งที่รุณชอบที่สุดคือหนังสือรวมภาพดอกไม้

                    “พี่ชล ดอกกล้วยไม้นี่สวยจัง”

                    หน้าที่รุณเปิดอยู่นั้นเป็นภาพดอกกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ใบสีชมพูอมม่วง ลำลูกกล้วยตรงกลางมีกลีบเล็กๆ สีเหลืองสดติดกันสองใบกางแผ่อยู่  รูปร่างเหมือน ผีเสื้อกำลังสยายปีกตอมเกสรดอกไม้ ใต้ภาพเขียนว่า “ดอกกล้วยไม้พันธุ์ทับทิมสยาม”

                    “ไม่รู้ที่ร้านดอกไม้จะมีหรือเปล่า ไว้พี่จะลองไปหาให้นะ”

                    “จริงเหรอ สัญญานะ”

                    รอยยิ้มของเธอคือความสุขของผม แม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่รุณก็ยังมีกำลังใจเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ

                    ผมมักจะหาซื้อดอกไม้ที่เธอชอบมาเยี่ยม จากนั้นจึงนำกลับไปปลูกที่บ้าน ทำเป็นสวนดอกไม้ขนาดย่อมเพื่อรอต้อนรับเธอกลับมาอยู่ตลอดเวลา

                    เธอพูดอยู่เสมอว่าอยากออกไปชื่นชมโลกภายนอก  ผมเข้าใจดี เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้รู้จักโลกภายนอกผ่านภาพและตัวหนังสือเท่านั้น

                    การแพทย์ในสมัยนั้นมีวิธีการรักษาโรคลูคีเมียด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว หลังจากที่หมอนอร์แมนได้บรรยายถึงวิธีรักษาโดยละเอียดแล้ว พ่อกับแม่ก็ถามความเห็นของรุณก่อนที่จะตัดสินใจให้เธอรับการรักษา

                    ก่อนที่จะรับการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้น คนไข้จำเป็นต้องรับเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งแต่ละรายจะมีผลข้างเคียงรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ในกรณีของรุณนั้น เธอมีอาการเบื่ออาหาร และเซื่องซึมลง ผมเส้นเล็กๆ สีน้ำตาลที่เคยยาวสลวยอยู่บนศีรษะของเธอก็ค่อยๆ ร่วงจนหมดหัว แม้ว่ากำลังใจของเธอจะดีเพียงใด แต่ดูเหมือนร่างกายของเธอจะรับไม่ไหว หมอนอร์แมนจึงตัดสินใจพักการรักษาไว้ก่อนจนกว่าร่างกายของเธอจะแข็งแรงกว่า นี้
    ... ... ...

     

                    “พี่คะ ดูสิ ดอกไม้นี่ สวยดีนะ”

                    รุณยังพยายามทำตัวสดใสเช่นเดิม แต่ใจของผมก็สะท้านทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ แม้จะพักการักษามาได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแข็งแรงขึ้นเสียที

                    “เอเดิลไวสส์ เป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเทือกเขาแอลป์ มีความเชื่อแต่โบราณว่ามีพลังในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย ในยุคกลางจึงมีหญิงสาวนำดอกไม้ชนิดนี้มามอบให้แก่ชายหนุ่มก่อนออกรบ เพื่อคุ้มครองเขาจากภยันตราย”

                    ผมอ่านคำบรรยายใต้ภาพ ดอกเอเดิลไวสส์เป็นดอกไม้ที่มีกลีบสีขาว มีช่อเกสรเป็นพุ่มเล็กๆ สีเหลืองอยู่กลางดอกประมาณสี่ถึงเจ็ดช่อ เป็นดอกไม้เล็กๆ ที่ดูบอบบางทั้งที่ขึ้นอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเบาบาง

