ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =~คลังความรู้~=

    ลำดับตอนที่ #43 : ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักใช้ผิดๆ!!(เรื่องยาว)~

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 544
      0
      9 พ.ค. 50

    ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักใช้ผิดๆ บางศัพท์ที่คุณไม่เคย Get ┈━═☆



                    ขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับผู้เขียนคอลัมน์นี้  ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลอันเป็นประโยชน์ ค่ะ ^^


                    ปัจจุบันภาษาอังกฤษถือได้ว่ามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของคนไทยในระดับหนึ่ง หรือจะพูดว่าบางกลุ่มก็ได้ หากท่านทำงานอยู่กับชาวต่างชาติ หรือมีเพื่อนชาวต่างชาติ มีเหตุจำเป็นตั้งมากมายที่เราจะต้องได้พูดคุย และถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะการได้พูดคุยกับใครสักคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนไทย เราย่อมได้แนวคิดใหม่ๆ จากการสนทนา คนไทยเป็นจำนวนมากเวลาเจอฝรั่งมักจะกลัวเวลาฝรั่งมาถามทางหรือเข้ามาทักถามโน่นถามนี่ จริงอยู่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาราชการของเรา แต่หากเราจะใช้ภาษาของเขาทั้งที่ เราก็ควรจะพูดให้ถูก ไม่ยากครับที่เราจะเรียน แต่ที่ทุกคนบอกว่ายาก เพราะเราไม่ตั้งใจเรียนแบบจริงๆจัง พอมีใครสักคนพูดให้เรามีกำลังใจขึ้นมา เราอาจจะขยันขึ้นมาเพียง 2 หรือ 3 วัน หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ คือ ขี้เกียจ แม้แต่ชาวต่างชาติเอง หากเขาจะใช้ภาษาไทย เขาก็ต้องใช้ภาษาไทยแบบไทยไม่ใช่ภาษาไทยแบบอังกฤษ ยกตัวอย่างมีฝรั่งบอกแม่ค้าส้มตำว่า อย่าเยอะพริกใส่ เพราะไม่ได้กิน จับใจความได้น่าจะหมายความว่า อย่าใส่พริกเยอะ เพราะกินไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกันครับ การเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่เราจะต้องตามก้นฝรั่ง ในโลกปัจจุบันสื่อต่างๆ ความรู้ต่างๆ ล้วนแล้วเป็นภาษาอังกฤษ การทำงานบางบริษัทต้องสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ทั้งที่อยู่เมืองไทยประชาชนคือคนไทย แต่ทำไมต้องใช้ภาษาอังกฤษ???

    ภาษาอังกฤษของผมก็แค่ระดับหางอึ่ง แต่ผมก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ใช้มันทุกวัน ผมแค่อยากแบ่งปันความรู้อันเล็กๆน้อยของผมให้กับคนที่อยากรู้บ้าง บางทีที่เราพูดๆกันอาจจะไม่ถูก ที่ยกมาให้ดูวันนี้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่หากมีเวลาในวันข้างหน้าผมจะขอนำเสนอในตอนต่อไปครับ ส่วนในสำหรับวันนี้ขอนำเสนอ :

    1. Where you go? (แวร์ ยู โก) คุณไปไหน? เป็นภาษาอังกฤษไทยที่เราได้ยินค่อนข้างบ่อย เวลาคนฝรั่งมายืนรอรถเมล์ หรือเวลามาถามทาง เราควรจะใช้คำว่า Where are you going? (แวร์ อาร์ ยู โกอิ้ง) เหมาะสมกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ หากต้องการจะถามฝรั่งว่าคุณจะไปไหน ให้ท่องขึ้นใจเลยว่า Where are you going? (ศัพท์นี้ผมได้ยินนานมากบนรถเมล์สาย 72 เมื่อปี 44 เป็นนักศึกษาบริเวณย่านเทเวศน์)

    2. It is more cold today. หรือ It is more warm today. วันนี้อากาศเย็นมากหนาวมาก หรือ วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก เวลาเราจะเปร่ยๆ บอกฝรั่งว่า วันนี้อากาศเป็นเช่นไร ลองเปลี่ยนจากประโยคข้างบนเป็นคำว่า It is colder today จะดีกว่านะครับ น่าจะใช้ได้ดีกับอากาศช่วงนี้

    3. I will telephone you later. ผมจะโทรหาคุณภายหลัง ลองใช้ประโยคนี้ดูครับ I will call you later. หรือ I will phone you later. (ได้ยินข้างตู้โทร.บังเอิญรออยู่ด้วย)

    4. I can to speak English ฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ หรือ I cannot to speak English ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ประโยคนี้คนไทยก็ใช้ผิดบ่อยครับ ส่วนมากหากเราจะพูด ควรจะพูดว่า I can speak English ผมหรือฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ปกติ หลังกริยาช่วย Helping verb คือ Can ไม่ค่อยนิยมเติม to
    *** อีกกรณีหนึ่งบางคนชอบใช้คำว่า I don't speak English ผมไม่พูดภาษาอังกฤษ แทนคำว่า I cannot speak English ฉันไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ความแตกต่างระหว่างสองคำว่า I cannot speak English คืออยากพูดแต่พูดไม่ได้ ส่วน I don't to speak English ฉันไม่พูดภาษาอังกฤษ คือพูดได้ แต่ไม่อยากพูด ต้องนำไปให้ถูกด้วยนะครับ

    5. My father and my mother want me to study. พ่อแม่ของฉันต้องการให้ฉันเรียนหนังสือ จะว่าไปแล้วประโยคนี้มันก็ไม่ได้ผิดร้ายแรงอะไรมากมาย แต่อาจจะเป็นเพราะใช้คำฟุ่มเฟือยเกินไปและใช้กาลไม่ถูก หากคิดว่าประโยคนี้ไม่เหมาะ ลองมาใช้ประโยคนี้ดูครับ My parents wanted me to study.

    6. I am thinking to change my job. ผมกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่ทำ ควรจะใช้ประโยคนี้เหมาะสมกว่าครับ I am thinking of changing my job.

    7. I am boring in the lessons. ผมหรือเดี๊ยนเบื่อวิชานี้ แต่ประโยคนี้แปลว่า ผมเป็นคนน่าเบื่อในวิชานี้ แต่หากเราจะบอกว่าผมเบื่อวิชานี้ หรือชั่วโมงนี้ ต้องพูดว่า I am bored in the lessons.

    8. He/ She has much money. เขา/ หล่อน มีเงินเยอะมาก ควรจะใช้ประโยคนี้ดีกว่าครับ He/ She has a lot of money. เขา / หล่อน มีเงินเยอะมาก

    9. I am not believing you. ฉันกำลังจะไม่เชื่อคุณ ลักษณะนี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นภาษาอังกฤษแบบไทย ควรจะใช้คำว่า I donft believe you ฉันไม่เชื่อคุณหรอก.

    10. Itfs often raining here ที่นี่ฝนมักตกบ่อยๆ ควรจะพูดว่า It often rains here. ดีกว่าครับ

    11. You speak a very good English คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ควรจะพูดว่า You speak very good English คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก

    12. I want go home ฉันอยากกลับบ้าน ควรจะพูดว่า I want to go home ดีกว่านะครับ

    13. ส่วนข้อนี้เวลาฟังฝรั่งต้องฟังให้ดีนะครับ เกี่ยวกับ How are you doing? สบายดีไหม เป็นไงบ้าง กับ What are you doing? กำลังทำอะไรอยู่หรือ อย่าจำสับสนนะครับ

    14. Please listen me. ได้โปรด ฟังผมหน่อย ควรจะพูดว่า Please listen to me. หรือจะพูดว่าอะไรก็ช่าง เช่น You never listen to me. คุณไม่เคยฟังผมเลย หรือ She never listens to me หล่อนไม่เคยฟังผมเลย

    15. เวลาเข้าไปยังร้านอาหาร จะมีศัพท์หนึ่งที่คนไทยมักจะพูดติดปาก นั่นก็คือ Menu เมนู แต่ฝรั่งมักจะออกเสียงว่า เมนิว ส่วนเรียกให้บ๋อยมาเก็บเงิน ก็ไม่ต้องตะโกนบอกว่า เช็คบิล นะครับ แค่บอกว่า บิล พลีส ก็พอแล้ว

    16. This is the first time I am here. นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาที่นี่ ควรจะใช้คำว่า This is the first time I have been here. ดีกว่าครับ

    17. I see เรามักจะได้ยินฝรั่งพูดบ่อยๆในการสนทนา เป็นการเชิงรับ แปลว่า อ๋อ เหรอ หรือครับ เราสามารถนำไปใช้แทนคำว่า Yes ได้ จะทำให้การสนทนามีความสนุกมากขึ้น และคำว่า You know? แปลว่า รู้ไหม หากเป็นภาษาไทยก็น่าจะแปลว่า นี่ ๆ เธอรู้ไหม?

    18. Please explain me what you want ประโยคนี้เหมาะสำหรับพนักงานขายสินค้าครับ หมายความว่า ได้โปรดอธิบายให้ผมทราบหน่อยสิครับว่า ท่านต้องการอะไร แต่หากจะให้สมบูรณ์แบบต้องพูดว่า Please explain to me what you want.

    19. I want to my English better ผมต้องการให้ภาษาอังกฤษของผมดีขึ้น ควรจะพูดว่า I want to better my English น่าจะรื่นหูฝรั่งกว่าครับ.

    **** ประโยคที่ได้ยกให้มาทั้งหมด ส่วนมากได้ยินกับหูตัวเอง ป้ายรถเมล์บ้าง หูไม่รักดีไปได้ยินชาวบ้านชาวช่องเขายืนคุยกับฝรั่งบ้าง (หูหาเรื่อง) ฯลฯ บางครั้งก็เกิดความสงสัยเองว่า คนอื่นพูดไป ถูกต้องหรือเปล่า ก็ไปเสาะแสวงหาเพื่อนฝรั่งถามมาบ้าง ก็ได้คำตอบที่ออกมานั่นแหละครับ
    สุดท้ายนี้หากเกิดข้อผิดพลาดประการใดในการอธิบายไม่ชัดเจนก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ หากมีข้อผิดพลาดอันใดที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ผมไม่ได้เจตนาจะให้เกิดขึ้น วัตถุประสงค์แค่อยากให้แบ่งบันความรู้แค่หางอึ่งของผมให้กับอีกๆหลายคนๆ. ขอบคุณครับ (หากมีเวลาจะนำเสนอ คำว่า Wanna และคำว่า Gonna แปลว่าอะไร ทำไมถึงไม่มีในดิก)

                    นานมาแล้ว ผมได้ยินนักเรียนตะโกนเรียกฝรั่งว่า Hey! You what's up man? (เอ้ย มึง เป็นไงบ้างพวก เป็นไงบ้างวะ) ฝรั่งคนนั้นก็ดีนะครับ เดินมาพูดว่า Please next time, don't say like this because... ได้โปรดคราวต่อไป อย่าพูดแบบนี้อีกนะเพราะ... อาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษให้กับผม ท่านไม่อยากให้ใช้คำเหล่านี้ ท่านบอกว่า เป็นศัพท์ที่พวกนิโกรพูดกัน และพวกนิโกรนี่แหละ ที่ชอบบัญญัติศัพท์ใหม่ๆ หรือศัพท์แสลงขึ้นมาใช้กัน แกบอกว่าขนาดตัวท่านเองเป็นฝรั่ง แท้ๆบางครั้งก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเลยว่า พวกนิโกรพูดว่าอะไร

                    ดังนั้น คนไทยการที่เราจะเรียนภาษาของใครสักคนหนึ่ง ควรคำนึงถึงหลักการและมารยาทในการพูดด้วยนะครับ ใช้ Good morning, Good afternoon, Good evening, หากกลัวยุ่งยากมาก ใช้คำว่า Hi หวัดดี ดีกว่า ส่วนคำว่า Hey! You เปลี่ยนมาใช้คำว่า Excuse me ขอโทษครับ หรือ ขอประทานครับ จะดีกว่า และต้องออกเสียงให้ถูกด้วยนะครับ เพราะบางคน จะออกเสียงเพี้ยนเป็น Accuse me? แปลว่า กล่าวหาฉันเหรอ และมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตะหนักอยู่ในใจเสมอว่า ภาษาอังกฤษคนใช้เยอะที่สุดในโลกก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ภาษาอังกฤษจะเหมือนกันทุกประเทศ ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจะออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจะออกเสียงอีกอย่าง รวมทั้ง ออสเตรเลียด้วยครับ คนที่จะแยกแยะออกต้องเป็นคนที่มีหูนานาชาติจริงๆ และการเห็นฝรั่งก็ไม่ได้หมายความว่า ฝรั่งทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน

    มีฝรั่งที่มาจากฝรั่งเศสหลายคนให้ผมสอนภาษาอังกฤษให้ บางคนพูดไม่ได้เลย English is very simple but it's more difficult. ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว แต่ยากมาก ผมก็เลยบอกว่าขนาดภาษาไทยผมก็ยังพูดไม่ถูกเลย การพูดภาษาอังกฤษไม่ชัดอาจจะสื่อความหมายเพี้ยน คุณหมานี่หน่อย กับ คุณมานี่หน่อย ฝรั่งหลายคนมีปัญหากับศัพท์นี้ครับ


