คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Tenma: Insomnia
::Note::
ข้อมูลที่นำเสนอเป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้น
กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Insomnia
[Matsukaze Tenma]
…ผมเป็นโรคนอนไม่หลับ…
หลายคืนแล้วที่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ในตอนกลางคืน อาการเหล่านั้นส่งผลต่อชีวิตประจำวันทุกด้าน
เริ่มจากการเรียน ผมไม่สามารถเรียนรู้เรื่องได้เพราะสมองมันตื้อไปหมดและง่วงซึมตลอดเวลาจนเพื่อนๆเริ่มถอยห่าง ขอบตาของผมคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า สุดท้ายแม่ก็ทนไม่ไหวเลยพาผมไปหาหมอและได้ยานอนหลับกลับมา
แรกๆอาการของผมก็ดีขึ้น ร่างกายได้พักผ่อน รู้สึกมีชีวิตชีวา แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง…. ผมไม่สามารถขาดยานอนหลับได้ หากไม่ได้กินมันผมจะกระวนกระวายเหมือนคนมีอาการอยากเสพยานั่นแหละ
ผมรู้สึกขยักแขยงตัวเอง.…จนหลังๆทุกครั้งที่กลืนมันลงคอ ผมรู้สึกเลวร้ายย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนที่ไม่ได้นอนติดกันหลายคืนเสียอีก รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าร่างกายของผมปฏิเสธยาไปแล้ว
ไม่ว่าคนรอบข้างจะแอบปดเป็นผงผสมชงกับน้ำ หรือของกินต่างๆ ร่างกายของผมก็จะต่อต้านและปฏิเสธมันออกจากร่างกายทันที
…ผมเป็นโรคนอนไม่หลับอีกครั้ง…
แม่พาผมไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะผมเครียดกับเรื่องต่างๆและยังคิดมากกับการนอนไม่หลับทำให้ร่างกายปฏิเสธยา ดังนั้นหมอจึงให้ผมมาพักอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์เพื่อดูอาการ
คืนแรกหมอแอบผสมยาลงในข้าว ผมที่ไม่รู้ก็กินจนหมดแต่เหมือนร่างกายผมจะรู้เพราะหลังจากพยาบาลออกไปได้ห้านาที ผมก็อาเจียนเอาของพวกนั้นออกมาหมด และคืนนั้นผมก็นอนไม่หลับ…
เช้าวันต่อมาคุณหมอเข้ามาถามไถ่อาการ ผมตอบไปว่าผมรู้ว่าเขาใส่ยานอนหลับในอาหาร คุณหมอดูตกใจแต่ก็ยอมรับว่าทำแบบนั้นจริงๆพร้อมกับขอโทษผม ผมเข้าใจจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
ช่วงสายๆคุณหมอแวะเข้ามาอีกครั้ง แนะนำว่าให้ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่าอยู่แต่ในห้อง ผมเลยขอออกไปเดินเล่นนิดๆหน่อยๆ เด็กๆในโรงพยาบาลพากันวิ่งหนีผม บางคนถึงกับร้องไห้โฮเพราะดวงตาที่ดำคล้ำจนน่ากลัวของผม…ผมไม่โทษพวกเขาหรอก
ในคืนที่สอง ร่างกายผมดูอ่อนเพลียเนื่องจากไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวันนับตั้งแต่ก่อนเข้าโรงพยาบาลนี่ก็วันที่แปดแล้ว ผมแทบจะเหมือนซอมบี้เดินได้ คุณหมอจึงฉีดยานอนหลับให้ผม แรกๆก็เกิดอาการพะอืดพะอมหน่อยๆแต่ผ่านไปสักพักผมก็หลับในที่สุด
…คืนนั้นผมฝันร้าย…
ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเป็นตอนค่ำซะแล้ว คุณหมอบอกว่าแม่มาเยี่ยมในช่วงที่ผมหลับ ผมคิดว่าคืนนี้ผมต้องนอนไม่หลับแน่ๆ ก็เพราะผมนอนมาทั้งวันแล้วนี่นา ที่สำคัญฝันร้ายที่ยาวนานนั่นทำให้ผมไม่อยากที่จะหลับตาลงในความมืดอีกเลย
