ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Letter #เพราะโลกนี้มี 'นาย' [FIC HKS]

    ลำดับตอนที่ #38 : บทที่ 34 : ค่ายอาสา...มหาสนุก (เพลงรัก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 758
      2
      7 ต.ค. 55

    บทที่ 34 : ค่ายอาสา...มหาสนุก (เพลงรัก)

    ค่ำคืนที่ดวงดาวลอยเกลื่อนฟ้าส่องแสงยั่วยวนตา บนดอยเอื้อมดาวได้มีการจัดกิจกรรมรอบกองไฟขึ้น กองไฟที่ลุกโชนสว่างไสว บวกกับต้นไม้ที่ถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสี ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้น

    เดี๋ยวอีกไม่เกิน 5 นาที เด็ก ๆ เค้าจะออกมาทำการแสดงเพื่อเป็นการขอบคุณพวกคุณนะครับ โดมเอ่ยพูดกับฮั่นที่นั่งข้างเขา

    อ่อครับ...จริง ๆ เด็ก ๆ ไม่น่าจะต้องมาลำบากเลยครับ พวกเรามาช่วยก็ไม่ได้หวังอะไรกันอยู่แล้ว ฮั่นเอ่ยพูดพลางยิ้มออกมา

    ความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจที่เขาได้รับจากการทำกิจกรรมมาตลอด 3 วันเต็ม ๆ ยังไม่จางหายไปจากหัวใจและเขาก็คาดว่ามันจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายสิบวัน

    การเป็นผู้ให้มันรู้สึกดีกว่าการเป็นผู้รับจริง ๆ นะ...

    ยิ่งเป็นการให้แบบไม่หวังผลตอบแทนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกดี

    นี่เป็นความคิดของเด็ก ๆ เค้าน่ะครับ พอพวกเขารู้ว่าจะมีคนมาสร้างห้องสมุดให้พวกเขา พวกเขาก็ฝึกซ้อมการแสดงนี้กันใหญ่ โอ๊ะ! เหมือนเด็ก ๆ จะพร้อมแล้วครับ...

    เมื่อโดมพูดจบ เสียงดนตรีตามแบบฉบับชาวเหนือก็ดังขึ้น มีเด็กผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งค่อย ๆ เยื้องย่างออกมาด้วยท่วงท่าการรำที่สวยงาม ตามมาด้วยเด็กผู้หญิงร่างเล็กกว่าออกมาด้วยท่ารำที่คล้ายกัน

    นี่คือการฟ้อนดาบครับ โดมว่าพลางยิ้มออกมา เมื่อเห็นสายตาของผู้มาเยือนทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่การแสดงเบื้องหน้า

    โห...น้องเค้ายังดูเด็กอยู่เลยนะครับ แต่ทำไมรำเก่งจัง แกงส้มว่าพลางมองเด็กสองคนที่กำลังร่ายรำด้วยสายตาที่สุดแสนจะทึ่ง

    อ๋อ...นั่นน้องหมงกับน้องมียา เป็นนักแสดงฟ้อนดาบของโรงเรียนเราครับ สองคนนี้เคยไปแสดงมาหลายที่แล้วนะครับ

    อ๋อ...มิน่าล่ะครับ น้องเค้าดูเก่งจังเลย อายุเท่าไหร่ครับนั่น ฮั่นถาม พลางเบนสายตาจากภาพการแสดงมามองคนที่นั่งข้างตัว ก่อนที่เขาจะคว้ามือบางของแกงส้มมากุมไว้แล้วถูไปถูมาเบา ๆ

    แกงคงหนาว...มือเย็นเชียว

    อ๋อน้องหมง 11 ครับ ส่วนน้องมียา 10 ครับ

    โดมตอบก่อนจะมองภาพฮั่นที่ถูมือแกงส้มไปมาด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้า

    คนรักกันก็แบบนี้แหล่ะ...ใส่ใจและห่วงใยแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนที่ตัวเองรัก...ที่คนอื่นมองไม่เห็นหรือไม่สังเกต

    ก็เพราะว่าเป็นคนที่รัก...ทุกเรื่องของคนรักจึงเป็นเรื่องสำคัญ...

    ต่อให้เป็นเรื่องที่เล็กที่สุด...เราก็มองเห็นเสมอ

    พอแล้วพี่ฮั่น แกงส้มว่า เมื่อเห็นสายตาโดมที่มองมาที่พวกเขาสองคน

    ทำไมล่ะแกง มือแกงยังไม่หายเย็นเลยนะ ฮั่นว่าก่อนที่เขาจะเข้าใจเมื่อเขามองตามสายตาของแกงส้มไป

    แกงคงเขินสายตาโดมที่มองมาสินะ

    เราดูการแสดงของน้องเค้าต่อเถอะพี่ฮั่น แกงว่าก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับ แต่ฮั่นกลับไม่ยอมปล่อยมือนั้น ซ้ำยังเอามือนั้นมาเป่าด้วยลมจากริมฝีปากอีกด้วย

    ความอุ่นจากลมหายใจที่เป่าออกมา ทำให้แกงส้มหน้าแดง

    ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่แผ่ซ่านเดินทางไปที่หัวใจ ทำให้คนเป็นเจ้าของฝ่ามือรู้สึกดีกับการกระทำนี้ของคนตรงหน้า

    พี่ฮั่นช่างแสนดีกับเขาสม่ำเสมอจริง ๆ

    ถ้าหากวันหนึ่งเขาไม่มีพี่ฮั่น...เขายังมองไม่ออกเลยว่า...

    เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...

    คนที่เป็นดั่งหัวใจ...ถ้าหากวันหนึ่งต้องหายไป

    ถึงแม้เราจะยังมีชีวิตอยู่...ก็คงอยู่แบบ ตายทั้งเป็น

    ความเจ็บปวดที่สุดของคนที่รักกันแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกัน ช่างทำให้หัวใจทรมานและร้าวรานยิ่งนัก!

    นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย...?

    หายหนาวหรือยังไงครับ ฮั่นถาม พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่โตของแกงส้ม

    แม้บริเวณนี้จะไม่สว่างนัก แต่เขาก็สามารถเห็นว่าใบหน้าหวานของคนตรงหน้าขึ้นสีแดง

    น่ารักชะมัด!

    หายแล้วครับ อุ่นดีด้วย...แต่จะอุ่นกว่า...ถ้าพี่ทำแบบนี้... แกงส้มพูดก่อนที่เขาจะปลดมือออกจากเกาะกุมของคนเป็นพี่ แล้วสอดมือเข้าไปในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของร่างที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วโอบรอบเอวทางด้านขวาพลางเอามือข้างนั้นของคนเป็นพี่มาจับไว้ที่มือของเขา ส่วนอีกมือนั้นเขาก็คว้ามาสอดประสานนิ้วไว้แล้วปล่อยให้ความอบอุ่นจากนิ้วเรียวที่เกี่ยวกระหวัดได้ทำหน้าที่แผ่ความร้อนให้กัน

    อืม...อุ่นจริง ๆ ด้วย คราวนี้ฮั่นเป็นฝ่ายหน้าแดงบ้าง

    บางทีแกงส้มก็น่ารักเกินไปจริง ๆ

    ฮั่นคิดในใจก่อนที่เขาจะเบนสายตาจากใบหน้าหวานไปมองการแสดงเบื้องหน้า (อีกครั้ง) ก็ขืนยังมองแต่หน้าแกงส้ม คืนนี้ฟ้อนดาบ คงกลายเป็น ฟ้อนรัก แทน...

    ภาพของหมงที่กำลังร่ายรำเป็นท่วงท่าที่ดูน่าหวาดเสียวเรียกเสียงฮือฮาให้ดังขึ้น ซึ่งการฟ้อนดาบนี้แสดงได้ทั้งชายและหญิง  ส่วนมากเป็นการรำในท่าต่าง ๆ ใช้ดาบตั้งแต่2-4-6-8 เล่ม  และอาจจะใช้ได้ถึง 12 เล่ม   นอกจากการฟ้อนดาบแล้ว  ก็อาจมีการรำหอกหรือ ง้าวอีกด้วย  ท่ารำบางท่าก็ใช้เป็นการต่อสู้กัน  ซึ่งฝ่ายต่าง ๆ ก็มีลีลาการฟ้อนอย่างน่าดูและหวาดเสียวเพราะส่วนมากมักใช้ดาบจริง ๆ หรือไม่ก็ใช้ดาบที่ทำด้วยหวายแทน  หากพลาดพลั้งก็เจ็บตัวเหมือนกัน  การฟ้อนดาบนี้มีหลายสิบท่า  และมีเชิงดาบต่างๆ เช่น เชิงดาบเชิงแสน (เป็นของพื้นเมืองของภาคเหนือ)    เชิงดาบแสนหวี (มาจากพวกไทยใหญ่ หรือเงี้ยว)   แต่ละเชิงดาบมีการฟ้อนแตกต่างกัน (ปรากฏว่าเชิงดาบแสนหวีเป็นนักดาบที่เก่งกล้าเผ่าหนึ่งในประวัติศาสตร์)  การฟ้อนดาบมักใช้กลองสะบัดชัยตีประกอบจังหวะ ผู้แสดงสวมชุดพื้นบ้านภาคเหนือ (นุ่งกางเกงครึ่งแข้ง สวมเสื้อม่อฮ่อม มีผ้าขาวม้าคาดเอว)

    เสียงกลองสะบัดชัยที่ดังเป็นจังหวะชวนตื่นเต้นผสมกับภาพการร่ายรำของเด็กชายตัวน้อยและเด็กสาวตัวเล็กทำให้การแสดงฟ้อนดาบในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความสนุกและรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าของผู้ชม

    แปะ ๆ ๆ ๆ ๆ

    เสียงปรบมือที่ดังรัวระงมเมื่อการแสดงจบลง เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยทั้งสอง

    มีความสุขกันทั้งผู้แสดงและผู้ชม!

