คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : บทที่ 31 : การเดินทางที่แสนพิเศษ
บทที่ 31 : การเดินทางที่แสนพิเศษ
ปึก!
แรงกระแทกบริเวณไหล่ เรียกสายตาคมให้หันไปมอง
“แกงหาเรื่องพี่หรอ” ฮั่นถาม ก่อนจะหยุดเดิน พลางส่งสายตาเป็นคำถามไปให้ร่างโปร่งที่ยืนตรงหน้า
“หาเรื่องอะไรพี่ฮั่น ผมเปล่าหาเรื่องนะ” แกงส้มว่าพลางลอยหน้าลอยตายิ้มใสซื่อ ฮั่นเห็นท่าทางนี้ของแกงส้มแล้วเขาก็อดที่จะเอามือไปตีหน้าผากมนด้วยความหมั่นเขี้ยวไม่ได้
“อย่ามาทำเป็นแอ๊บใสนะแกง ถ้าไม่หาเรื่องแล้วมาเดินชนไหล่พี่ทำไม”
“ทำไมพี่ฮั่น...ชนนิดชนหน่อยไม่ได้เลยไง เดี๋ยวนี้หวงตัวหรอ” แกงส้มถามพลางเอามือมาจิ้มที่อกกว้างอย่างนึกหยอก
ฮั่นใช้มือข้างที่ว่างจากการไม่ได้ถือของ มาจับนิ้วเรียวที่จิ้มบริเวณแผ่นอกมางับเบา ๆ ดวงตาคมที่มองมาอย่างเซ็กซี่ ทำให้แกงส้มถึงกับหน้าแดงก่ำ
“งื้อ...พี่ฮั่นทำไรอ่ะ!” แกงส้มโวยวายออกมา พลางหันซ้ายหันขวา เนื่องจากกลัวว่าจะมีใครเห็น แต่เนื่องจากสถานที่พวกเขาสองคนยืนอยู่เป็นห้องเก็บของของชมรมพอดี และพวกเขาสองคนก็เป็นสองคนสุดท้ายที่มายกของที่ห้องนี้ ทำให้ไม่มีใครผ่านมาอีก
“ก็พี่หมั่นเขี้ยวแกงนี่นา พูดจาเกรียนไม่พอ ยังมาทำท่าน่ารักอีก” ฮั่นว่าก่อนจะส่งสายตาเชื่อมไปให้คนที่ยืนหน้าแดงก่ำ
“พะ พะ พี่ฮั่นบ้า! มาหมั่นเขี้ยวอะไรผม ผมไม่พูดกับพี่แล้ว ปล่อยมือผมเลยนะ” แกงส้มพูด พลางดึงมือออกจากการเกาะกุมของร่างสูงแล้วก้าวฉับ ๆ เดินออกไปจากห้องนี้ โดยมีเสียงหัวเราะของฮั่นลอยตามหลังมาชวนให้หัวใจเต้นแรง
พี่ฮั่นบ้า!
บ้าที่สุดในโลก!
เขินเว้ย!!!
ทางด้านฮั่นเอง ก็เขินไม่แพ้กัน เพราะชายหนุ่มยกมือขึ้นมาตบเบา ๆ ที่อกหนา เนื่องจากหัวใจของเขากำลังเต้นแรงมาก
เขาทำแบบนั้นออกไปได้ยังไง...
อ๊าก!!! ไม่รู้ตัวเลยสักนิด...ก็แกงส้มอยากมาทำหน้าน่ารัก ทำท่าน่าหมั่นเขี้ยวทำไมล่ะ!
ใครจะไปอดใจไหวกัน (?)
แล้วฮั่นก็ส่ายศีรษะให้กับความคิดที่เริ่มหื่นของตัวเอง พลางยกลังใบใหญ่เดินตามคนที่เดินนำไป
“พี่กวาง...ขอฟลุ๊คนั่งคันพี่กวางนะ” กวางซึ่งกำลังยืนเช็กสัมภาระที่วางอยู่หลังรถ เงยหน้าขึ้นมามองคนพูด
“หืม ? ทำไมอ่ะฟลุ๊ค นั่งคันพี่จ๋ามันเป็นอะไร ทำไมเราถึงจะมานั่งคันพี่”
“ก็ฟลุ๊คไม่อยากนั่งกับพี่แคน” เสียงเง้างอดบวกกับใบหน้างอง้ำของฟลุ๊คทำให้กวางขมวดคิ้ว พลางมองไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่ไม่ไกล โดยที่เบื้องหน้าของรถคันนั้นมีแคนยืนเกาหัวพลางทำหน้าแบบว่า
ผมไม่ได้ทำอะไรนะพี่...
“ทำไมฟลุ๊ค”
“ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ไม่อยากนั่งกับพี่แคน”
“ฟลุ๊คอย่ามาเกรียนพี่ตอนนี้นะ บอกมา...ว่าทำไมถึงไม่อยากนั่ง” กวางทำเสียงเข้ม ทำให้ฟลุ๊คต้องย่นจมูกก่อนจะเริ่มฟ้อง
“ก็พี่แคนอ่ะแกล้งฟลุ๊ค ชอบล้อเรื่องแว่นฟลุ๊ค แล้วก็มาเรียกฟลุ๊คว่ายัยแว่นด้วย ฟลุ๊คไม่อยากนั่งกับพี่แคนแล้ว แถมพี่โน่ก็ยังรวมหัวกับพี่หมิวชงฟลุ๊คกับพี่แคนอีก ฟลุ๊คไม่ชอบนะ!” ฟลุ๊คว่าพลางยกมือขึ้นมากอดอก ท่าทางที่แสดงออกถึงความเอาแต่ใจตัวเองของคนตรงหน้า เรียกมือบางให้ตบเบา ๆ ไปที่หน้าผากมน
“อย่ามาทำเป็นคุณหนูเอาแต่ใจตอนนี้ เห็นแคนมันก็แกล้งเรามาตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วไม่ใช่หรอ และแหม...ไม่ชอบให้พี่โน่กับหมิวชงแต่เห็นเวลาเค้าชงทีไรก็เขินม้วนต้วนไม่ใช่ไง กลับไปรถตัวเองเลย...แล้วที่ไม่อยากนั่งน่ะเพราะกลัวเขินจนทำอะไรไม่ถูกล่ะสิ”
เมื่อโดนคนเป็นพี่พูดแทงใจดำ ฟลุ๊คก็เม้มริมฝีปากแน่นแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมา
“ฟลุ๊คโป้งพี่กวางแล้ว! ไม่เข้าข้างฟลุ๊ค คอยดูนะ...ฟลุ๊คจะยุให้พี่ข้าวฟ่างไปจีบคนอื่น” พูดจบ ฟลุ๊คก็สะบัดหน้าใส่กวาง แล้วก้าวฉับ ๆ เดินกลับไปที่รถที่ตัวเองต้องนั่ง และเมื่อเดินไปถึง แคนก็เปิดประตูรถให้ฟลุ๊คพลางส่งยิ้มหวานให้หญิงสาว แต่...ฟลุ๊คกลับเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง นั่นทำให้แคนถึงกับยกมือขึ้นมาเกาศีรษะตัวเองอย่างเก้อ ๆ พลางหันมาสบตากับกวางที่ยืนอยู่ไม่ไกล
กวางก็ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเป็นเชิงบอกให้แคนสู้ ๆ ซึ่งแคนก็ยิ้มรับก่อนจะเดินขึ้นรถ
แล้วกวางก็หันมาสนใจกับการตรวจเช็กสัมภาระของตัวเองต่อ...