เป็นอย่างคาด ในคืนที่สามผมนอนไม่หลับแต่ผมแกล้งหลับตอนที่นางพยาบาลเข้ามาเช็คเพื่อจะได้ไม่โดนฉีดยานั่นอีก
ไฟในห้องมืดสนิทแต่ดวงตาของผมยังเบิกกว้างในความมืดนั้น ไร้ความง่วงอย่างสิ้นเชิง คงเพราะวันนี้เป็นคืนไร้จันทร์จึงไม่มีแสงสักนิดส่องเข้ามาในห้อง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงไปในความมืด…
วันที่สี่ คุณหมอเข้ามาถามอาการเหมือนปกติ ผมพยายามทำให้ดูร่าเริงแข็งแรงเพื่อจะได้กลับบ้านไวๆแต่ดูเหมือนหมอเขาจะยังไม่ยอมเชื่อและดึงดันจะให้ผมอยู่อีกสองสามวัน
…ก็อย่างว่าแหละ ยังไงก็หลอกสายตาคนเป็นหมอไม่ได้ง่ายๆหรอก เฮ้อ…
ตอนบ่ายผมออกไปเดินเล่นอีกครั้ง เด็กๆก็ยังวิ่งหนีผมเหมือนเคย แต่ที่พัฒนาคือมีคนเข้ามาคุยกับผม…เขาเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาดูเป็นปกติมากกว่าจะเป็นคนป่วย ร่าเริง สดใส ทำให้นึกถึงตัวเองก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาล
เรานั่งคุยกันเป็นชั่วโมง แต่น่าแปลกที่ไม่มีประเด็นถามถึงสาเหตุที่มาอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด ผมเองก็ไม่ได้ถามเขา เขาเองก็ไม่อยากพูดถึง คุยไปคุยมาก็เพลินจนลืมเวลาจนกระทั่งนางพยาบาลมาดุนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว
“ได้เวลาตรวจร่างกายแล้วนะ”นางพยาบาลคนหนึ่งพูด
“อ๋า…ไม่อยากเลย”เด็กหนุ่มที่ผมไม่รู้จักชื่อส่งเสียงกระปอดกระแปด
“เร็วเข้า คุณหมอรอนานแล้วนะ”เธอดุ
“คร้าบๆ”เด็กคนนั้นขานรับ เหลือบหันมามองผมแว๊บนึงแล้วส่งยิ้มให้ “แล้วเจอกันนะ”
ผมกับเขาจากกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้จักชื่อของอีกคน คืนนั้นทั้งคืนผมแทบรอให้ถึงวันต่อมาไม่ไหว มันเหมือนกับว่านานแล้วที่ไม่เคยคุยกับใครได้ถูกคอแบบนี้
ผมนั่งนึกต่างๆนานาว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรดี สมองที่เบลอเพราะความง่วงของผมทำให้ผมจำหน้าของเขาไม่ได้ รู้แต่ว่าเขามีรอยยิ้มสดใส…
อ้อแล้วก็สีผมของเขา
…เหมือนกับสีของพระอาทิตย์ยามเย็น…
เช้าวันที่ห้าดูเป็นวันที่สดใสกว่าทุกวัน คุณหมอเข้ามาตรวจเหมือนทุกครั้งและเสนอวิธีใช้อโรม่าผ่อนคลายความเครียด มันเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์…ผมได้แต่ยู่หน้าในใจ มันต้องเป็นกลิ่นที่ฉุนมากแน่ๆ แต่ผมก็ตกลงที่จะให้เขาลองใช้ดูและเก็บมันลงในกระเป๋ากางเกง
การตรวจตอนเช้าผ่านไป ผมพยายามเดินหาเด็กคนเมื่อวานที่คุยด้วยแต่ก็ยังไม่เจอ พอลองถามนางพยาบาลที่อยู่แถวนั้นดู เธอก็อาสานำไปเพราะกำลังจะไปห้องแถวๆนั้นพอดี
“เป็นเพื่อนของเขาเหรอจ๊ะ”
“อะ เอ่อ…ครับ”ถึงจะยังไม่รู้จักชื่อกัน แต่ถ้าคุยกันมากกว่าห้าประโยคล่ะก็ผมถือว่าเขาเป็นเพื่อนของผมแล้วล่ะ
“ดีจังเลยนะ”นางพยาบาลยิ้ม “ปกติที่นี่ไม่ค่อยมีเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่ เขาก็เลยดูเหงาๆ”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง แปลว่าคนๆนั้นอยู่ที่นี่ก่อนผมนานเลยงั้นสิ จะเป็นไรมั๊ยนะถ้าผม…
“เขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ”แล้วผมก็ถามออกไปจนได้
“อ๋อ เขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิดน่ะ”
“ร่างกายอ่อนแอ?”