    เรียนภาษาอังกฤษผมได้อะไรหลายอย่างจากฝรั่งบ้าง จากคุณครูฝรั่งที่บ่นให้ฟังแทบทุกวัน เมื่อสมัยตอนที่ผมเรียน สิ่งหนึ่งที่อาจารย์มักจะสอนทุกวันนั่นก็คือ หากจะเรียนภาษาอังกฤษ ต้องลืมภาษาไทย กฎบางอย่างภาษาไทยมี แต่ภาษาอังกฤษไม่มี เช่น ไม้เอก ไม่โท ฯลฯ การออกสระบางตัวในภาษาไทยมี แต่ภาษาอังกฤษไม่มี อย่าคิดเอาเองว่า ภาษาไทยเป็นแบบนี้ ภาษาอังกฤษน่าจะเป็นแบบนี้ด้วย เพราะแต่ละศัพท์ในภาษาอังกฤษใช้หลากหลายมาก บางคำเป็นได้ทั้ง นาม คุณศัพท์ กริยา เช่นคำไทย "สามารถ" ฝรั่งมักจะถามผมว่าทำไมคุณไม่อ่านว่า สา-มา-รด ทำไมอ่านว่า สา-มาด ภาษาอังกฤษมีหลายคำนะครับ ที่เป็นเช่นกรณีเดียวกันนี้ อย่างเช่น ตัดผม คนไทยหลายคนมักจะใช้คำว่า cut my hair เวลาพูดมักจะพูดว่า I am going to shop for cut my hair จะไปร้านตัดผม แต่หากจะให้ถูกสำนวนฝรั่งเขาจริงๆ ต้องใช้คำว่า I would like to get my hair cut ผมอยากจะไปตัดผม (เพราะเราไม่ได้ตัดเองให้คนอื่นตัด) เช่น I would like to get my paper copied. ผมอยากจะไปถ่ายเอกสาร หรือกำลังจะไปถ่ายเอกสาร


    แต่ก่อนผมก็เคยคิดว่า ไวยากรณ์ คำเชื่อม คำศัพท์ไม่สำคัญในการพูด แต่หากเราวางคำศัพท์ใดคำศัพท์หนึ่ง ผิดที่ผิดทาง ความหมายอาจเพี้ยนได้ เช่น อันละทำไม & อันละเท่าไร เอาหนังสือเล่มนี้ให้สำหรับฉันหน่อย & เอาหนังสือเล่มนี้ให้ผมหน่อย ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน บางครั้งก็เป็นศัพท์ง่ายๆ แต่เราไม่ค่อยได้ใส่ใจ เอาหละ มาเริ่มกันต่อเลยครับ โม้ก็มาเยอะแล้ว


    1. I am going to school. ผมกำลังไปเรียนหนังสือ แสดงว่าไปเรียน ส่วนคำว่า I am going to the school อาจจะไปเที่ยว หรือนัดกิ๊กเอาไว้หลังห้องน้ำที่โรงเรียนก็ได้ แต่ไม่ได้ไปเรียน เห็นไหมครับว่า ความแตกต่างมันมีอยู่ในตัวของมันเอง

    2. งง กับ ไม่เข้าใจ ต้องแยกให้ออกนะครับ I was puzzled at……. แปลว่า ผมงงต่อ ส่วน ผมไม่เข้าใจ I don't understand what you say ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด เวลาดูหนังเรามักจะได้ยินบ่อย What are you talking about แกกำลังพูดเรื่องอะไรวะ I don't understand.. ตูไม่เข้าใจ

    3.มีบ่อยครั้งที่คนไทยมักจะบอกว่า คุณไม่เหมือนคนไทย และพูดว่า You don't like Thais. แปลกันแบบตรงๆ คุณไม่เหมือนคนไทย ส่วนประโยคนี้อาจจะแปลว่า คุณไม่ชอบคนไทยก็ได้ หากจะให้ดีควรพูดว่า You do not / don't look like Thais. คุณดูไม่เหมือนคนไทย.

    4.คำนี้มักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาฝรั่งถามอายุ ถือว่าใช้เยอะมากในการสนทนา I am fifteen years. ผมอายุ 15 แต่หน้า 50 ปกติฝรั่งเขามักจะใช้ I am fifteen years old หรือ ไม่ก็ใช้ I am fifteen. แค่นี้พอ

    5.I am Buddhism. ผมเป็นพระพุทธศาสนา (ผมเป็นพระพุทธศาสนาไม่ได้) แต่หากจะให้ถูกต้องบอกว่า I am Buddhist ผมเป็นพุทธศาสนิกชน หรือ ผมเป็นพุทธมามกะ เวลากรอกใบสมัครงานต้องดูให้ดีนะครับ บางครั้ง เขาอาจจะถามแบบใดแบบหนึ่ง คำตอบคือ What is your religion? คำตอบคือ Buddhism และ แต่หากใบกรอก เขียนว่า Religion/ you are... คำตอบคือ Buddhist

    6. Where have you been ? คุณไปไหนมา กับ How have you been? เป็นไงบ้าง สบายดีไหม (ส่วนมากฝรั่งจะใช้กับคนที่เขาสนิท) ต้องฟังให้ดีนะครับ เพราะโอกาสตอบผิดมีเยอะมาก เพราะเปลี่ยนแค่ตัวข้างหน้าเอง What are you doing? กำลังทำอะไรอยู่เหรอ และ How are you doing? เป็นไงบ้าง ก็เช่นเดียวกัน

    7. If I am you I will… ถ้าฉันเป็นคุณนะ ฉันจะ...... มีหลายครั้งที่ผมค่อนข้างมีปัญหากับคนที่เขาคิดว่าประโยคนี้ไม่ถูกไวยากรณ์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมก็ได้ยินฝรั่งพูดว่า If I were you I will…ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะ

    8.He / She has married with a doctor เขา/ หล่อน ได้แต่งงานกับหมอ อันที่จริงประโยคนี้หากจะว่าผิดมากถึงขึ้นพูดไปแล้วฝรั่งฟังไม่รู้เรื่องเลยเหรอ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่หากจะให้สมบูรณ์จริงๆ ต้องเปลี่ยนพูดเสียใหม่ว่า He / She has married to a doctor. เขา หรือ หล่อน ได้แต่งงานกับหมอ

    9. ผมเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ มีนักเรียนหลายๆ คนชอบใช้คำว่า I am playing the internet เพราะคิดว่า คำว่า play แปลว่า เล่น อันที่จริง หากจะบอกว่าเรากำลังเล่น อินเตอร์เน็ตอยู่ ควรจะใช้คำว่า I am surfing the internet ครับ แต่หากจะบอกว่ากำลังเล่นเกมอยู่ ใช้คำว่า I am playing ได้

    10. มีอีกเรื่องหนึ่ง เวลาคนไทยมักจะถามฝรั่งว่า คุณเคยไป ภูเก็ตมาหรือยัง มีบ่อยครั้งที่ฝรั่งมักจะงง เพราะคนไทยส่วนมากจะออกเสียงผิดครับ เช่น Have you ever been Phuket iceland? เพราะคำว่า Iceland ตัวนี้หมายถึงประเทศที่มีเกาะน้ำแข็ง หรือเกาะน้ำแข็ง หากจะพูดให้ฝรั่งเข้าใจต้องบอกว่า Have you ever been Phuket island? ไม่ต้องออกเสียง s บางคนก็มักจะใช้ You use to go to…ใช้ Have you ever been…ดีกว่า

    11. ปิดไฟ หลายคนมักจะใช้คำว่า Please close the light กรุณาปิดไฟให้หน่อย คนที่ชอบใช้ประโยคนี้บ่อยๆ หากเบื่อ ก็มาใช้ประโยคนี้ได้นะครับ Please turn off the light หากจะบอกให้เขา เปิดไฟ ก็แค่บอกว่า Please turn on the light. แต่หากจะบอกให้ปิดประตูห้องน้ำ เวลาเข้าห้องน้ำแล้วไม่ชอบใส่กลอน ก็สามารถบอกว่า Please close the door. ส่วนจะให้หรี่เสียงวิทยุ / เทป ก็ใช้คล้ายๆ กันนั่นก็คือ Turn up เร่งเสียง Turn down เบาเสียง บางคนชอบพูดว่า You down sound.

    12.The Thais people is very friendly. คนไทยเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี หรือ เป็นมิตร ต้องจำให้ได้นะครับว่า คำว่า People หมายถึงคนจำนวนเยอะมาก ส่วนคำว่า Person หมายถึงส่วนบุคคล หากเราอยากจะบอกฝรั่งว่า คนไทยเป็นคนลักษณะเช่นไร ต้องบอกว่า The most Thais are very friendly. คนไทยส่วนมากเป็นคนอัธยาศัยดี หรือเป็นมิตร

    13. Do you like Thailand food? คุณชอบอาหารประเทศไทยหรือเปล่า อันที่จริง .....ผมว่า ลองเปลี่ยนใช้ประโยคนี้ดีไหมครับ Do you like Thai food คุณชอบอาหารไทยหรือเปล่า? Do you like Thais? คุณชอบคนไทยหรือเปล่า?

    14. I am not good in English ผมไม่เก่งในภาษาอังกฤษ หากเราจะบอกว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ ควรจะบอกว่า I am not good at English คือภาษาอังกฤษผมไม่แข็งแรง (ไม่เก่ง) หรือจะใช้คำว่า I am bad at English. ก็ได้ อย่าพูดว่า My English is snake snake fish fish ภาษาอังกฤษผมงูๆ ปลาๆ

    15. หากจะบอกว่าคุณไม่เก่งอะไรบ้างในภาษาอังกฤษ อย่าบอกว่า I am weak at grammar and conversation. นะครับ แต่ควรจะบอกว่า I am weak in grammar, conversation and listening. ผมอ่อนทั้งไวยากรณ์ การพูดคุย และการฟัง (คือไม่รู้เรื่องเลย)

    16. เวลาคนไทยบอกใครสักคนหนึ่งว่า บ้านตัวเองอยู่ตรงไหน เรามักจะบอกในลักษณะหน้าบ้าน มากกว่า ตรงกันข้าม ลองมาดูประโยคนี้ครับ The post office is front of my house. ที่ทำการไปรษณีย์อยู่หน้าบ้านผม แต่ส่วนมากฝรั่งมักจะบอกว่า The post office is opposite to my house. ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ตรงข้ามบ้านผม.

    17. ผมเคยเห็นฝรั่งเดินชนคนไทยคนหนึ่ง ฝรั่งก็กล่าวคำขอโทษว่า Sorry หรือ I am sorry หากเป็นคนไทยบางคนอาจจะแค่ยิ้มให้ (เพราะไม่รู้จะพูดอะไร) เป็นการเชิงตอบรับว่า ไม่เป็นไรหรอก แต่หากบางคนอาจจะกล่าวว่า It's ok หรือ That's ok. ความหมายคือไม่เป็นไรครับ อย่าจำสับสนกับคำว่า Welcome ด้วยความยินดี นะครับ เพราะคำนี้ เอาไว้ตอบรับเวลาฝรั่ง กล่าวคำขอบคุณเรา ไม่ว่ากรณีใดก็ตามหากเรามีความรู้สึกว่า ฝรั่งคนนี้ กำลังกล่าวขอบคุณเรา ก็กล่าวคำว่า Welcome ด้วยความยินดี หรือ Most welcome นับว่าเป็นเกรียติ หากฝรั่งมีการศึกษาดี เราจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ (อันที่จริงมีคำกล่าวตอบรับอีกเยอะครับ No mention it อย่ากล่าวถึงมันเลย แค่นี้ก็พอแล้วหละ)

    18. wanna" มาจากคำว่า "want to"
    "gonna" มาจากคำว่า "going to" คนอเมริกัน ใช้ Gonna กอนนะ แทน going to ส่วนมากจะพบในภาษาแสลง หรือในเนื้อเพลง เช่น I' m gonna meet her ผมจะไปพบหล่อน. = I am going to meet her. หรือ I wanna go home. อาจารย์ฝรั่งที่สอนผมหลายคน บอกว่า *****ห้าม***** นำคำเหล่านี้ไปเขียนหนังสือเชิงวิชาการหรือจดหมายเกี่ยวกับบริษัท แต่หากจะเขียนถึงเพื่อนสนิทกันมากได้ บางครั้งก็มีความหมายส่อไปในทางอื่น ดังนั้นหากไม่แน่ใจอย่าใช้ไปอันขาดครับ *Don''t* use these words in any formal writing. On the other hand, if the person(s) you''re writing for can be trusted not to put you down for your writing, go right ahead and use them.

