[ฟิคแปล] Halcyon by Chr0meHearts (Chanbaek of EXO) - [ฟิคแปล] Halcyon by Chr0meHearts (Chanbaek of EXO) นิยาย [ฟิคแปล] Halcyon by Chr0meHearts (Chanbaek of EXO) : Dek-D.com - Writer

    [ฟิคแปล] Halcyon by Chr0meHearts (Chanbaek of EXO)

    โดย kieinf

    คนแปลกหน้าสองคน กับสองชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่พวกเขามีหนึ่งความฝันร่วมกัน และมีโอกาสเดียวที่จะมีความสุข Halcyon by Chr0meHearts@Asianfanfics

    ผู้เข้าชมรวม

    780

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    780

    ความคิดเห็น


    17

    คนติดตาม


    98
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ก.ค. 61 / 13:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    Halcyon (Chanbeak - EXO) by Chr0meHearts, Thai translation by kieinf
    [
    ฟิคแปล] Halcyon by Chr0meHearts@Asianfanfics (Chanbaek of EXO)

    English version, original link: http://www.asianfanfics.com/story/view/586863/halcyon-angst-exo-baekhyun-chanyeol-baekyeol-chanbaek


     

    ตัวละคร
    แบคฮยอน ชานยอล (EXO)

    คำบรรยาย
    คนแปลกหน้าสองคน กับสองชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
    แต่พวกเขามีหนึ่งความฝันร่วมกัน
    และมีโอกาสเดียวที่จะมีความสุข


    หมวด
    ดราม่า, หักมุม

     

    นายจะช่วยฉันจริง ๆใช่ไหม
    ช่วยอยู่แล้ว แบค



    ชีวิตคนเราเป็นสิ่งเปราะบางเหลือเกิน



     

     บทนำ

                ชานยอลไม่เคยคาดหวังให้เขาส่งข้อความมาหา ไม่เคยเลยสักครั้ง แต่ลึก ๆลงไปภายใต้ศักดิ์ศรีและความคาดหมายของตัวเขาเองนั้น ก็ยังมีความหวังที่ส่องแสงมืดสลัวซ่อนตัวอยู่เสมอ ความปรารถนาเล็ก ๆที่ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ หรือบางทีเขาอาจจะจำมันได้เลยก็ได้ และถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ชานยอลก็หวังว่าคนแปลกหน้าคนนั้นจะติดต่อกลับมาหาเขา เขาไม่สนหรอกว่าจะต้องรอสายโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าคนนั้นเป็นเวลานานเท่าไร อย่างไร เขาก็จะรอ




    Halcyon
                คือ ช่วงเวลาในอดีตที่เรามีความสุขอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบและสวยงาม




    NOTE
                ฟิคแปลจาก Asianfanfics ค่ะ การันตีจากยอดวิว และยอด subscribe + comment รวมทั้งยังมีการแปลฟิคเรื่องนี้ในอีกหลายภาษาด้วย เหมาะสำหรับใครที่กำลังหาฟิคสั้นดี ๆอีกสักเรื่องอ่าน (หลอกล่อ ๆ อิอิ) พยายามตั้งใจแปลสุด ๆ ผิดพลาดประการใดหรือมีข้อสงสัย บอกได้เลยนะคะ

                ผู้แปลของอนุญาตไรเตอร์เจ้าของเรื่องเรียบร้อยแล้ว ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้อีกทีค่า _/\_ ยังไงใครยังไม่เคยอ่าน (เรื่องนี้ก็แอบนานแล้วเหมือนกัน) แล้วเป็นสมาชิก Asianfanfics ไป subscribe + comment ตามลิ้งค์ด้านบนได้เลยนะคะ
     

     


    คำเตือน อย่าแอบอ่านตอนหลังก่อนนะ ค่อย ๆซึมซับไปทีละบรรทัดเพื่ออรรถรสในการอ่านค่ะ :)
    ตอนนี้มีคอมเม้นแล้ววว (ดีใจ อิอิ) แต่อย่าเพิ่งอ่านนะ เดี๋ยวรู้เรื่องก่อน ไม่หนุกน้าาา


    Background music credit: Reynah@Yotuube

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Halcyon

      ชีวิตคนเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

       

                  เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาจากริมฝีปากของชานยอลขณะที่เขายืนขึ้นเต็มความสูง แผ่นหลังพิงอยู่กับกำแพงคอนกรีตราบเรียบของสถานีรถไฟ ชานชาลาตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ต่างก็อยู่ในอาการเร่งรีบพร้อมกระเป๋าเอกสารในมือ พวกเขาชำเลืองมองขึ้นไปยังนาฬิกาที่แสดงอยู่บนผนังกำแพง ซึ่งถัดจากนาฬิกานั้น เป็นข้อความแสดงเวลาโดยประมาณที่รถไฟจะมาถึง

       

                  ชานยอลขมวดคิ้ว ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นบาง เขาส่ายหัวสะบัดผมสีมะฮอกานีของตัวเองที่ปิดบังทัศนียภาพด้านหน้าออกไป ก่อนจะใช้ลิ้นดุนเพดานปากเอาไว้ พยายามที่จะไม่กลอกตาไปมาด้วยความหงุดหงิด

       

                  เขาปรารถนาให้ผู้คนทำอะไรช้าลงหน่อย สนุกไปกับการมีชีวิตแบบที่มันควรจะเป็น ใช้ชีวิตแบบไม่อะไรมากมาย อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป ไม่ต้องรีบร้อนแล้วก็เอาแต่เพ่งมองลงไปที่พื้นด้านล่างแบบนี้ คนเราเพิกเฉยกับความสวยงามที่ชีวิตมอบให้ ไม่มีเรื่องเล็กน้อยใดที่จะทำให้คุณยิ้มได้ พวกเขาเสียมันไปโดยไม่เคยได้เข้าใจมันเลย 

       

                  หลังจากสะบัดผมไปมาอย่างรวดเร็ว ชานยอลก็ปัดผมสีเข้มของตัวเองออกไปให้พ้นจากสายตาได้สำเร็จ เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ไหล่กว้างห่อตัวลงอยู่ภายในเสื้อเชิ้ตผ้ายีน ชานยอลดันตัวเองออกจากผนังกำแพงช้า ๆก่อนจะเริ่มเดินไปยังชานชาลา พลันสังเกตผู้คนรอบกายที่พยายามผลักมือไปมาเพื่อขอทาง

       

                  ณ บริเวณส่วนหน้าสุดของชานชาลานั้น มีเด็กหนุ่มร่างเล็กดูผอมบางอยู่ในเสื้อเชิ้ตคอตตอนธรรมดา ๆนั่งอยู่ ผมสีกาแฟของเขาปัดไปทางเดียวกัน เด็กหนุ่มใช้สองมือเล็ก ๆของตัวเองจับร่มเอาไว้แน่น

       

                  ชานยอลหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง พลางมองขึ้นไปหาท้องฟ้ารูปดอกกะหล่ำเบื้องบน แต่เดี๋ยวสิ อยู่ตรงนี้มองเห็นก้อนเมฆได้ที่ไหนล่ะ

       