ตุบ!
แรงเหวี่ยงของกระเป๋าที่ดังข้างตัว เรียกความสนใจของกวางให้เงยหน้าขึ้นไปมอง (อีกครั้ง)
วันนี้จะเช็กของเสร็จไหมเนี่ย!
“นึกว่าใคร เป็นอะไรเจ้าแกง ทำไมทำหน้าแบบนั้น นี่แกเดินไปยกของที่ห้องเก็บของไม่ใช่หรือไง แดดก็ไม่ได้โดนอะไรมาก ทำไมหน้าแดงจังวะ” กวางเอ่ยทักคนเป็นน้องเมื่อเห็นว่าใบหน้าของแกงส้มดูแดงผิดปกติ
“อะไรพี่! ใครหน้าแดง อย่ามามั่วนะ ผมไม่ได้หน้าแดงซะหน่อย”
“หรอ~”
“พี่ฮั่น! อย่ามาแซวผมนะ!!!!!” แกงส้มโวยวายคนที่เพิ่งเดินมาถึงด้วยเสียงที่ดัง บ่งบอกอาการผิดปกติสุด ๆ ทำให้กวางมองใบหน้าของแกงส้มสลับกับใบหน้าของฮั่น
สองคนนี้...ต้องแอบไปทำอะไรกันมาแน่ ๆ
“มีอะไรกันหรอ...”
กวางแกล้งเอ่ยถาม ก่อนที่ฮั่นจะอมยิ้มกรุ้มกริ่มแต่ไม่พูดอะไรเดินไปนั่งประจำที่คนขับ ส่วนแกงส้มเองก็เลือกที่จะเงียบพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กวางจึงไม่สนใจสองคนนี้ แล้วหันไปให้ความสนใจกับการเช็กสัมภาระตรงหน้าต่อ
“โอเค...ของพร้อม คนพร้อม ออกเดินทางกันได้” กวางว่า ก่อนจะเดินไปที่รถกระบะโฟล์วิลสีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าสุด แต่มือบางของแกงส้มก็รั้งศอกของหญิงสาวไว้
“เดี๋ยวพี่กวาง รอพี่สาวผมอีกคนก่อน”
คำว่าพี่สาวอีกคนเรียกคิ้วของกวางให้ขมวดมุ่น แล้วร่างเล็กของคนที่วิ่งหอบมาก็ทำให้กวางกระจ่าง
“โทษทีว่ะแกง พี่มัวแต่ฝากร้านกับพี่จอย เอ่อ...ขอโทษนะคะ” ป๊อกก้มหัวขอโทษหญิงสาวที่ยืนจ้องเธอ กวางยิ้มให้กับป๊อกก่อนจะส่งสายตาไปให้แกงส้มเป็นเชิงบอกให้เขาแนะนำเธอกับผู้มาใหม่
“อ่อ เออพี่ป๊อก นี่พี่กวางนะครับ เป็นแกนนำหลักในการจัดไปค่ายอาสาครั้งนี้ พี่กวางนี่พี่ป๊อกครับ”
“สวัสดีค่ะ พี่คงเป็นพี่ป๊อกที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือที่แกงชอบเอาหนังสือไปบริจาคสินะคะ” กวางว่าก่อนจะยกมือไหว้หญิงสาวที่เธอเดาว่าเขาอายุมากกว่าเธอ ป๊อกรับไหว้ก่อนจะยิ้มรับกับคำพูดของคนตรงหน้า
“ใช่ค่ะ พี่ป๊อกเอง”
“นี่...จะยืนลำดับญาติกันอีกนานไหม ไม่ไปใช่ไหมไอ้ค่ายอาสาเนี่ย” คนที่นั่งอยู่บนรถชะโงกหน้าตะโกนออกมา ทำให้กวางที่กำลังเริ่มเมาส์มอย หันไปแยกเขี้ยวใส่คนพูดทันที
“พี่ข้าวฟ่างอย่าเพิ่งขัดได้ป่ะ นี่มันก็ยังไม่ได้เลยเวลามากขนาดนั้นซะหน่อย คนกำลังทำความรู้จักกันอยู่” กวางว่าพลางยืนเท้าสะเอวมองหน้าคนที่ทำหน้าเข้ม
“ก็รู้ว่าไม่ได้เลยเวลามาก แต่ก็ช่วยรีบ ๆ ไปเหอะ เธออย่าลืมนะว่าไม่ได้มีแค่เราไปกันไม่กี่คน แต่ยังมีลูกน้องของคุณคิมอีกเป็นสิบคนที่เขารอเธออยู่ การปล่อยให้คนอื่นรอนาน ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำนะ แล้วถ้าเกิดไปถึงช้า เวลาในการทำงานก็จะยิ่งช้า ทุกอย่างก็จะช้าไปหมด” คำพูดที่มาพร้อมกับใบหน้าจริงจังของข้าวฟ่างทำให้กวางต้องกลอกตาขึ้นมองฟ้า พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ชิ...ขี้บ่นชะมัด!
“ค่า ๆ ๆ ๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะค่า เอ่อ...ถ้างั้นเรารีบไปกันดีกว่า” กวางว่าก่อนจะเดินนำคนสองคนที่ยืนอยู่ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
“ไปครับพี่ป๊อก”
“อืม...”