    เป็นยังไงกันบ้างครับ กับการแสดงในค่ำคืนนี้ โดมเอ่ยถามผู้ชมรอบกองไฟด้วยเสียงที่ดัง

    แทนคำตอบ ทุกคนพร้อมใจกันยกนิ้วโป้งขึ้นมา แล้วปรบมือรัว ๆ อีกครั้ง

    จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็เดินกลับไปยังทางที่พวกเขาเดินมาในตอนแรก ปล่อยให้ความรู้สึกสนุกและประทับใจลอยอยู่ในหัวใจของคนที่อยู่ที่นี่

    ว่าแต่...การแสดงจบแล้ว พวกคุณจะทำอะไรกันต่อครับ โดมถาม พลางไล่มองหน้าทีละคน จนมาหยุดที่ใบหน้าตี๋ของโตโน่...ที่เขาหยุดที่คนนี้ก็เพราะว่าในอ้อมกอดของโตโน่มีกีตาร์

    คุณโตโน่จะเล่นกีตาร์หรอครับ

    ใช่ครับ...ผมอยากเล่นกีตาร์ให้ คนพิเศษ’...ฟัง...

    พูดแค่นั้น คนร่างสูงก็หยิบกีตาร์วางในท่าที่เตรียมพร้อม แล้วนิ้วเรียวก็เริ่มดีดเป็นท่วงทำนองเพลงหวาน สายตาคมที่มองคนที่นั่งข้างตัว ทำให้คนถูกมองรู้สึกเขินจนเหมือนมือไม้ที่มีมันเกะกะไปหมด

     

    ...ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ

    ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถเลิศเลอ

    แต่ฉันมีใจพิเศษ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป

    ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ

     

    เสียงเข้มที่ร้องออกมา ดังได้ยินกันรอบกองไฟ เพราะความเงียบของบรรยากาศรอบตัวที่มีเพียงเสียงของลมหนาวที่หอบพัดเอาความเย็นให้แผ่กระจาย แต่ความอบอุ่นจากสายตาของโตโน่ที่มองหมิวทำให้รอบตัวของคนทั้งสองคล้ายมีละลองความอบอุ่นลอยวน

     

    ...โอบกอดฉันไว้ หลับตาผ่อนคลายให้สมฤดี

    เราจะบินหนี ข้ามน้ำทะเลและแดนกว้างใหญ่

    ดาวพราวดั่งฝัน กลางคืนยาวนานร่านหัวใจ

    ปล่อยความเหงาไป ทอดทิ้งใจ รักจะพาแต่เราไปสองคน

     

    เสียงกีตาร์ที่ลอยไปตามสายลมดังกระทบเข้าไปในหัวใจของคนฟังที่นั่งกันเป็นคู่ ๆ แต่ละคนคล้ายอินไปกับเสียงร้องและเสียงกีตาร์ของโตโน่

    เสียงที่ถูกกลั่นกรองมาจากหัวใจ ทำให้คนฟังรู้สึกได้...

    ขนาดพวกเขาเป็นคนนอกยังซึมซับถึงความรู้สึกนี้ของคนร้อง แล้วคนใน (หัวใจ) อย่างหมิวคงไม่ต้องพูดถึง เพราะตอนนี้หมิวได้นั่งหน้าแดงก่ำไปเรียบร้อยโรงเรียนโตโน่แล้ว

    แคนกับฟลุ๊คที่นั่งอยู่ข้างกัน ตัดสินใจลุกขึ้นอาศัยจังหวะที่โตโน่กำลังโซโล่กีตาร์ ออกมาเต้นรำรอบกองไฟ ด้วยใบหน้าที่เกลื่อนกระจายไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปหยุดที่เบื้องหน้าของโดม

    ไม่ต้องรอให้สองคนเบื้องหน้าเอ่ยชวน โดมก็ลุกขึ้น แล้วจับมือของแหวนขึ้นมา แล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ เป็นเชิงให้คนเป็นแฟนเดินตามเขาออกไป แล้วคนทั้งคู่ก็เต้นรำด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแคนกับฟลุ๊คเดินมาชวนฮั่นและแกงส้มเป็นคู่ต่อไป แต่คนทั้งคู่พร้อมใจกันส่ายหน้าแล้วเอียงหัวไปซบกัน เป็นเชิงบอกให้รู้ว่า...พวกเขาสองคนมีความสุขกับการอยู่แบบนี้มากกว่า ซึ่งแคนกับฟลุ๊คก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เดินต่อไปยังกวางและข้าวฟ่าง...

    กวางส่ายศีรษะก่อนจะต้องตกใจเมื่อคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวก่อนจะยื่นส่งมือมาตรงหน้าเธอ หญิงสาวพยายามจะส่งสายตาปฏิเสธ แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอด้วยสายตาคม กวางก็ยื่นมือออกไปจับมือของข้างฟ่าง แล้วเธอกลุกขึ้นยืนตามแรงฉุดของคนตรงหน้า

    ป๊อกมองตามหลังคนมีคู่ที่ออกไปเต้นรำรอบกองไฟด้วยดวงตาที่เริ่มมีน้ำใสคลอหน่วย

    ถ้าค่ำคืนนี้...เธอมีตฤณอยู่ด้วย...ก็คงจะดีมิใช่น้อย

    เฮ้อ...เศร้าเบา ๆ

     

    ฉันไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ ร่ำรวยจ่ายเงินเร็วร้อนแรง

    ไม่มีอำนาจใด ประหนึ่งเจ้าชายจะสำแดง

    มีเพียงหัวใจ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป

    ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ

     

    ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ

    ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ

    ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ

    ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ...”