                  เด็กคนนี้เหมือนกับงานศิลปะชิ้นเอกเลย เขาจับร่มของตัวเองเอาไว้แล้วก็พลิกไปพลิกมาราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับร่มคันนี้อย่างไอย่างนั้น เขาอาจจะถือไว้ให้ใครก็ได้มั้ง หรือเขาอาจจะเตรียมตัวเอาไว้ เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น ชานยอลเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มเล็ก ๆบนใบหน้าของเขาเริ่มจะขยายกว้างขึ้นไปทุกที

       

                  เสียงหวีดแสบหูของรถไฟเรียกความสนใจของชานยอลให้หันไปมอง รถไฟเพิ่งมาถึงสถานี ล้อรถครูดลากเสียงดังไปกับรางรถไฟด้านล่างขณะพยายามหยุดตัวลง ผู้คนรอบชานชาลาผลักกรูกันเขามาอย่างอลหม่าน พยายามตั้งแถวเข้าไปยังประตูบานเลื่อนอัตโนมัติของรถไฟอย่างไม่มีใครยอมใคร

       

                  ชานยอลเดินไปที่บริเวณขอบชานชาลา เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หลังกลุ่มคนจำนวนมาก แต่ละคนกระโดดไปมาอย่างร้อนรน คอก็ชะเง้อมองหาที่นั่งว่างด้านใน

       

                  ในที่สุดชานยอลก็ได้เข้ามาในรถไฟ เขาเลือกนั่งบริเวณที่นั่งติดหน้าต่าง ชานยอลวางกระเป๋าพาดไหล่ของตนไว้บนเบาะว่างข้างกายแล้วจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อรถไฟเริ่มออกตัว ภายนอกหน้าต่างแสดงภาพทิวทัศน์อันสวยงามของกรุงโซล มหานครที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง

       

                  มีเสียงกระแอมดังขึ้นเบา ๆอยู่ข้างชานยอล ดังพอที่เขาจะได้ยิน เขาละสายตาออกมาจากวิวด้านนอกช้า ๆ แล้วพบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับเด็กที่ใส่เสื้อเชิ้ตคอตตอนตัวหลวมคนนั้น สองมือของเด็กหนุ่มยังจับร่มพลาสิกคันนั้นเอาไว้แน่นเหมือนเคย เด็กชายผู้มาใหม่เอียงศีรษะไปยังที่นั่งด้านข้างของชานยอลที่เขาวางกระเป๋าเอาไว้ ขอโทษนะครับ เขาเอ่ยแต่ จะเป็นอะไรไหม

       

                  ชานยอลรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับย้ายกระเป๋ามาวางไว้บนตักของตัวเอง เด็กชายนั่งลงบนที่นั่งข้างกายเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณพลางวางร่มพลาสติกของตัวเองเอาไว้บริเวณใต้เท้า หลังจากที่จ้องมองกันครั้งสุดท้าย พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมาอีกเลย ทั้งสองเลือกที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างคนละฝั่ง ตัดสินใจที่จะไม่สนใจกัน

       

                  รถไฟยังคงขับเคลื่อนไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่ลงรถไปกันเกือบหมดแล้ว แต่ชานยอลยังนั่งอยู่ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าต่าง ส่วนเด็กคนนั้นก็ยังนั่งเงียบอยู่ข้างกายเขา

       

                  วัตถุบางอย่างสัมผัสเบา ๆลงบนไหล่ของเขา ชานยอลละสายตาออกมาจากทิวทัศน์นอกเมือง เด็กหนุ่มนอนหลับอยู่ข้าง ๆเขา ศีรษะตกลงมาพิงอยู่กับไหล่ของชานยอล รอยยิ้มเล็ก ๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาระหว่างที่เขาปัดผมออกจากดวงตาของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

       

                  ชานยอลจ้องเด็กหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างเขาสักพักก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน ถ้าเขาตื่นขึ้นมาเห็นว่าชานยอลกำลังจ้องอยู่ล่ะ ซวยแน่ ชานยอลพยายามกลับมานั่งในท่าเดิม เขาค่อย ๆขยับตัวจะได้ไม่เป็นการรบกวนหนุ่มขี้เซาข้าง ๆ เขาหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้า แต่แล้วบางสิ่งก็เบี่ยงเบนความสนใจสายตาเขาไป

       

                  เศษกระดาษใบหนึ่งที่เจ้าตัวขย้ำไปมาตลอดทางซึ่งตอนนี้ก็สภาพปู้ยี่ปู้ยำเต็มที กำลังจะร่วงลงบนพื้น เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในสภาวะไร้สติเกินกว่าที่จะกำมันเอาไว้อีกแล้ว

       

                  ชานยอลรีบคว้ากระดาษเอาไว้ทันทีโดยไม่ต้องคิด เขาค่อย ๆรีดกระดาษให้กลับมาเรียบและไม่ให้มันหยับไปกว่าเดิม จากนั้นก็วางมันไว้บนหน้าตัก เขาอ่านข้อความบนกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วถอนหายใจออกมาอย่างใช้ความคิด

       


       

                  /ไปสวนสนุก/

                 

                  /ดูพระอาทิตย์ตกดินบนชิงช้าสวรรค์/

       

                /ทำความรู้จักกับใครสักคน/

       

                คิ้วของชานยอลขมวดกันเป็นปมทันทีที่เขาเริ่มอ่านข้อความลงมาเรื่อย ๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างเขียนเอาไว้ในรายการแต่ก็มีบางอย่างที่ชานยอลคิดว่าแปลก ๆนะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาที่ใครก็ต้องได้ทำสักครั้งในชีวิต

       


       

                  /ทำอาหารทานที่บ้าน/

       

                /ทำให้ใครบางคนยิ้มได้/

       

                /ซื้อภาพวาดตกแต่งระเบียง/

       

                /ทำให้ใครบางคนประหลาดใจ/

       

                  /ตกหลุมรักใครสักคน/

       

                ดวงตาคู่โตของชานยอลเบิกกว้างพร้อมความเข้าใจว่าตัวเองกำลังอ่านรายการมากมายอะไรอยู่ แปลกดีนะ ชานยอลคว้านมือลงไปในกระเป๋าของตัวเองแล้วล้วงเอาปากกาออกมาหนึ่งด้าม  จากนั้นก็เปิดปลอกออก เขาจับกระดาษหยับใบนั้นให้แปะติดเอาไว้ที่หน้าต่างรถไฟแล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ตัวเองพร้อมกับคำสัญญาลงไป

       

                  ฉันจะช่วยนายทำรายการพวกนี้เองนะ เขาพึมพำออกมาเบา ๆพร้อมกับเก็บปากกาลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท

       

                  ชานยอลพับกระดาษทบกันไปมาจนกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆวางอยู่บนฝ่ามือของเขา มันเล็กและห่างไกลจากคำว่าสวยงามลิบลับ แต่มันคงจะทำให้เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ยิ้มออกมาได้แน่นอนเมื่อได้เห็น ใช่เลย ชานยอลคิด ตื่นขึ้นมาต้องรู้สึกดีแน่นอน

       

                  ชานยอลมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง เข้าใจว่ากำลังจะถึงสถานีชนบทเล็ก ๆในเมืองที่พี่สาวของเขาอาศัยอยู่แล้ว เขาวางมือลงบนไหล่ของเด็กชายแปลกหน้าที่นอนหลับอยู่ ชานยอลค่อย ๆลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวังพร้อมกับรักษาสมดุลของร่างกายตัวเองเอาไว้

       