และเมื่อป๊อกกับแกงส้มขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว รถก็เคลื่อนตัวออก โดยรถคันแรกมีฮั่นเป็นคนขับ แกงส้มนั่งเบาะด้านหน้าคู่คนขับ และเบาะหลังมีข้าวฟ่าง กวางและป๊อกนั่งด้วยกัน ส่วนรถคันที่สองเป็นของจ๋าซึ่งคันนี้มีจ๋าเป็นคนขับ คิมนั่งเบาะด้านหน้าคู่คนขับ ส่วนเบาะด้านหลังมีโตโน่ หมิว ฟลุ๊คและแคน ส่วนคันที่สามและสี่เป็นของลูกน้องคิม (พนักงานในร้าน)
รถทั้งสี่คันขับตามกันไป เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์หรือว่าวันเสาร์อาทิตย์ทำให้ท้องถนนสายขึ้นเหนือมีรถแทบจะนับคันได้ ด้วยความโล่งของท้องถนน ทำให้รถทั้งสี่ใช้ความเร็วได้คงที่
“พี่ฮั่น ผมอยากฟับเพลงคลื่นนี้อ่ะ ทำไมพี่ต้องมาเปลี่ยนด้วย”
“ก็เพลงคลื่นนั้นมันมีแต่เพลงสากลจังหวะหนัก ๆ อ่ะ พี่อยากฟังเพลงไทยจังหวะเบา ๆ สบาย ๆ” ฮั่นว่าพลางฮัมเพลงตามเนื้อเพลงที่กำลังดังภายในรถ
“แต่ผมอยากฟังคลื่นเมื่อกี้!” เสียงที่เข้มขึ้นของแกงส้ม เรียกดวงตาของคนเป็นคนขับให้หันมามองสบตากับดวงตากลมโตที่วาวโรจน์ขึ้น
“อ่ะ ๆ ๆ ฟังคลื่นเมื่อกี้ก็ได้...” แล้วใบหน้าหวานก็แย้มยิ้มขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะปรับคลื่นวิทยุตามที่ตัวเองต้องการ
“หมั่นไส้~”
ข้าวฟ่างพูดขึ้นมาลอย ๆ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมากอดอกแล้วพิงกับเบาะแรง ๆ หนึ่งที แรงกระแทกทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งกำลังหลับอยู่ สะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ฮื้อ...ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ยพี่ข้าวฟ่าง กระแทกเบาะมาแรง ๆ ทำไม คนหลับอยู่นะ” กวางโวยวายออกมา ก่อนที่เธอจะทำตาเขียวใส่คนที่กำลังนั่งหน้าบูด
“ใครใช้ให้เธอหลับล่ะ เธออยากหลับเองนี่ ช่วยไม่ได้!”
“อ้าว! พูดงี้มันหาเรื่องกันนี่หว่า พอกวางไม่หลับพี่ก็บอกว่ากวางพูดมากน่ารำคาญ พอกวางหลับพี่ก็มาว่าอีก ตกลงจะเอายังไงฮะ!” กวางว่าพลางกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ป๊อกที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ รีบดึงตัวกวางให้ออกห่างจากข้าวฟ่างทันที
“ใจเย็น ๆ น้องกวาง มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันค่ะ” ป๊อกว่าก่อนจะถูกกวางสะบัดแขนใส่จนเธอแทบหน้าหงาย
“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว หนอย! อยู่ดี ๆ ก็มาหาเรื่องกัน แบบนี้ใครจะไปยอม ไม่พอใจอะไรพูดมาเลยดีกว่าพี่ข้าวฟ่าง หรือว่าโมโหคนข้างหน้าก็เลยมาลงที่คนอื่น!!”
เมื่อกวางพูดจบ ข้าวฟ่างก็ทำหน้านิ่งขึ้นมา
จริงสินะ...เขารู้สึกหมั่นไส้ฮั่นกับแกงส้ม ก็เลยทำกิริยาแบบนี้
เขาควร ‘ตัดใจ’ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นผู้ร้าย...
“ขอโทษ...”
เมื่อนิ่งไปหลายนาที ข้าวฟ่างก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา กวางอึ้งไปนิดหน่อย ก่อนที่เธอจะเอียงหน้ามองคนที่ทำหน้านิ่ง พลางเอานิ้วไปจิ้มที่ไหล่หนาเบา ๆ เป็นเชิงหยอก เนื่องจากไม่แน่ใจว่าผู้ชายที่นั่งข้างเธอตอนนี้กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
“นี่พี่หายบ้าแล้วหรอ...”
“เธอว่าใครบ้า พูดให้ดี ๆ นะ”
“เอ้า! เค้าก็ว่าพี่อ่ะดิ เค้าคุยอยู่กับพี่นะ ถ้าเค้าไม่ว่าพี่ แล้วเค้าจะว่าใครล่ะ” เมื่อกวางพูดจบ ข้าวฟ่างก็ยกกำปั้นขึ้นมาทันที
“โอ๋ ๆ ๆ ๆ เค้าขอโทษ...ฮ่า ๆ ๆ โอเค ๆ เค้าไม่ล้อพี่แล้วก็ได้” แล้วกวางก็ยิ้มให้คนที่ยังคงปั้นหน้านิ่งขรึม
ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยได้ซ่อนความรู้สึกหลากหลายไว้ในนั้น ทั้ง ๆ ที่บางทีเขาก็พูดจาไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้ และดูเหมือนว่าเธอจะโกรธกับทุกคำพูดของเขา แต่สุดท้ายเธอก็ไม่เคยโกรธเขาได้นาน
ทำไมนะ...
แล้วทำไมเขาถึงต้องมานั่งคิดเรื่องยัยแสบกวางนี่ล่ะ!?!
