ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เทศนาบนภูเขา
เทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount )
เย็นวันหนึ่งพระเยซูได้เสด็จขึ้นไปบนยอดเข้าพร้อมกับอัครสาวก 12 คน แต่เช้าตรู่ คงด้วยมีพระประสงค์จะให้ อัครสาวกได้สัมผัสกับรสชาติแห่งความสงบ ในบรรยากาศ ส่วนตัวไกลจากสังคมมนุษย์ แต่ก็ไม่วายที่มีฝูงชนติดตาม พระองค์ไป และบังเอิญวันนั้น ในช่วงเย็นมีฝูงชนติดตามขึ้นมาเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากมายเป็นพิเศษ พระองค์ จึงเสด็จลงไปยังที่ราบบนภูเขาซึ่งมีหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ มีโขดหินระเกะระกะ ทรงถือเป็น โอกาสดีที่จะพยายาม ทำความเข้าใจกับฝูงชนที่มาชุมนุมกันอยู่นั้น เกี่ยวกับลักษณะ คำสอน ของพระองค์โดยพระองค์ได้ตรัสว่า
“อย่าคิดว่าเรามาทำลายพระบัญญัติและคำสอนของศาสดาพยากรณ์เลย เรามิได้มาทำลาย แต่รามาเพื่อจะให้สำเร็จประโยชน์”
กล่าวคือพระเยซูได้สั่งสอนดำเนินตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสในพระคัมภีร์เก่า เพียงแต่แก้ไขให้ดีประเสริฐลึกซึ้งสมเหตุสมผล มีความหมายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น
..................โมเสสสอนว่า ห้ามไม่ให้ฆ่ามนุษย์
..................แต่พระเยซูสอนว่า ไม่ใช่แต่ไม่ควรฆ่ามนุษย์เท่านั้น แต่ไม่ควรโกรธใครด้วย ไม่ควรด่า ไม่ควรกล่าวคำหยาบต่อใคร ๆ ด้วย ถ้าผู้ใดโกรธหรือด่า หรือกล่าวคำหยาบ ผู้นั้นจะต้องมีโทษถึงพิพากษา เพราะผู้ที่จะล้างบาปได้นั้นจะต้องทำใจให้บริสุทธิ์
..................โมเสสสอนว่า ให้ทำการแก้แค้นเท่าเหตุที่ตนได้เสียไป
..................แต่พระเยซูสอนว่า การแก้แค้นเป็นสิ่งไม่บังควรทำลาย แม้นใครเขาตบหน้าเราข้างหนึ่ง ก็หันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบอีกดีกว่า หรือเขาอยากได้เสื้อชั้นในของเรา เราก็ควรให้เสื้อชั้นนอกแก่เขาด้วยและสอนให้อภัยมีเมตตา แม้แก่ศัตรู
..................โมเลสสอนว่า ห้ามล่วงประเวณีทางกายและวาจา
..................แต่พระเยซูสอนว่า แม้แต่ทางใจ (ความคิด) ก็ห้ามด้วยเช่นกัน
..................โมเลสสอนว่า ไม่ควรทราบสาบาน
..................แต่พระเยซูสอนว่า อย่าสาบานเลยดีกว่า
และคำสอนหนึ่งพระเยซูทรงสอนที่นับถือว่าสำคัญมาก ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็น “กฎทองคำจองคริสต์ศาสนา” (Golden Rule) ก็คือ
"จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา”
นอกจากนี้ก็ทรง สอนว่า ทำบุญไม่ต้องเอาหน้า อย่าสะสมทรัพย์ในโลกนี้ ระวังผู้เป็นประปราชญ์แต่ใจเป็นสุนัข รู้คนด้วย ผลของงานเช่นเดียวกับรู้จักต้นไม้เพราะผลไม้ เป็นต้น
เย็นวันหนึ่งพระเยซูได้เสด็จขึ้นไปบนยอดเข้าพร้อมกับอัครสาวก 12 คน แต่เช้าตรู่ คงด้วยมีพระประสงค์จะให้ อัครสาวกได้สัมผัสกับรสชาติแห่งความสงบ ในบรรยากาศ ส่วนตัวไกลจากสังคมมนุษย์ แต่ก็ไม่วายที่มีฝูงชนติดตาม พระองค์ไป และบังเอิญวันนั้น ในช่วงเย็นมีฝูงชนติดตามขึ้นมาเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากมายเป็นพิเศษ พระองค์ จึงเสด็จลงไปยังที่ราบบนภูเขาซึ่งมีหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ มีโขดหินระเกะระกะ ทรงถือเป็น โอกาสดีที่จะพยายาม ทำความเข้าใจกับฝูงชนที่มาชุมนุมกันอยู่นั้น เกี่ยวกับลักษณะ คำสอน ของพระองค์โดยพระองค์ได้ตรัสว่า
“อย่าคิดว่าเรามาทำลายพระบัญญัติและคำสอนของศาสดาพยากรณ์เลย เรามิได้มาทำลาย แต่รามาเพื่อจะให้สำเร็จประโยชน์”
กล่าวคือพระเยซูได้สั่งสอนดำเนินตามคำสอนดั้งเดิมของโมเสสในพระคัมภีร์เก่า เพียงแต่แก้ไขให้ดีประเสริฐลึกซึ้งสมเหตุสมผล มีความหมายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น
..................โมเสสสอนว่า ห้ามไม่ให้ฆ่ามนุษย์
..................แต่พระเยซูสอนว่า ไม่ใช่แต่ไม่ควรฆ่ามนุษย์เท่านั้น แต่ไม่ควรโกรธใครด้วย ไม่ควรด่า ไม่ควรกล่าวคำหยาบต่อใคร ๆ ด้วย ถ้าผู้ใดโกรธหรือด่า หรือกล่าวคำหยาบ ผู้นั้นจะต้องมีโทษถึงพิพากษา เพราะผู้ที่จะล้างบาปได้นั้นจะต้องทำใจให้บริสุทธิ์
..................โมเสสสอนว่า ให้ทำการแก้แค้นเท่าเหตุที่ตนได้เสียไป
..................แต่พระเยซูสอนว่า การแก้แค้นเป็นสิ่งไม่บังควรทำลาย แม้นใครเขาตบหน้าเราข้างหนึ่ง ก็หันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบอีกดีกว่า หรือเขาอยากได้เสื้อชั้นในของเรา เราก็ควรให้เสื้อชั้นนอกแก่เขาด้วยและสอนให้อภัยมีเมตตา แม้แก่ศัตรู
..................โมเลสสอนว่า ห้ามล่วงประเวณีทางกายและวาจา
..................แต่พระเยซูสอนว่า แม้แต่ทางใจ (ความคิด) ก็ห้ามด้วยเช่นกัน
..................โมเลสสอนว่า ไม่ควรทราบสาบาน
..................แต่พระเยซูสอนว่า อย่าสาบานเลยดีกว่า
และคำสอนหนึ่งพระเยซูทรงสอนที่นับถือว่าสำคัญมาก ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็น “กฎทองคำจองคริสต์ศาสนา” (Golden Rule) ก็คือ
"จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา”
นอกจากนี้ก็ทรง สอนว่า ทำบุญไม่ต้องเอาหน้า อย่าสะสมทรัพย์ในโลกนี้ ระวังผู้เป็นประปราชญ์แต่ใจเป็นสุนัข รู้คนด้วย ผลของงานเช่นเดียวกับรู้จักต้นไม้เพราะผลไม้ เป็นต้น
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น