     

     

    เมื่อร้องมาจนถึงท่อนสุดท้าย โตโน่ก็ขยับลุกขึ้นยืน แล้วปล่อยนิ้วที่จับสายกีตาร์ พลางวางกีตาร์พิงไว้กับขอนไม้ แล้วจับมือหมิวให้ลุกขึ้นยืน แล้วเขาก็เริ่มนำหมิวให้เต้นรำไปตามจังหวะดนตรีที่เขาบรรเลงเองในใจ หมิวที่ซึ่งตอนแรกงง ๆ กับการกระทำของคนร่างสูง ก็คล้ายจะเข้าใจเมื่อเธอหลับตาซึมซับกับท่วงท่าในการเต้นรำที่คนรักเป็นคนนำ

    แค่เพียงหลับตาแล้วใช้หัวใจซึมซับไปกับท่วงทำนองเพลงรักในหัวใจ...แค่เพียงเท่านั้น...

    เพลงรักที่ดังกึกก้องก็ทำให้หัวใจรู้สึกดีและอิ่มเอมไปด้วยความสุข

    ส่วนคู่อื่นเมื่อไม่มีเสียงดนตรี พวกเขาก็เหมือนจำต้องหยุดเต้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยุดอย่างที่คิด เสียงกีตาร์ที่ดังมาจากคนร่างโปร่งอย่างแกงส้มก็ทำให้ทุกคนเบนสายตามายังคนเล่น

    ผมเห็นพี่โน่เล่นแล้วอยากเล่นบ้างอ่ะครับ ไหน ๆ พี่โน่ก็จัดเพลงหวานมาแล้ว งั้นผมขอจัดต่ออีกสักเพลงนะครับ...บรรยากาศแบบนี้...อารมณ์ประมาณนี้...ต้องเพลงนี้เลย...

    แล้วนิ้วเรียวก็เริ่มดีดกีตาร์เป็นเพลงหวานที่หลายคนคุ้นเคยกับท่วงทำนอง ใบหน้าหวานอมยิ้มเมื่อมองไปยังคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

     

    ...เพียงอยู่ในวงแขนคุณ อบอุ่นในหัวใจ

    เพียงได้เดินเคียงข้างคุณ ดั่งมีพรมละมุน

     

     

    แค่เพียงเสียงทุ้มหวานเริ่มเอื้อนเอ่ยออกมา ฮั่นก็หัวใจเต้นแรง...

    เพลงนี้...ความหมายดีมาก!

     

     

    ...ทอดพาดวงใจ เราไปยังนภาฟ้าที่แสนไกล

    ที่ไม่เคยมีใครเคยก้าวลํ้าข้ามผ่านพ้นไป

    เก็บดวงดาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า จับมาเรียงร้อยเป็นมาลัยคล้องใจ

     

    ทอดพาดวงใจ เราไปยังนภาฟ้าที่แสนไกล

    ที่ไม่เคยมีใครเคยก้าวลํ้าข้ามผ่านพ้นไป

    เก็บดวงดาวที่ลอยเกลื่อนฟ้า จับมาเรียงร้อยเป็นมาลัยคล้องใจ...คู่กัน...

     

     

    ท่วงทำนองที่ถูกปรับให้ช้าลง เพื่อให้คนที่กำลังเต้นรำอยู่ด้วยกันได้อิงแอบแนบซบ ภาพของคนหลายคู่ที่กำลังเต้นรำกันอยู่ ทำให้คิมและจ๋าหันมาสบตากันผ่านละอองหมอกที่ลอยเอื่อย

    ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยคำใด ๆ เอ่ยออกมา จ๋าและคิมก็ค่อย ๆ เขยิบกายเข้ามาชิดกันมากยิ่งขึ้น มือบางที่ค่อย ๆ เลื่อนมาเกี่ยวกระหวัดกัน ทำให้คนที่เพิ่งเริ่มต้นสัมพันธ์การเป็นแฟน (แบบงง ๆ) ค่อย ๆ ใช้หัวใจเรียนรู้กันมากขึ้น

    ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นมาจากคู่กัด แล้วก้าวกระโดดมาเป็นแฟน มันอาจจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ใด ๆ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น...เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดและคิดว่า...

    ทุกสิ่งบนโลกนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนเสมอไป

    ไม่จำเป็นว่าสีขาวจะต้องคู่กับสีดำ...เพราะสีขาวก็สามารถคู่กับสีเขียวได้

    ไม่จำเป็นว่าช้อนจะต้องคู่กับส้อม...เพราะช้อนก็สามารถคู่กับตะเกียบได้

    ไม่จำเป็นว่าโรงหนังจะต้องคู่กับป็อปคอร์น...เพราะโรงหนังก็สามารถคู่กับเลย์ได้

    ไม่จำเป็นว่าผู้หญิงจะต้องคู่กับผู้ชาย...เพราะผู้หญิงก็สามารถคู่กับผู้หญิงได้

    เหมือนกับที่ผู้ชายก็สามารถคู่กับผู้ชายด้วยกันเองได้...

    แค่เพียงเพราะ หัวใจคนสองคนรักกัน...อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ

     

     

     

    ...เพียงแค่ใจเรารักกัน บดบังความสําคัญอื่นใด

    เพียงแค่ใจเราสองใจ เข้าใจในรักจริง

     

     

    เมื่อร้องมาถึงท่อนนี้ คนร้องก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับร่างสูงที่มองเขาอยู่แล้ว

    ดวงตาที่สบประสานกันเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งคู่ ความรู้สึกรักที่ถ่ายทอดผ่านสายตาทำให้หัวใจที่กำลังเต้นไหวรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้

    ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ ให้มันมากมาย

    แค่เพียงหัวใจเรารู้ว่ารักกัน...