    19. มีพนักงานหลายคนที่ผมเคยได้ยินมา เวลาอยากจะบอกฝรั่งเกี่ยวกับวัน เช่น Today is Monday. Tomorrow is going to Tuesday. วันนี้เป็นวันจันทร์ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันอังคาร.ควรใช้ Today is Monday. Tomorrow will be Tuesday. ดีกว่าครับ

    20.คำแทน คนไทยบางคนคิดว่า คำบางคำอาจจะใช้แทนกันได้ อันนี้ก็ต้องใช้เวลาศึกษากันอีกทีหนึ่ง อย่างเช่น
    ทานข้าวด้วยกันไหม?
    กินข้าวด้วยกันไหม? จริงอยู่ มันอาจจะใช้แทนกันได้ แต่ว่าอันไหนไพเราะกว่า เราเป็นคนไทย ย่อมรู้ดี และศัพท์ไหนควรใช้กับใคร สถานการณ์แบบไหน ต้องอาศัยประสบการณ์สักเล็กน้อย
    Say พูด กับ Tell บอก เช่นกันครับ
    เช่น I told " I will go home" ผม / ดิฉัน พูดว่า..ผมจะกลับบ้าน (ปัจจุบันเราจะได้ยิน ฝรั่งใช้ I กับ will เยอะมาก) หากจะให้ดี ควรใช้คำว่า I said " I will go home" ผม / ดิฉัน พูดว่า ผมจะกลับบ้าน ส่วน Tell จะใช้ในลักษณะของการบอกใครบางคน เช่น I told him that he would go home. ผมบอกเขาว่าเขาจะไปบ้าน

    21.Absolutely และ Of course สามารถใช้แทนคำว่า Yes ได้ ส่วนคำว่า Yeah มักจะใช้กับคนที่สนิทกันจริงๆ

    22. Do you speak English. Yeah I can. ถือว่าผิด
    Can you speak English. Yeah I do. ถือว่าผิด
    Do you speak English? Yes I do. ฝรั่งขึ้นต้นถาม Do เวลาตอบก็ต้องลงท้ายด้วย do เช่นกัน
    Can you speak English? Yes I can. ลักษณะเช่นนี้ต้องอาศัยประสบการณ์การพูดคุยกับฝรั่งบ่อยๆ แต่หากคุณแน่ใจจริงว่า ภาษาอังกฤษคุณเก่ง เยี่ยมยอด ไม่ต่างอะไรกับภาษาไทย หากมีฝรั่งมาถาม Do you speak English? คุณสามารถตอบได้ทันที่ว่า Of course หรือ Sure แน่นอน แล้วก็เดินหนี

    23. Other และ Others มีหลายคนที่ผมมักจะได้ยิน และบางคนก็สับสนครับ เพราะทั้งสองเป็นคำคุณศัพท์ทั้งคู่ แต่การใช้ค่อนข้างแตกต่างกัน
    1.Other= I don't want this one. Please give me the other one. ผมไม่ต้องการอันนี้ ได้โปรดเอาอันอื่นให้ผมเถอะ.
    2.Others= You can forget others, but don't forget me. คุณลืมคนอื่นได้ แต่ห้ามลืมผม. (เพราะผมเป็นเจ้าหนี้คุณ)

    24. Halo หลายครั้งเวลาคนไทยพูดโทร.มักจะออกเสียง หาโหล Hello ฮัลโหล แต่ผมก็มักจะได้ยินฝรั่งบางคนออกเสีย เฮลโหล


    ค่าเล่าเรียนภาษาอังกฤษที่เมืองไทยถือว่าแพงมากนะครับ ถ้าอยากให้เก่งหรือเอาแค่สนทนาพอรู้เรื่องต้องฟังบ่อยๆ ต้องถือสุภาษิต ใจกล้า หน้าด้านเอาไว้นะครับ เพราะภาษาอังกฤษ เป็นวิชาที่ต้องอ้าปากพูด จะมานั่งคิด ฝันกลางวันเอาไม่ได้ เพราะเป็นวิชาทักษะ (ต้องฝึกฝน และต้องการความเอาใจใส่อย่างมาก) หากมีสิ่งอื่นใดผิดพลาดในกระทู้นี้ ผมขอน้อมรับในความเขลาปัญญาของผม หากมีผู้รู้จริงรู้แจ้ง รู้ว่าอันใดผิด ก็ช่วยชี้แนะด้วยเมตตาธรรมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณและเป็นประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก ก่อนจากกัน มีประโยคหนึ่งที่อยากฝากบอกครับ Take a good care of yourself.If you have a lot of money. Please lend me some. รักษาสุขภาพให้ดีหละ ถ้ามีเงินเยอะ ก็ให้ผมยืมบ้างนะครับ

    I'm glad to see you again. ดีใจที่ได้พบกันอีกครับ

    กระทู้วันนี้อาจจะยาวหน่อยนะครับ เพราะบางท่านก็อยากให้ผมพูดเรื่องประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ได้ผล การเรียนภาษาอังกฤษนั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับบุคคล (เป้าหมาย) บางคนต้องเรียน เพราะหน้าที่การงานบังคับ บางคนเรียนเพราะหวังความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน บางคนเรียนเพราะแค่อยากรู้ ฯลฯ แต่อย่างไรก็คงสู้เรียนเพราะใจรักไม่ได้ และการเรียนภาษาอังกฤษระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน เป็นเพราะ เด็กอาศัยความจำอย่างเดียวและชอบลอกเลียนแบบ (Imitative) ส่วนผู้ใหญ่ ต้องควบคู่ไปกับเหตุผลไปด้วย (คือต้องคิด และหาเหตุผลของความน่าจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น) (Analytic) ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษของผู้ใหญ่อาจจะช้ากว่าเด็กก็เพราะจุดนี้

    วันนี้ผมขอเสนอ 3 ตอนนะครับ
    ตอน 3/1 ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน และแบบอังกฤษ
    ตอน 3/2 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของประโยคแบบ (สำหรับแปลและแต่ง)
    ตอน 3/3 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษ

    ตอนที่ 3/1 American and British English

    เคยไหมครับ ที่เรามักจะพบศัพท์ภาษาอังกฤษสองแบบคือ อังกฤษแบบอเมริกัน และอังกฤษแบบอังกฤษ คำไหนเป็นภาษาอังกฤษ คำไหนเป็นแบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ แต่ผมจะบอกเท่าที่สติปัญญา (อันน้อยนิด) ของผมในตอนนี้จะนึกได้ เวลาไปที่ไหน พอเจอปั๊บ ก็รู้ปุ๊บว่า ศัพท์นี้ เป็นภาษาอังกฤษแบบอังกฤษหรือ แบบอเมริกัน ในบ้านเราก็พบเยอะเหมือนกัน
    1.อังกฤษแบบอเมริกัน 2. อังกฤษ แบบอังกฤษ
    1.Airplane 2. aeroplane
    3.Apartment 3.flat, apartment
    4.Check / bill 4.bill (ในร้านอาหาร)
    5.Crazy 5.mad (บ้า)
    6.Doctor's office 7.doctor's surgery
    8.Movie 8.film
    9.One-way (เกี่ยวกับตั๋ว) 9.single (เกี่ยวกับตั๋ว เที่ยวเดียว)
    10.Parking lot (ที่จอดรถ) 10.car park
    11.Railroad 11.Railway
    12.Rest room, bathroom 12.(public) toilet (ห้องน้ำ ห้องส้วม)
    13.Store, shop 13.shop
    14.Subway 14.underground รถไฟใต้ดิน
    15.Two weeks 15.fortnight, two weeks
    16.Vacation 16.holiday(s) วันหยุด
    17.In a course 18.on a course
    19.Live on XXX street 19.live in XXX street
    20.Center 20.centre
    21.Check 21.cheque (เช็ค)
    22.Color 22.colour สี
    23.Liter 23.litre (ลิตร)
    24.Meter 24.metre (เมตร)
    25.Organize 25.organise
    26.Practise, Practice 26.Practise (เป็นกิริยา)
    27.Realize 27.realise
    28.Skillful 28.skilful
    29.Theater 29.theatre
    30.Traveler 30.traveller
    31.Whiskey 31.(สก๊อต) whisky (ไอริช) whiskey
    32.Round trip 32.return (การเดินทาง และการตี๋ตัวกลับ)
    33.Highway, freeway 33.main road, motorway

    มีบ่อยครั้งที่ผมมักจะทะเลาะกับเพื่อน เพียงเพราะเขียนไม่ถูก บางครั้งเขียนเหมือนอเมริกัน แต่เพื่อนบอกว่า แบบอังกฤษผิด แต่ปัจจุบันภาษาอังกฤษแบบอเมริกันค่อนข้างมีอิทธิพลเยอะมาก เช่นในคอมพิวเตอร์เป็นต้นนะครับ บางครั้งเราพิมพ์แบบอังกฤษ ปรากฏว่าในคอมพิวเตอร์ขีดแดง (แสดงว่าไม่ถูก) คือให้เปลี่ยนใช้แบบอเมริกัน อันที่จริงก็มีอีกเยอะนะครับ นึกออกเพียงเท่านี้ ที่ค่อนข้างเห็นบ่อย ตอนที่อยู่เมืองไทย อาจจะพอเป็นประโยชน์บ้าง อย่างน้อยๆ เราก็พอรู้ว่าศัพท์ไหนเป็นอังกฤษหรืออเมริกัน แม้แต่หลักไวยากรณ์บางครั้งภาษาอังกฤษแบบอเมริกันก็ไม่เหมือนกัน เช่น
    อังกฤษแบบอเมริกัน อังกฤษแบบอังกฤษ
    1.He just went home. 1.He's just gone home.
    2.I've never really gotten to know her. 2.I've never really got to know her.
    3.I see a car coming. 3.I can see a car coming.
    4.It's important that he be told. 4.It's important that he should be told.
    5.He probably has arrived by now 5.He has probably arrived by now.

    (ทางโทรศัพท์)
    Hello, is this Handsome? Hello, is that Handsome?
    (สวัสดีครับ นี่สุดหล่อพูดใช่ไหม? สวัสดีครับ นั่นสุดหล่อใช่ไหม?

    เห็นไหมครับว่าภาษาอังกฤษ แบบอเมริกัน และ แบบอังกฤษ ก็ยังไม่ค่อยเหมือนกัน คนไทยบางคนก็ชอบสำเนียงแบบอเมริกัน บางคนก็ชอบสำเนียงแบบอังกฤษ ดังนั้น เราก็อย่าวิตกกังวลให้มากนะครับ ขอแค่พูดให้เรารู้เรื่อง และเรารู้เรื่องเขา แค่นี้ก็น่าจะดีกว่า เวลาพูด เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง เวลาเราฟังก็มึน

    ตอน 3/2 เกร็ดเล็กๆน้อยของประโยคแบบ (การแปลและการแต่ง)

    มีบ่อยครั้งใช่ไหมครับ ที่เรามักจะแปลภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งก็มีหลากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่รู้ศัพท์เฉพาะ ไม่รู้ประโยคแบบ ไม่รู้หน้าที่ของคำศัพท์ ไวยากรณ์ไม่แม่น อื่นๆอีกมากมาย แต่ที่ผมจะเสนอต่อท่านผู้อ่านต่อไปนี้ เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประโยคแบบ (เพราะยังมีอีกเยอะมาก) ลองมาดูกันครับ

    1. The purpose / aim / goal / objective / ทั้ง 4 ตัวนี้ แปลเหมือนกันก็คือ วัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมาย หากเราเห็นประโยคในลักษณะ.... The purpose / aim / goal / objective of……..is to…. ให้แปลว่า วัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมาย ของ........... คือ.........ได้เลยครับ
    ตัวอย่างเช่น... The purpose of every religion is to teach men to do goodness. วัตถุประสงค์ของทุกศาสนาคือสอนให้ทุกคนทำแต่ความดี
    อีกตัวอย่างหนึ่ง... The goal of education is to develop the student's skill and ability.
    เป้าหมายของการศึกษาคือ เพื่อพัฒนาฝีมือและความสามารถของเด็กนักเรียน
    ในประโยคนี้ก็เช่นเดียวกัน ครับ The duty / task / responsibility / of………is to…….แปลเหมือนกัน
    เช่น The duty of a teacher is to help the pupils help themselves. หน้าที่ของครูคือช่วยให้นักเรียนช่วยเหลือตัวเองได้.

    2. แต่ประโยคนี้เริ่มจะเปลี่ยนไป จะไม่ใช้ is to แต่จะใช้ is that แทน เช่น The benefit / profit of………. is that …….คุณประโยชน์ หรือ อานิสงส์ ของ.......... คือ...............
    ตัวอย่างเช่น The benefit of civility is that it costs nothing but gives you many things. คุณประโยชน์ของการอ่อนน้อมถล่มตน คือผู้กระทำไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่กลับได้รับประโยชน์หลายอย่าง

    3. It is not / enough / a shame / impossible / (อาจจะมี for….ก็ได้เพื่อให้ข้อความกระชับมากขึ้น) to…………. ให้แปลว่า การที่.....นั้น ยังไม่พอ / ไม่น่าละอาย / ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไม่ได้
    เช่น It is not enough for students merely to come to school. They must pay attention to their lessons also. การที่นักเรียนสักแต่ว่ามาโรงเรียนนั้น ยังไม่พอ พวกเขาต้องใส่ใจในบทเรียนด้วย.