“ใช่ สมัยเด็กๆน่ะเทียวเข้าเทียวออกที่นี่เป็นว่าเล่นเลยล่ะจ้ะ..เอาล่ะ ห้องนี้แหละ”
ยังฟังไม่จบเธอก็ส่งถึงห้องซะแล้ว ผมก้มหัวเอ่ยขอบคุณแล้วหันไปมองห้องตรงหน้า หัวใจเต้นตุ่มๆต่อมๆแปลกๆ นี่คืออาการตื่นเต้นสินะ
ก๊อก ก๊อก
“………….”
ไม่มีเสียงตอบรับ ผมจึงยกมือเคาะอีกรอบก่อนจะสังเกตว่าประตูมันแง้มๆอยู่เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป
ใครจะคิดว่าภาพที่เห็นจะเป็นเจ้าของห้องกำลังจะปีนหน้าต่าง ผมตกใจรีบถลาเข้าไปดึงอีกฝ่ายกลับมาโดยลืมคิดไปว่านี่มันชั้นหนึ่ง ต่อให้ตกลงไปก็ไม่ถึงขั้นพิการ
“อะ อ้าว นายนั่นเอง…”เขาหันมามองผมอย่างแปลกใจแล้วส่งยิ้มแห้งๆให้
เขาไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรก็บอกให้ตามมา แล้วกระโดดลงหน้าต่างไปเลย ผมทำกล้าๆกลัวๆอยู่นานก่อนจะยอมโดดตามลงไป
เขาพาผมไปที่อีกอาคารนึง ดูเหมือนจะเป็นอาคารสำหรับทำการบำบัดร่างกาย ในนั้นมีหลายคนที่ทำสิ่งง่ายๆอย่างยากลำบาก มองแล้วอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้
“พี่ยูอิจิ”
สติของผมกลับมาอีกครั้งตอนที่เด็กคนนั้นตะโกนเรียกใครสักคนแล้ววิ่งถลาเข้าไปหา เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงวัยสิบเจ็ด หน้าตาจัดได้ว่าดีพอสมควรติดตรงที่ว่า...
“ทำไมขา..”
ผมรีบยกมือปิดปากเมื่อโดนสายตาคนด้านหลังจ้องเขม่นมา ผมพึ่งสังเกตว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วย จากรูปร่างท่าทางคงเป็นน้องชายของคนๆนี้
“อา...ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือหรอก”ชายหนุ่มคนนั้นพูดยิ้มๆ ดูเป็นมิตรผิดกับคนน้องลิบลับเลย
“นี่เพื่อนใหม่ผมเองพี่ยูอิจิ เขาชื่อ….”เด็กผมทรงพระอาทิตย์ชะงักแล้วหันมาถามผม “นายชื่ออะไรนะ?”
“..มัตสึคาเซะ เทนมะ”
“นี่เทนมะ ส่วนนี่คือพี่ยูอิจิ”เขาแนะนำ “ส่วนฉันชื่อไทโย..อาเมมิยะ ไทโย” ไทโยยิ้ม “ตลกดีนะที่เราสนิทกันโดยที่ไม่รู้จักชื่อ”
“เทนมะคุงดูเป็นเด็กแข็งแรงดีนะ”พี่ยูอิจิพูดขึ้นหลังจากมองสำรวจผม “ไม่ค่อยเหมือนคนป่วยเลย”
“ไม่จริงหรอกฮะ!”ผมรีบแย้งเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง นั่นทำให้ผมอ้ำอึ้ง
“ผมน่ะ…ผม..”
พี่ยูอิจิเหมือนจะเข้าใจจึงไม่ได้ท้วงอะไรต่อและแนะนำคนที่อยู่ข้างหลัง
“อ้อ จริงสิ…นี่ เคียวสึเกะ น้องชายของฉันเอง อายุเท่ากับพวกเธอน่ะ”
“สึรุงิ เคียวสึเกะ”สึรุงิแนะนำตัวเองเสียงเรียบ ไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาซะเลย…
“แล้วพี่ยูอิจิกำลังจะไปไหนฮะ?กายภาพบำบัดเสร็จแล้วเหรอ”
ไทโยดูมีความสุขมากๆเวลาได้อยู่ใกล้พี่ยูอิจิ..ผมหมายถึง…เอ่อ จะว่ายังไงดี ตอนอยู่กับผมเขาก็แฮปปี้ดีอะนะ แต่กับพี่ยูอิจิมันเหมือนต่างออกไปอีกแบบนึงน่ะ
“อืม กำลังจะกลับห้องน่ะ”
“งั้นเหรอครับ”ไทโยยิ้ม “เดี๋ยวผมเข็นไปส่งให้นะ” แล้วก็ฉวยโอกาสแย่งที่สึรุงิคนน้องและใส่เกียร์เข็นรถเข็นติดจรวดไปทันที
“@#$)_*&^%!!!”
