คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #217 : 10 เหตุผลที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช สุดยอด!!~
10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราช สุดยอด ┈━═☆
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช(Alexander) เป็นอีก 1 บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมาก มีภาพยนตร์เกี่ยวกับพระองค์ออกมามากมาย และชื่อเสียงของพระองค์ก็เป็นที่รู้จักทั่วโลก คิดว่าท่านเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก และมีชีวิตที่น่าสนใจสุดๆ พอเข้าไปเห็นหัวข้อ 10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นอย่างทุกวันนี้ ในเว็บไซต์ Livescience ก็สนใจเข้าไปอ่านทันที และแปลมาให้น้องๆ ได้อ่านกันอีกต่อด้วย จะได้รู้จักพระองค์มากขึ้นไงละ
10 ปรัชญาแบบอริสโตเติล
จะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนไหนที่โชคดีพอจะได้นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก อย่าง “อริสโตเติล” มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว ใช่แล้ว อเล็กซานเดอร์นั่นเอง เมื่ออายุได้ 13 ปี พระองค์ก็เริ่มเรียนหลักปรัชญากับนักปราชญ์คนนี้แล้ว และอริสโตเติลยังเพิ่มหลักสูตรดีๆ อย่างภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร และการแพทย์ให้พระองค์อีกด้วย อย่างนี้จะไม่เก่งยังไงไหวเนี่ย
9 ม้าชื่อ Bucephalus
พ่อของอเล็กซานเดอร์ซื้อม้าตัวนี้ให้กับพระองค์ และตั้งชื่อมันว่า บูเซฟาลุส (Bucephalus) ม้าตัวนี้มีราคาถึง 13 ทาเล้นท์ (1 ทาเล้นท์ในสมัยนั้นเท่ากับทองคำ 27 กิโลกรัม) และมันก็พยศอย่างน่ากลัวชนิดที่ไม่มีใครจับตัวมันได้ ตามคำบอกเล่าทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเมื่อเห็นบูเซฟาลุส อเล็กซานเดอร์เรียนรู้ทันทีว่าการพยศของมันเกิดขึ้น เพราะมันตระหนกกับเงาของตัวเอง (แปลกดีเนอะ) พระองค์จึงขี่มันตรงไปที่ดวงตะวัน เพื่อให้เงาของมันตกไปอยู่ทางด้านหลังตัว (มันจะได้มองไม่เห็นนี่เอง ฉลาดจริงๆ) เมื่อพระเจ้าฟิลิป พระบิดาเห็นเข้า ก็ตรัสออกมาว่า “อเล็กซานเดอร์ เจ้าคงต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่เท่ากับความทะเยอทะยานของเจ้าเสียแล้ว ข้าเกรงว่าอาณาจักรมาซีโดเนียคงจะเล็กเกินไปสำหรับเจ้า” ว่ากันว่าเจ้าม้าบูเซฟาลุสได้ออกเดินทางร่วมรบเคียงข้างอเล็กซานเดอร์จวบจนวาระสุดท้ายของมัน ซึ่งมันตายลงเพราะร่วมรบในสงครามปากีสถาน และสัตว์ที่มันต่อสู้ด้วยในครั้งนั้นก็คือ ช้าง
8 ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความโหดร้าย
พระเจ้าฟิลิป พระบิดาของอเล็กซานเดอร์ ถูกลอบสังหารจากคนสนิทของพระองค์เอง ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ในครั้งนั้นด้วยก็จริง แต่พระองค์ไม่สนใจคำครหา แต่มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับศัตรู และยังแนะนำให้พระมารดา พระนางโอลิมปิอัส (Olympias) ประหารชีวิตทารกชายคนล่าสุดที่เกิดจากพระเจ้าฟิลิป และนางสนมอีกด้วย อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากเมืองต่างๆ เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม และอย่างไร้ความเมตตาปรานีใดๆ พระองค์จัดการสังหารผู้คนกว่า 30,000 คนที่ต่อต้านพระองค์ พวกที่รอดชีวิตก็ถูกจับตัวเป็นทาส การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” และทำให้พระองค์สามารถกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ (แบบโหดๆ เนอะ)
7 “Phalanx” สไตล์การรบที่เพอร์เฟ็คท์ของกองทัพมาซีโดเนียน