“พี่ฮั่น ๆ”
“หืม...ว่าไงแกง” คนที่กำลังขับรถอยู่ หันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่เขาจะต้องละสายตาจากท้องถนนมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปทางด้านหลัง
ใบหน้าคมของข้าวฟ่างที่กำลังพยายามกลั้นรอยยิ้มกับใบหน้าหวานของกวางที่แย้มรอยยิ้มหวานทำให้คนมองอย่างฮั่นต้องหันมาสบตากับแกงส้ม แล้วพยักหน้าให้กันเป็นเชิงรู้กัน
“พี่ป๊อก...” ป๊อกเบนสายตาจากคนสองคนที่นั่งข้าง ๆ แล้วมองไปที่คนเรียก
“ว่าไงเจ้าแกง”
“พี่ระวังนะครับ”
“หืม...? ระวังอะไรวะ” ป๊อกถามด้วยความงุนงง ก่อนที่แกงส้มจะพูดประโยคต่อมาด้วยเสียงที่ดังลั่นรถ
“ก็ระวังโดนความหวานของคนข้าง ๆ กระแทกใส่ตาไงพี่ป๊อก ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
แล้วคนพูดก็โดนกวางเอาเสื้อยีนส์ที่ถืออยู่ในมือฟาดไปเต็ม ๆ ไหล่
“พูดมากไอ้แกง! กลับไปสวีทหวานกับพี่ฮั่นต่อเลยไป”
“แน่ะ ๆ ๆ อย่ามาทำเป็นโหดกลบเกลื่อนอาการเขินน่ะพี่กวาง”
“ไม่ได้กลบเกลื่อนโว้ยยยยยยย”
“กลบเกลื่อน”
“ไม่ได้กลบเกลื่อน”
แล้วกวางก็กับแกงส้มก็เถียงกันเรื่องนี้ไปจนตลอดทาง
“ยัยจ๋า...เธอขับให้มันช้า ๆ หน่อยได้ไหม จะไปทิ่มตูดรถฮั่นนี่ของฉันแล้ว” คิมโวยวายออกมาเมื่อเห็นว่าจ๋ากำลังจะขับรถเสยท้ายรถคันข้างหน้า
“โอ๊ยคุณคิม! จ๋าไม่ชนหรอกน่า ขับรถมาตั้งหลายปีแล้ว อีกอย่าง...รถที่ไอ้ฮั่นขับไม่ใช่รถมันสักกะหน่อย เพราะงั้น...ชนได้!!! ฮ่า ๆ ๆ ๆ” พูดจบ จ๋าก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“แต่รถนั่นมันของบริษัทพ่อผมนะพี่จ๋า” โตโน่ว่าก่อนที่เขาจะต้องหุบปากฉับเมื่อคนที่นั่งข้าง ๆ หันมามองเขาตาเขียว
“รถบริษัทพ่อเฮียแล้วไงคะ ถ้าพี่จ๋าจะชนจริง ๆ เฮียจะเอาเรื่องหรอ”
“เอ่อ...ก็ไม่หรอกจ้ะหมิว เชิญพี่จ๋าชนตามสบายเลยครับ” โตโน่พูดพลางหันไปส่งยิ้มแหย ๆ ให้กับคนเป็นแฟน
“หมั่นไส้คนกลัวแฟน...โอ๊ย!!!” ฟลุ๊คตะโกนประโยคนี้ออกมาก่อนที่เธอจะต้องยกมือขึ้นมาลูบต้นแขน เนื่องจากโดนหมิวหยิกเข้าไปอย่างแรง
“พูดมากนะฟลุ๊ค บางทีพี่ว่าเราควรจะนั่งฟังเพลงเงียบ ๆ เหมือนแคนเค้าบ้างนะ” หมิวว่าพลางพยักเพยิดไปทางแคนที่นั่งเอาหัวพิงกับกระจกรถโดยมีหูฟังสีขาวเสียบอยู่
“ชิ! คนไม่มีสังคมอย่างพี่แคน ก็ต้องนั่งเงียบ ๆ สิคะ คนเข้าสังคมอย่างฟลุ๊คก็พูดแบบนี้แหล่ะถูกแล้ว” ฟลุ๊คไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวยังยกมือขึ้นมากอดอกและเชิดหน้าอีกต่างหาก แคนซึ่งนั่งเสียบหูฟัง (แต่ไม่ได้ฟังเพลง) อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางนี้ของฟลุ๊ค
“เฮ้ย! พี่แคนหัวเราะอะไรฟลุ๊คอีกแล้วเนี่ย”
“ก็หัวเราะท่าทางของฟลุ๊คนี่แหล่ะครับ” แคนว่าพลางถอดหูฟังออกแล้วยิ้มตาใสให้กับเด็กสาวที่นั่งทำหน้างอตรงหน้า
ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกชอบเวลาที่ฟลุ๊คทำท่าเกรียน ๆ แบบนี้...
มันดูน่ารักแบบแปลก ๆ ดี...
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร...
หรืออาจจะเพราะหลายคนที่เขาเคยพบเจอไม่เหมือนคน ๆ นี้สักคนก็ไม่รู้...
“ชิ! พี่แคนตลอดเลย ชอบหัวเราะฟลุ๊ค ชอบแกล้งฟลุ๊ค นิสัยไม่ดี”
“พี่ว่าไม่ใช่แคนหรอกที่นิสัยไม่ดี พี่ว่าฟลุ๊คมากกว่า” หมิวว่าพลางแกล้งเบียดไหล่ฟลุ๊คจนเด็กสาวไปกระแทกกับคนที่นั่งข้าง ๆ เบา ๆ
สัมผัสนี้ทำให้ฟลุ๊คหน้าแดงขึ้นมา ก่อนที่เธอจะหันไปมองคนเป็นพี่ที่นั่งข้าง ๆ
“อะไรฟลุ๊ค...พอดีจังหวะรถมันเลี้ยว” หมิวพูดพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ซึ่งอาการนี้ของคนเป็นพี่ก็ทำให้ฟลุ๊คทำอะไรไม่ได้นอกจากจะหันไปมองหน้าคนที่นั่งอีกข้าง และนั่นก็ทำให้เธอถึงกับไปไม่เป็น เมื่อเห็นว่าแคนกำลังนั่งอมยิ้ม
พะ พี่แคนบ้า! อมยิ้มน่ารักชะมัด!
ฟลุ๊คคิดในใจก่อนจะกระแทกตัวกับเบาะแล้วทำเป็นหลับทันที เนื่องจากตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังเด้งกระดอนไปมาอย่างไม่อยู่สุข
ให้ตายเหอะ...หัวใจบ้า! จะเต้นแรงทำไมวะ!
ส่วนคนที่นั่งอมยิ้ม บัดนี้ชายหนุ่มก็เอาหูฟังขึ้นมาเสียบที่หูอีกครั้ง แต่คราวนี้แคนเปิดเพลงให้ดังขึ้น แล้วนอนหลับตาไปด้วยความรู้สึกสุขในหัวใจเล็ก ๆ
บางทีคนที่เขารอ...อาจจะมาถึงแล้วก็ได้...
หมิวมองภาพคนสองคนด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจนคนที่นั่งข้าง ๆ สะกิดที่ต้นแขน
“หมิวยิ้มอะไรอ่ะ”
“ก็ยิ้ม...ที่เห็นเจ้าฟลุ๊คได้เจอคนของตัวเองไงคะ” หมิวตอบก่อนจะค่อย ๆ เอนศีรษะไปซบไหล่คนถาม
โตโน่ยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะคว้ามือบางที่วางอยู่บนตักมากุมไว้ทั้งสองข้าง
“หมิวครับ...”
“คะ ?”