                  ชานยอลฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะที่หันหลังกลับไปมองเจ้าของร่างที่กำลังหลับใหลนั้นอีกครั้ง ทัศนียภาพของชนบทค่อย ๆปรากฏอยู่รอบกายเขาเมื่อรถไฟหยุดตัวลง ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเปิดออก ชานยอลมองเด็กชายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกจากรถไฟไป เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วถือมันเอาไว้ในมือ

       

                  ชานยอลไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายว่าคนแปลกหน้าจะติดต่อกลับมาหาเขา เขารู้ดีว่า ถ้าตัวเขาเองตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีเบอร์โทรศัพท์เขียนเอาไว้บนรายการของตัวเองแบบนี้ เขาคงไม่แม้แต่จะสนใจดูอะไรทั้งนั้น แต่ชานยอลก็ตัดสินใจไปแล้ว และไม่ว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นจะติดต่อกลับมาหาเขาหรือไม่ เขาก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยความยินดี

       

      ************

       

                  ชานยอลไม่เคยคาดหวังให้เขาส่งข้อความมาหา ไม่เคยเลยสักครั้ง แต่ลึก ๆลงไปภายใต้ศักดิ์ศรีและสิ่งที่คาดหมายไว้ของตัวเขาเองนั้น ก็ยังมีความหวังที่ส่องแสงมืดมัวซ่อนตัวอยู่เสมอ ความปรารถนาเล็ก ๆที่ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้ หรือบางทีเขาอาจจะจำมันได้เลยก็ได้ และถ้าหากว่าเป็นอยากนั้น ชานยอลก็หวังว่าคนแปลกหน้าคนนั้นจะติดต่อกลับมาหาเขา เขาไม่สนหรอกว่าจะต้องรอสายโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าคนนั้นเป็นเวลานานเท่าไหร่ อย่างไร เขาก็จะรอ

       

                  เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นไม่จำเป็นต้องโทรมาก็ได้หากเขารู้สึกอึดอัดใจกับสิ่งที่ชานยอลทำ เอาวิธีง่าย ๆอย่าง นี่ ฉันได้รับข้อความนายแล้วนะ ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะแค่นี้ก็พอ แต่นี่คือสิ่งที่ชานยอลได้รับกลับมา อืม ก็อะไรทำนองนั้นแหละ

       

                  /‘นายจะช่วยฉันจริง ๆใช่ไหม’/

       

                  วันนั้น ชานยอลหุบรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองลงไม่ได้เลย หลังจากได้รับการตอบรับที่เขารอคอยมาเสมอ

       

                จริงสิชานยอลพึมพำออกมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆกับตัวเอง

       

                  ด้วยความหวังที่จะได้เจอกันอีกครั้ง ชานยอลจัดการนัดเจอกับเด็กแปลกหน้าทันทีโดยที่ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยด้วยซ้ำ

       

                  อันที่จริง ชานยอลเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเขาต้องกระตือรือร้นที่จะเจอใครบางคนที่ได้คุยกันไปไม่กี่คำเท่านั้น อาจเป็นเพราะด้วยความเป็นคนง่าย ๆสบาย ๆ รักความสนุกสนาน เลยทำให้ชานยอลออกอาการแบบนี้

       

                  ในที่สุด วันที่ทั้งสองคนจะได้พบกันอีกครั้งก็มาถึง ชานยอลรีบกระโดดก้าวขายาว ๆเดินไปยังสถานีรถไฟ ความคิดที่ว่าจะได้เจอกับเด็กคนนั้นเป็นครั้งที่สองเพื่อช่วยให้เขาทำตามเป้าหมายชีวิตของตัวเองได้นั้น ทำให้ความเครียดที่เคยมีทั้งหลายของชานยอลจางหายไป อีกทั้งยังทำให้วันที่เคยมืดมนของเขาสว่างไสวขึ้นมาอีกด้วย อืม อย่างน้อยก็สำหรับชานยอล

       

                  ชานยอลส่ายหัวพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก เขาใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วหัวเราะเบา ๆออกมาอย่างอารมณ์ดี

       

                  เช้านี้ อากาศในตัวเมืองค่อนข้างหนาว ตึกสูงมากมายสร้างที่เล็ก ๆเอาไว้กำบังลมหนาวที่พัดพามา ชานยอลขยับผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้มรอบคอให้กระชับขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากความหนาวเหน็บ รอบกายของเขาเป็นต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งส่องประกายอยู่ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ช่างเป็นที่นัดพบที่เหมาะสมอะไรอย่างนี้  ชานยอลมองไปรอบ ๆ แต่เด็กที่เจอกันบนรถไฟคันนั้นก็ยังไม่มาสักที

       

                  ชานยอลขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจออกมาเป็นไอปรากฏอยู่ตรงหน้า เขารู้ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ชานยอลก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ชานยอลหรี่ดวงตาสีเข้มของตัวเองลงแล้วมองข้ามทะเลสาบไป

       

                  ณ ที่ตรงนั้น มีร่างที่ดูคุ้นเคยนั่งอยู่ เขาใช้ผ้าพันคอสีเขียวเข้มปิดบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้จากสายลม และสวมเสื้อแจ็คเก็ตกระดุมทองเหลืองได้รูปตัวเก่ง

       

                  เขานั่งอยู่บนม้านั่งไม้เล็ก ๆ ไม่ไกลจากชานยอลมากนัก มือที่ใส่ถุงมือเอาไว้กำลังฉีกขนมปังเป็นชิ้น ๆให้กับฝูงเป็ดที่เดินตามต้อย ๆอยู่บริเวณข้อเท้าของเขา ชานยอลหยุดดูอยู่สักพัก เขามองเด็กชายหัวเราะอย่างมีความสุขที่ได้เห็นเป็ดจอมตะกละแย่งกันกินขนมปังชิ้นใหญ่ที่สุด ก่อนที่ชานยอลจะห่อไหลลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย

       

                  ความวิตกกังวลใจต่าง ๆที่เคยรู้สึกถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขาได้จ้องมองไปยังเด็กชายแสนร่าเริงที่กำลังให้อาหารฝูงเป็ดอยู่ ชานยอลจัดแจงเสื้อโค้ทตัวหนาของตัวเองและเริ่มเดินออกไปที่บริเวณรอบนอกของทะเลสาบ ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งเล็กข้าง ๆเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่เกิดอาการสะดุ้งออกมาทันที

       

                  ฉันดีใจที่นายมาถึงที่นัดพบโดยปลอดภัยนะ เขาพูดพร้อมกับพยักหน้าลง ชานยอลกระตุกยิ้มเล็ก ๆออกมาบริเวณมุมปากด้านบน ฉันชื่อชานยอล

       

                  เด็กหนุ่มมองมาที่เขาสักพักก่อนจะละสายตาไปขยับถุงมือตัวเอง

       

                  ฉันแบคฮยอนนะ นายจะช่วยฉันทำรายการนั่นจริง ๆใช่ไหม เขาถามด้วยเสียงที่ดังไม่ต่างอะไรกับการกระซิบ ชานยอลพยักหน้าลงอีกครั้ง แววตาของเขาอ่อนนุ่มลง

       

                  จริงสิ

       

                  แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเสียงดัง สั่นหัวไปมา เขาหันมามองเท้าของตัวเองที่แกว่งไปมาบนม้านั่งแทนการมองชานยอล สองมือสอดลงไปในกระเป๋าเสื้อ