สึรุงิสบถออกมามากมาย ส่วนผมมัวแต่อึ้งได้แต่มองตาปริบๆ อา…นี่ผมถูกทิ้ง?
“เฮ้นายน่ะ จะยืนตรงนั้นไปถึงเมื่อไหร่”
“?”ผมได้แต่มองสึรุงิงงๆ เขาทำท่าหัวเสียแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดไป ผมก็รีบเดินตามทันที
ระหว่างเดินกลับอาคารไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศน่าอึดอัดพอดู…อะไรนะ ให้ผมหาเรื่องชวนคุยเหรอ? ไม่ไหวล่ะ ผมไม่ได้นอนติดกันมาสองคืนแล้ว สมองมันตื้อไปหมด
แกร๊ก
“ชิ”
ห้องของพี่ยูอิจิว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของไทโยกับเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ควรจะอยู่ที่นี่ สึรุงิชักสีหน้าหงุดหงิด ส่วนผมที่เซ่อซ่าก็ดันเผลอเดินตามสึรุงิมาจนถึงห้องของพี่ยูอิจิจนได้ ความจริงแล้วผมน่าจะกลับห้องของตัวเองนะ
“เอ่อ..”
สึรุงิหันมามองผม หวาย..ตาของเขาดุชะมัดเลย แล้วแบบนี้ใครจะกล้าพูดล่ะ
“เข้ามาสิ”เขาคงตีความสีหน้าผมผิดเลยชวนให้เข้าไปแทน ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอก่อนเดินเข้าไปในห้อง
…รู้สึกเหมือนเดินขึ้นลานประหารชอบกล…
“นายป่วยเป็นอะไร”
หลังจากเงียบกันประมาณห้านาทีสึรุงิก็เป็นคนทำลายความเงียบโดยการถามคำถามผม แต่เอ๊ะ…ทำไมจู่ๆนึกถึงฉากตำรวจสอบปากคำผู้ร้ายได้นะ?
“เป็นโรคนอนไม่หลับน่ะ”จบคำสึรุงิมองผมด้วยสายตากึ่งไม่เชื่อเลยต้องอธิบายเพิ่ม
“คุณหมออยากดูอาการเพราะว่าร่างกายของฉันปฏิเสธยา เขาพยายามบำบัดให้ฉันนอนหลับได้เหมือนคนปกติ…แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก”ประโยคท้ายผมพึมพำแต่คิดว่าสึรุงิคงได้ยิน
“ไม่ยักรู้ว่ามีโรคแบบนี้ด้วย”
“ความจริงมันก็ไม่ใช่โรคหรอก เป็นแค่อาการเรื้อรังที่ปล่อยไปนานๆแล้วจัดการยากจนเหมือนเป็นโรคก็เท่านั้นแหละ”ผมบอก ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องมานั่งแก้ความเข้าใจผิดของคนอื่นด้วย
“ได้ยินว่าที่นอนไม่กลับมีสาเหตุมาจากความเครียด…นายเครียดงั้นเหรอ?”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่า แต่จู่ๆมันก็เป็นขึ้นมาเอง”
“นานที่สุดนายไม่ได้นอนกี่วัน?”
“เอ๋…ไม่เคยมีคนถามเรื่องนี้แฮะ”ผมหัวเราะ “คงสักหกวันได้มั้ง แล้วพ้นจากวันนั้นไปก็น็อกประมาณสามวัน สภาพดูไม่ได้สุดๆเลยล่ะ”
“หือ…”สึรุงิครางในลำคอเหมือนจะสนใจ
“แล้วสึรุงิมาเยี่ยมพี่ยูอิจิบ่อยงั้นเหรอ”ได้โอกาสผมก็ถามกลับบ้าง
“อืม ก็มาทุกวัน”
“แปลกเนอะที่ไม่เคยเจอกันเลย”ผมยิ้ม บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว แบบนี้ต้องสนิทกันได้เร็วแน่ๆ
“โรงพยาบาลตั้งกว้าง ไม่แปลกหรอก”
“จริงด้วย”
“นายเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ประมาณสี่วันก่อน”
“หืม…แล้วโรงเรียนไม่ไปรึไง”
“ถึงไปก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก สมองมันตื้อน่ะ คิดอะไรไม่ออกหรอก”ผมตอบ
“…………….”