    -----------เป็นต้น เห็นไหมครับว่า การเรียนภาษาอังกฤษหากเราจับจุดมันได้ ทุกอย่างก็จะง่าย และทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น เฉพาะข้อนี้ สามารถเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม เพราะมีเยอะมาก เกือบ 100 กว่า ตัวอย่าง ส่วนวันนี้เอาแค่หอมปากหอมคอนะครับ

    ตอน 3/3 เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษ

    บางครั้งเวลาผมอยู่ในห้องน้ำเดียว ผมมักจะคิดถึงวันเก่าๆ เช่น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเวลาอาจารย์สอน ผมจะไม่นั่งหลับหลังห้อง จะไม่วาดหนวดให้เพื่อน เวลาเพื่อนหลับ ความเป็นนักเรียนที่ดีย้อนกลับมาทันใดเวลาคิดอะไรเพลินในห้องน้ำ เสียดายเวลาที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเมื่อเรียนอยู่สมัยตั้งแต่ประถม-มัธยม-ป.ตรี ในห้องเรียนผมจะบอกว่าตัวเองโง่ที่สุดในห้องก็ไม่เชิง เพราะมีคนญี่ปุ่นอีกหลายคน เกือบลืม ลาว เวียดนาม เกาหลีอีกเพียบ บางคนภาษาอังกฤษแย่กว่าผมอีก Because what. Why you come here? (แปลกันแบบตรงๆ Because เพราะ What อะไร Why ทำไม You คุณ Come here จึงมาที่นี่=เพราะอะไรทำไมคุณจึงมาที่นี่) มีหลายประโยคที่คนญี่ปุ่นบางคนถามผม งงมาก บางครั้งถึงกับมีการจดลงในฝ่ามือ และผมก็ต้องเอามาเปิดดิกที่ห้อง แต่ก็พอไปด้วยกันได้ เพราะภาษาอังกฤษของพวกเรา แบบ งูๆปลาๆ บางคนเห็นหน้ากันครั้งแรก Who are you? แทนที่จะถามว่า Where are you from? ผมก็ต้องถามย้อนกลับไปว่า Me? ต้องออกเสียง (หมี๋) ไม่ใช่ (มี) เจอคนญี่ปุ่นครั้งแรก ผมคิดเอาเองนะ อย่างน้อย ผมคนหนึ่งหละที่จะไม่สอบตกคนเดียว แต่คนญี่ปุ่นขยันมากๆๆ คนเอเชียพวกคนญี่ปุ่นไม่คบด้วยเลย ผมก็ไม่สนและไม่ง้อ คนเวียดนาม คนลาวก็เยอะแยะ

    บางครั้ง ความขี้อาย ก็เป็นอุปสรรคสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะครับสำหรับคนไทย หากคิดจะเรียนภาษาอังกฤษ สังเกตคนที่เรียนภาษาอังกฤษและพูดได้ดี จะไม่มีใครที่สำเนียงไทยสักคน ต้องกระแดะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำเหมือนฝรั่งได้ หากมัวแต่อาย กลัวคนอื่นจะล้อว่า หมอนี่ ยัยนี่ 11 ร ด (แรด) คิดเสียใหม่ครับ ยิ่งดัดจริตให้มากเท่าไร คุณก็จะพูดเหมือนฝรั่ง และฝรั่งก็จะเข้าใจคุณ บางคนพูดจีบปากจีบคอ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ แต่นั่นคือธรรมชาติของการพูดภาษาอังกฤษ การพยายามทำเสียงให้เหมือนฝรั่งไม่ใช่เสียงที่น่าอายครับ แต่ที่น่าอายกว่า นั่นก็คือ พูดภาษาอังกฤษแล้ว ฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง (อาจจะเป็นเพราะมีสำเนียงไทยเยอะไปหน่อย) คุณที่พูดกับฝรั่งเวลาคุยภาษาไทยด้วยกันจะเข้าใจความรู้สึกนี้ เวลาฝรั่งออกเสียไม่ชัด คอชอนา (โฆษณา)บางครั้งก็ได้ยินเหมือน เป็น ก.ศ.น. (การศึกษานอกโรงเรียน)

    ภาษาอังกฤษอาจจะไม่ใช่ภาษาที่คนไทยส่วนใหญ่พูดกัน แต่หากใครพูดได้ ผมเชื่อแน่ว่า อย่างน้อยๆ คุณเดินไปไหน คุณจะไม่กลัวเลยหากมีฝรั่งมาถามทาง ขอคำชี้แนะบางอย่าง และการไปสมัครงานที่ไหนก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่พูดได้แค่ภาษาไทย (ไม่นับรวมเด็กเส้นนะครับ) ผมนับว่าโชคดีที่ได้เพื่อนฝรั่งช่วยเหลือในหลายๆด้านที่เป็นเพื่อนร่วมห้องคอยเตือนเวลาใช้คำพูดผิด บางคนได้ไปเที่ยวรอบโลกมาแล้ว ผมก็ได้เที่ยวรอบโลกกับเขาด้วย จากการได้พูดคุย ได้รับรู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าประเทศเปรูเป็นอย่างไร ทั้งที่ตัวเองไม่เคยไป และแตกต่างจากเมืองไทยอย่างไร เป็นการเปิดรับข้อมูลจากคนต่างชาติโดยตรง และทำให้เรามีวิสัยทัศน์กว้างมาก โดยเฉพาะข่าวสารทางทีวี หนังสือพิมพ์ เพราะภาษาที่เขาใช้กันส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษ หากคุณฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง แค่อยู่หน้าจอทีวี คุณก็รับรู้ข่าวสารทั่วโลกได้จาก CNN, BBC News การเรียนภาษาอังกฤษแต่ละคน อาจจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนสามารถพูดกับฝรั่งได้เป็นวัน แต่ให้เขียน เขียนไม่ได้ ผมก็อยู่ในกรณีนี้เช่นเดียวกันนี้ จะให้ผมพูดกับฝรั่งทั้งวันก็พูดได้ แต่จะให้เขียนจดหมายสักฉบับหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมจะกังวลมากนั่นก็คือ ไวยากรณ์ บางครั้งก็เขียนศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ทั้งที่พูดได้ แต่เขียนไม่ได้ มีบ่อยครั้ง ที่อาจารย์บรรยายแล้วให้ผมจดตาม ผมจดได้ไม่ถึง 50 คำ แค่คำว่า ภาษา (Languages) บางครั้งผมก็ยังเขียนไม่ถูก แต่ให้ผมไปบรรยายหน้าห้อง ผมทำได้ เพราะบางคำผมพูดได้ แต่ผมเขียนไม่ได้ แต่ก็มีเพื่อนผมหลายคนนะครับ เขียนได้ แต่พูดไม่ได้

    ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 อย่างด้วยกันครับนั่นก็คือ
    1.ฟัง
    2.พูด
    3.อ่าน
    4.เขียน
    (แต่สำหรับคนไทยส่วนมากเราจะเน้น อ่าน เขียน พูด และฟัง)
    มีสถาบันสอนภาษาหลายแห่ง ที่สอน:
    1.การพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักพูดที่ดี
    2.การฟัง แต่ไม่ได้สอนการเป็นนักฟังที่ดี
    3.การอ่าน การอ่านอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ
    4.การเขียนอย่างไร ให้ประสบผลสำเร็จ ตามที่คาดหวัง

    หากมีโรงเรียนไหนที่บอกว่า สามารถสอนท่านพูดภาษาอังกฤษได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียวอย่าไปเชื่อครับ อย่างน้อยๆ 2-3 ปี เตรียมทำใจเอาไว้เลย ผมเกลียดมาก พวกที่ชอบหากินกับความไม่รู้ของคน หลายปีก่อนมีเด็ก ปี 4 เอกภาษาอังกฤษ (ขอสงวนนามมหาวิทยาลัย) ให้ผมแปลเอกสารรายงานให้ เพราะเธอพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย ผมก็คิดเอาเองนะครับว่า สงสัยได้หลายพันบาทแน่งานนี้ เพราะข้างนอกแปลหน้าหนึ่งประมาณ 100 บาท ก็เลยบอกน้องไปว่า แล้วแต่จะให้ เกือบสองร้อยกว่าหน้า ผมได้แค่ 500 บาท ผมก็เอา (ยังดีกว่าไม่ได้สักบาท กำอุจจาระดีกว่ากำตด) แต่เห็นมือถือที่คุณเธอใช้ เกือบสองหมื่น นี่เป็นผลของการไม่ตั้งใจเรียน (เหมือนผม)
    มีบ่อยใช่ไหมครับ ที่เรามีปัญหาในด้านการฟัง อาจเป็นเพราะ 1.ฟังไม่ชัดเอง 2. คนพูดพูดไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่เรามักจะเจอนั่นก็คือ ฟังไม่ชัดเอง การฟังภาษาอังกฤษเราต้องฟังอย่างที่เขาพูด ไม่ใช่คิดเอาเอง "คนที่หน้าตาดีๆที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำมานี่ก่อนดิ" คนหน้าตาดี กับคนหน้าตาขี้เหร่ ฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน แต่หากเราฟังว่ามันเหมือนกันเมื่อไหร่ นั่นแหละ ทักษะการฟังเริ่มมีปัญหา การสื่อสารกันชักจะเริ่มไม่รู้เรื่อง และการสนทนาก็เริ่มมีปัญหาไปด้วย แต่การฟังภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่ยากกว่านั้นอีกครับ อาจเป็นเพราะ 1.เราไม่รู้ว่าเขาสื่ออะไร เพราะเราไม่รู้ศัพท์ หากเรารู้ศัพท์แต่ไม่รู้ประโยค ก็ยังพอเดาได้ ไปแบบน้ำขุ่น ว่าเขาหมายถึงอะไร

    How about coffee? จะรับกาแฟไหม? มีบ่อยครั้งที่ผมได้ยินคนไทยบอกว่า It's very hot. มันร้อนมาก (ทั้งที่กาแฟก็ยังไม่มีวางอยู่บนโต๊ะ) สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คนถามอีกอย่าง คนตอบตอบอีกอย่าง อาจจะเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึง การฟังภาษาอังกฤษถือว่าเป็นบันไดก้าวแรกในการเรียนภาษาอังกฤษ หลายสถาบันอาจจะให้ความสำคัญไวยากรณ์ บางสำนักอาจจะเน้นทักษะยุทธ์การพูด แต่มีหลายสำนักมองข้ามการฟัง ในบรรดาทักษะการเรียนภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ บางสำนักเน้นการพูด เพราะคิดว่า หากพูดได้ นั่นก็หมายความว่า ฟังเป็นด้วย การพูดภาษาอังกฤษได้ กับการพูดภาษาอังกฤษเป็น แตกต่างกันมากนะครับ การพูดภาษาอังกฤษได้ คุณจะพูดอย่างไรก็ได้ หากคุณอยากจะพูด แต่......การพูดภาษาอังกฤษเป็นคือ ต้องรู้จักกาลเทศะ กาลไหนควรพูดอะไร ไม่ควรพูดอะไร คำไหนเหมาะสมกับวัย หรือสถานะของคู่สนทนา ว่าต้องใช้ศัพท์อย่างไรถึงจะเหมาะสม นี่คือสิ่งสำคัญสำหรับการที่จะทำการให้การสนทนามีความสนุกและบรรลุตามเป้าหมาย หากเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ควรสรรหาคำพูดที่เป็นกลางๆ อย่านำคำพูดแสลงมาใช้นะครับ Hello สวัสดีครับ Hi หวัดดี How have you been? เป็นไงบ้าง? ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เหมือนอย่างเช่น หวัดดีอาจารย์ กับ สวัสดีครับอาจารย์ หวัดดีหัวหน้า กับ สวัสดีครับหัวหน้า อย่างไรเหมาะสมกว่า เราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมบุคคล

    ดังนั้นเมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ มีทักษะ 4 อย่างด้วยกันที่เราจำเป็นอย่างมากเลยนะครับที่จะต้องเรียนและรู้ และทำให้การติดต่อ(สื่อความหมายของเรา) ถึงจะลุล่วงไปด้วยดี ภาษาอังกฤษอาจจะเป็นภาษาที่ 3 หรือที่ 4 ของใครบางคน หากภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่หนึ่งของเรา เวลาจะใช้จะต้องคำนึงนั่นก็คือ กาลเทศะ บุคคล สถานที่ (บางคนไม่เคยใส่ใจเลย) สักแต่ว่าขอให้พูดได้....และได้พูด
    1.การฟัง
    2.การพูด
    3.การอ่าน
    4.การเขียน