                    “รุณรู้ไหม พี่ได้ยินมาว่า บนภูเขาหลังโรงพยาบาลนี้ก็มีดอกเอเดิลไวสส์ด้วย ไว้พี่จะไปเก็บมาให้นะ รุณจะได้กลับมาแข็งแรงและหายจากโรคร้ายไวๆ ไง”

                    ผมหวังให้เธอมีกำลังใจเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

                    “ไม่ได้นะ... พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าในสภาพแวดล้อมที่เลวร้านเช่นนั้น เขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะเติบโตขึ้นมาได้งดงามขนาดนี้ แล้วอย่างนี้รุณจะยอมให้พี่ไปทำลายเขาเพื่อรุณได้ยังไง”

                    “ขอโทษที พี่ไม่ทันคิดจริงๆ” เจ้าหญิงตัวน้อยๆ ดุผม

                    “จะว่าไปมะรืนนี้ก็จะถึงวันเกิดรุณแล้ว เธออยากให้พี่ทำอะไรให้ไหม”

                    ที่จริงผมได้เตรียมของขวัญไว้ให้แล้ว แต่ก็อยากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เธอเบิกบานยิ่งขึ้น

                    “จริงหรือ ขออะไรก็ได้ใช่ไหม” ได้ผล แววตารุณเป็นประกายทันที

                    “จริงสิ ไม่ว่ารุณขออะไรพี่ก็จะทำให้ทั้งนั้น”

                    “สัญญาแล้วนะ”

                    คำขอของรุณนั้นเหนือความคาดหมายของผม เธอขอให้ผมพาเธอไปดูดอกเอเดิลไวสส์ในยามพระอาทิตย์ขึ้น แน่นอนผมปฏิเสธเธอทันที

                    ทีแรกผมคิดว่าเธอจะร้องห่มร้องไห้ แล้วร้องขอให้ผมพาไปให้ได้ท่าเดียว แต่ก็ผิดคาด เพราะเธอเพียงแต่นั่งนิ่งๆ แล้วสบตากับผมตรงๆ

                    “รุณรู้ว่าพี่ชลลำบากใจ แต่ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะคะ” เธอประนมมือไหว้ผมด้วยกิริยาอ่อนช้อย น่าเอ็นดู

                    ผมหวั่นไหว ปรกติรุณไม่ใช่คนงอแงอยู่แล้ว แต่ท่าทีที่ดูสงบนิ่งของเธอ ทำให้หัวใจของผม ราวกับว่าเธอทำใจยอมรับความตายได้แล้ว...

                    อย่างไรก็ดี ผมไม่อาจฝืนความต้องการของเธอจึงยอมรับปากในที่สุด

                    ช่วงนั้นพ่อกับแม่ยังติดงานกลับมาไม่ได้พอดี วันรุ่งขึ้นหลังจากที่พยาบาลเข้ามาตรวจอาการรอบดึกเรียบร้อย ผมจึงแอบพาเธออกจากโรงพยาบาล ทั้งที่หมอนอร์แมนได้เตือนไว้ว่า ช่วงที่อาการยังไม่ดีขึ้น ห้ามพาเธอออกไปข้างนอกเป็นอันขาด
    ... ... ...



    12 ตุลาคม 2004

     

                    ข้างในหอสมุดกลางของวิทยาลัยสแกนเดรีย มีทางเข้าสู่ลานกว้างอยู่ แต่แทนที่จะบอกว่าลานกว้างควรจะบอกว่าเป็น “ป่า” ขนาดย่อมจะเหมาะกว่า

                    “ป่า” ที่ว่านี้มีต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นเรียงรายกันราวกับเป็นธรรมชาติที่ยังไม่ถูกมนุษย์บุกรุก แม้จะอยู่ด้านในของหอสมุดกลาง แต่กลับมีลมพัดเย็นสดชื่น