“หมิวคือ ‘คนของพี่’ นะครับ...พี่จะไม่สัญญาว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป แต่พี่จะทำให้ทุกวันของเราเป็นวันที่หมิวมีความสุขที่สุดครับ” มือหนาที่บีบเบา ๆ ทำให้หมิวยิ้มออกมา
“ไม่ใช่แค่วันที่หมิวมีความสุขที่สุดค่ะ แต่เป็นวันที่ ‘เราสองคน’ มีความสุขด้วยกันต่างหากค่ะ” จบคำพูดของหมิว ใบหน้าหล่อใสก็คลี่ยิ้มหวานออกมา
ถ้าอยู่กันเพียงลำพัง เขาคงดึงตัวคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แต่เพราะไม่ได้อยู่กันแค่สองคน เขาจึงทำได้เพียงกุมมือบางไว้ แล้วเอนศีรษะของตัวเองซบกับศีรษะที่เกยอยู่บนไหล่
ความอบอุ่นในหัวใจที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่รัก ทำให้คนสองคนราวกับอยู่ในโลกของตัวเอง
โลกที่เต็มไปด้วยความรัก...
“อิจฉาว่ะ” จ๋ามองภาพคนสองคนที่นั่งอิงแอบแนบซบกันด้วยดวงตาที่เริ่มลุกเป็นไฟ
ตอนมันดราม่า...ก็ดราม่าซะกระจุยกระจาย แต่พอดีกันแล้ว...หวานซะน้ำตาลพุ่งเข้ากระแสเลือด
“อิจฉาใคร...อ้อ...” คิมที่ตอนแรกไม่เข้าใจที่จ๋าพูดก็หันไปมองที่ด้านหลัง แล้วคิมก็ต้องยิ้มออกมาอย่างนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของจ๋าที่กำลังทำหน้าอารมณ์บ่จอย มือบางตบไปที่ไหล่บางแรง ๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
“อย่าคิดมากน่า เนื้อคู่เธออาจจะยังไม่เกิดก็ได้”
“โหคุณคิม ถ้าเนื้อคู่จ๋ายังไม่เกิด แล้วกว่าจ๋าจะได้มีแฟนไม่แก่หงำเหงือกเลยหรอ”
“อ้าว...ตอนนี้เธอก็แก่แล้วนะ ไม่รู้ตัวเลยหรอ” เจอคำพูดนี้ของคิมเข้าไป จ๋าถึงกับแทบจะหน้าคะมำใส่พวงมาลัยรถ
“คุณคิม! ปากคอเราะร้ายอ่ะ ได้ข่าวว่าคุณคิมเกิดก่อนจ๋านะ”
“เกิดก่อนแล้วไง ก็ฉันหยุดอายุไว้ที่ 28 อ่ะ ใครจะทำไม” คิมว่าพลางยกยิ้มอย่างไม่แคร์กับสายตาของจ๋าที่มองมา
“28 ก็แก่แล้วคุณคิม” จ๋าว่าก่อนที่เธอจะแทบไหล่ทรุด เมื่อโดนมือบางฟาดมาเต็ม ๆ
“28 เลขสวยย่ะ!”
เหอะ! แล้วไอ้หมิวก็บอกให้หันมามองคนข้าง ๆ ก็คนข้าง ๆ มีแต่ยัยป้าที่ทะเลาะกันแทบทุกวัน...เชื่อไอ้หมิวออกลูกเป็นแมวจริง ๆ
แล้วจ๋าก็ส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง
อย่างเธอกับคุณคิมเนี่ยนะ...จะมาลงเอยกัน...รอให้หมีออกลูกเป็นแมวก่อนเถอะ!
แต่ใครเลยจะรู้ว่า...สำหรับคนบางคนแล้ว อะไรที่ไม่ชอบยิ่งพอได้อยู่ใกล้ ๆ กลับยิ่งทำให้ความผูกพันค่อย ๆ รัดเลี้ยวเกี่ยวกระหวัดผูกสัมผัสให้คนสองคนได้รู้สึกดี ๆ ต่อกันก็เป็นได้
ในโลกนี้สิ่งใดที่ว่าแน่นอนคือสิ่งที่ไม่แน่นอน...เพราะความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน...
อย่าได้วางใจว่าอะไรที่มันควรจะเป็น...มันจะเป็นแบบนั้นเสมอไป...
แต่อย่าคิดมากจนเกินไป เพราะอะไรที่เราคิดไว้อาจจะตรงข้ามก็ได้...ใครจะรู้!
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง รถทั้งสี่คันก็เข้าสู่เขตจังหวัดกำแพงเพชร ร้านขายสินค้าที่มีกล้วยไข่ห้อยระย้าตามเพิงมุงจากและมุงกระเบื้องที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฝั่งถนนทั้งขาเข้ากรุงเทพฯและขาออกไปสู่จังหวัดตาก เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาได้เดินทางเข้าสู่จังหวัดกำแพงเพชรอย่างเป็นทางการแล้ว
วูบ~
อยู่ ๆ ฮั่นก็รู้สึกว่าสายตาของเขามีความผิดปกติเกิดขึ้น ภาพท้องถนนเบื้องหน้าเกิดพร่ามัวขึ้นมากะทันหัน ทำให้ฮั่นเกือบแตะเบรก ดีที่สายตาของเขากลับมาเป็นปกติก่อน
นี่เขาเป็นอะไร ?
ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ตาพร่าขึ้นมาอีกแล้ว...เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนดึก เมื่อเช้าก็ไม่ได้ตื่นเช้าจนเกินไป
เขาเป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเวลาไปให้หมอตรวจแบบจริงจังเสียที สงสัยกลับจากไปค่ายอาสาครั้งนี้ เขาคงได้ไปพบกับจักษุแพทย์อย่างเป็นทางการ...
และเพราะรู้สึกว่าสายตาของตัวเองไม่ค่อยเป็นปกติ ฮั่นจึงนึกอยากจะแวะพักล้างหน้าล้างตา
“เอาล่ะครับ เดี๋ยวผมว่าเราหาร้านอาหารพักทานข้าวกลางวันกันดีกว่า ตอนนี้ก็บ่ายสองโมงแล้ว เรา ยังไม่ได้แวะเติมน้ำมันแล้วก็พักรถเลย” ฮั่นหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วกรอกเสียงลงไป
“ถูกของแกไอ้ฮั่น พอแกพูดถึงน้ำมัน ฉันก็นึกถึงปั๊มน้ำมันขึ้นมาทันที ปวดฉี่ว่ะ~” จ๋ากรอกเสียงตอบกลับมา ซึ่งคำตอบของเธอทำให้คนที่ฟังวิทยุสื่อสารอยู่ถึงกับหลุดขำพรืดกันมาทุกคน
บางทีจ๋าก็เป็นคนตรง ๆ ไปนะ...