       

                  ขอบคุณนะ เขาพูด ขอบคุณมากจริง ๆ แต่ถึงนายจะช่วยยังไง มันก็เสร็จไม่ทันเวลาหรอก

       

                  ชานยอลขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกับคำพูดนี้ จะรีบไปทำไมกัน ชานยอลถาม ใช้เวลาให้เต็มที่สิ แบบนี้นายจะมีความสุขกว่านะ

       

                  แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมา ทันทีที่สายตาของพวกเขาประสานกัน แบคฮยอนก็ส่งยิ้มหวานกลับไปให้ชานยอลทันที

       

                  ฉันอยากทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

       

                  ชานยอลมองแบคฮยอนอยู่สักพักก่อนจะส่ายหัวพร้อมกับจับผมสีมะฮอกกานีของตัวเองไว้

       

                  ฉันบอกแล้วไงว่าจะช่วยนายเองเขาเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน แล้วฉันก็จะทำตามที่พูด เราจะทำตามรายการให้สำเร็จทุกอย่าง อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก แต่เราก็จะทำมันให้ได้

       

                  สัญญานะแบคฮยอนถาม พร้อมกับฉีกยิ้มเล็ก ๆออกมา

       

                  ชานยอลพยักหน้า

       

                  สัญญา

       

       

      ************


       

                หลายวันต่อมา ชานยอลและแบคฮยอนนัดเจอกันอีกครั้งที่เดิมใกล้ ๆกับทะเลสาบเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องเป้าหมาย (ความตั้งใจ!” แบคฮยอนมักจะส่ายนิ้วไปมาหน้าชานยอลเมื่อใดก็ตามที่เขาเรียกมันแบบนั้น นี่คือความตั้งใจของฉันต่างหาก”) ที่แบคฮยอนอยากจะทำให้สำเร็จเป็นอย่างแรก

       

                  หลังจากที่คิดทบทวนกันอย่างรอบคอบแล้ว ทั้งคู่ก็เลือกที่จะไปที่สวนสนุกก่อนเป็นอันดับแรก ในช่วงฤดูหนาวนี้ ผู้คนในสวนสนุกค่อนข้างบางตา พวกเขาไม่อยากไปเผชิญกับกลุ่มฝูงชนที่ผลักกันไปมาอย่างอลหม่านและอากาศร้อนอบอ้าว

       

                  แบคฮยอนวิ่งไปมาท่ามกลางแผงขายสินค้าและอาหารด้วยความตื่นเต้น เขาอยากลองทุกอย่างเลย ชานยอลถึงกับต้องส่ายหัวและหัวเราะออกมาขณะสังเกตการณ์ดูเด็กชายแสนกระตือรือร้นคนนี้ เขายื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของแบคฮยอนเอาไว้อย่างเบามือเพื่อให้คนตัวเล็กผมสีน้ำตาลหันกลับมาหาเขา

       

                  ช้า ๆก็ได้ แบค ชานยอลเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ส่วนอีกคนก็เอียงศีรษะด้วยความสับสน

       

                  แต่ว่าชานยอล เขาเริ่มพูดทันที เรามีเวลาไม่มากพอที่จะทำทุกอย่างหรอกนะ

       

                ริมฝีปากของชานยอลกระตุกยิ้มขึ้นไป เรามีเวลามากมายที่จะทำทุกอย่าง แบค ไม่ต้องห่วงนะ นี่ หิวหรือยัง

       

                  เขาไม่รอคำตอบจากแบคฮยอน ไม่จำเป็นเลย ชานยอลรู้ดีว่าคนตัวเล็กกำลังหิว ก็เล่นวิ่งไปรอบแบบนี้ คงจะเหนื่อยน่าดู

       

                  ไปกัน

       

                  ชานยอลจูงแบคฮยอนให้เดินตรงไปที่มุมอาหาร ทันใดนั้นสายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างสะก่อน

       

                  อยากกินสายไหมไหม

       

                  ชานยอลปล่อยมืออกจากข้อมือแบคฮยอน ก่อนจะเดินไปที่แผงขายของช้า ๆ แล้วยื่นเหรียญจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของร้าน

       

                  ตั๋วสองใบครับ

       

                  แบคฮยอนมองปุยนุ่มสีชมพูแสนหวานที่พัดไปมาจากระยะไกลด้วยความสนอกสนใจ หลังจากสังเกตดูคนขายจุ่มแท่งไม้ลงไปในเครื่องกลนั้นสักพัก แบคฮยอนก็เดินเข้าไปใกล้บริเวณร้านมากขึ้นด้วยความสงสัย

       

                  ชานยอลยื่นขนมให้กับแบคฮยอนก่อนจะรอในส่วนของตัวเองต่อไป จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินกลับไปยังบริเวณร้านรวงที่ตั้งเป็นแถวอีกครั้งพร้อมกับสายไหมในมือ

       

                  นี่ชานยอลพูดขึ้นมา นายกินมันได้นะ มันไม่ได้แย่อะไรแบบนั้นหรอก

       

                  แบคฮยอนย่นจมูกอย่างใช้ความคิด ฉันไม่เคยกินอะ ยอล ถ้าฉันไม่ชอบมันล่ะ นายก็ต้องเสียเงินให้ฉันฟรี ๆสิ

       

                  ไม่หรอก ชานยอลหัวเราะออกมา เพราะถ้านายไม่กิน ยังไงฉันก็จะกินอยู่ดี เอาเลย ชิมดู

       

                  แบคฮยอนขยับสายไหมเข้ามาใกล้ปากก่อนจะดึงมันกลับอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจกับเนื้อสัมผัสที่ได้รับ

       

                  เหนียวอะ เขาพูดพร้อมยื่นมันออกไกลตัว ชานยอลยิ้มกว้างออกมา

       

                  นี่ล่ะ จุดขายล่ะ

       

                  ชานยอลยื่นแขนออกไปฉีกสายไหมของตัวเองออกเป็นชิ้นเล็ก ๆก่อนจะยื่นมือนั้นไปทางแบคฮยอน

       

                  อ้ามม

       

                  แบคฮยอนลังเล ก่อนจะอ้าปากให้สายไหมชิ้นนั้นเข้ามาอยู่ในโพรงปากของตัวเอง ดวงตาของหนุ่มน้อยผมน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติความหอมหวาน ก่อนที่เขาจะยกยิ้มมุมปากออกมาเบา ๆ

       

                  อร่อยยย

       

                  ชานยอลหัวเราะออกมาอย่างผู้ได้รับชัยชนะขณะมองแบคฮยอนกัดสายไหมน้ำตาลอีกคำ

       

                  เห็นไหม เขาพูด บอกแล้วว่าอร่อย ชานยอลฉีกยิ้มกว้าง เขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่หัวเราะออกมาด้วยการแกล้งทำเป็นกระแอมไอแทน

       

                  มีอะไรหรือเปล่าแบคฮยอนถาม แต่ชานยอลก็ส่ายหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากว้างขึ้นกว่าเดิมทุกที ๆ

       

                  ไม่นิ เขาตอบอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไร

       

                  แต่แบคฮยอนไม่เชื่อ

       

                  จริงเหรอแบคฮยอนเอียงศีรษะพูดออกมา นายโกหกไม่เนียนเลยนะ

       