     

     

    แค่เรามีเพียง งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์

    สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน

    ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ

     

    และเรามีเพียง งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์

    สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน

    ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ...เหนือใจ...

     

     

    เมื่อร้องจนจบเพลง ร่างของแกงส้มก็ถูกฮั่นรวบเข้าไปในอ้อมกอด จนใบหน้าหวานซบไปเต็ม ๆ ต้นคอขาวของคนเป็นพี่ แต่ลำตัวของคนสองคนก็ถูกกั้นไว้ด้วยกีตาร์ตัวหนา

    เฮ้ย ๆ ๆ ๆ กอดกันเบา ๆ หน่อย เดี๋ยวกีตาร์พัง ทันทีที่เห็นช็อตกอดของฮั่นและแกงส้ม โตโน่ก็โวยวายออกมาทันที

    เพียะ! แรงตีบริเวณหัวไหล่ ทำให้ใบหน้าตี๋ยู่ด้วยความเจ็บ

    ทำไมต้องไปขัดจังหวะคู่นั้นเค้าด้วยคะ

    หมิวอ่ะ...ก็พี่เป็นห่วงกีตาร์นี่นา

    ไปขัดเค้ามาก ๆ เดี๋ยวโดนขัดบ้างจะรู้สึกนะคะ พูดจบ หมิวก็เดินกลับมานั่งที่เดิม และตามด้วยคนอื่น ๆ ความหวานที่ลอยเอื่อย ๆ ตามหมอกที่ลอยเป็นสาย ค่อย ๆ โอบล้อมคนที่นั่งรอบกองไฟให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แม้คนไม่มีคู่จะรู้สึกเหงา ๆ ไปบ้าง...แต่ในหัวใจของทุกคนก็ย้ำตอบตัวเองว่า...

    สักวันหนึ่งต้องเป็นวันของพวกเขา!

    แล้วค่ำคืนนั้นก็จบลงโดยทุกคนมีความสุขกับช่วงเวลาดี ๆ ที่พวกเขาได้ร่วมมีความสุขกับกิจกรรมของเด็ก ๆ และเสียงเพลงเพราะ ๆ หวาน ๆ ด้วยกัน

    พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...อาจไม่สำคัญเท่ากับวันนี้ที่เรามีความสุข

     

     

     

    ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเชิญคุณโดมตัดริบบิ้นเปิดห้องสมุดเลยครับ โตโน่ว่าก่อนจะยื่นกรรไกรสีฟ้าให้กับร่างกลมที่ยืนอยู่เบื้องหน้าห้องสมุดที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    เย้ ๆ ๆ ๆ ๆ

    แล้วเสียงของเด็ก ๆ ที่ร้องตะโกนออกมาเมื่อเห็นริบบิ้นถูกตัดขาดออกจากกันก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าบรรดาผู้เป็นสร้างห้องสมุด

    ความสุขจากการเป็นผู้ให้คือการที่ได้เห็นผู้รับมีรอยยิ้มและมีความสุข

    แล้วโดมก็จับมือแหวนให้เดินเข้าไปในห้องสมุด โดยมีเด็ก ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ตัวน้อยเดินตามเป็นขบวน

    มีความสุขเนอะ

    กวางพูดขึ้นมา ก่อนที่เธอจะมีน้ำตาไหลซึมออกมา คนอื่น ๆ เองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน

    ขอบใจนะกวางที่ทำให้พวกเราได้มาทำสิ่งดี ๆ เหล่านี้ ฮั่นเอ่ยออกมา ก่อนที่กวางจะส่ายหน้ารัว ๆ ทันที

    ไม่ต้องมาขอบใจหนูค่ะพี่ฮั่น เพราะจริง ๆ แล้วไม่ใช่หนูที่คิดโครงการนี้หรอกนะ แต่เป็นพี่โน่ต่างหาก หรือจะพูดให้ถูก...เราทุกคนในชมรมช่วยกันคิดขึ้นมาต่างหาก แต่หนูแค่เป็นแกนหลักเฉย ๆ...ขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ได้การร่วมแรงร่วมใจของทุกคน คงไม่มีห้องสมุดให้น้อง ๆ แบบนี้ ฮื้อ...

    แล้วคนพูดก็ร้องโวยวายออกมาทันทีที่สารพัดมือเอื้อมมาขยี้ผมเธอ

    หมิว่า...เราเลิกทำซึ้งแล้วเดินเข้าไปดูผลงานของพวกเรากันดีกว่าค่ะ หมิวว่าก่อนที่เธอจะเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องสมุด...ผลงานสุดภาคภูมิใจ!

     

     

     

    เดินทางกลับกันดี ๆ นะครับ โดมเอ่ยพูดเมื่อลังใบสุดท้ายถูกยกใส่ท้ายรถกระบะคันสุดท้าย

    โอเคเลยค่ะพี่โดม กวางตอบ ก่อนที่เธอจะหันซ้ายหันขวามองหาใครสักคน จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

    พี่กวางมองหาใครครับ

    มองหาคนขับรถ

    หืม ? พี่ฮั่นน่ะหรอครับ ก็นั่งอยู่ในรถนั่นไง แกงส้มตอบพลางชี้มือไปยังร่างสูงที่หยิบแว่นกันแดดสีชามาใส่ แต่...