“จะว่าไปแล้ว…ไทโยกับพี่ยูอิจินี่ช้าจังเลยนะ”ผมเปลี่ยนเรื่องคุยขณะมองประตู ก่อนลุกจากที่นั่ง “เดี๋ยวฉัน…”
“เทนมะ”
ครั้งแรกที่โดนเรียกชื่อมันรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้…ไม่เคยรู้เลยว่าการถูกเรียกชื่อจริงมันจะทำให้รู้สึกดีแบบนี้
“อะ..อะไรเหรอ”
“นายน่ะ….”
ปัง!
“กลับมาแล้ว!”
ไทโยโผล่พรวดเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่าต่างจากพี่ยูอิจิที่หน้าซีดเผือก การขัดจังหวะนั้นทำให้ผมลืมเรื่องที่สึรุงิกำลังจะพูดไปซะสนิท
“เทนมะ เมื่อกี้พยาบาลตามหาตัวนายอยู่แน่ะ ได้เวลาตรวจแล้วไม่ใช่เหรอ”
“จริงด้วย!”ผมร้องอย่างตกใจ รีบบอกลาทั้งสามคนแล้วออกจากห้องมา
ตอนกลับไปถึงห้องคุณหมอดุใหญ่เลย พวกเขาถามคำถามนั่นนี่ซักไซ้ผิดปกติ ผมเลี่ยงๆที่จะบอกว่าไม่ได้นอนมาสองคืนเพราะกลัวโดนจับฉีดยา
“โอเค ถ้าอาการดีขึ้นแบบนี้อีกไม่กี่วันหมอจะปล่อยเธอกลับบ้าน”
ผมรู้สึกดีใจสุดๆจนเกือบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เอาตรงๆอาการของผมมันไม่ได้ดีขึ้นหรอก แค่แกล้งทำเป็นหลับตาตอนที่พวกพยาบาลมาตรวจก็เท่านั้นเอง
“ยังไงก็ตามคืนนี้จะมีพยาบาลเฝ้าเธอ ทำตัวดีๆล่ะ..อ้อ อย่าลืมใช้อโรม่าที่หมอให้ด้วยนะ”
แล้วคุณหมอก็ออกไปทิ้งให้ผมตะลึง จะมีพยาบาลมาเฝ้า!!? ไม่เอาด้วยหรอก ผมนอนไม่หลับแน่ๆถ้ามีคนแปลกหน้ามาอยู่ข้างๆ(ถึงปกติก็นอนไม่หลับอยู่แล้วก็เถอะ)
“จะปิดไฟแล้วนะจ๊ะ”
ไฟในห้องดับลง ผมนอนตะแคงให้กับเธอแกล้งทำเป็นหลับแต่ดวงตายังใสแจ๋วไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลย เผลอๆอาจจะตื่นตัวมากกว่าตอนกลางวันด้วยซ้ำ
…หลังจากนั้นหลายชั่วโมงเสียงกรนเบาๆก็แว่วเข้าหู พอชะเง้อหน้าดูพบว่าพยาบาลสาวสัปหงกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทำงานคุ้มเงินเดือนดีนะ
ผมประชด กลายเป็นว่าคนที่สมควรหลับกลับต้องเฝ้าคนที่สมควรตื่นซะงั้น
พลิกตัวไปมาอยู่เกือบสิบนาทีและเริ่มทนเสียงกรนของเธอไม่ไหว สุดท้ายผมเลยย่องออกจากห้องเงียบๆ อาจจะเดินป้วนเปี้ยนสำรวจในโรงพยาบาลจนเกือบสว่างแล้วค่อยกลับห้อง..เป็นความคิดที่ดีใช้ได้เลย ทำไมสี่วันก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ออกนะ
บนระเบียงทางเดินเปิดไฟแค่สลัวๆพอมองทาง บรรยากาศตอนกลางวันกับตอนกลางคืนแตกต่างกันลิบลับ ถึงท่าทางจะเหมือนมีอะไรพร้อมโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อแต่ผมไม่กลัวหรอก
“ใครน่ะ!”เสียงหวานๆของพยาบาลทำให้ผมตกใจ ก่อนรีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน
ใครจะไปคิดว่าพยาบาลก็ต้องเดินตรวจเวร
ผมชะเง้อมองเห็นพยาบาลส่องไฟฉายด่อมๆมองๆแถวบันไดที่พึ่งวิ่งผ่านอยู่พักนึงก่อนเธอจะเดินลงไป ผมลอบถอนหายใจโล่งอก ถ้าโดนจับได้ต้องโดนไม่ใช่น้อยแน่ๆ
นี่สิที่น่ากลัวกว่าผี
“เทนมะ?”
“!!!”
ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเรียกนั่น หัวใจหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มทีเดียว ก่อนจะค่อยๆรวบรวมความกล้าหันไปมอง
“สะ สึรุงิ?”
พวกผมมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งก่อนเขาจะบอกให้ผมไปที่ห้องของยูอิจิเพราะเห็นแสงไฟอยู่ไวๆ
“ทำไมนายออกมาข้างนอก”
“เอ่อ..คืนนี้มีคนมาเฝ้าก็เลยรู้สึกอึดอัดน่ะ”ผมตอบตามจริง
“แล้วทำไมสึรุงิยังไม่นอนล่ะ”
ไม่สิ ต้องถามว่าทำไมถึงยังอยู่โรงพยาบาลได้ต่างหาก ที่นี่หมดเวลาเยี่ยมไข้ตั้งแต่สองทุ่มนี่
“ไม่ง่วง”
“นายนอนได้ก็น่าจะนอนนะ”ได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็อดแย้งขึ้นมาไม่ได้ สำหรับผมที่ไม่ได้นอนอย่างคนปกติมานานแทบจะลืมความรู้สึกเวลาทิ้งตัวลงหมอนแล้วผลอยหลับไปซะแล้ว
“อืม..นั่นสินะ”สึรุงิตอบ “แต่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนาย”
“หา?”
“ก็ถ้านายนอนไม่หลับ เราไปคุยกันข้างนอกดีมั๊ย”สึรุงิยกผ้าห่มผืนใหญ่ในมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ระเบียงด้านนอกคงเพราะกลัวรบกวนพี่ยูอิจิ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย
“อื้ม!”
อากาศด้านนอกหนาวกำลังพอดี เวลาลมพัดชวนให้กำชับผ้าห่มแล้วขยับเข้าหาคนข้างๆ ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆกับสึรุงิ
“อะไรน่ะ”
ขณะที่พวกเราขดตัวนั่งชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง สึรุงิก็ถามเพราะมีบางอย่างสะกิดโดนตัว ผมก้มลงล้วงหยิบดู
“อ่า..ลืมสนิทเลย”
มันเป็นอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ที่คุณหมอให้เมื่อเช้า
“อโรม่าน่ะ คุณหมอให้นี่มาบำบัด”
“น่าจะลองดูนะ”สึรุงิว่า ก่อนจะลองจุดมันดู กลิ่นลาเวนเดอร์โชยออกมาจางๆไม่ได้ฉุนอย่างที่ผมคิด
“หอมดีเนอะ”ผมยิ้ม ดันน้ำมันหอมให้อยู่ที่มุมของระเบียงห้องแล้วอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมต้องเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์นะ?”
“กลิ่นของลาเวนเดอร์จะทำให้หลับฝันดี”คำตอบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับทำให้ผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“งั้นถ้าคืนนี้หลับฝันดีก็ดีสิเนอะ”
หลังจากมองดาวบนฟ้า พูดคุยเรื่อยเปื่อย ผลัดกันเล่าเรื่องตลกแล้วก็วกกลับมาเรื่องเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง คราวนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมาหน่อย เช่น เรื่องของที่ชอบ ของที่ไม่ชอบ วิชาที่เรียนได้ดีและไม่ดี งานอดิเรกที่ทำ แล้วก็เรื่องครอบครัว…ทำให้ผมได้รู้เรื่องของสึรุงิเพิ่มขึ้นอีกหลายเรื่อง
…รวมถึงสาเหตุที่ขาของพี่ยูอิจิขยับไม่ได้ด้วย…
ท้องฟ้าภายนอกยังเป็นสีคล้ำเข้มเหมือนเดิม แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่ามันเริ่มสว่างขึ้นทีละนิดๆแล้ว สึรุงิเริ่มเล่าเรื่องน้อยลงและเป็นฝ่ายฟังมากขึ้น ส่วนตอนนี้ก็ดูเหมือนจะฟังบ้างไม่ฟังบ้างและสัปหงกอยู่หลายครั้งทำให้ผมหัวเราะเล็กๆ
“ถ้าง่วงจะนอนก็ได้นะ”ผมบอก ดึงผ้าห่มที่ตกให้คลุมไหล่อีกฝ่ายเหมือนเดิม
“ไม่ล่ะ..ฉันยัง..คุยได้…”สึรุงิงึมงำแล้วก็เงียบไป
“สึรุงิ..”ผมกลั้นหายใจ “หลับรึยัง?”
“..ยัง”
ถึงจะตอบแบบนั้นแต่เขาเหมือนคนหลับไปแล้ว ผมรู้ว่เขายังฟังอยู่ต่อให้ดวงตาคล้อยปิดไปแล้วก็ตาม
“นี่สึรุงิ...”ผมกระซิบ “ขอบใจนะ”
“..?..”