“ตามนั้นครับเชฟฮั่น” แล้วรถอีกสองคันก็ตอบกลับมา ฮั่นจึงเริ่มมองหาปั๊มน้ำมันก่อนเป็นอันดับแรก แล้วแรงสะกิดบริเวณหัวไหล่ก็ทำให้ฮั่นเห็นปั๊มน้ำมันที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
เมื่อรถกระบะโฟลวิลสีดำสนิทสี่คันจอดเทียบภายในปั๊มน้ำมัน ก็เรียกสายตาของเด็กปั๊มและผู้คนที่เข้ามาเติมน้ำมันและพักรถให้มองมาทันที เนื่องจากรถคันแรกนั้นมีสองหนุ่มหล่ออย่างแกงส้มและฮั่นเดินลงมา ส่วนรถคันที่สองก็มีโตโน่และแคน ส่วนสองคันสุดท้ายนั้นก็เป็นลูกน้องของคิม (ที่หน้าตาดี) อีกเป็นสิบคน สาว ๆ ที่อยู่ภายในปั๊มแทบจะแตกฮือขึ้นมาเมื่อหนุ่ม ๆ เหล่านี้พร้อมใจกันเดินไปที่ห้องน้ำ ส่วนสาว ๆ ที่เดินตามลงมาก็ถึงกับเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้
“ยัยพวกนี้...เห็นคนหล่อไม่ได้เลยนะ” คิมบ่นออกมา
“แหมคุณคิม ทำอย่างกับว่าคุณคิมไม่เป็นอย่างนั้นแหล่ะ”
“ฉันเป็นแต่กับฮั่นนี่ย่ะ กับคนอื่นฉันเฉย ๆ ดูอย่างเด็กในร้านซิ! ฉันเคยยุ่งกับใครที่ไหน” คิมว่าก่อนจะต้องตัวแข็งทื่อเมื่อจู่ ๆ จ๋าก็จับมือเธอขึ้นมาแล้วกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินไปยังหน้าร้านขายหมวก
“เฮ้ย! อะไรของเธอยัยจ๋า อยู่ดี ๆ มาจับมือฉันทำไม”
“คุณคิม...หมวกอันนี้เหมาะกับคุณคิมดีนะ” หมวกปีกกว้างสีขาวที่มีโบสีชมพูคาดที่วางอยู่บนศีรษะของหุ่นผู้หญิงร่างสูงเรียกดวงตาของคิมให้เบิกโตขึ้น
“นี่เธอ...”
“จ๋าว่ามันเหมาะกับคุณคิมนะ”
คำพูดของจ๋าทำให้คิมยิ้มออกมา
บางที...คนใกล้ตัวที่หมิวเคยพูด...ก็น่าสนใจแฮะ
“เชฟฮั่น...ยืนรอคุณแกงหรอครับ” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่ฮั่นจำได้ว่าชื่อตี๋ตามใบหน้าเอ่ยทักเขาเมื่อเห็นว่าเขายืนใช้ปลายเท้าเขี่ยต้นหญ้าสีเขียวอ่อนรอใครบางคน
ใครบางคนที่บอกว่า...ถ้าเขาไม่รอ...จะงอน
“เปล่า ไม่ได้ยืนรอใคร แค่อยากสูดอากาศเฉย ๆ” ฮั่นตอบก่อนที่เขาจะต้องแทบหงายเงิบเมื่อแกงส้มเดินออกมาแล้วเอาน้ำสะบัดมาใส่หน้าเขาพลางพูดว่า
“น่ารักที่สุดเลยรอเค้าด้วย ป่ะ...ไปหาข้าวกินกันเหอะ หิว~” พูดจบ แกงส้มก็คว้าแขนของคนที่ยืนทำหน้าเหวอให้เดินตาม
แกงนะแกง...จะออกมาช้ากว่านี้สักนาทีสองนาทีก็ไม่ได้
ดูสิน่ะ...หน้าไอ้ตี๋โคตรฟินเลย!
“กินอะไรดีอ่ะแกง” ฮั่นถามพลางชะโงกหน้าไปดูเมนูในมือคนที่นั่งข้าง ๆ แกงส้มชี้มือไปที่อาหารในเมนูหลายอย่างให้ฮั่นเลือก ซึ่งฮั่นก็ยังไม่ถูกใจ จนแกงส้มหมั่นไส้เอาสมุดเมนูตีไปที่ไหล่หนาหนึ่งที
“เลือกสักทีได้ไหมพี่ คนอื่นเค้ารอพี่อยู่นะ”
“อ้าว...ทำไมต้องรอพี่อ่ะ หรือว่าคนอื่นเลือกไปแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ คนอื่นเค้าสั่งกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พี่ฮั่นกับแกงนี่แหล่ะที่ยังสั่งไม่ได้สักที” กวางว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งกำลังนั่งเล่นไอโฟน
ไม่ได้อยากรู้อะไรนะ...แต่เฮ้ย! นั่นรูปใครวะ ?
เมื่อเห็นรูปที่อยู่หน้าจอไอโฟนของข้าวฟ่าง กวางที่บัดนี้กำลังทำเนียนเขยิบไปมองรูปบนหน้าจอไอโฟนของคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ตาโตขึ้นมา
หน้าคุ้น ๆ เหมือนใครหว่า...
ขอเขยิบอีกนิด...น่าจะเห็นได้ชัดขึ้น...
“พี่กวางทำไรอ่ะ! หน้าจะติดไหล่พี่ข้าวฟ่างแล้วนะฮะ” เสียงทักของแกงส้มทำให้คนที่นั่งก้มหน้าเล่นไอโฟนอยู่ เงยหน้าขึ้นมาทำให้ใบหน้าของข้าวฟ่างเกือบชนเข้ากับใบหน้าของกวาง
เส้นยาแดงผ่าแปด...!
“โอ๊ะ...อุ๊บ!” แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันยกมือขึ้นมาปิดปาก
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!”
“คือ...เอ่อ...ช่างมันเถอะ” แล้วกวางก็เอาสมุดเมนูมาปิดหน้าของตัวเองทันที ข้าวฟ่างที่กำลังงงกับอาการของคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเขาเห็นว่าหน้าจอไอโฟนของเขาเป็นรูปของคนที่กำลังเอาเมนูปิดหน้า (ตอนหลับที่เขาแอบถ่ายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้)
เขาลืมไปเลยว่าเขาเอารูปกวางขึ้นหน้าจอ...