แผนการรบที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดของชาวมาซีโดเนียน เรียกกันว่า “Phalanx” สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฟิลิป การรบนี้ใช้ทหารแบบ 16*16 ยืนรวมตัวกัน ทุกคนถือโล่ และ Sarisses ซึ่งก็คือ หอกที่มีความยาวถึง 20 ฟุต ทำจากไม้คอร์เนล แถวหลังของกองทัพจะถือหอกชี้ขึ้นฟ้า ส่วนแถวหน้าชี้หอกไปทางด้านหน้า และเมื่อเคลื่อนตัว กองทัพจะเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน ไม่มีแตกแถว ซึ่งนอกจากสไตล์การรบแบบ “Phalanx” อเล็กซานเดอร์ได้เพิ่มวิธีการรบ อย่างการใช้ไฟ นักธนู และการรบบนหลังม้า และด้วยสไตล์การรบที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้กองทหารของพระองค์ยิ่งใหญ่เหนือใคร ที่สำคัญคือตามปกติแล้ว ชาวมาซีโดเนียนจะหยุดรบในช่วงเก็บเกี่ยว แต่อเล็กซานเดอร์ทรงจ่ายเงินพวกทหารให้รบอย่างเต็มเวลา และนั่นทำให้กองทหารของพระองค์ต้องผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวด และกลายเป็นมืออาชีพด้านการรบยิ่งกว่าทหารจากดินแดนใด
6 การเดินทางผ่าน Hellespont
หลังจากครอบครองมาซีโดเนีย และกรีซ อเล็กซานเดอร์เริ่มมองการณ์ไกลถึงการครอบครองเอเชีย และจักรวรรดิเปอร์เซียน ซึ่งขณะนั้นปกครองโดยพระเจ้าดาเรียสที่สาม (Darius III) อเล็กซานเดอร์พร้อมด้วยทหารม้าชาวกรีก 5,000 คน และทหารเดินทัพ 32,000 คน บุกเข้าสู่เปอร์เซีย และข้ามช่องแคบที่คั่นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่มีชื่อว่า Hellespont (ตอนนี้เรียกกันว่า Dardanelles) และจากเรือพระที่นั่ง อเล็กซานเดอร์ขว้างหอกของพระองค์ลงสู่ชายหาด ทันทีที่พระบาทของพระองค์แตะผืนดิน พระองค์ดึงหอกนั้นออกจากทราย และประกาศว่านี่คือดินแดนที่พระองค์จะต้องเอาชนะด้วยหอกด้ามนี้
5 ผู้แก้ปมกอร์ดิอุส
จากการบอกเล่าของพวก Phrygians ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในตอนกลางของประเทศตุรกี พวกเขามีตำนานซึ่งพยากรณ์โดยนักพยากรณ์ชื่อดัง ที่ว่าผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ก็คือชายคนแรกที่นั่งเกวียนเข้ามาในเมือง และบุคคลผู้นี้ก็คือ กอร์ดิอุส (Gordius) ชาวนาผู้ยากจน หลังการสถาปนา กอร์ดิอุสได้อุทิศเกวียนที่เขานั่งมาแก่เทพเจ้าซีอุส และผูกมันไว้กับเสาด้านนอกวัดศักดิ์สิทธิ์ เชือกที่เขาผูกนั้นเป็นเชือกที่ว่ากันว่าเหนียวแน่นทนนาน และเชื่อกันว่าใครที่แก้ปมเชือกได้จะได้ครอบครองเอเชียทั้งทวีป อเล็กซานเดอร์ไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อพบว่าเชือกนั้นเหนียวแน่นกว่าที่พระองค์คิด ด้วยความโกรธจัด พระองค์ใช้ดาบตัดมันขาดออกจากกัน พร้อมประกาศว่า “ข้าคลายปมมันได้แล้ว” ("I have loosed it!") (ก็แหงละ พระองค์ตัดขาดเลยนี่นา - - “) หลังจากนั้น ปมกอร์ดิอุสได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รวดเร็วและไม่เน้นกรอบประเพณีนัก
4 เชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งเซอุส
หลังจากเอาชนะพวกเปอร์เซียนได้ในสงคราม Issus อเล็กซานเดอร์ตั้งใจจะเดินทางเข้าไปในอียิปต์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ปกครองโดยพวกเปอร์เซียนมากว่า 200 ปี ชาวอียิปต์ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก พวกเขาจึงดีใจมากเมื่ออเล็กซานเดอร์จัดการพวกเปอร์เซียนได้ และยกย่องพระองค์เป็นฟาโรห์เลยทีเดียว ในช่วงนั้นเอง วัฒนธรรมของอียิปต์ได้ผสมผสานกับกรีซ และมาซีโดเนียน และดำรงอยู่ต่อมากว่า 300 ปี และระหว่างที่อยู่ในอียิปต์ อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามทะเลทราย เพื่อไปยังแท่นบูชาที่ชื่อ “Zeus Ammon” ว่ากันว่าระหว่างการเดินทาง พระองค์ได้ผู้นำทางอย่างเหยี่ยว และยังได้รับพรจากสายฝน และที่ Zeus Ammon วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ บรรดานักบวชเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของเทพเจ้าเซอุส และไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ หรือพระองค์จะเป็นบุตรของเทพเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ความเชื่อนี้ก็ทำให้เขาได้รับความเคารพนับถือจากชาวอียิปต์อย่างล้นหลามเลยทีเดียว