                    ครั้งแรกที่ผมเข้ามาใน “ป่า” นี้ ผมสัมผัสได้ถึงอำนาจบางอย่างที่ช่วยเติมพลังกายและใจให้เปี่ยมล้นขึ้นมา นับแต่นั้นมา ที่นี่จึงเป็นสถานที่อ่านหนังสืออีกแห่งของผม ถัดจากเนินหญ้าที่มีต้นไวท์โอ๊ค

                    ข้างในนี้มีโต๊ะกลมหินกับเก้าอี้เพียงสองตัว และผมก็ไม่เคยเจอใครในนี้เลย แต่น่าแปลกที่วันนี้กลับมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว

                    “สวัสดี” เขาทักผมก่อน “มานั่งด้วยกันสิ”

                    ทีแรกผมคิดจะเลี่ยงไปอ่านหนังสือบนเนินหญ้าที่มีต้นไวท์โอ๊ แต่ท่าทีที่เป็นมิตรและดูสบายๆ ของเขาทำให้ผมไม่รู้สึกขัดข้องอะไรที่จะเข้าไปนั่งด้วย

                    เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมคาย ไว้ผมรองทรงสีน้ำตาลเข้ม

                    “ฉัน วิกาโน่ คณะเวทย์มนต์ อยู่ปี 4” เขายื่นมือให้ผม

                    “ฉัน ชล คณะเวทย์มนต์ ปี 4 เหมือนกัน” ผมจับมือกับวิกาโน่

                    “อยู่ปีเดียวกันนี่เอง ถึงว่ารู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน” เขาพูดเช่นนั้น แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน

                    “คณะเวทย์มนต์ของวิทยาลัยสแกนเดรียใหญ่โตมาก  ไม่แปลกหรอกที่นายจะจำฉันไม่ได้ เผอิญฉันชอบสังเกตคนนะ เลยรู้สึกคุ้นหน้าคนอื่นไปทั่ว”

                    เขาพูดเหมือนอ่านใจผมได้

                    ระหว่างที่คุยกันอยู่นี้ ผมก็รู้สึกคุ้นเคยกับวิกาโน่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ดูง่ายๆ และเป็นกันเองของเขาก็ได้

                    สายลมพัดมาวูบหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แดดกำลังดีไม่ร้อนเท่าไร ผมเงยหน้าขึ้น มีแสงส่องผ่านหมู่แมกไม้เกิดเป็นประกายระยิบระยับลานตา เหมือนมีดาวเกลื่อนฟ้า บรรยากาศที่นี่ช่างดีจริงๆ

                    “นายนี่เหมือน ต้นไม้ เลยนะ พอโดนแสงก็สดชื่นขึ้นมาทันที” น้ำเสียงของเขาดูจริงใจมากกว่าล้อเล่น

                    “แปลกดีนะ ที่สถานที่ดีๆ อย่างนี้ ไม่ค่อยมีคนมานั่ง” ผมปรารภ

                    “นายอาจจะคิดว่าแปลก... แต่ทุกสิ่งย่อมเกิดจากเหตุปัจจัย” เขาว่า

                    “เขาลือกันว่า “ป่า” นี้มีพลังเวทย์มนต์มหาศาลซึ่งถูกดึงมาใช้เพื่อปกปิดอาณาจักรสแกนเดรียจาก “โลกภายนอก” มาเป็นเวลานับพันปี

                    คนทั่วไปที่ไม่มีอำนาจเวทย์มนต์แกร่งกล้าจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีสถานที่ที่ใหญ่โต ขนาดนี้ซ่อนอยู่ในหอสมุดกลาง นายเองก็รู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ ว่าข้างในนี้มีพลังงานที่ศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านอยู่”

                    มานึกดูอีกที ครั้งแรกที่เข้ามาในหอสมุดกลางเป็น ผมเพียงแต่สังเกตเห็นประตูบานหนึ่งซึ่งหน้าตาไม่เหมือนประตูบานอื่นๆ จึงผลักเข้าไป แล้วก็ได้เจอ “ป่า” แห่งนี้ก็เท่านั้นเอง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไว้ด้วย

                    “ดูท่านายคงมีเรื่องอยากจะถามฉันเกี่ยวกับ “ป่า” แห่งนี้อีกเยอะเลยสินะ แต่ต้องขอโทษด้วย ฉันคงบอกนายมากไปกว่านี้ไม่ได้”

                    เขาพูดดักไว้เรียบร้อย

                    “ทำไมล่ะ” หรือว่าตัวจริงของวิกาโน่คือจอมเวทย์ผู้พิทักษ์ “ป่า” แห่งนี้...