    ไม่ว่าเราจะเรียนภาษาอะไร ทักษะทั้ง 4 อย่างถือว่าสำคัญเท่าๆกัน แต่การใช้จะแตกต่างกัน ไกด์บางคนพูดได้ แต่ให้เขียนไม่ได้ สิ่งที่เราเคยเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลหมีน้อย จนถึงอนุบาลหมีโต สิ่งที่เราได้รับนั่นก็คือ 1.ต้องอ่านให้ครูฟัง 2.ต้องเขียนให้ครูตรวจ 3.หากมีเวลาครูก็ให้พวกเราอ่าน 4.เรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับฟังภาษาอังกฤษแบบอังกฤษจริงๆ อาจจะมีเหตุผลหลากหลายประการ เช่น บางคาบอาจารย์สอนภาษาอังกฤษพูดภาษาไทยเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ให้นักเรียนอ่าน....หมดชั่วโมงพอดี พอออกนอกห้องก็พูดภาษาไทยทั้งวัน เราเรียนภาษาอังกฤษเพื่อแค่ให้สอบผ่าน เพราะเมืองไทย เราไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เมื่อเราจบมานี่สิครับ มีปัญหาและเป็นปัญหา....เมื่อไปสมัครงาน บางบริษัทต้องสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ บางคนถึงกับต้องไปติวภาษา เพียงเพราะแค่จะสอบสัมภาษณ์ บางคนก็ท่องไปเลย บางคนต้องหอบแบบฟอร์มกรอกสมัครงานไปให้คนอื่นกรอกให้ เสียเงิน 100-200 บาท ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคิดว่าภาษาอังกฤษไม่สำคัญ! พนักงานขับรถบางบริษัท มีใบขับขี่ และพูดภาษาอังกฤษได้ เงินเดือนหมื่นกว่า

    เวลาผมกลับไปเมืองไทย ผมมักจะพาเพื่อนฝรั่งที่อยู่กรุงเทพไปเที่ยวที่บ้าน ไปเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กกำพร้าและให้ฝรั่งช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็ก แล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย ผมไม่มีความรู้สึกอะไรที่ดีไปกว่า เท่ากับเด็กชอบเรียนภาษาอังกฤษ และไม่กลัวฝรั่ง แต่ปรากฏว่าอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษผมสมัยผมเรียนอยู่อนุบาลหมีน้อยจนกระทั่งหมีจะตายอยู่แล้ว อาจารย์ฟังฝรั่งไม่รู้เรื่องเลย อาจเป็นเพราะว่า 1.อาจารย์ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกับฝรั่งบ่อย 2.ไม่คุ้นสำเนียง (แต่คนไทยส่วนมากเก่งไวยากรณ์นะครับ)

    เราจะฟังภาษาอังกฤษได้อย่างไรในเมื่อบ้านเราหาฝรั่งที่จะคุยด้วยลำบาก

    คุณเคยถามตัวคุณเองบ้างไหมครับว่า เราเรียนภาษาไทยมาอย่างไร? ในความเป็นจริง เมื่อเราอายุประมาณสองหรือสามขวบ เราก็เริ่มที่จะพูดภาษาไทยหรือภาษาท้องถิ่นเพียงแค่สองหรือสามคำพูดในการเริ่มต้น เช่น แม่หนู หิว (ข้าว หรือ นม) ซึ่งก็ยังไม่เต็มประโยค แต่คุณก็พูดได้ และหลังจากนั้นไม่นานคุณก็ได้เข้ากระบวนการเรียน การฟัง การพูดอย่างแท้จริง โดยพูดตามพ่อแม่บ้าง ตามเพื่อนบ้าง โดยบางครั้ง เราพูดภาษาไทยโดยเราไม่ต้องนึกถึงภาษาท้องถิ่น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแปลจากภาษาท้องถิ่นก่อน ภาษาเหนือ ตั๋วจะไปแหน่ ภาษาไทย คุณจะไปไหน ภาษาอังกฤษ Where you are going? ดูเหมือนมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเป็นผลของการสะสมการฟังและเปลี่ยนไปเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างอื่นในเวลาต่อมา 2 หรือ 3 ปีก่อนที่เราจะพูดได้ เราได้ยินพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย พูดตลอดทั้งวันหรือบางคนอาจจะทั้งวันทั้งคืน(ได้ยินคนข้างบ้านทะเลาะกันทั้งคืน) เราได้ยินผู้คนมากมายพูดภาษาไทย สิ่งที่สำคัญมากนั่นก็คือสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราสั่งสมมาจากการฟัง ตลอดระยะ 2หรือ 3 ปี เป็นกระบวนการต่อการเริ่มหัดพูด ตลอดระยะเวลา 2 ปี กี่คำพูด ที่ได้เข้าไปสู่ผัสสะของการฟัง กี่คำพูดที่ผ่านหูเรา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะมีข้อสงสัยในการฟังว่า การฟังหรือการสั่งสมการฟัง มีประโยชน์ต่อการจำ การออกเสียง แม้กระทั่ง เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราอายุ แค่ 3 ขวบ พูดภาษาไทยได้ ทั้งที่ยังเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว เขียนชื่อตัวเองก็ยังไม่ได้ แต่เราพูดได้ทั้งวัน ดังนั้นการฟังจึงจำเป็นอย่างมากครับ ต่อกระบวนการออกเสียงให้ถูก

    ดังนั้น เราจะฟังภาษาอังกฤษอย่างไร เมื่อประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ผู้คนพูดภาษาอังกฤษ หรือครอบครัวเราไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และเราก็ไม่ได้เป็นลูกครึ่ง แต่อย่างไรก็อย่าเพิ่งท้อนะครับ มีหนทางมากมายที่เราสามารถฟังภาษาอังกฤษได้ หากเรามุ่งมัน อย่างน้อยๆ ขอแค่สนทนาให้รู้เรื่องก็พอ ไม่ใช่พูดภาษาอังกฤษจนเมื่อยมือ

    สำหรับวันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเริ่มต้น ฟัง พูด ภาษาอังกฤษมาฝากครับ คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เริ่มจะสนใจเรียนได้บ้าง การเรียนภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าสายครับ หากจะสาย นั่นก็คือความคิดของคุณเอง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการฟังภาษาอังกฤษของเรา ที่พอจะหาได้ก็คือ

    วิทยุ
    ปัจจุบันเราสามารถรับฟังภาษาอังกฤษตามสื่อวิทยุได้เกือบทุกประเทศ สองเครือข่ายสถานีที่นับว่ามีชื่อเสียงนั่นก็คือ BBC World Service (สำเนียงอังกฤษแบบอังกฤษ) http://news.bbc.co.uk และ Voice of America. (สำเนียงอังกฤษแบบอเมริกัน) http://www.voanews.com/english/portal.cfm สถานีทั้งสองแห่งถือได้ว่าเป็นสถานีที่ผู้คนเข้าไปฝึกภาษาเยอะเหมือนกันครับ. เพราะมีบทสามารถให้เราได้อ่านภาษาอังกฤษได้ด้วย และอีกสถานีหนึ่งที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.spotlightradio.net หรือ www.radio.english.net และสถานีเพลงที่ผมชอบฟังนั่นก็คือ http://www.virginradio.co.uk/listen ลองเข้าไปฟังหรือเข้าอ่าน โดยที่เราเข้าไปดูเว็ปอื่นก็ยังได้ ทำให้เป็นนิสัยครับ

    ทีวี
    TV ถือได้ว่าเป็นสื่อที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างมากต่อการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะเราสามารถดูรูป ผู้คน ท่วงทำนอง ท่าที่บุคลิกของผู้พูดได้ สามารถทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม หากบ้านใครติดสัญญาณ UBC ถือว่าคุณมีครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดครับ

    Internet
    ถือได้ว่าเป็นสื่อที่หาง่ายต่อการฟังภาษาอังกฤษมากกว่าสื่อใดๆ (สำหรับที่คนติดอินเตอร์เน็ต) ถ้าคุณสามารถอ่านกระทู้ของผม คุณก็เหมือนมีครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน และมีสถานทีวิทยุทั่วโลกอยู่ในบ้านเรา และง่ายต่อการที่จะเข้าไปฟังภาษาอังกฤษครับ ฟังบ่อยๆ และฟังการลงเสียงหนักเบา จะช่วยได้มาก.

    เพลง
    เพลงที่เป็นภาษาอังกฤษถือได้ว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายมากครับ สำหรับการเริ่มฝึกฟังภาษาอังกฤษ แต่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้กับผมท่านไม่ค่อยแนะนำให้ฟัง เพราะค่อนข้างเป็นภาษาที่ยาก บางครั้งก็ส่อไปในทางสองแง่สองง่าม ไม่ต้องไปดูอะไรครับ แค่เพลงไทย ขนาดเราเป็นคนไทยแท้ๆ บางท่อนเราก็ยังงงเลย หากความรู้สึกไม่ถึงจริงๆ แต่ก็จงเลือกเอาเพลงที่ง่ายๆ เช่นเพลงของเด็ก ไม่ต้องอายครับ หากใครบอกว่าเราบ้า หรือปัญญาอ่อน สิ่งเหล่านี้ผมเจอมาหมดแล้ว

    หนัง / CD
    หากพูดเรื่องหนัง ก็ยิ่งเป็นการง่ายต่อการฝึกเรียนการฟังและรูประโยคของภาษาอังกฤษ เพราะปัจจุบันหนังซีดี มี sub-titles.และสิ่งที่เราจะได้รู้จากหนังมากกว่าสื่ออื่นๆ นั่นก็คือ ศัพท์แสลงครับ และมีให้เราอ่านด้วย หากไม่เข้าใจประโยคไหน ก็สามารถกรอกลับมาดูใหม่ได้ แต่การเลือกดูหนังหากเป็นไปได้ควรเลือกหนังที่เราชอบนะครับ เพราะจะทำให้เราเพลินไปกับการฝึกและการฟัง อย่าเลือกเอาหนังที่ทั้งเรื่อง พูดแต่คำเดียว Oh! Yeah Oh! Yeah เราก็จะได้แค่นี้แหละ (อาจจะได้อย่างอื่นด้วย ไม่แน่ใจ)


    เพื่อนๆ
    พยายามหาเพื่อนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะทำให้เราได้ฝึกภาษาด้วย และนี้ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะได้พูดคุย และการพัฒนาภาษาจะพัฒนาได้ดีกว่าวิธีอย่างอื่นๆ หากเราพูดผิด เพื่อนสามารถแนะนำได้ครับว่า เราพูดผิดนะ และการเลือกเพื่อนก็ต้องเลือกคบด้วยนะครับ เพราะฝรั่งบางคนก็ Dirty คือลามก บางคนชวนคุยแต่เรื่องเซ็กส์

    สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยอะไรคุณเลย หากคุณไม่ลงมือทำ การอ่านหนังสือ ย่อมทำให้เราได้รู้กระบวนการที่ดีและถูกต้อง ในการที่จะเรียนรู้ให้ถูกกระบวนการ ต่อให้คุณอ่านคู่มือของมหาวิทยาลัย Oxford ทั้งเล่ม ก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ หากคุณไม่ลงมือทำ อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่อาศัยทักษะ หากอายกลัวคนอื่นจะรู้หรือเห็น ก็เข้าไปหัดและฟังเสียงตัวเองได้ในห้องน้ำ (ผมทำบ่อย) เห็นไหมครับว่า เราสามารถฝึกภาษาอังกฤษได้ทุกที่ แต่ที่เราไม่ทำ เพราะหนึ่ง บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ต่ออาชีพการงาน บางครั้งปีหนึ่งก็ไม่เคยพูดกับฝรั่งสักคน เลยไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่สำหรับคนที่เขามีวิถีชีวิตกับภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษคือเงินเดือนของเขาเลยหละ

    ประการสุดท้าย อย่ากังวลนะครับ หากเราไม่เข้าใจทุกอย่างที่เราได้ฟัง ฟังบ่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจเอง แล้วหลังจากนั้น สำเนียงจะไปของมันเอง (แปลและดัดแปลงจาก How to hear English and how to improve your English; New York University)