“ที่อยู่คุยเป็นเพื่อนไง ขอบใจนะ”ผมย้ำคำขอบคุณอีกครั้ง สึรุงิพยักหน้าเบาๆแล้วก็ฟุบหลับซบบนไหล่ของผม
แล้วเสียงกรนเบาๆก็แว่วดังมา
…แปลกจัง…
ท้องฟ้าสีน้ำเงินจางลงทุกที ตอนนี้มันเป็นสีฟ้าเข้มๆหม่นๆบอกเวลาใกล้ถึงเช้า อโรม่าที่จุดมอดดับไปแล้วเหลือแค่กลิ่นหลงเหลือในอากาศ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
…นานแล้วนะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้…
ผมเหลือบมองคนข้างๆ น่าขำดีนะ เราพึ่งรู้จักกันไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับมานั่งอยู่ข้างกันแล้วกลายเป็นเพื่อนสนิทกันซะแล้ว
สมองที่หนักอึ้งเริ่มทำงานช้าลงเรื่อยๆ ความง่วงที่จู่โจมมาตลอดทั้งวันไม่เคยทำให้เขาหลับได้สักที เว้นเสียแต่คราวนี้ที่เขารู้สึกเหมือนกำลังคล้อยจะหลับ
อ้าว…?
ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านั้นภาพตรงหน้าก็ค่อยๆหรี่ลง เล็กลงจนมืดไปในที่สุด…ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอก็ตามมา
…และคืนนั้นก็เป็นคืนที่ฝันดี…
.
.
.
สองวันต่อมาผมก็ตื่นขึ้นในห้องนอนของตัวเอง วันที่เจ็ดของการอยู่โรงพยาบาล…โดยมีแม่อยู่ข้างๆ และมีเสียงท้องของตัวเองร้องดังโครกครากก่อนจะรู้ว่าหิวข้าวจนไส้กิ่ว
คุณหมอทั้งเทศน์ทั้งดุได้ยี่สิบนาทีกว่าจะปล่อยให้ผมกินข้าว แล้วระหว่างที่ผมกินข้าวต้มแม่ก็บ่นต่อ ผมจำรายละเอียดที่แม่บ่นไม่ได้หรอกแต่ได้ยินประมาณว่า หายจากโรคนอนไม่หลับจะได้เป็นโรคกระเพาะแทน
“…กินเสร็จแล้วกลับบ้านได้เลยนะ หมอคิดว่าต่อจากนี้อาการเธอคงจะดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ อโรม่าใช้ได้ผลดีใช่มั๊ยหืม?”
“มากๆเลยครับ”
“ดีแล้วล่ะ ถ้ามีอาการไม่ดีอะไรยังไงอีกก็ติดต่อกลับมาหาได้นะครับ”คุณหมอหันไปบอกแม่แล้วเดินไปที่ประตู “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว…”
“คุณหมอครับ”แต่ก่อนที่คุณหมอจะไปผมรั้งเอาไว้
“ผมฝันด้วยล่ะ”
คุณหมอชะงัก ดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นมองมาด้วยแววประหลาดใจ “แล้วเธอฝันว่าอะไรล่ะ?”