3 เมืองอเล็กซานเดรีย
นอกจากจะทำให้เมืองมาร์ซีโดเนียเจริญรุ่งเรืองแล้ว อเล็กซานเดอร์ยังได้สร้างเมืองใหม่อีกกว่า 20 เมือง และตั้งชื่อเมืองเหล่านี้ตามชื่อของพระองค์ และ 1 ในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “อเล็กซานเดรีย” เมืองที่อยู่บนชายฝั่งแม่น้ำไนล์ อเล็กซานเดอร์ได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็นเมืองแห่งอารยธรรม และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากนี้พระองค์ยังสร้างท่าเรือ โรงเรียน โรงละคร และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และที่พระองค์ทำได้ดีที่สุดคือ แม้ว่าอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองของอียิปต์ จะได้ชื่อว่าปกครองโดยกรีก แต่อเล็กซานเดอร์อนุญาตให้พวกเขารักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้ เรียกว่าเป็นการถนอมน้ำใจสินะ
2 เอาชนะพวกเปอร์เซียน
หลังจากยึดครองอียิปต์ได้แล้ว อเล็กซานเดอร์เริ่มไล่ล่าจักรพรรดิเปอร์เซียน Darius III ในการรบครั้งใหญ่ Darius III พร้อมด้วยทหารสองแสนนาย พร้อมอาวุธครบมือเผชิญหน้ากับ กองทัพของอเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีนายทหารเพียง 47,000 คน แต่อย่างไม่น่าเชื่อ อเล็กซานเดอร์บุกฝ่าเข้าสู่ใจกลางกลุ่ม และรบตัวต่อตัวกับ Darius III ซึ่งในที่สุดได้หลบหนีจากหลังม้า หนีไปพร้อมคนสนิท (ซึ่งภายหลังหักหลังและลอบสังหารพระองค์) หลังจากได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียน อเล็กซานเดอร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเหนือทวีปเอเชียพระองค์ทรงยึดเมืองหลวงของเปอร์เซีย “บาบิโลน” และปกครองด้วยหลักการของพระองค์เอง หลังจากนั้น พระองค์ได้ซึมซับวัฒนธรรมเปอร์เซียน และอภิเษกสมรสกับนางรำชาวเปอร์เซียนชื่อโรซานน์ การกระทำของพระองค์เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับผู้ชนะสงคราม และทำให้ทั่วโลกได้เรียนรู้การปรานีต่อผู้แพ้
1 เข้าสู่อินเดีย
เป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์ต้องการไปต่อคือเข้าสู่อินเดีย และเอาชนะยึดครองดินแดนแห่งนี้ กษัตริย์พอร์รัส แห่งอินเดีย ใกล้จะพ่ายแพ้ต่ออเล็กซานเดอร์แล้ว แต่อากาศ และภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้พระองค์ชะงักการรบ และเริ่มตระหนักว่าการยึดครองเอเชียท่าทางจะไม่ง่ายอย่างที่พระองค์คิดเสียแล้ว ทหารของพระองค์เหน็ดเหนื่อย และต้องการจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อพบกับความสุขที่ไม่เคยมีมายาวนาน ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารของพระองค์เอง และเดินทางกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเปอร์เซียด้วยทิศทางใหม่เป็นการตัดสินใจผิดที่สุดของพระองค์ ทหารกว่า 15,000 นายต้องเสียชีวิตที่ทะเลทราย Gedrosan ทะเลทรายที่ร้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การเดินทางครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอเล็กซานเดอร์เช่นกัน ในที่สุด พระองค์ทรงป่วยหนัก และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่ออายุเพียง 33 ปีเท่านั้น
แต่แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถพิชิตทวีปเอเชียได้สำเร็จ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วโลกมากอยู่แล้ว..
ความคิดเห็น