    ก่อนจะจบวันนี้ ผมพอจะมีสำนวนง่ายๆ ที่อาจจะพาเราเข้าไปสู่กระบวนการพูดคุยกับฝรั่งได้ บางทีเราก็นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นคุยกับฝรั่งอย่างไรดี (ข้อเสียอีกอย่างนั่นก็คือนิสัยคนไทยเราชอบถามเงินเดือน น้ำหนักกันได้ แต่ฝรั่งเขาถือนะครับ และเราก็จงใช้วิจารณญาณเอาเองว่า อย่างไหนควรจะถามหรือไม่ควรถาม)
    Hello สวัสดี หรือหากในบริษัทของเรา มีฝรั่งทำงานด้วย หากจะทักทายแบบคนสนิทกัน ก็สามารถใช้คำว่า What''s up แล้วต่อด้วยชื่อของเขานะครับ เช่น What''up Phongprabhakorn? ซึ่งจะดูเหมาะสมกว่า What''s up man?
    How are you?
    Where are you from? คุณมาจากไหนเหรอครับ?
    How is your family? ครอบครัวคุณเป็นไงบ้าง (สบายดีไหม)
    ---------------แล้วแต่สถานการณ์จะพาไป (หลังจากนี้ไปก็ตัวใครตัวมัน)----------------
    Which foreign languages have you studied? คุณพูดได้กี่ภาษา หรือคุณพูดภาษาอะไรได้บ้าง (ประโยคนี้พูดได้หลายแบบมาก)
    How long have you been in Thailand? คุณอยู่เมืองไทยนานแค่ไหนแล้ว
    When did you come to Bangkok? คุณมากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไหร่ (หากรู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องถามนะครับ)
    What are you doing? ขณะนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ แต่หากอยากจะถามว่า คุณทำงานอะไร ควรจะถามว่า What do you do? แต่หากเดาได้ว่าฝรั่งคนนี้มีงานทำแน่นอน ถามไปเลยครับว่า What's your job?
    Have you ever been to Hua Hin or Chiang Mai? คุณเคยไปหัวหิน หรือเชียงใหม่หรือยัง?
    Who are you waiting for? กำลังคอยใครอยู่เหรอ
    You do have time? คุณว่างหรือเปล่า? บางครั้งก็หมายถึง กี่โมงแล้ว
    Excuse me. I want some information? ขอโทษครับ ผมอยากจะทราบอะไรสักหน่อย
    What does this word mean? คำนี้มีความหมายว่าอะไร? What's the meaning of this word? ความหมายของคำนี้คืออะไร? How do you pronounce this word? คุณออกเสียงคำนี้ว่าอะไร? Is this expression often used? คำพูดนี้ใช้กันทั่วไปหรือเปล่า?
    Have you got any suggestions? คุณมีคำแนะนำบ้างไหม?
    What did you say? คุณพูดว่าอะไรนะ ส่วนมากจะใช้กับเพื่อนนะครับ แต่หากเป็นคนที่มีอายุ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ ควรใช้คำว่า Sorry. หรือ Please say that again. หรือ Please slowly. Could you say that again? จะเหมาะสมกว่า
    หากมีฝรั่งมาถามทาง มีหลายกรณี ที่เราอาจจะบอก ในกรณีนี้ผมจะพูดในกรณีที่เราไม่รู้นะครับ
    I'm sorry. I'm stranger here myself. เสียใจครับ ผมเองก็เป็นคนต่างถิ่น
    I'm sorry. I don't know. ต้องขอโทษนะครับ ผมไม่ทราบ (อย่างน้อยๆ เราก็ไม่ได้เดินหนีและยิ้มให้อย่างเดียว)
    If there's anything I can do, please don't let me know. หากมีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้ ไม่ต้องบอกให้ผมทราบก็ได้นะครับ. (เพื่อนคนไหนเก่งไวยากรณ์ก็ช่วยแก้ให้ผมด้วยนะครับ)

    สุดท้ายท้ายสุด หากมีสิ่งอื่นใดที่ผิดพลาด ผมขอน้อมรับในความด้อยปัญญาของผมเอง และสิ่งที่ผมได้นำเสนอ ถือได้ว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนที่ต้องการรู้ ส่วนสำหรับท่านที่รู้แล้ว จงคิดเสมอนะครับว่า การที่เรารู้ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนทั้งโลกจะรู้เหมือนเราทั้งหมด หากไม่อย่างนั้นเมืองไทยก็คงไม่มีสถาบันเรียนภาษาอังกฤษหรอกครับ (ถ้าคนไทยรู้เหมือนอย่างท่าน) หากเพื่อนๆ มีประสบการณ์อะไรที่ดีมีประโยชน์ ก็แบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้คนอื่นได้รู้บ้างนะครับ อย่างน้อยๆ การให้แสงสว่างคือปัญญา ก็คือความสุขใจของเรา แลกกับการให้เพื่อนๆ ได้รู้ในสิ่งที่เราอาจจะได้รู้มาแล้ว

    Success or Failure depends chiefly on your own effort. ความสำเร็จหรือความล้มเหลว ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวท่านเอง

    เห็นท่าจะไม่ค่อยดี เพราะโม้มาเยอะแล้ว ต้องขอโทษสำหรับท่านใด ที่อาจจะบ่นว่า ทำไมมันเขียนเยอะจังฟะ ต้องขอโทษอย่างแรงนะครับ See you แล้วปะกั๋นใหม่ (ปะกั๋น = พบกัน)

    ขอบคุณแหล่งที่มาของรูปประกอบด้วยนะครับ เว็ปบร์อด MThai By คุณ Noo_nes
    ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่หน้าตาขี้เหร่

    เป็นการยากอย่างมากครับ ในการที่จะเขียนกระทู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ซึ่งมีขีดจำกัดเพียงไม่กี่หน้า แล้วจะให้คนรู้อย่างที่เรามุ่งหวังเพียงระยะสั้นๆ แค่ไม่กี่นาที เพราะการเรียนภาษาอังกฤษอย่างที่เรารู้ๆกันดีว่า เราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อยู่ อนุบาลหมีน้อยๆ จนกระทั่ง ป.ตรี บางคนแม้เรียนในระดับปริญญาโทแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังเรียนไม่เข้าใจ และยังใช้การไม่ได้ ผมเองก็เคยถามตัวเองบ่อยๆว่า ทำไมผมไม่มีแฟน ไม่ใช่ครับ ทำไมผมจึงใช้เวลามากมายเกือบทั้งชีวิตเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่วิถีชีวิตแต่ละวัน อย่างน้อยๆ ก็พบเจอฝรั่ง (ในหนัง) ทั้งได้เจอและได้อ่านภาษาอังกฤษทุกวัน ตามถนนหนทาง ตามสื่อต่างๆ แต่ดูเหมือนว่า ผมไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์เลย

    บางศัพท์เป็นศัพท์ที่เราเจอบ่อยๆในชีวิตประจำวัน แต่เราก็ไม่เคยใส่ใจ และไม่อยากรับรู้ด้วยซ้ำไป เพราะหันหน้าไปทางไหน มีแต่คนหัวดำ จะหาหัวเหลืองสักคนที่พอจะพูดคุยด้วยสักคนแทบไม่ค่อยมี แต่คนไทยที่ทำงานบริษัทฝรั่ง เรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติ ก็ย่อมได้เปรียบกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพราะวิถีชีวิตมันบีบให้ต้องพูด การพัฒนาภาษาย่อมดีกว่าคนที่อยู่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยทั่วไป อย่างแน่นอน

    ปัจจุบันการทำงานในภาคเอกชน ร้อยละ 80 ภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญมาก หากคุณไม่รู้เรื่องเลย โอกาสหน้าที่การงานอาจจะมีทางตัน ส่วนคนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้ อนาคตทางการงานอาจจะสดใสกว่า ถึงแม้เราจะเป็นเจ้าพ่อ หรือเจ้าแม่ในสำนักงานก็ตาม ดังนั้น เราจึงไม่ต้องแปลกใจหากบางบริษัท มีหัวหน้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกเขย ลูกสะใภ้ เพราะเหตุฉะนี้แล ภาษาอังกฤษจึงเริ่มมีอิทธิต่อ....มนุษย์เงินเดือน แม้กระทั่งพนักงานส่งเอกสาร บางบริษัทก็สอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ !

    --------------
    วันนี้ผมมี 2 ตอน มานำเสนอ
    1.ภาษาอังกฤษที่เรามักมองข้าม
    2.เทคนิคเล็กๆน้อย(กำลังใจสำหรับคนที่กำลังท้อ)
    --------------

    ปกติผมก็ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องผัวๆเมียๆ เวลาเขาทะเลาะกันเท่าไหร่หรอกครับ แต่ชอบฟังเวลาเขาทะเลาะกันมากกว่า บ่อยครั้งที่ผมได้ยิน ผู้หญิงไทยที่มีแฟนฝรั่ง เวลาทะเลาะกัน ฟังหล่อนด่าฝรั่งก็ดูน่ารักดี
    Don't come in. Now, you are beautiful. You are animal. I hate you. Go away. You are buffalo บางรายยังไม่สาสมแก่ใจ You are buffalo no r. If you want to go anywhere, up to you. Tonight, don't comeback.
    ผมจะลองแปลดู... "อย่าเข้ามานะ เดี๋ยว มรึงสวย อ้ายสาด กรูเกลียดมรึง ไปให้พ้นนะ อ้าย..กระบือ ไม่มี สระ อา. อยากไปไหนก็ไปเลย เชิญเลย คืนนี้ห้ามกลับมา" หากแปลไม่ถูก ก็ต้องขอประทานอภัยด้วยแล้วกัน

    ผมไม่รู้ว่าฝรั่งจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ชายนัยน์ตาเศร้าอย่างผม ฟังรู้เรื่องทุกคำ ฟังทุกคำก็ต้องสะดุ้งทุกคำ แต่ฝรั่งผมบางเกาหัว It is impossible. เป็นไปไม่ได้ แต่อย่าด่าฝรั่งว่า ไอ้ลา นะครับ (donkey หรือ ass) วัฒนธรรมการด่าไม่เหมือนกัน

    การพูดภาษาอังกฤษก็อย่ากังวลเรื่องไวยากรณ์ให้มากนะครับ เพราะจะทำให้เรากังวลแต่เรื่อง ประธาน กริยา กรรม อาจจะทำให้เราพูดผิดพูดถูก เพราะการสนทนาบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องมีประธานเลย เพราะอยู่ที่เงื่อนไขของคนสองคนคุยกันว่าจะรู้เรื่องหรือเปล่า?


    อันที่จริงประโยคที่ผมเสนอต่อไปนี้ หากคนที่เรียนอยู่ในระดับมัธยม อาจจะคิดว่ามันง่ายมาก แต่สำหรับคนที่จบโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยๆ ไปนานๆ อาจจะหลงๆ ลืมๆ นำไปใช้ผิดๆถูกๆ ก็มี การไม่ได้นำไปใช้บ่อยๆ บางครั้งก็อาจจะทำให้หลงๆ ลืมๆ ได้ครับ วันนี้เรามารื้อสนิมความจำกันหน่อย มาเรียนภาษาอังกฤษแบบเบริ์ดๆ (สบายๆ) กันดีกว่าครับ

    ตอน 1 ภาษาอังกฤษที่เรามักมองข้าม

    1.เดี๊ยน / ผมขอฝากข้อความได้ไหม? Could I leave a message?
    My name is…บุญเปิง…Could you tell him /her I called? I will call back later. ผม / เดี๊ยน ชื่อ บุญเปิง หรือ คำเฉื่อย (ชื่อของคุณ) ช่วยบอกเขา / เธอ ด้วยว่าผมโทรมาได้ไหมครับ แล้วผม / เดี๊ยนจะโทรกลับมาอีก เป็นคำที่หลายคนอยากรู้ เพราะอาจจะได้ใช้กับเพื่อนชาวต่างชาติ หรือเวลาโทร.ไปแล้วเขาไม่อยู่

    2.เมื่อเดือนที่แล้ว มีคนเมล์มาถามผมว่า เกรงใจ (to be reluctant to bother someone. หรือ not to want to impose on someone.) และ กตัญญู Grateful หรือ Obliging หมายถึง knowing the done favour. ภาษาอังกฤษว่าอะไร ผมเองก็ต้องบอกตามตรงว่า ผมเองก็ไม่เคยใช้เลย ก็เลยเก็บคำถามนี้ และพาร่างกายอันบอบบาง แต่ไม่อ่อนแอ ไปถามอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่ายังไม่ว่าง ขอเวลาไปจีน 3 อาทิตย์ แล้วจะกลับมาบอก....ดังนั้นผมจะเก็บคำถามนี้ มาตีหน้าเศร้า เล่าให้ฟัง หลังจากนี้อีก (ประมาณหรืออาจจะมากกว่านี้) 3 อาทิตย์ รอให้อาจารย์ผมกลับมาก่อน
    I'm thankful for your help. ควรจะใช้คำว่า I' m grateful for your help. คำว่า Grateful จะมีน้ำหนักและสุภาพกว่า thankful อย่างมาก
    -------------
    เวลาฝรั่งถามคนไทยว่าพักอยู่ที่ไหน คนไทยบางคนชอบบอกว่าอยู่ แมนชั่น mansion ซึ่งแปลว่า คฤหาสน์ ซึ่งก็อาจจะทำให้ฝรั่งบางคนตาค้าง ในความรวยของเรา Mansion? ซึ่งเป็นศัพท์ที่คนไทยเอามาใช้แบบผิดๆ ถึงแม้ว่า หน้าหอพักเราจะเขียนว่า แมนชั่นก็ตาม หากมีคนถามก็บอกว่า Flat หรือ Apartment จะดีกว่าครับ. สำหรับคนอื่นผมไม่ทราบนะ แต่สำหรับผม มักจะโดนฝรั่งเตือนบ่อยๆ ว่า คุณไม่ควรใช้คำนี้.