                  พอรู้ว่าถูกจับได้ ชานยอลก็ทำเป็นยักไหล่ เขายื่นมือไปเช็ดสายไหมสีชมพูที่ติดอยู่บริเวณมุมปากของแบคฮยอนออก

       

                  แก้มของแบคฮยอนขึ้นสีทันทีด้วยความเขินอาย เขามองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

       

                  ยอล เขาเอ่ยเสียงพึมพำ พยายามเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่าย

       

                  หืมม ว่าไง

       

                ขอบคุณนะ

       

       

      ************


       

                ท้องฟ้าที่ค่อย ๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มส่งสัญญาณบอกว่าช่วงเวลากลางวันใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว  พระอาทิตย์ลดระดับลงมาอยู่หลังหมู่มวลก้อนเมฆ พร้อมกับฉายเงาลงมาบนพื้นโลก ชานยอลกับแบคฮยอนเดินผ่านขบวนเฉลิมฉลอง ขณะที่แบคฮยอนกอดตุ๊กตากระต่ายขนาดใหญ่เอาไว้แน่นแนบอก

       

                  ชานยอลชนะเกมคาร์นิวอลมาเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้ว เขาถามแบคฮยอนว่าอยากได้ตุ๊กตาสัตว์ตัวไหน แบคฮยอนผู้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นตัดสินใจเลือกกระต่าย ตั้งแต่นั้นมา มันก็อยู่ไม่ห่างจากมือของเขาเลย

       

                  แบคฮยอนกอดตุ๊กตาเอาไว้ที่บริเวณหน้าอก เขารู้สึกถึงบางอย่างที่สัมผัสกับแขนของตัวเอง ก่อนจะมองขึ้นไปเห็นชานยอลยิ้มตอบกลับมา

       

                  พระอาทิตย์จะตกแล้วนะแบค ไปชิงช้าสววรค์กันเลยไหม

       

                  รอยยิ้มแสนกระตือรือร้นปรากฏบนใบหน้าของแบคฮยอน เขาพยักหน้าตอบชานยอล ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไป แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขขณะที่เดินผ่านขบวนเฉลิมฉลอง แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็เริ่มกลับไปแล้ว ทิ้งให้พวกเขาสองคนเดินไปยังชิงช้าสวรรค์อย่างโดดเดี่ยว

       

                  แบคฮยอนคิดว่า ก็ไม่ได้แย่อะไร คนไม่เยอะก็ดีเหมือนกัน พวกเขาจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่เมื่อทั้งคู่มาถึงบริเวณชิงช้าสวรรค์ คิ้วของแบคฮยอนก็ขมวดแน่นขึ้นมาทันที เขาเดินถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัว ชานยอลหันกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปกติ

       

                  มีอะไรเหรอ ชานยอลเอ่ยถามด้วยความกังวล

       

                  แบคฮยอนพยายามหายใจเข้าพร้อมกับส่ายหัวไปมา ฉันไม่คิดว่ามันจะสูงขนาดนี้ เขาพูด ขยับแขนกอดตุ๊กตากระต่ายแน่น จากนั้นก็ยกมันขึ้นมาใกล้กับใบหน้าด้วยความลังเล ฉันอยากเล่นนะ แต่ว่า.. ฉันไม่ค่อยถูกกับความสูงเท่าไหร่น่ะ

       

                  ก็ต้องสูงสิถ้าอยากเห็นพระอาทิตย์ตก ชานยอลให้เหตุผล

       

                  แบคฮยอนมองไปที่ชิงช้าอีกรอบก่อนจะเบือนหน้าหนี ฉันทำไม่ได้... เขาพึมพำแผ่วเบา ลบรายการนี้ออกก็ได้นะ เขามองลงไปที่เท้าของตัวเอง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกกลัวว่าชานยอลจะคิดอย่างไรกับตน

       

                  ทันใดนั้นก็มีวัตถุอบอุ่นบางอย่างกุมรอบแขนของแบคฮยอนเอาไว้ ส่งผลให้เขายืนตัวแข็งทื่อ ก่อนจะค่อย ๆมองขึ้นมา ชานยอลยืนยิ้มอย่างอบอุ่นอยู่ข้างหน้า มือของเขาจับแขนของแบคฮยอนเอาไว้แน่น

       

                  ไม่เป็นไรนะ ชานยอลให้กำลังใจ ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันจะปกป้องนายเอง

       

                  หนุ่มน้อยผมน้ำตาลอยากจะต่อต้านออกไป แต่ชานยอลก็พูดขัดขึ้นมาสะก่อน

       

                  ถ้าขึ้นแล้ว นายจะได้ขีดรายการนี้ออกไปไง เขาให้ความมั่นใจ

       

                  มาเถอะ พระอาทิตย์จะตกแล้วนะ ถ้านายกลัว ฉันจะจับมือนายเอาไว้เอง

       

                  แบคฮยอนใช้มือข้างที่ว่างอยู่กอดตุ๊กตากระต่ายเอาไว้แน่นก่อนจะถอนหายใจออก เขาค่อย ๆหันไปมองที่ชานยอลและตามด้วยชิงช้าสวรรค์

       

                  ก็ได้ เขาเอ่ยช้า ๆ

       

                  แบคฮยอนรู้ดีว่า ถึงเขาจะกลัวความสูงแค่ไหน แต่ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรถ้าเขามีชานยอลอยู่ข้างกาย และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

       

       

      ************


       

                  เป็นเวลาเกือบจะสามเดือนแล้วที่พวกเขาสองคนเจอกันเป็นประจำเพื่อทำตามรายการความตั้งใจที่แบคฮยอนเขียนเอาไว้ในกระดาษหยับใบนั้น พวกเขาสองคนค่อย ๆทำรายการจำนวนมากขึ้นให้สำเร็จและขีดฆ่ามันออกไปด้วยปากกว่าลูกลื่น แน่นอนว่ามีบางกรณี หรืออาจจะพูดได้ว่าค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว ที่พวกเขาสองคนนัดเจอกันแล้วแบคฮยอนก็ขอยกเลิกไป

       

                  แน่นอน ด้วยความที่เขาคาดหวัง เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่แบคฮยอนบอกยกเลิกแผนการของพวกเขา ชานยอลก็ต้องรู้สึกผิดหวังอยู่เสมอ มันเหมือนกับว่าบางอย่างหายไปจากชีวิตของเขาในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป วันที่ไม่มีแบคฮยอนข้างกายนั้น ช่างดูว่างเปล่าและยาวนานเหลือเกิน

       

                  ขอโทษนะ แบคฮยอนมักจะพูดแบบนี้ แต่ฉันมีนัดน่ะ และปิดท้ายแค่นี้เสมอ

       

                  แต่ไม่ว่าชานยอลจะรู้สึกผิดหวังแค่ไหน เขาก็รู้ดีว่าคำขอโทษของแบคฮยอนนั้นมาจากใจ ไม่ว่าชานยอลจะผิดหวังแค่ไหน เขาก็ไม่เคยถามเลยสักครั้งว่าทำไมแบคฮยอนต้องยกเลิกนัด

       

       

      ************


       

                      ทำไมเรามาที่นี่กันอีกแล้วล่ะ ชานยอลพึมพำขณะเดินตามแบคฮยอนไปที่แผนกของตกแต่งบ้าน ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ใหญ่โตมาก ถึงแม้ชานยอลจะไม่ค่อยได้เข้ามา แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้