ไม่ได้คิดอะไรนะ แค่เห็นว่ารูปตอนหลับของยัยนี่น่ารักเฉย ๆ...เหตุผลมีแค่นั้นเอง (?)
หวังว่าเมื่อตะกี้นี้ยัยกวางจะไม่เห็นอะไรนะ
ปับ ๆ ๆ ๆ
กำปั้นที่รัวมาที่ต้นขา เรียกใบหน้าของฮั่นให้หันไปมองเจ้าของกำปั้น
“ผมบอกพี่แล้วว่าคู่นี้เค้ามีซัมติงกัน”
“ฮ่ะ ๆ ๆ ที่พูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้พี่คิดมากเรื่องข้าวฟ่างใช่ไหม” ฮั่นถามพลางคว้ากำปั้นที่วางอยู่บนตักเขามากุมไว้ แล้วเกี่ยวนิ้วเรียวเข้าด้วยกันแล้ววางไว้บนต้นขาของเขา
“ก็...ใช่ครับ”
“แต่ข้าวฟ่างเค้าเคยชอบแกงซึ่งเป็นผู้ชายมาก่อน แล้วเค้าจะไปชอบกวางซึ่งเป็นผู้หญิงได้ยังไงล่ะ” ฮั่นถาม พลางเงยหน้าไปมองคนสองคนที่นั่งตรงข้ามเขาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
คู่นี้เนี่ยนะ...
“โธ่พี่ฮั่น...เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่หัวใจครับ คนเราจะรักกันชอบกัน มันไม่สำคัญหรอกฮะว่าอดีตเราจะเคยชอบใคร เพศไหน ฐานะเท่าใด เพราะความรักมันต้องอยู่กับปัจจุบัน อดีตเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาที่เราเคยผ่านมาแล้ว แต่ปัจจุบันต่างหากคือช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กับมัน เพราะฉะนั้น...อยู่กับปัจจุบันที่มีแค่ ‘เรา’ นะครับ”
แม้ในช่วงแรกของประโยคจะเป็นการพูดเรื่องของคนอื่น แต่สุดท้ายแกงส้มก็วกกลับมาพูดเรื่องของเขากับคนที่กำลังจับมือเขาอยู่
ความอบอุ่นจากฝ่ามือและนิ้วเรียวที่เกี่ยวกระหวัดทำให้หัวใจของแกงส้มอบอุ่น มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากหัวใจแล้วลามเรื่อยไปตามร่างกายทุกส่วน
เมื่อใดที่หัวใจของเรารู้สึกดี ร่างกายของเราก็รู้สึกดีตามไปด้วย เพราะที่จริงแล้วประสาทสัมผัสทางร่างกายล้วนต้องสอดประสานไปกับความรู้สึกของหัวใจเสมอ
“พี่อยู่กับปัจจุบันที่มีเราเสมอครับ” ฮั่นตอบแค่นั้นก่อนที่เขาจะเงยหน้าไปมองรอบ ๆ โต๊ะ ตอนนี้ทุกสายตาต่างพุ่งตรงมาที่พวกเขาสองคนเป็นจุด ๆ เดียว
“เอ่อ...อย่าบอกนะว่ารอเค้าสั่งอาหารอยู่อ่ะ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นแบ๊วเลยไอ้ฮั่น ทุกคนเค้ารอแกอยู่โว้ย!!!! มัวแต่สวีทคุยงุ้งงิ้งกับน้องแกงอยู่ได้ จะทำให้อิจฉาไปถึงไหนวะ” จ๋าว่าก่อนที่เธอจะต้องหน้าแดงวาบเมื่อโดนคนเป็นเพื่อนแซวกลับมา
“จะอิจฉาทำไมวะจ๋า ได้ข่าวว่าเมื่อกี้แกไปถอยหมวกมาให้คิมไม่ใช่หรอ”
“อะ อะไร...ถอยหมวกอะไร มั่วแล้ว”
“หรอ...โอ๊ะ! คิมมาแล้ว ใส่หมวกแกมาด้วย รสนิยมดีนะเนี่ย รู้ใจคิมซะด้วยว่าวันนี้ใส่ชุดสีชมพูหวานต้องคู่กับหมวกสีขาวสวย” ฮั่นเอ่ยแซวจ๋า พลางมองใบหน้าของคนที่เพิ่งเดินมาถึงด้วยความรู้สึกดีลึก ๆ
ถ้าคู่นี้ลงเอยกัน...เวลาอยู่ที่ร้านเขาจะได้รู้สึกสงบขึ้น
งั้นคงต้องเชียร์สุดใจขาดดิ้นสินะ!
“ขอโทษที่มาช้านะ คิมมัวแต่ไปนั่งคิดน่ะว่าจะใส่หมวกเข้ามากินข้าวด้วยดีไหม แต่คิมอยากให้คนให้เค้ารู้ว่าคิมชอบหมวกใบนี้ คิมก็เลยใส่มานั่งกินข้าวซะเลย” แล้วคนพูดก็หย่อนก้นลงนั่ง พลางหันไปยิ้มหวานให้คนให้
จ๋าที่บัดนี้กำลังนั่งหน้าแดงก็ถึงกับเอามือขยำกางเกงยีนส์ที่ตัวเองใส่ด้วยความรู้สึกที่กลั้นเขิน
อ๊าก...ทำไม...ทำไมหัวใจเต้นแรงจังวะ...ไอ้บ้าจ๋าเอ๊ย!!!!
“เอาล่ะ ๆ ๆ ๆ ก่อนที่เราจะอินกันจนลืมคนไม่มีคู่อย่างป๊อก คุณหมีคะ ช่วยสั่งอาหารทีเถอะค่ะ รู้สึกน้องที่จดเมนูเค้ายืนรอนานจนรากจะมาพันคอป๊อกแล้วค่ะ” เมื่อโดนย้ำให้สั่งอาหารเป็นรอบที่ร้อยของมื้อนี้ ฮั่นก็เอ่ยปากสั่งเมนูสุดโปรดที่ทำได้ยากยิ่งออกมา
“ยำปลาดุกฟูครับ”
แง่ว~
รอตั้งนานเป็นชาติ...สั่งยำปลาดุกฟู!