    3. มีอีกประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างมีปัญหากับคนไทยเยอะนั่นก็คือ ประโยคให้คนอื่นทำ.......ซึ่งเราไม่ได้ทำเอง เช่น I have made a new suit ฉันได้ตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ 1 ผืน หากดูตามประโยคก็ไม่น่าผิด แต่ประโยคแบบนี้แหละครับที่เรามักใช้ผิด เพราะเราตัดเสื้อผ้าเองไม่ได้ แต่ประโยคที่ถูกกลับเป็นในรูปของ I have had a new suit made. เช่นเดียวกับ I cut my hair yesterday. แต่ประโยคที่เรามักจะได้ยินฝรั่งพูดกันนั่นก็คือ I had my hair cut yesterday. อีกตัวอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไปถอนฟัน I had a rotten tooth pulled out yesterday.
    และตามด้วยGo to the movies ไปดูหนัง เป็นภาษาอังกฤษ แบบอเมริกัน
    Go to the cinema ความหมายเหมือนกัน แต่ใช้แบบอังกฤษ แบบอังกฤษ ชอบแบบไหนก็นำเอาไปใช้ได้ครับ


    4. Pull และ Push เวลาไปตามร้านซึ่งจะมีคำนี้ติดเอาไว้ประตูกระจก เคยสงสัยไหมว่า สองคำนี้หมายความว่าอย่างไร
    Pull ซึ่งมีความหมายว่า ดึง Please pull the door. กรุณาดึง Door.
    Push ซึ่งแปลว่า ผลัก Please push the door open. กรุณาผลัก Door ให้เปิดออก
    ซึ่งบางร้านก็ใช้คำว่า ผลัก และ ดึง เป็นภาษาไทยติดเอาไว้เลย เพื่อไม่ให้ลูกค้า งง ??? เพราะบางคนชอบดันอย่างเดียว ไม่ชอบดึง หากชอบลืมบ่อยๆ อยากให้นึกถึงจังหวัดเลยเอาไว้ครับ นั่นก็คือ ภู กะ ดึง ( Pull – ดึง) เห็นไหมหละครับ ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว

    5. May be กับ maybe
    Maybe ตัวนี้ใช้เหมือน perhaps บางที เช่น Maybe the meeting will be cancelled. บางทีการประชุมอาจจะถูกยกเลิกนะ
    May be ตัวนี้ ใช้เป็น กิริยา เช่น The meeting may be cancelled.การประชุมอาจจะถูกยกเลิก

    6.มีบ่อยครั้งที่เรามักจะงง กับ กริยาประเภทที่มักจะแปลว่า ทำให้.... เช่น interest, interesting, interested, etc. ซึ่งทำให้บางคนแปลผิด และพูดผิดบ่อยๆ

    6/1.ศัพท์จำพวกนี้ได้แก่ Interest สนใจ bore เบื่อ confuse สับสน delightยินดี please พอใจ puzzle งง convince เชื่อ tire เหนื่อย etc. หากพบอยู่ในรูปแบบธรรมดา โดยไม่มี -ing หรือ -ed ต่อท้าย ให้แปลว่า ทำให้.....เช่นคำว่า This picture interest me. รูปนี้ทำให้ผมสนใจ กริยาตัวอื่นก็เหมือนกันครับ

    6/2.กริยาจำพวกนี้หากเติม ing ต่อท้าย ต้องแปลว่า น่า........เช่น คำว่า boring (ซึ่งคนค่อนข้างใช้ผิดเยอะ) My wife is boring. เมียของผมน่าเบื่อหน่าย (แต่หากจะบอกว่าผมเบื่อ ต้องใช้ คำว่า I am bored. ไม่ใช่ I am boring. ผมเป็นคนน่าเบื่อหน่าย) This book is interesting. หนังสือเล่มนี้น่าสนใจ This Japanese movie is interesting. หนังญี่ปุ่นเรื่องนี้เข้าท่าแฮะ อีกตัวอย่างหนึ่งนะครับ I have read an interesting story. ผมอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจ exciting หมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราตกใจ เช่น The football match was so exciting. ฟุตบอลนัดนี้ตื่นเต้นอย่างมาก หรือเร้าใจอย่งมาก

    6/3.กิริยาจำพวกนี้ หากเติม -ed ต่อท้าย ให้แปลธรรมดา คือ I am interested in this Japanese movie. ผมสนใจหนังญี่ปุ่นเรื่องนี้ และ Are you interested in this work (job)? คุณสนใจงานนี้หรือเปล่า? Excited ก็เหมือนกันครับ เช่น She was so excited. หล่อนตกใจ (ตื่นเต้น) อย่างมาก.

    7.Dear กับ My dear มีบ่อยครั้ง ที่คนไทย (โดยเฉพาะสาวไทย) เวลาได้รับจดหมายจากฝรั่ง เวลาเห็นคำขึ้นต้นจดหมาย Dear มักจะคิดว่า คำนี้แปลว่า ที่รัก แต่อันที่จริง คำนี้ว่า แปลว่า คุณ......เช่น Dear บุญเปิง คุณบุญเปิง ซึ่งคำนี้มักจะใช้กับคนที่อาวุโสกว่าเรา หรือบ่อยครั้งที่ใช้เขียนจดหมายหาครูอาจารย์มักจะใช้คำว่า Dear sir, Dear Madam, หรือ Dear Roy, ค่อนข้างออกไปทางเคารพ แต่หาก My dear คำหล้า.....คำหล้าที่รัก ซึ่งมักจะใช้กับคนรักมากกว่า ดังนั้นเมื่อเห็น Dear ก็อย่าเพิ่งมอบหัวใจให้กับเขาก่อนนะครับ จนกว่าเขาจะใช้คำว่า My dear หรือ My honey ซึ่งแปลว่า ที่รัก

    8. I have no more to say. ผมไม่มีอะไรจะพูดอีก คือไม่รู้จะพูดอะไรอีก
    ไม่ใช่ I no have to say. ผมไม่รู้จะพูดอะไร จะได้ยินบ่อยๆ กับคำนี้ I no have money. ผมไม่มีตังค์ (ในภาษาอังกฤษมีประโยคค่อนข้างเยอะหากจะบอกว่าไม่มีเงิน แต่ความหมายจะแตกต่างกันไปว่า มีมากหรือมีน้อยแค่ไหน) ฝรั่งบางคนก็ชอบพูดว่า I have no dosh ผมไม่มีตังค์

    9.เรามักจะยินบ่อยๆ เวลาคนไทยบอกว่า คนโน้นคนนี่ติดเหล้า เรามักจะพูดว่า He is Alcoholism ซึ่งก็มีความหมายคล้ายๆ กับ I am Buddhism นั่นแหละครับ คือเราเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้เหมือนกัน หากจะพูดต้องบอกว่า He is an alcoholic. เขาติดเหล้า

    10. practice vs practise
    practice เป็นคำนาม ตัวอย่างเช่น We need to put these ideas into practice.
    practise เป็นกิริยา เช่น To learn English well you have to
    practise. (นี้เป็นกฎตามภาษาอังกฤษแบบอังกฤษนะครับ หากเป็นแบบอเมริกันก็ใช้ practice และมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ในภาษาอังกฤษ รูปแบบของนามจะอยู่ในรูปของ ......ice ส่วน รูปแบบของกิริยาจะอยู่ในรูปของ ....ise.

    advice vs advise ก็เช่นเดียวกันครับ เช่น Advice เป็นนาม ซึ่งหมายถึงความคิดเห็นบางอย่างที่ใครก็ได้ให้เรา สิ่งที่เราต้องทำ หรือควรจะทำ For example: "I need someone to give me some advice." ผมต้องการใครสักคนที่พอจะให้คำปรึกษาผมได้
    Advise เป็นกิริยา ซึ่งหมายถึงการปรึกษาหรือขอคำแนะนำ : "I advise everybody. ผมปรึกษาทุกคน


    11. "How do you do?" vs "How are you?"
    How do you do? หลายคนมักจะคิดว่าเป็นประโยคคำถาม อันที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ซึ่งมีความหมายเท่ากับคำว่า Hello. หรือ Pleased to meet you. นั่นเอง โดยปกติเราจะใช้ประโยคนี้ เมื่อเราพบใครบางคนเป็นครั้งแรก. เช่น How do you do? Handsome. สวัสดี สุดหล่อ How do you do? ตอนเป็นเด็กผมชอบออกเสียงว่า อ้าว ดู ก็ ดู
    ส่วน How are you? ประโยคนี้เป็นคำถาม และต้องการคำตอบในตัวของมันเอง เช่น How are you? I am good. หรือ I am fine. Thank you and you?

    12. Good vs Well
    Good เป็น adjective เราใช้ good เมื่อเราต้องการทราบเกี่ยวกับคุณลักษณะของคำนาม เช่น She didn't speak very good English. Her English isn't very good.
    ส่วน Well เป็น adverb เราใช้เมื่อต้องการทราบบางสิ่ง หรือคุณลักษณะที่เกี่ยวกับกิริยา เช่น She didn''''t speak English very well.
    If you say "You look good." It means they look attractive.
    If you say "You look well." It means they look healthy.

    13. Borrow vs lend มีคนไทยบางคนนะครับ ยังสับสนกับสองคำนี้อยู่ว่า มันต่างกันอย่างไร borrow หมายถึง ยืม เช่น Can I borrow your some money. ผมพอจะยืมเงินคุณได้ไหม? (ซึ่งเป็นอะไรที่คนไทยชอบยืม) ส่วน Lend หมายถึงให้ยืม ซึ่งพวกโรคจิตชอบใช้ Please lend me your underwear for 3 days. (ลักนั่นแหละ) กรุณาให้ผมยืมลิงคุณสัก 3 วัน Please don't forget to return me my underwear and bra

    14.มีอีกประโยคหนึ่งที่เรามักจะใช้ผิดบ่อยๆ ถึงแม้ประโยคจะใกล้เคียงกัน แต่ความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั่นก็คือ
    1.go to bed ไปและนอน (เช่น I am going to bed เดี๊ยนกำลังจะเข้านอน หรือกำลังจะไปนอน) go to the bed ไปแต่ไม่ได้นอนอาจจะเข้าไปเอาฟันปลอมที่ลืมถอดเอาไว้หัวเตียง ซึ่งจะพบบ่อยในประโยคเช่น
    Go to temple-go to the temple.
    Go to prison-go to the prison.
    Go to market-go to the market.
    Go to sea-go to the sea.
    Go to hospital- go to the hospital.
    Go to school-go to the school. (ผมเคยเสนอตอนนี้ไปแล้ว แต่ไม่ค่อยละเอียด)

    15. สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้เราฟังสิ่งที่ฝรั่งพูดไม่เข้าใจ อาจจะเป็นเพราะ มีศัพท์บางคำที่ค่อนข้าง ใกล้เคียงกันมาก (หากพูดไวๆ) อาจจะทำให้เราฟังไม่รู้เรื่อง สับสน ที่ค่อนข้างพบบ่อยนะครับ เช่น
    1.)foreword, forward, 11. lessen, lesson.
    2.) incidents, incidence 12. once, wants,
    3.) may be, maybe, 13. passed, past
    4.)poor, pore, pour, 14. plain, plane,
    5.)volume, volumn 15. principal, principle
    6.)which, witch, 16. quiet, quite
    7.)whos, who''s, whose 17. to, too, two, toe, tow,
    8.)allusion, illusion, 18. wander, wonder
    9.)choose, chose, 19. weather, whether,
    10.) it''s self, itself 20. say, se, เป็นต้น.
    21.) accept, except, 24. farther, further,
    22.)access, assess, 25. strait, streight, straight
    23.) scene, seen, 26. know, no,
    27.)vary,very 28. live, leave
    29.)rice, lice ส่วนมากประโยคนี้เรามักจะพูดผิด I eat lice. ผมกินเหาหรือเห็บ เป็นต้นครับ
    สิ่งที่จะช่วยให้เราจำแนกแยกแยะได้ นั่นก็คือ การฝึก การฝึก และการฝึกฝน และฟังบ่อยๆ ครับ เพราะสำเนียงบางกลุ่มใกล้เคียงกันมาก แต่ความหมายอาจจะแตกต่างกันไป และเราก็ต้องเดาเอาเองว่า ขาเมาเรา ไม่ใช่ ขาเม้าท์เรา กำลังคุยเรื่องอะไร แต่ก็มีบางครั้งที่อาจจะทำให้การสนทนา มึนได้ หากเรายังไม่เก่ง เพราะสระบางตัวในภาษาอังกฤษ คนไทยจำนวนมากไม่คุ้นเคยลิ้น


    16.ใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว อีกหน่อยเราอาจจะได้พูดว่า บ้านหลัง / สำนักงานนี้ร้อนชะมัด อย่าพูดว่า It's too much hot in this house / office. แต่ควรจะพูดว่า It's too hot in this house/office. ดีกว่าครับ

    17.ฉันไม่ชอบแฟนชั่นสมัยนี้เลย ไม่ควรพูดว่า I don't like nowadays fashions. แต่ควรจะบอกฝรั่งว่า I don't like today's/ modern fashions. หรือ I don't like today's uniforms of students.