    ไม่ใช่พี่ฮั่น

    อ้าว...แล้วใครอ่ะครับ

    มานู่นและ แล้วแกงส้มก็มองตามสายตาของคนพูดไป ร่างสูงของข้าวฟ่างก็โผล่มาพร้อมรถกระบะสีเงิน

    เฮ้ย! นี่พี่ข้าวฟ่างไปเอารถมาจากไหนครับ

    อ๋อ...พี่โทรให้ลูกน้องเช่ามาให้อ่ะ

    แหม่...ว่าแต่พวกพี่สองคนจะไปไหนกันเนี่ย

    ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว พี่ก็เลยกะว่าจะไปแวะดูชาในโรงอบซะหน่อย กะว่าจะลงในเมืองแล้วต่อรถเอา แต่คุณคนนี้ (พูดพลางชี้มือ) เค้าบอกว่าจะไปส่ง พี่ก็เลยขี้เกียจขัดศรัทธาอ่ะเมื่อกวางพูดจบ แกงส้มก็ตาโตขึ้นมาทันที

    แหม ๆ ๆ ๆ โอ๊ย! พี่มาตีผมทำไมเนี่ยพี่กวาง ยังไม่ทันที่แกงส้มจะได้เอ่ยชง เขาก็ถูกมือบางของกวางฟาดไปที่ไหล่แรง ๆ ทันที

    ไม่ต้องคิดจะพูดชง พี่ไปแล้ว...แกก็เดินทางกลับดี ๆ ล่ะ อย่าไปชวนสวีทกับพี่ฮั่นให้พี่ป๊อกเค้าอิจฉาไปมากกว่านี้

    คร้าบบบบบบบบบบ แล้วเจอกันที่กรุงเทพพี่

    อืม ๆ กวางรับคำก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นรถ พลางโบกมือให้กับคนที่ยังยืนอยู่บริเวณนั้น

    เมื่อรถกระบะสีเงินเคลื่อนตัวออกไป รถเก๋งสีดำสนิทก็เลี้ยวเข้ามา

    ขอโทษครับ...ป๊อกอยู่ไหนครับ ทันทีที่ร่างสูงโปร่งดูดีของตฤณก้าวลงมาจากรถที่จอดสนิท แกงส้มก็จำชายหนุ่มตรงหน้าได้ทันที

    คุณ!...”

    มาที่นี่ทำไมตฤณ ?

    ยังไม่ทันที่แกงส้มจะได้พูดตอบ ป๊อกที่เพิ่งเดินมาถึงก็เอ่ยประโยคนี้ออกมาทันทีด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างแกงส้มจึงค่อย ๆ พาตัวเองออกมาจากบริเวณนั้น ปล่อยให้คนสองคนได้เคลียร์กัน

    ผมก็มาหาป๊อกน่ะสิครับ คิดถึงป๊อกมาก ๆ เลยรู้ไหม... ตฤณตอบก่อนจะจับมือคนตรงหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มหวาน

    จะไปเมืองนอกแล้วไม่ใช่หรอ...แล้วถ่อมาถึงที่นี่ทำไม ถามพลางปลดมือตัวเองออกจากเกาะกุม แต่คนตรงหน้ากลับไม่ปล่อยให้ป๊อกได้ทำแบบนั้น

    มือคู่นี้...เขาอยากจับมันไว้ตลอดชีวิต...

    ผมจะมาบอกป๊อกว่า...แต่งงานกับผมนะครับ...แล้วไปอยู่กับผมที่โน่น...ผมจะดูแลป๊อกเอง...ถึงผมจะยังเรียนไม่จบ แต่ผมก็ดูแลป๊อกได้นะ เพราะว่าผมจะไปดูแลกิจการของครอบครัวที่นู่นด้วย

    แค่เพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้คนฟังน้ำตารื่นขึ้นมา

    นี่เธอกำลังถูกผู้ชายขอแต่งงานอยู่...

    ผู้ชายที่หัวใจของตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น...

    ผู้ชายที่เธอใช้เวลาศึกษาไม่นานก็ตกลงปลงใจคบหาเป็นแฟน...

    ผู้ชายที่ทำให้เธอยิ้ม หัวเราะและร้องไห้...เพียงเพราะคิดถึงเขา...

    เธอยอมรับเลยว่าตอนนี้เธอดีใจมาก...มากซะจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี...

    ใจหนึ่งก็อยากจะตอบตกลง...แต่ระยะเวลาเพียงน้อยนิดที่ทำความรู้จักกันก็ทำให้เธอไม่กล้าตอบตกลง

    ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจ แต่แค่เธอรู้สึกว่าเธออยากจะให้เวลาพิสูจน์ความจริงใจของผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอมากกว่านี้...เธออยากแน่ใจมากกว่านี้...

    ป๊อกขอไม่ตกลงนะ

    ทำไมครับ...?