       

                กลิ่นไม้ลอยมาติดจมูกของชานยอล เขาส่ายหัวไปมา ปลายนิ้วสัมผัสลงไปบนพื้นผิวราบเรียบของโต๊ะไม้โอ๊คสุดหรู ฉันคิดว่านายอยากได้ภาพวาดสะอีก

       

                ก็ใช่ แบคฮยอนยิ้มกว้าง แต่พอได้มาแล้ว ก็อยากจะเดินดูรอบ ๆซะหน่อยน่ะ

       

                ทำไมอะ ชานยอลถามเบา ๆ สายตามองไปที่พนักงานที่เดินตามพวกเขามาไม่ไกล ด้วยความพยายามที่จะขายสินค้า

       

                นายไม่เข้าใจหรอก ชานยอล แบคฮยอนตอบ ทุกอย่างสวยมากเลย ถ้าเรารีบไปซื้อภาพ งั้น... ฉันก็แค่.. ฉันก็แค่ อยากอยู่กับนาย ฉันขอมากไปหรือเปล่า

       

                ชานยอลส่ายหัวให้ด้วยความตกใจ

       

                  ไม่ เขาตอบ ไม่เลย

       

                  หลังจากสำรวจดูเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งหลากหลายชนิดที่ทางร้านเสนอให้กับพวกเขา ทั้งสองก็เดินกลับมาที่บริเวณแผนกภาพวาดที่แสดงอยู่บนผนัง ส่วนใหญ่แล้วเป็นภาพสีโทนเดียว องค์ประกอบและเนื้องานสวยงามมากจริง ๆ แต่ละภาพบ่งบอกเรื่องราวของตัวมันเอง ในมุมมองที่จิตกรอย่างให้เป็นไป กรอบทองเหลืองที่ล้อมตัวงานไว้นูนขึ้นมาตัดกับแสงไฟอย่างงดงาม

       

                  มีภาพหนึ่งที่เล็กกว่าภาพอื่นอย่างเห็นได้ชัด เป็นภาพวาดไร้กรอบ แสดงอยู่บนผ้าใบสี่เหลี่ยมมุมฉากเรียบง่าย ตรงหัวมุมพับเอาไว้ด้านหลังและยึดอยู่กับขาตั้งไม้ การออกแบบดูไร้ตัวตน มันเต็มไปด้วยเส้นสีที่ต่างกันมากมาย ตรงนี้ เป็นสีเหลืองสว่างที่สาดเข้มเด่นชัด ตรงนั้น ก็มีริ้วลายของสีเขียวตัดทับอยู่ ส่วนบริเวณตรงกลางก็ตกแต่งด้วยสีแดงเข้มลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่

       

                  ชานยอลถึงกับผงะตอนที่เขามองมัน ภาพวาดใบนี้ดูไร้รสนิยมและดูไม่มีเรื่องราวซับซ้อนเบื้องหลังอะไรเลย มันดูไม่ใช่ศิลปะเลยด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าผู้ใหญ่หรือเด็กอายุไม่ถึงสามขวบกันแน่ที่เป็นคนวาดภาพนี้

       

                  แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับแบคฮยอน มันเป็นภาพที่สวยมาก

       

                  เอาอันนี้แล้วกัน เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่ผลงานศิลปะสีสดนั้น สมบูรณ์แบบมาก

       

                แบค ชานยอลพยายามให้เหตุผล ทำไมอะ ภาพนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรเลยนะ มันไม่ได้บอกอะไรเลย

       

                ตอนนั้นเอง แบคฮยอนยิ้มกว้างออกมา ริมฝีปากของเขาม้วนตัวเป็นรอยยิ้มขี้เล่น

       

                  ไม่เกี่ยวหรอกว่ามันจะบอกอะไร ยอล เขาบอก เกี่ยวกับว่ามันไม่บอกต่างหาก บางครั้ง ไม่สำคัญหรกว่าจะต้องมีใครมาเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายนอกได้อย่างแท้จริง

       

                  ชานยอลพยักหน้าลงครั้งหนึ่ง รับรู้เหตุผลของแบคฮยอน แต่เขาก็ตัดสินใจลองพยายามโน้มน้าวใจอีกครั้ง

       

                  ทำไมไม่เอาอันนี้ล่ะ เขาถาม อันนี้เป็นไง ดูเนื้องานสิ ได้สัดส่วนใช่ไหม เจ๋งมากเลยนะ

       

                มันสวยนะยอล แบคฮยอนพูดเบา ๆ แต่มันไม่มีชีวิตชีวาเลยอะ ภาพนี้จะเพิ่มสีสันให้ระเบียงและนำความสุขมาให้คนที่ได้มอง

       

                ชานยอลเอียงศีรษะศึกษาภาพวาดนามธรรมนี้อีกครั้ง มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง

       

                  บางครั้ง เขาพูด ความสุขเล็ก ๆน้อย ๆก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คนเราต้องการ

       

       

      ************


       

                ชานยอลชวนแบคฮยอนมาที่บ้านเป็นครั้งแรกเมื่อกลางฤดูไม้ผลิมาถึง เขาลอยละล่องอยู่กับความคิดชวนตื่นเต้นที่ว่าพวกเขาสองคนจะได้ทำอาหารเย็นด้วยกัน เขาใช้เวลาตลอดบ่ายวันนั้นเก็บกวาดทำความสะอาดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่แบคฮยอนจะมา

       

                  ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ทำไมล่ะ เขาเองก็ไม่แน่ใจ แบคฮยอนอาจจะไม่สังเกตด้วยซ้ำถึงจะมีหมอนวางอยู่กระจัดกระจาย หรือจะมีหนังสือพิมพ์วางทิ้งไว้บนโต๊ะ แต่ชานยอลก็ไม่สนใจ เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เพราะว่า ถึงแบคฮยอนจะไม่สังเกต แต่เขาก็อยากทำให้มันสมบูรณ์แบบสำหรับอีกฝ่าย

       

                  เมื่อแบคฮยอนมาถึง ชานยอลก็รออยู่ตรงหน้าประตูเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เขาเอ่ยทักทายแบคฮยอนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินนำเข้ามาข้างในและพาแบคฮยอนเดินดูรอบ ๆ เริ่มตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องน้ำ ห้องครัว ชานยอลคิดว่ามันช่วยไม่ได้ แต่เขารู้สึกเพลิดเพลินกับการได้เห็นแววตาตื่นเต้นของแบคฮยอนขณะที่เขาพาสำรวจบ้าน

       

                  หลังจากจัดการให้แบคฮยอนนั่งลงที่เคาน์เตอร์ครัว ชานยอลก็ถามหาใบรายการนั้น เขาตรววจดูข้อความข้างใน ความเจ็บปวดจู่โจมเข้ามากลางอกทันที รายการลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ถ้าพวกเขาทำตามรายการทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว แบคฮยอนยังจะอยากเจอเขาไหมนะ เขาส่ายหัวพร้อมหัวเราะเบา ๆกับตัวเอง ก่อนจะส่งรายการคืนให้แบคฮยอน เขาเดินไปที่ตู้กับข้าวและเริ่มหยิบวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อนี้ของพวกเขาออกมา แน่นอน เขาต้องอยากเจอแบคฮยอนอีกอยู่แล้ว

       