                    “เพราะฉันเองก็ฟังเขามาแค่นี้นะสิ ฮ่าๆ” พูดเสร็จก็หัวเราะ เป็นอันจบข่าว

                    เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมเขาถึงพูดออกมาได้หน้าตาเฉยนะ หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมาล้อเล่นก็ไม่รู้...

                    ขณะนั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นสมุดกับปากกาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

                    “นี่นายทำอะไรอยู่เหรอ” ผมว่า

                    “ฮะๆ งานอดิเรกนะ” เขาว่า

                    “เล่า ไปก็น่าอายนะ ฉันพอจะใช้เวทย์มนต์ได้บ้าง ทางบ้านก็เลยคะยั้นคะยอให้ฉันเข้าคณะเวทย์มนต์ แต่ใจจริงฉันอยากเป็นนักเขียนแบบ เฮมมิ่งเวย์ นะ เลยหัดเขียนนิยายอยู่ จะลองอ่านดูไหมล่ะ”

                    ไม่ใช่ชาวสแกนเดรียทุกคนที่จะใช้เวทย์มนต์ได้ ยิ่งเป็นคนที่มีความสามารถทางเวทมนต์โดดเด่นยิ่งมีไม่มาก จึงไม่แปลกที่จะมีคนอย่างวิกาโน่ซึ่งถูกทางบ้านขอให้เรียนคณะเวทย์มนต์ โดยไม่เต็มใจ

                    “เอาสิ”

                    ปรกติแล้วผมไม่ค่อยสนใจพวกฟิกชั่นเท่าไร เพราะผมไม่คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อการวิจัยเวทย์มนต์ซึ่งเป็นเป้าหมายในชีวิตของผม แต่ครั้งนี้ผมรับนิยายของวิกาโน่มาอ่านเพราะอยากจะรู้จักเขาให้มากขึ้น

                    พอลองอ่านดูก็ปรากฏว่า นิยายของเขาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว ประเภทที่พระเอกกับนางเอกเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เจอหน้ากันครั้งแรกก็ทะเลาะกันทันที หลังจากนั้นก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทีแรกผมก็อ่านเพลินๆ พลางนึกในใจว่า ไหนเฮมมิ่งเวย์ของนายวะ วิกาโน่ นี่มันนิยายรักเกาหลีแล้ว!!

                    แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มรู้สึกเอะใจ จากลักษณะนิสัยของพระเอกที่เป็นคนหัวรั้น มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ค่อยมีเพื่อน

                    ส่วนนางเอกเป็นแบบฉบับของ “เด็กดี” เคารพกฎระเบียบ เป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อนๆ พอพระเอกหนีเรียนหรือออกนอกลู่นอกทาง นางเอกก็ต้องคอยฉุดกลับมาทุกที

                    นั่นมันผมกับใจไม่ใช่หรือ...