    ป๊อกอยากให้ตฤณไปเรียนที่นู่น แล้วปล่อยให้ระยะทางพิสูจน์ความรักที่มีต่อกันของเรา ไม่ใช่ว่าป๊อกไม่รักตฤณนะ แต่เพราะรัก...ป๊อกจึงอยากให้เราได้เรียนรู้ที่จะมีกันและกันมากกว่านี้...ตฤณเข้าใจป๊อกใช่ไหม

    ใบหน้าคมที่ตอนแรกเหมือนจะร้องไห้เพราะถูกปฏิเสธการแต่งงานก็ค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของหญิงสาวที่เขารัก

    ก็ได้ครับ...ถ้างั้น...วันนี้ป๊อกไปหาพ่อกับแม่ผมนะ ท่านอยากเจอป๊อกครับ

    วันนี้เลยหรอ ?

    ใช่ครับ วันนี้!”

    แต่ป๊อกไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะ ป๊อกโอดครวญออกมาเมื่อรู้ว่าเธอต้องไปพบกับพ่อแม่ของคนรัก

    ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองเนี่ยแหล่ะ เพราะผมรักที่ป๊อกเป็นแบบนี้ พ่อกับแม่ของผมก็ต้องรักที่ป๊อกเป็นแบบนี้เหมือนกันครับ พูดจบ คนพูดก็ยกยิ้มหวานออกมา แล้วยกสองมือของป๊อกขึ้นมาจูบเบา ๆ ที่หลังมือนั้น

    ภาพหวานของคนทั้งคู่ทำเอาแกงส้มที่ยืนแอบมองอยู่ข้างรถต้องยกมือขึ้นมาอุดปากตัวเอง

    หวานมากพี่สาวผม!

    โอเค...ถ้างั้นก็ตามนี้ค่ะ ไอ้แกง...เลิกหลบมุมแล้วออกมาเลย

    อ่า...นี่พี่รู้ด้วยหรอครับว่าผมยืนอยู่ตรงนี้

    แหม ๆ ไม่รู้เลยสิยะ...ถ้าได้ยินแล้วก็...ขับรถกลับกรุงเทพดี ๆ ล่ะ ไม่มีทั้งพี่ทั้งกวางและข้าวฟ่างอยู่ขัดคอแล้ว ก็อย่าหวานกันจนขับรถแหกโค้งลงเขาล่ะ

    โหพี่...ถ้าจะอวยพรกันขนาดนี้นะ... แกงส้มย่นจมูกใส่คนพูดก่อนที่เขาจะส่งสายตาเคือง ๆ ไปให้ป๊อก

    โอ๋ ๆ ๆ ล้อเล่นไอ้น้องชาย งั้นพี่ไปก่อนนะ บายๆๆ แล้วป๊อกก็โบกมือลาแกงส้มและคนอื่น ๆ ก่อนที่เธอจะเดินตามร่างสูงของคนรักไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล

    ทันทีที่รถเก๋งสีดำขับออกไป รถกระบะโฟลวิลที่จอดต่อกันก็ได้ฤกษ์ขับออกจากโรงเรียนดอยเอื้อมดาวแห่งนี้ ยามที่ตัวรถเคลื่อนผ่านเด็ก ๆ ที่โบกมืออำลา ความรู้สึกดีก็ลอยวนรอบตัว

    แล้วสักวันจะกลับมานะ...

     

     

     

    พี่ฮั่น...อยากฟังเพลงอะไรครับ เดี๋ยวผมเล่นให้ฟัง คนที่นั่งเกากีตาร์อยู่เอ่ยถามคนเป็นคนขับ พลางยกยิ้มหวาน

    หืม...อยู่ดี ๆ นึกยังไงถึงจะร้องเพลงให้พี่ฟังครับ ฮั่นถามพลางขมวดคิ้วหนาอย่างงง ๆ

    ก็ผมอารมณ์ดีติดค้างจากเมื่อคืนนี่ครับ เมื่อคืนยังร้องเพลงให้พี่ฟังเพลงเดียวเอง วันนี้อยากร้องให้พี่ฟังอีก...อยากฟังเพลงอะไรพี่ รีเควสมาเลย พูดจบ คนถามก็หันมามองหน้าคนถูกถามด้วยดวงตาแป๋วแหวว

    ฮั่นเห็นแบบนั้นก็อดที่จะเอื้อมมือไปยีผมแกงส้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

    เอาเพลงอะไรก็ได้ครับที่แกงอยากจะร้องให้พี่ฟัง เพราะทุกเพลงที่แกงร้อง มันคือทุกเพลงที่พี่อยากฟังครับ พูดแค่นั้น คนพูดก็อาศัยจังหวะที่รถจอดติดไฟแดงพอดี เลื่อนใบหน้าของตัวเองแตะริมฝีปากของเขากับริมฝีปากบางที่กำลังจะขยับเป็นคำพูด

    สัมผัสหวานแผ่วเบาแต่ชวนให้หัวใจลอยละล่อง ทำเอาคนที่กำลังนึกเพลงที่จะร้องถึงกับสติหลุดไปชั่วขณะ

    พะ พี่ฮั่นบ้า! ลวนลามผมอีกแล้วนะ เดี๋ยวเถอะ... แกงส้มคาดโทษ ก่อนที่เขาจะเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกอุ่นที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากทำให้เขานึกเพลงที่จะร้องไม่ออก

    เอ้า...เงียบทำไมล่ะครับนักร้อง ไม่ร้องแล้วหรอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ   ฮั่นเอ่ยแซวก่อนที่ไหล่ของเขาจะถูกมือบางฟาดมาเต็ม ๆ

    ก็พี่นั่นแหล่ะมาทำให้ผมสติหลุด นั่งรอไปก่อนเลย ผมยังนึกเพลงไม่ออก

    แล้วความเงียบก็โรยตัวรอบคนทั้งสอง ความรู้สึกดีที่จากสัมผัสเมื่อสักครู่ทำให้หัวใจสองดวงเต้นไหวไปกับความรู้สึกอิ่มเอม

    อิ่มจากความรู้สึกดีที่ได้ทำความดีและ...