นี่ถ้าไม่ติดว่าหล่อ...แม่จะเอาปากกาจิ้มหน้าสักที
เด็กเสิร์ฟสาวนหน้าหมวยคิดในใจก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาแล้วโค้งตัวเดินออกไป
“เออ...ว่าแต่ฟลุ๊คกับแคนหายไปไหนเนี่ย หมิวไม่เห็นเลย”
“รู้สึกเหมือนพี่จะเห็นเดินเข้ามินิมาร์ทไปด้วยกันนะ อ้อ...มานู่นแล้วหมิว” โตโน่ว่าก่อนที่เขาจะชี้มือไปที่คนสองคนที่หอบหิ้วถุงมาพะรุงพะรังเต็มสองมือ
“เฮ้ย! นี่แกไปเหมามินิมาร์ทมาหรอไอ้ฟลุ๊ค”
“เปล่านะพี่กวาง แต่หนูแค่คิดว่าอีกหลายชั่วโมงกว่าเราจะไปถึง เพราะงั้น...เราต้องเตรียมให้พร้อม ใช่ไหมพี่แคน”
“ครับ”
“เดี๋ยว ๆ ๆ แกสองคนไปญาติดีกันตอนไหน ไหนว่าไม่ชอบขี้หน้าไอ้แคนไงฟลุ๊ค”
“แหมพี่กวางก็...อะไรที่มันเป็นอดีตก็จะไปรื้อฟื้นทำไมล่ะคะ อาหารใกล้มายังอ่า ฟลุ๊คหิวแล้ว” แล้วคนพูดก็ทรุดตัวนั่งลง พลางลากเก้าอี้ของแคนออก ทำให้คนที่กำลังจะหย่อนก้นนั่งหงายท้องลงไปจุ้มปุ๊กที่พื้นทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” แกล้งเสร็จ ฟลุ๊คก็หัวเราะออกมา คนที่ลงไปนั่งที่พื้น ลุกขึ้นมาก่อนที่เขาจะเอาอมยิ้มจูปาจุ๊บที่เขาซื้อมายัดใส่ปากคนที่กำลังหัวเราะทันที
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” แล้วคราวนี้ก็ถึงคราวที่แคนหัวเราะออกมาบ้าง
แต่ก่อนที่สงครามของแคนกับฟลุ๊คจะเริ่มต้นขึ้น อาหารก็ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ ทำให้สงครามต้องจำหยุดพักชั่วคราว เพราะกลิ่นของอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นยั่วยวนชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานมาก
...ปลาเก๋าราดพริก ปลากะพงนึ่งมะนาว หมูผัดพริกขิง ต้มโคล้งทะเลหม้อไฟ ผัดผักรวมกุ้งแม่น้ำ ปลาหมึกทอดกระเทียม ข้าวอบสับปะรด ยำปลาดุกฟู...
เมื่ออาหารที่สั่งถูกวางครบหมดทุกเมนู คนทั้งสิบเอ็ดคนก็พร้อมใจกันหยิบช้อนและส้อมขึ้นมาแล้วลงมือรับประทานทันทีด้วยความหิวโหยเนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางยาวนานหลายชั่วโมง ส่วนลูกน้องของคิมที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง...
ตราบใดที่สมองยังต้องใช้พลังงานในการคิด ชีวิตก็ขาดการกินไม่ได้!
การเดินทางที่พิเศษของชีวิต คือการได้เดินร่วมไปกับคนที่รัก...แม้ว่าหนทางที่คนสองคนจะเดินไปด้วยกันอาจต้องพบเจอกับเส้นทางที่ยากลำบากไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นการโรยด้วยหินกรวดที่ทำให้เจ็บเท้า แต่ตราบใดที่มือสองมือของคนสองคนยังจับกันไว้ด้วยความรักที่มั่นคงในหัวใจ ต่อให้ต้องเจ็บเท้าแค่ไหน แต่ถ้าหัวใจ ‘สุขดี’...คงมีคนพร้อมจะเดินเส้นทางที่แสนพิเศษนี้อีกหลายคน...
//คิดถึงเค้าไหม๊ ?? ไม่สิ...ต้องถามว่าคิดถึงฟิคเรื่องนี้ไหมคะ...??
หายไป 3 วันกับการไปสอบมาวิชาแรก..ฟู่~ ผ่านไปแบบไม่ชิลด์แต่ก็สบายใจเพราะว่ากวางสามารถผ่านมันไปได้ด้วยการลุ้น A วิชาแรกของเทอม ฮ่า ๆ ๆ ><
เอาล่ะค่ะ...เลิกเวิ่นเรื่องตัวเองแล้วมาต่อกันที่ฟิคตอนนี้นะคะ...มันอาจจะดูไม่หวานและดูเรื่อย ๆ มาก ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ใช่เพราะฟินมากหรือว่าอึนจากการสอบนะคะ แต่มันเป็นไปตามท้องเรื่องที่กวางได้คิดไว้ตั้งแต่ก่อนสอบ อยากจะบอกว่า...หลายคนคงคิดว่าเค้าจะเขียนถึงฉากไปค่ายสินะคะ แต่ทุกคนอย่าลืมนะคะว่า ฟิคเรื่องนี้มันค่อนข้างเรื่อย ๆ มันจึงต้องมีเรื่องราวระหว่างเดินทางก่อน...ไปค่ายเลย...ก็หมดมุกเร็วสิคะ ฮ่ะ ๆ ๆ ไม่ใช่...คือมันก็ต้องเป็นไปตามเรื่องเนอะ ^^~
อ่านแล้วอย่าขัดใจนะคะที่เหมือนจะมีฮั่นแกงออกไม่เยอะและไม่หวานมาก แต่เพราะอย่างที่ฟิคเรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่ต้น...มันมีหลายคู่มาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นบางตอนถ้าฮั่นแกงออกน้อยก็อย่าว่าเค้าน้า ฮ่า ๆ ๆ ๆ
ไม่รู้จะพูดยังไงดี...แต่ฟิคเค้าจะไม่สามารถเกิน 40 ตอนได้แล้วนะคะ เพราะว่าเค้าคิดพล็อตไว้จนจบแล้ว (มันเป็นการคิดที่มาแบบไม่ตั้งตัวจริง ๆ และคาดว่าอาจทำให้คนอ่านคาดไม่ถึง...รึเปล่า?) ฮ่า ๆ ๆ เลิกโม้ เลิกเวิ่นดีกว่า...แล้วเจอกันกับตอนต่อไปนะคะ (ที่ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน)
ตอนหน้าคงถึงดอยแล้วน้า~ รออ่านกันด้วยเน้อ >w<
กวางอยากบอกว่า...กวางคิดถึงทุกคนมาก ๆ นะคะ ... หวังว่าจะรักและอยู่ด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายของฟิคน้า ~~ >v< รักคนอ่านทุกคนค่ะ จุ๊บๆ
ความคิดเห็น