“ความ-ลับ”ผมฉีกยิ้ม รู้สึกเรี่ยวแรงเริ่มกลับคืนมาแล้ว “แต่เป็นฝันดีมากๆเลยครับ”
คุณหมอพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน
“ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ”
จากนั้นในห้องก็เหลือแค่ผมกับแม่สองคน แม่เอาเสื้อมาให้ผมเปลี่ยนด้วย อา..คิดถึงเสื้อผ้าในห้องจัง ลืมไปเลยว่ามีเสื้อพวกนี้ด้วย สงสัยใส่เสื้อของโรงพยาบาลจนชินไปแล้ว
ตอนออกมาจากห้องแม่ก็ไม่อยู่แล้ว สงสัยคงไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ผมเดินตามระเบียงทางเดินแล้วก็ชะงักกับเด็กหนุ่มผมส้มที่ทำท่าลับๆล่อๆอยู่ตรงกำแพง
“ไทโย”ผมส่งเสียงเรียก เขาหันมาอย่างตื่นๆแต่พอเห็นผมเขาก็เบิกตากว้างแล้วฉีกยิ้มที่กว้างยิ่งกว่า
“เทนมะ!นายตื่นแล้ว!ดีใจจัง..”แล้วเขาก็ชะงักไปเพราะเห็นเสื้อผ้าที่ผมใส่ รอยยิ้มเจือนลงเล็กน้อย “นายจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”
“อื้ม หมอให้ฉันกลับบ้านได้แล้วน่ะ”
“ว้า..เสียดายจัง”ไทโยถอนหายใจ “แต่ก็ดีใจด้วยนะ”
พอได้ยินคำนี้บอกตรงๆว่าผมเขินแปลกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นคำของสัญญาณเริ่มให้อะไรๆดีขึ้นเรื่อยๆ
“อื้ม ขอบใจนะ”
“เดี๋ยวเถอะ ไทโยคุง!!”เสียงเอ็ดของพยาบาลดังมาแต่ไกล
“อึ๋ย!ฉันไปก่อนนะเทนมะ แล้วเจอกัน!”ไทโยวิ่งหนีพยาบาลสาว เธอที่พึ่งวิ่งมาหยุดพักหอบน้อยๆตรงที่ที่ไทโยยืนอยู่เมื่อครู่
“จริงๆเล้ยเด็กคนนี้…อ้าว มัตสึคาเซะคุง”
พอมองดีๆแล้วผมก็รู้ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่พาผมไปส่งที่ห้องของไทโยวันนั้น
“สะ สวัสดีครับ”
“ได้ข่าวว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอจ๊ะ”
“ครับ”
“เหรอ..หายป่วยแล้วสินะ ยินดีด้วยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“ถ้ายังไงก็ช่วยแวะมาคุยเล่นกับไทโยคุงด้วยนะ…เอาล่ะ ขอตัวไปทำงานต่อนะ”เธอยิ้มแล้วก็วิ่งตามเด็กหนุ่มผมทรงพระอาทิตย์ต่อ
“เทนมะคุง”
เดินยังไม่ถึงห้องโถงรับรองก็เจอกับพี่ยูอิจิและสึรุงิเดินออกมาจากมุมทางเดิน
“พี่ยูอิจิ สึรุงิ กำลังจะไปไหนเหรอครับ”
“ห้องกายภาพบำบัดน่ะ”สึรุงิเป็นคนตอบ ดูเหมือนเขาจะเริ่มสังเกตแล้วว่าผมใส่ชุดเล่นไม่ใช่ชุดของทางโรงพยาบาล
“ว่าแต่เทนมะคุงเถอะ แต่งตัวแบบนั้นได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ”
“ครับ”
“เหรอ..ยินดีด้วยนะ”พี่ยูอิจิยิ้ม
“ขอบคุณมากครับ” ผมเกาแก้มแก้เก้อ การหายป่วยมันดีแบบนี้เองสินะ
“สึรุงิคุง มาอยู่นี่เอง”เสียงจากบุรุษพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้น “ได้เวลาแล้วนะครับ”
“อะ..ครับ งั้นขอตัวก่อนนะทั้งสองคน”
จากนั้นพี่ยูอิจิก็ถูกเข็นไปโดยบุรุษพยาบาล บนทางเดินเหลือแค่ผมกับสึรุงิสองคน…
“เรื่องที่นายหายป่วย…ยินดีด้วยนะ”
“อื้ม..ขอบใจนะ หมอบอกว่าเพราะอโรม่า…แต่ฉันว่าจริงๆแล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสึรุงิด้วยแหละ”ผมยิ้มอายๆ
“อืม…”
“แล้วฉันจะมาเยี่ยมพี่ยูอิจิบ่อยๆนะ..ได้ใช่มั๊ย?”
“อืม…”
ผมมองสึรุงิอย่างแปลกใจ เขาดูนิ่งๆซึมๆชอบกลนะ
“นี่สึรุงิ”
“หืม?”
“ฉันมีเรื่องจะบอก”
สึรุงิเงยหน้าขึ้นมองผม ผมเดินเข้าไปหา ระยะห่างของเราเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ผมยืดตัวน้อยๆเพื่อที่จะได้กระซิบข้างหูเขาว่า
“ไม่ใช่เพราะอโรม่าหรอก”
“หา?”
ผมยิ้มน้อยๆแล้วมองใบหน้างุนงงของอีกฝ่ายขำๆ
“ไม่เข้าใจเหรอ..ที่ต้องการสื่อน่ะ”
.
.
.
.
เพราะมีนายอยู่ด้วยในคืนนั้น ฉันถึงนอนหลับได้อย่างวางใจไงล่ะ
==============================================
แต่งจบแล้ว เย้\-o-/
ถ้าชอบก็ช่วยเม้นต์ๆกันหน่อยเน้อ ‘o’
((First update: 22 ก.ค. 57))
ความคิดเห็น