    ตอน 2 เทคนิคที่ธรรมดา แต่ไม่ค่อยธรรมดา(กำลังใจเรียนภาษาอังกฤษ)

    มีคนเมล์มาถามผมเยอะมาก ต่อคำถามที่ว่า "เฮ็ดจั่งได๋ ผม / เดี๊ยน จะเรียนภาษาอังกฤษเก่ง" มีคนไทยเป็นจำนวนมาก ที่สูญเสียวันและเวลากับคำถามเหล่านี้ บางคนอาจจะทั้งชีวิต เหมือนคนที่ขาดที่พึ่งทางใจ และพยายามเที่ยวหาคำตอบให้กับตัวเอง และเที่ยวหาซื้อหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเพื่อหาทางออกให้กับความสงสัยของตัวเอง ว่าเฮ็ดจั่งได๋ ภาษาอังกฤษตัวเองจะดีขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นเช่นนี้ หนังสือภาษาอังกฤษเต็มตู้ แต่หนังสือพวกนั่นไม่มีประโยชน์กับผมเลย ขอแก้คำพูดใหม่ ครั้นจะบอกว่าไม่มีประโยชน์เลยก็ดูกระไรอยู่ แต่อย่างน้อยๆ ผมก็ได้รู้กระบวนการที่ถูกต้องว่าควรจะทำเช่นไร แต่ในด้านปฏิบัติ ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย เพราะทั้งหมดมันเป็นแค่ทฤษฎีที่อยู่แค่ในหนังสือ แต่กระบวนการที่แท้จริงในการเรียนภาษาก็คือ "ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก หากมีโอกาสก็นำไปใช้" ต่อให้คุณอ่านหนังสือกี่ร้อยกี่พันเล่ม เทคนิคการเรียนภาษาให้ได้ผล หากสรุปแล้ว ก็มีเท่านี้เองหละ นอกเหนือจากนั้น คนเขียนก็พยายามโม้ให้เราฟัง เพื่อขายหนังสือ เหมือนผมตอนนี้เป็นต้น อิอิ คนอื่นโม้แล้วได้ตังค์ แต่ผมไม่ได้ตังค์ แต่ได้บุญ

    บางครั้งเราอาจจะเคยแอบอิจฉาใครต่อใครที่พูดภาษาอังกฤษเก่ง เขาทำอย่างไรถึงเก่งภาษาอังกฤษ? เห็นคนอื่นพูดได้ ก็อยากพูดเก่งเหมือนกับเขาบ้าง แต่เรามักจะมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป นั่นก็คือ กระบวนการเรียนรู้ การที่เราเห็นคนบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ดี ไม่ใช่ เขาหลับแล้วตื่นขึ้นมาพูดได้เลย แต่ที่เขาพูดได้เก่งเช่นนี้เพราะเขา ฝึก ฝึก และก็ฝึก อาจจะเป็นเพราะคนไทยส่วนมาก ไม่ชอบอะไรที่มันได้มาลำบาก บางคนอยากได้เพียงแค่ระยะสั้นๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การเรียนภาษาใดๆในโลกนี้ ไม่มีใครเขาเรียนกันแค่ 3-4 เดือนแล้วรู้เรื่องทุกอย่าง มันจะต้องใช้เวลา (นาน) บางคนอาจจะใช้เวลา 4-5 ปี บางคนอาจจะใช้เวลาทั้งชีวิต!!

    เราอยากรู้ว่าแกงชนิดนี้ อร่อยหรือไม่ เราก็ต้องชิมเอง จะไปถามคนโน้นคนนี่ว่า แกงอันนี้อร่อยบ่ แซบบ่ ไม่ได้ ต้องชิมเอง ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ ส่วนมากเรามักจะมองเห็นแต่ผลสำเร็จของคนอื่น แต่เรามักไม่เคยมองถึงกระบวนการเรียนรู้ ที่คนอื่นเขาเรียนมา เหมือนแกงบางชนิด ไม่เคยมีใครสนว่าพ่อครัวจะใส่และปรุงอะไรบ้าง มีวิธีและกระบวนการทำอย่างไรที่ทำให้แกงชนิดนี้อร่อย รับผลอย่างเดียว คือ ทาน และให้คำติชมว่า อร่อยหรือไม่อร่อย บางคนเห็นคนอื่นพูดได้ดี อยากเป็นเหมือนกับเขาบ้าง ยิ้มหวานอยู่คนเดียว...ฝันกลางวัน...... รู้ไหมเอ่ย ! บางคนเขาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต กว่าจะได้อย่างที่เราเห็น บางคนพอใครพูดแทงใจดำหน่อย ก็ขยันขึ้นมาทันทีทันใด ส่วนมากไม่เกิน 1 อาทิตย์ หลังจากนั้น พอเตาแก๊ส (ถ่าน) หมด ......เก็บหนังสือ เก็บเทปภาษาอังกฤษ เอาไว้ในตู้ แล้วภาษาอังกฤษจะดีได้อย่างไรครับ ท่านผู้อ่านอันเป็นที่รัก (ของคนอื่น) และลักษณะของคนไทยอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ หากใครพูดผิด ก็ชอบหัวเราะ หรือหากใครพูดภาษาอังกฤษก็คอยจ้องจับผิดคนอื่น ภาษาเขามีเอาไว้ให้สื่อสาร ให้คนมีแนวความคิดไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้แบ่งชนชั้นว่าภาษาฉันดี ภาษาหล่อนแย่มาก เราจะเห็นว่า เวลาฝรั่งฟังเราพูด จะไม่ค่อยเห็นฝรั่งหัวเราะเพราะเขาสนใจในเนื้อหาที่เราพูดมากกว่า แต่ตรงกันข้าม หากฝรั่งพูดภาษาไทยผิด พี่ไทยหัวเราะ ขำกัน (มันเป็นความน่ารักของคนไทย)

    ผมกล้ายืนยันนอนยันและนั่งยันได้เลยว่า อุปสรรค อย่างใหญ่หลวงในการเรียนภาษาอังกฤษ อาจจะมีแตกต่างกันไป แต่ที่เป็นแม่บทของการเรียนภาษาอังกฤษได้ช้าหรือไม่ได้อย่างที่ใจเรามุ่งหวังนั่นก็คือ ความขี้เกียจ สั้นๆ แต่ได้ใจความ ความขี้เกียจนี้แหละครับ ที่ทำให้ใครบางคน ไม่อาบน้ำ ขอนอนอีกนิดแล้วค่อยไปเรียน ขออีกสัก 5 นาทีน่าแล้วค่อยตื่น ไม่อยากแปรงฟัน ฯลฯ ความขี้เกียจนี้แหละครับ ที่เป็นข้ออ้างทำให้เรามีข้อแก้ตัวร้อยแปดพันเก้า ที่จะไม่เรียนภาษาอังกฤษ บางคนต้องมีแรงจูงใจถึงจะเรียน เงิน หน้าที่การงาน ไงหละครับ ไม่มีอะไรที่ทำให้ความขี้เกียจสลายตัวได้เพราะเงิน.........หน้าที่การงาน เราต้องฝืนใจไปทำงานก็เพราะเงิน ในทัศนะความคิดของผมนะครับ การที่เราเรียนภาษาอังกฤษจะเป็นจะตายก็เพราะเป้าหมายในชีวิตคือหน้าที่การงานที่ดี น้อยมากที่เรียนเพราะอยากรู้ ส่วนมากมีเป้าหมายไปที่ การจะมีหน้าที่การงานที่ดีกว่า แล้วหลังจากนั้น อาจจะเป็นเรื่องความรู้ ลองลงมา (ขอโทษที่พูดตรงเกินไป)

    คาถาของการที่จะเรียนภาษาอังกฤษสำเร็จนั่นก็คือ " ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก" ...หากมีโอกาสก็นำไปใช้บ้าง และคุณจะต้อง......มีใจ ให้ครบ ทั้ง 4 อย่าง ศัพท์ทางพระเรียกว่า อิทธิบาทสี่ (สาธุ) แต่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Basis for success พื้นฐานหรือรากฐานของความสำเร็จ แอ่น แอ้น....น คือ

    1.มีใจที่อยากจะเรียน (Aspiration)

    2.ตั้งใจที่จะเรียน (Exertion) เพราะเห็นเป้าหมายในชีวิต ลางๆ ว่า หากเรียนจบ อย่างไรก็ไม่ตกงานแน่ๆ และมีหน้าที่การงานที่ดี เมื่อมีหน้าที่การงานที่ดี เงินก็มา แฟนก็มา คือมีแรงจูงใจที่ดี ก็สามารถชักนำให้มีความตั้งใจที่อยากจะเรียนได้

    3.สุขใจที่จะเรียน (Active thought) ไม่ใช่เรียนเพราะคุณแม่ขอร้อง แต่เรียนเพราะใจรัก บางคนเรียนเพราะมีแฟนเป็นฝรั่ง อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ ดีในที่นี้หมายถึงการพัฒนาอาจจะดีกว่าคนอื่นๆ อย่าเข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นนะครับ

    4.หมั่นตรึกตรองหรือทบทวน (Testing) บ่อยๆ เป็นต้นว่า ถ้าอยากเก่งไวยากรณ์ ก็ต้องเขียนบ่อยๆ หากอยากพูดเก่ง ต้องพูดให้มากๆ ใครจะบอกว่า ยัยนี่บ้า หมอนี่บ้า แรด ก็ไม่ต้องไปสนครับ หากอยากได้ยินเสียงตัวเองก็ลองพูดคนเดียวในห้องน้ำ และพิจารณาเสียงตัวเองตามความเป็นจริงนะครับว่า ใกล้เคียงหรือยัง คนบ้าๆ แบบนี้แหละครับ ที่จะเก่งภาษาอังกฤษ และพัฒนาได้ไวกว่าคนขี้อาย ความขี้อายไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ แต่บางครั้งความขี้อายก็เป็นอุปสรรคของการเรียนเหมือนกัน หากภาษาอังกฤษไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนแล้วทำให้คนพูดได้ ผมว่า ป่านนี้ครูสอนฝรั่งคงตกงานหมดแล้วหละครับ

    เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ามัวรอให้พระอาทิตย์ขึ้นให้เสียเวลาอีกวันหนึ่งเลยครับ มีเทปภาษาอังกฤษอยู่ที่ไหน มีหนังภาษาอังกฤษอยู่ที่ไหน (หากไม่มีก็ไปเช่ามา) ฟังบ่อยๆ แล้วฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัยเหมือนอย่างที่เรากินข้าว ทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง หรือหากขี้เกียจเยอะก็ทำวันละ 30 นาที แต่ต้องทำทุกวันนะครับ หากชอบประโยคไหนก็ลองพูดตาม ช่วงแรกๆ อย่าไปกังวลให้มาก หากเราฟังไม่ออก มึนไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่าเราหวังมากเกินไป จงเรียนให้สนุก อย่าให้มีอะไรมากดและดัน อย่างน้อยๆ คุณก็เริ่มนับ ศูนย์ แล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่ต้องไปกลัวหรืออายเด็ก หากเราพูดไม่ชัดหรือสำเนียงแปร่งๆ ความสำเร็จย่อมเริ่มมาจาก ศูนย์ หากคุณไม่นับจากศูนย์ แล้วคุณจะถึง 10 ได้อย่างไร เหมือนอย่างสุภาษิตที่เขากล่าวเอาไว้นั่นแหละครับ "ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ก้าวเดียว ก็เหมือนไกลพันลี้ หากเราไม่ก้าวไปหามัน" "กรุงเทพไม่ได้สร้างเสร็จเพียงแค่วันเดียว"

    การนิยามของการทำความดีก็คือ การทำอะไรที่มันฝืนใจตัวเองนั่นแหละครับ อยากจะเก่งภาษาอังกฤษ แต่ว่านะ........ก็คนมันขี้เกียจ ในเมื่อเราหิวข้าว แล้วไม่หยิบคำข้าวใส่ปากตัวเอง จะอ้อนวอนให้ใครป้อนคำข้าวให้ทุกวันครับ การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน หากเราไม่ใส่ใจ ในการที่จะใฝ่ศึกษาค้นคว้า ต่อให้มีครูดี จับมือเขียน ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครรู้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษดีเท่ากับตัวเราเอง หากรู้ว่าเราพูดไม่เก่ง อาจจะเป็นเพราะเราขี้อาย หรือเป็นคนไม่ชอบพูด ก็ต้องเปลี่ยนแปลงบุคลิกตัวเองเสียใหม่

    ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่างประเทศ แต่มีสตางค์น้อย มีเทป ซีดี อินเตอร์เน็ต วิทยุ หนังภาษาอังกฤษเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด อาจจะน้อยกว่าหนังโป๊นิดหน่อย จึงใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ อย่าให้มันใช้เรา มีคนไทยเป็นจำนวนมากที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองแล้วเก่งมีเยอะแยะไป อย่าหลอกตัวเองไปวันๆ ด้วยคำแก้ตัวต่างๆ นานา...หากคุณ ตั้งใจจริง ทำจริง ปฏิบัติจริงๆ อีกไม่นานคุณจะรู้ว่า ไม่มีภาษาอะไรที่คุณอยากจะเรียนแล้วเรียนไม่ได้ นอกจากคุณไม่อยากจะเรียนเอง
    ผมเห็นทีจะต้องไปแล้วหละครับ ไปแล้วใช่ไปลับ เดี๋ยวก็คงจะกลับ แต่คงนานหน่อย เพราะเห็นท่าไม่ค่อยดี มีบางข้อที่ผมก็อธิบายไม่ค่อยละเอียด รบกวนเพื่อนช่วยอธิบายเพิ่มด้วยแล้วกันนะครับ / หากมีพิมพ์ผิด ตกหล่น ต้องขอโทษอย่างแรง อย่างไรก็รักษาสุขภาพบ้างนะครับ คิดว่าอากาศที่เมืองไทยช่วงนี้ คงเข้าฤดูร้อนแล้ว อย่างไรก็อาบน้ำบ้างนะครับ เพื่อสุขภาพของเหงือกและฟันของคุณเอง Good bye for now. ไปหละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×