ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =~คลังความรู้~=

    ลำดับตอนที่ #175 : 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคปัจจุบัน (07/07/07)มีอะไรบ้าง~

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 183
      0
      30 ก.ค. 50

                                                       7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ┈━═☆

             


    สนามกีฬาโคลอสเซียม ประเทศอิตาลี

           ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ประกาศผลเสียทีสำหรับ “7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ซึ่งทางองค์กร New 7 Wonders ได้ประกาศผล 7 สถานที่เข้าชิง เมื่อ วันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007 ที่ผ่านมา และนี่คือ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้รับเสียงโหวตท่วมท้นจากมหาชนทั่วโลก
           
           ทวีปยุโรป 1 แห่ง
           

           สนามกีฬาโคลอสเซียม ประเทศอิตาลี
           
           ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นสนามกีฬากลางแจ้ง สิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ สร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ.ที่ 72-80 ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น
           
           ภายในมีอัฒจันทร์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจันทร์และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป
           หรือไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตายก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ปีๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน

    ชิเชน อิตซา ประเทศเม็กซิโก

           ทวีปอเมริกาเหนือ 1 แห่ง
           
           ชิเชน อิตซา ประเทศเม็กซิโก
           

           ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น
           
           ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ มีบันไดกลาง รอบๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ่งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโกสืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายังอเมริกาทางช่องแคบเบริง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมีสติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน
           
           พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลก ที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน
           
           ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สัน ชาวอเมริกา ผู้ใช้ ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่างๆ

    รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ประเทศบราซิล

           ทวีปอเมริกาใต้ 2 แห่ง
           
           รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ประเทศบราซิล

           
           รูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98 ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุดในโลก รูปปั้นพระเยซูเยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาโดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 โครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น
           
           รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback) และตั้งในอุทยานแห่งชาติ Tijuca เป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326 ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถไฟไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และวิวที่สวยงามมากมาย

    มาชู ปิกชู ประเทศเปรู

           มาชู ปิกชู ประเทศเปรู
           
           มาชู ปิกชู แห่งอาณาจักรอินคา (Inca city, Machu Picchu) ตั้งอยู่ที่เมืองคุสโซ ประเทศเปรู มาชู ปิกชู อยู่บนยอดสูงมีบริเวณรอบๆ รวมแล้วความสูงของหน้าผาประมาณ 304.8 เมตร (1,000 ฟุต) ฮิแรม บิงแฮม นักสำรวจชาวอเมริกันพบใน ค.ศ.1911
           
           บริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่คลุมพื้นที่อยู่ นอกจากสิ่งก่อสร้าง ปรักหักพังบางส่วนที่โผล่อยู่ให้เห็นสิ่งก่อสร้างดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความสามารถยอดเยี่ยม เชิงสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในอดีต เพราะมีทั้งโบสถ์วิหาร อ่างหินสำหรับเก็บน้ำ บันไดหินเป็นพันๆ ขั้น เพื่อเป็นทางทอดระเบียงลงไปในที่ต่างๆ แห่งนครภูเขานี้

    กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน

           ทวีปเอเชีย 3 แห่ง
           
           กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน

           
           กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร (10 ฟุต) มีความสูงจากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร (20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต)
           
           ได้รับขนานนามว่า กำแพงหมื่นลี้ เพราะมีความยาวถึง 14,600 ลี้ (ราว 6,700 กิโลเมตร) บนกำแพงทุกๆ ระยะ 200 เมตร (300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อมสำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตรถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวนเพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ
           
           เริ่มสร้างระหว่างปี 243-252 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ (จิ๋นซีฮ่องเต้) มีการสร้างต่อเติมอีกหลายครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศนับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตเรือนหมื่น อีกทั้งยังเป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์

    ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย

           ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย
           

           ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของพระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮันเศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่ใหญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา
           
           สร้างระหว่าง ค.ศ.1630-1648 สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย โดยสถาปนิก อุสตาด ไอสา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมสร้างเป็นผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน วัตถุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลืองจากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียระไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 50,000,000 เหรียญอเมริกัน หรือประมาณ 1,000,000,000 บาท
           
           ได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วน และวิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร (130 ฟุต) ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร (200 ฟุต) มีโดมเล็กๆ เป็นหสูงอยู่ทั้ง 4 มุม ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ
           
           หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮัล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่เมื่อโอรสขึ้นครองราชย์สมบัติจึงจับพระองค์ขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณ พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพมเหสีผู้เป็นที่รัก ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่สวยกว่า

    เปตรา ประเทศจอร์แดน

           เปตรา ประเทศจอร์แดน
           

           นครเปตราในจอร์แดน เป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด รอบบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น วิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลัก มาแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม แสดงถึงฝีมือและ ศิลปะในการสลักหินได้อย่างยอดเยี่ยม
           
           สีของหินกลมกลืนกัน ตัวตึกสี เลือดนก สีกุหลาบและสีม่วงเป็นลำดับ ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม เบื้องต้นของเขตตะวันออกกลางที่เรียกว่านาบาทีนส์ คนแถบนี้เป็นพวกเร่รอน อาชีพเลี้ยงแกะอยู่ไม่เป็นที่ เป็นพวกชอบทำธุรกิจค้าขายเครื่องเทศจากตะวันออก ไปยังเขตเมดิเตอร์เรเนียน
           
           จากนั้นก็ขนส่งลงเรือไปสู่ยุโรป ในช่วงเวลาที่มีการ ค้าขายอย่างกว้างขวางกับอาณาจักรต่างๆ สืบมาจนถึงปัจจุบันได้ใช้เส้นทาง ในเขตซีเรียสู่ซาอุดีอารเบียโดยอาศัยกองคาราวานขนส่ง ได้สร้างความร่ำรวย และอำนาจราชศักดิ์ จนได้กลายมาเป็นนครเปตราขึ้นจากพวกอีโดไมท์ ซึ่งถือ เป็นเมืองหลวงในราว 300 ปี ก่อนคริสต์กาล
           
           สิ่งก่อสร้างสำคัญชิ้นหนึ่งในนครเปตราคือมหาวิหารกวาซร์ ฟีราโอน ซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าอาเรตัสที่4 มหาราชของชาวนาบาทีนส์ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 9 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 40 การบูรณปฏิสังขรณ์นครเปตรากำลังดำเนินอยู่อย่างมาก ในปัจจุบัน นครแห่งนี้ถูกค้นพบในรูปปรักหักพังมาตั้งแต่ ค.ศ. 1812 นับเป็นนครที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้ไปชมปีละมากมาย ความนิยมดังกล่าวช่วยยกฐานะให้นครเปตรากลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งหนึ่งในโลก



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×