    อิ่มจากความรู้สึกรักที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ

     

     

    ผมนึกออกแล้วว่าผมจะร้องเพลงอะไรให้พี่ฟัง...

    หืม...เพลงอะไรครับ...

    เพลงนี้ไงครับ...In love...”

    นิ้วเรียวค่อย ๆ จรดลงไปบนสายกีตาร์ แล้วเริ่มดีดเป็นท่วงทำนองเพลงหวานที่ฮั่นรู้สึกเหมือนคุ้น ๆ ว่าเคยฟังที่ไหน...

     

    ...ไม่รู้ทำไมพอมองอะไรพักนี้มันเปลี่ยน

    ฉันเห็นอะไรก็เป็นหน้าเธออยู่ทุกที่ไป

    ไม่รู้ทำไมละครทีวีพักนี้ดูแปลก

    ยิ่งหนังซีรี่ส์เรื่องใด เปิดดูช่วงนี้อินจับใจ

     

    เหมือนมันอยู่ในภวังค์ที่มีพลังความรัก

    มาทำฉันให้เปลี่ยน ให้มันเปลี่ยน

    อยากเปล่งเสียง ให้เธอได้รู้ว่า ...

     

     

    เมื่อร้องมาถึงท่อนนี้ คนร้องก็เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าเสี้ยวด้านข้างของคนฟัง สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักถูกเจ้าตัวแสดงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งคนถูกมองเองก็คล้ายจะรู้สึกตัว เพราะฮั่นหันมาสบตากับแกงส้มด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกเดียวกัน

     

    ...อยู่กับเธอช่าง In love มันช่าง In love

    ตั้งแต่เธอเข้ามา มาสบตาอยากให้รู้ไว้ว่า

    ตื่นขึ้นมาก็ In love นอนก็ In love

    อยากจะพูดบางคำ ให้ใครบางคนได้ฟังว่า

    I Love You

     

     

    ความรู้สึกที่ In love ราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก ทำให้หัวใจของคนที่รู้สึกแบบเดียวกันต้องปล่อยให้ความรู้สึกล่องลอยไปกับเสียงเพลงหวานรื่นหู

     

     

     

    เมื่อฟ้าได้ดลบันดาลให้เราทั้งสองพบกัน

    แล้วรักจะนำพาเธอก้าวไปกับฉันหรือไม่

    คำถามคำนี้คงมีแต่เธอเท่านั้นมีคำตอบ

    ที่รู้คือใจฉันเองได้เปลี่ยนไปแล้วจนหมดใจ

     

     

    เพลงรักที่ถูกร้องออกมาจากความรู้สึก...ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ เพราะจับใจ เสมอ...

    เพราะเมื่อหัวใจรู้สึกดี...ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ก็ดีตาม

     

     

     

     


     

     

     

    ใครว่าความรักไม่มีอิทธิพลพอที่จะเปลี่ยนแปลงคน...ความรักคือพลังเงียบที่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้เสมอ และความรักนี้เองที่ทำให้คนเรายอมที่จะทำอะไรที่ไม่เคยทำ...เพราะ ความรัก จริง ๆ

     

     







     

     

     

     

    //มาแล้วจ้า....ฟิคที่ไม่หวานอีกตอนหนึ่งของเค้า...ฮ่า ๆ ๆ ๆ ตอนนี้จัดมาแบบหวานเบา ๆ พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจอีกแล้ว...โอ๊ะโอ...หวังว่าคนอ่านคงจะชอบกันนะคะ ^^~

    บอกตามตรงว่ากวางมีความสุขและรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้เขียนฟิคเรื่องนี้...

    มีความสุขและรอยยิ้มทุกครั้งที่รู้ว่ามีคนตามอ่านอย่างสม่ำเสมอ...

    มันเป็นความรู้สึก อุ่นในหัวใจ อย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ค่ะ

    ขอบคุณนะคะที่ชอบฟิคเรื่องนี้

    ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด...

    ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ กอดกันๆๆ

     

    ปล. จู่ ๆ กวางก็มีความคิดพที่อยากจะรวมเล่มฟิคเรื่องนี้อ่ะค่ะ ไม่รู้ว่าคนอ่านจะสนใจกันไหมคะ...คือถ้ามีคนสนใจกวางก็อาจจะมีโอกาสได้รวมเล่ม แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไรนะคะ...ยังไงก็ลองแย็บๆ บอกกันมาบ้างนะคะว่าสนใจไหม...

    ไปแล้วค่า,,,แล้วพบกันในตอนต่อไปเด้อ ^___^~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×