                    เดวิด ฮูม นักปรัชญาสายประสบการณ์นิยม กล่าวไว้ว่า แม้ความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัสไม่สามารถเชื่อถือได้ 100% ก็จริง แต่ถ้าความรู้นั้นถูกทดสอบในโลกของประสาทสัมผัสแล้วมีความถูกต้องแม่นยำเกิน 90% ก็ถือว่าเป็นความรู้ที่น่าเชื่อถือ

                    ผมลองเปลี่ยนชื่อพระเอกนางเอกและสถานที่เสียใหม่ รวมถึงตัดรายละเอียดที่ไม่ใช่สาระสำคัญทิ้งไป ก็พบว่า 60% ของเหตุการณ์ในเรื่องนั้นคล้ายกับชีวิตจริงของผมกับใจอย่างไม่น่าเชื่อ

                    ฮูม ต้องการความถูกต้องแม่นยำมากกว่า 90% เพื่อ “พิสูจน์” ว่าความรู้ชุดหนึ่งน่าเชื่อถือ แต่สำหรับผมแค่นิยายมีความคล้ายคลึงกับชีวิตจริงเพียง 60% ก็เกินพอแล้วที่จะ “สงสัย” อะไรบางอย่าง

                    หรือว่าเจ้าวิกาโน่จะเป็นพวกสโตร์กเกอร์ (โรคจิตสะกดรอยตาม)...

                    อืม... การกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐานไม่ใช่วิสัยที่ดีของปัญญาชน ผมจึงลองอ่านต่อไป จนนิยายดำเนินมาถึงตอนที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อเช้า แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบรอยขีดเขียนในหน้าถัดไป แสดงว่านิยายเรื่องนี้มี “ตอนต่อ” ชีวิตจริงของผมกับใจด้วยเหรอ...

                    “เป็นยังไงบ้าง” เสียงของวิกาโน่ทำให้ผมสะดุ้ง

                    “ก็สนุกดีนะ” อยากจะบอกว่าเขียนออกมาได้ยังไง พระเอกห่วยๆ พรรค์นี้ แต่ก็กลืนลงคอไป

                    ผมส่งสมุดคืนให้เขา แต่ไม่วายแอบพลิกไปอ่านหน้าถัดไปเล็กน้อย

                    “ยังไม่มีชื่อเรื่องเหรอ” ผมไม่เห็นมีชื่อเรื่องเขียนไว้

                    “ยังเลย” เขาว่า แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง

                    “นายอย่าหาว่าฉันบ้านะ แต่เมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อนขณะที่ฉันกำลังคิดพล็อตนิยายอยู่นั้น จู่ๆ ฉันก็เริ่มฝันเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง แม้ฉันจะเห็นหน้าของพวกเขาไม่ชัด แต่ฉันพอจะจำได้ว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง หลังจากนั้นฉันก็ฝันเห็นพวกเขาอยู่เรื่อยๆ พวกเขาดำเนินชีวิตไปราวกับเป็นคนที่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้จริงๆ

                    ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจลองเขียนเรื่องของพวกเขาดู และเนื่องจากฉันยังไม่รู้ “ตอนจบ” ฉันจึงไม่รู้ว่า “บทสรุป” ของเรื่องนี้เป็นยังไง จึงไม่รู้จะตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรดี”

                    ใช่... นายมันบ้า นายต้องฟุ้งซ่านเพราะดูละครน้ำเน่ามากไปแน่ๆ!

                    ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่เผอิญว่าเรื่องดันมาตรงกับชีวิตจริงของผมกับใจนี่สิ เท่าที่พอจะนึกออก ก็อาจจะเกิดจากเวทย์มนต์ เป็นไปได้ว่าขณะที่วิกาโน่กำลังคิดพล็อตอยู่นั้น เผอิญมาอ่านความคิดของผมกับใจเข้าโดยไม่รู้ตัว

                    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไว้นิยายเรื่องนี้ดังเมื่อไร ค่อยไปเก็บค่าลิขสิทธิ์จากเจ้าวิกาโน่ก็แล้วกัน...

                    อย่างไรก็ดี การคาดเดาของผมอาจจะผิดก็ได้ ผมต้องขอดูหน่อยว่า “ตอนต่อ” ของนิยายไร้ชื่อที่ผมแอบอ่านมานั้น จะตรงกับชีวิตของผมกับใจที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยหรือเปล่า...
    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไป...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×