                  ขำอะไรอะ แบคฮยอนถาม ริมฝีปากโค้งยิ้มขึ้นเล็กน้อยขณะมองชานยอล ชานยอลยักไหล่ให้เขาเบา ๆ

       

                  ไม่มีอะไรหรอก เขาตอบเรียบ ๆ รีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำไมถึงมี ทำอาหารทานที่บ้าน อยู่ในรายการด้วยล่ะ เขาถาม แบคฮยอนหย่นจมูก ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไรดี

       

                  ฉันไม่ได้ทำมานานแล้วน่ะ

       

                ขณะนั้นเอง ชานยอลก็ถอนหายใจแรง ๆออกมาทันที งั้นนายก็ทานข้าวนอกบ้านทุกคืนเลยเหรอ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ

       

                แบคฮยอนยักไหล่และเริ่มล้างแครอท น้ำเย็นวิ่งผ่านไปทั่วมือของเขา ก็ไม่ใช่ไปทานข้างนอกอะไรแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ทานที่บ้านน่ะ

       

                ชานยอลมองคนผมน้ำตาลอีกครั้งก่อนจะหันมาจัดการกับมันฝรั่ง

       

                  เออ แบค เขาเอ่ย งั้นก็หมายความว่า นายต้องมาทานข้าวเย็นที่นี่บ่อยขึ้นไง

       

                  รอยยิ้มเล็ก ๆคลืบคลานอยู่บนใบหน้าแบคฮยอน ขณะเริ่มปอกเปลือกแครอท เขาก็คิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ชานยอลเพิ่งพูดไป เขาหมายความอย่างนั้นจริง ๆหรือเปล่านะ เขาอยากให้แบคฮยอนมาหาอีกจริง ๆเหรอ ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้าที่แขนของเขา เขาสบถออกมาเบา ๆ แล้วชานยอลก็ขยับมาหาเขาทันที

       

                  มีอะไรเหรอ เขาถามขณะที่แบคฮยอนพยายามซ่อนมือตัวเองไว้

       

                เปล่า คนผมน้ำตาลตอบอย่างรวดเร็ว

       

                ขอดูมือหน่อยสิ แบค

       

                ไม่ ไม่มีอะไรหรอก แบคอยอนต่อต้าน

       

                ชานยอลจับไหล่ให้คนผมสีน้ำตาลหันมาหาเขาช้า ๆ

       

                  เฮ้ย แบคฮยอน เขาถอนหายใจ แล้วเอื้อมมือไปจับมือที่โดนบาด จากนั้นก็กุมมันไว้อย่างเบามือ ชานยอลจัดการวางมือของคนผมสีน้ำตาลลงใต้ก๊อกน้ำและล้างทำความสะอาด

       

                  ถึงแผลจะเล็ก แต่น้ำเย็นก็ทำให้แบคฮยอนหดตัวเพราะความเจ็บปวด เขาชักมือออกจากสายน้ำเย็นที่ไหลลงมา

       

                  นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ชานยอลถาม ขณะใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือของเขาให้แห้งอย่างนุ่มนวล

       

                  อืม แบคอยอนพูดพึมพำ มองไปทางอื่น ปวดนิดหน่อยน่ะ

       

                  ชานยอลยกมือของแบคฮยอนขึ้นมาโดยไม่ได้ประมวลความคิดใด ๆ จากนั้นก็จรดริมฝีปากของตัวเองลงบนผิวแดงของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

       

                  แก้มแบคฮยอนร้อนผ่าวเมื่อเขาตระหนักได้ว่าชานยอลกำลังทำอะไร แต่เขาก็ยังเอาแต่มองที่พื้น

       

                  ไม่เจ็บแล้ว เขาพูดเสียงแผ่วเบาด้วยหวังว่าชานยอลจะไม่ได้ยิน แต่ชานยอลได้ยิน และเขาก็หยุดยิ้มไม่ได้เลย

       

       

      ************


       

                ดาวดาวห้อยระย้าประดับประดาอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มดูราวกับเวทมนต์วิเศษณ์ แสงจันทร์สลัวส่องสว่างมายังโลกที่อยู่ด้านล่าง ชานยอลรีบก้าวไปที่หลังเก้าอี้ของแบคฮยอนและดึงมันออกมาให้เขา ก่อนจะยื่นมือให้และช่วยให้เขายืนขึ้น พวกเขาพูดคุยและหัวเราะสนุกสานกันอยู่นาน ไม่มีใครสนใจเวลา จนกระทั่งตอนนี้ ชานยอลส่งเสื้อโค้ทให้แบคฮยอนและเปิดประตูบ้านออกไป

       

                  มืดแล้ว เขาเอ่ยพลางมองออกไปข้างนอก เดี๋ยวฉันไปส่งบ้านนะ

       

                แบคฮยอนยกมือขึ้นปฏิเสธทันที ไม่เป็นไรหรอก เขาให้ความมั่นใจกับชานยอล

       

                  นายจะค้างด้วยกันตอนไหนก็ได้นะ รู้ไหม ชานยอลเสนอ ตอนกลางคืนมันอันตรายนะ

       

                  ฉันไม่เป็นอะไรหรอกยอล ไม่ต้องห่วง

       

                แบคฮยอนใช้เวลานานในการโน้มน้าวใจชานยอลอยู่นาน แต่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขาเริ่มออกเดินไปที่ประตูรั้ว

       

                  งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ ชานยอลตะโกนบอกพลางมองอีกคนที่กำลังปิดประตูตามหลัง แบคฮยอนหน้านิ่ง หันกลับมาช้า ๆและยิ้มบาง ๆให้เขา

       

                  ได้เลย เขาเอ่ยตอบและหันกลับไป

       

                  ชานยอลมองแบคฮยอนที่กำลังเดินถอยกลับไปจนกระทั่งความมืดมิดกลืนกินเขาไปทั้งตัว เสียงถอนหายใจยาวดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา ชานยอลเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับชำเลืองมองออกไปข้างนอกเป็นครั้งสุดท้าย เขาเก็บจานบนโต๊ะ และทันใดนั้นก็สะดุดตาเข้ากับอะไรบางอย่าง ชานยอลขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งยอง ๆลงบริเวณข้าง ๆเก้าอี้ของแบคฮยอน

       

                  กระดาษรายการของแบคฮยอนนั่นเองที่วางอยู่ตรงนั้น มันถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อยแม้ว่าจะมีรอยหยับบนพื้นผิวให้ได้เห็น ชานยอลถอนหายใจออกมาเบา ๆพร้อมกับหยิบมันขึ้นมา จากนั้นก็ใช้นิ้วของตัวเองควงกระดาษใบเล็กที่พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากนี้ไปมา เขาควรจะโทรหาแบคฮยอนดีไหมนะ บอกให้เขารู้ว่าเขาอาจจะทำมันหล่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ทันใดนั้น ชานยอลก็ยกเลิกความคิดนี้ไปโดยเร็วพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ไม่ดีกว่า ยังไงพรุ่งนี้เขาก็จะเจอกับแบคฮยอนอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยคืนก็ได้

       

                  เขาโยนรายการลงไปไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปที่ครัว จากนั้นก็เปิดก๊อกน้ำ และก่อนที่ความสงสัยจะมากขึ้นไปกว่านี้ ชานยอลปิดก๊อกอย่างรวดเร็ว เขาเดินกลับมาที่โต๊ะด้วยความลังเล แบคฮยอนจะว่าอะไรไหมนะถ้าเขาจะดูรายการตอนที่แบคฮยอนไม่ได้อยู่ด้วย ชานยอลผลักความคิดนั้นไปเก็บเอาไว้ในสมองและส่ายหัวออกมา แน่นอน แบคฮยอนไม่ว่าอะไรหรอกน่า

       

                  ชานยอลคลี่กระดาษออกด้วยความระมัดระวัง เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้มันเรียบและมองที่รายการนั้นอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับแบคฮยอนอีกนานเท่าไร พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรบ้าง เขาหวังเหลือเกินว่าเขาจะเพิ่มรายการลงไปได้อีก เขาหวังว่าพวกเขาจะทำรายการแบบนี้ไปตลอด

       

                  ชานยอลมองตามรายการลงมาเรื่อย ๆและเขาก็ต้องยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดอยู่ที่ลำคอ ตรงนั้น ความตั้งใจที่อยู่บริเวณล่าง ๆถูกขีดฆ่าออกไปแล้ว มันถูกเขียนไว้ลวก ๆด้วยลายมือยุ่ง ๆ บางอย่างที่ยังไม่ได้อยู่ตรงนั้นตอนที่เขาดูมันก่อนหน้านี้

       

                  ตกหลุมรักใครสักคน

       

       

       ************



       

                ชานยอลยืนอยู่บริเวณทะเลสาบ สองมือประสานท้ายทอยเอาไว้นิ่ง ๆ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ฝูงเป็ดที่กำลังกระพือปีกกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานในแม่น้ำที่เริ่มละลายจากการเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ไหล่ของเขาห่อลู่ลงมาขณะที่มือจับแน่นอยู่กับกระดาษที่เขาพับเอาไว้ ชานยอลละสายตาออกจากทะเลสาบพร้อมกับถอนหายใจออกมาแรง ๆหนึ่งที

       

                  แบคฮยอนไม่ใช่คนชอบมาสาย เขามักจะมาตรงเวลาเสมอเวลาที่พวกเขานัดเจอกัน หรือไม่ก็ กระตือร้นเหลือเกินที่จะมาถึงก่อนชานยอล

       

                  ตื่นสายอีกแล้วอะดิ เขาจะพูดหยอกแบบนี้ นายคงไม่ต้องกังวลว่าจะนอนไม่พอเลยล่ะสินะ

       

                ชานยอลหน้านิ่วเมื่อนึกไปถึงเรื่องนั้น มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเริ่มออกตัวเดินรอบทะเลสาบช้า ๆ จิตใจปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกของความคิดมากมาย รวมทั้งฉากเหตุการณ์ต่าง ๆที่อธิบายการหายไปของแบคฮยอน ซึ่งจะเป็นฉากน่ากลัวซะส่วนใหญ่

       

                  จังหวะการเต้นของหัวใจของชานยอลเริ่มเร็วขึ้นขณะที่เขาจินตนาการฉากต่อไป ก่อนจะส่งเสียงคำรามแสดงความผิดหวังออกมาทางริมฝีปาก เขาจะไม่กังวลเลยถ้าสาเหตุที่แบคฮยอนมาสายนั้นเป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นรถติดหรือไม่ก็รถไฟล่าช้า

       

                  ชานยอลก้มลงหยุดอยู่ตรงสวนดอกไม้เล็ก ๆ ก่อนจะถอนเอาดอกไม้สีฟ้าเปื้อนฝุ่นออกมาจากพื้น ขนบาง ๆบนลำต้นสัมผัสโดนปลายนิ้วของเขา เมื่อเขาหมุนมันไปรอบ ๆเป็นวงกลม มันทำให้เขาคิดถึงแบคฮยอน คิดถึงขึ้นมาซะดื้อ ๆเลย แต่ก็เป็นความประทับใจในแบบที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน

       

                  ชานยอลเดินมาถึงม้านั่งที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างบริเวณที่ไม่มีคนอยู่ เขาขมวดคิ้วแล้วนั่งลง มือล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมา ชานยอลถูนิ้วหัวแม่มือไปทั่วจอ ทำหน้าบูดบึ้งเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเลินเล่อแค่ไหน มีหนึ่งข้อความเข้าจากพี่สาวของเขาและอีกหนึ่งข้อความจากเพื่อนของเขา คริส

       

                  ชานยอลใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสลงบนจอชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเปิดกล่องข้อความ หวังว่าเขาจะอ่านเวลาที่นัดเจอกับแบคฮยอนไม่ผิดนะ ไม่ ริมฝีปากของชานยอลเม้มเข้าหากันพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งขรึม เขาอยู่ในที่ที่เขาควรจะอยู่และตรงตามเวลาที่พวกเขาสัญญากันไว้ แต่ทำไมแบคฮยอนถึงมาสายกันนะ

       

                  หลังออกจากกล่องข้อความ นิ้วของชานยอลก็เหมือนจะทำงานเองโดยอัตโนมัติเมื่อเขากดเบอร์แบคฮยอน เขาใช้เวลาทั้งคืนจำมันเผื่อพวกเขาสองคนจะได้ส่งข้อความหากันบ้าง หัวเราะด้วยกัน ฟังเรื่องตลกหลังจากใช้เวลาทั้งวันไปด้วยกัน

       

                  สุดท้ายชานยอลก็ลังเล นิ้วหัวแม่มือของเขาสัมผัสอยู่บนปุ่มโทรออก เขากระพริบตามองโทรศัพท์ตัวเองอยู่หลายครั้ง รอยยิ้มเล็ก ๆคลืบคลานขึ้นมาบนใบหน้าของชานยอล โอกาสในการจำเบอร์คนอื่นนอกเหนือจากเบอร์ตัวเอง (แม้ว่าบางโอกาสเขาก็รู้ดีว่าเขาก็อาจจะลืมได้) เป็นอะไรที่เด็กหนุ่มผมยุ่งก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาจำเบอร์ของแบคฮยอนได้ ตัวเลขทุกตัวเปลี่ยนเป็นรหัสฝังลงไปในสมองของเขาโดยที่เขาเองก็ไม่ได้รู้ตัว

       

                  ชานยอลหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และมองบริเวณสวนสาธารณะแสนโดดเดี่ยวนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแตะนิ้วลงไปบนปุ่มโทรออก จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาเบา ๆเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ

       

                  สวัสดีครับ เสียงจากปลายสายดังขึ้นมา ชานยอลยิ้มออกมาแทบจะในทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงร่าเริงนี้

       

                  แบค ฉันเองนะ นายอยู่ที่ไหน เป็นอะไรหรือ...

       

                ล้อเล่นคร๊าบบบบ เสียงยังดังต่อไป ขอโทษด้วยนะครับแต่ผมไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ตอนนี้ กรุณาฝากขอความ ชื่อ และเบอร์โทรของคุณไว้ แล้วผมจะติดต่อกลับไปให้เร็วที่สุดนะครับ

       

                เสียงของแบคฮยอนหายไปแล้วและแทนที่ด้วยเสียงเตือนบิ๊บเพื่อฝากข้อความ ชานยอลสบถออกมาอย่างรำคาญใจก่อนจะวางสายไป

       

                  เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ เขาอาจจะเป็นพยานรู้เห็นอุบัติเหตุรถชนแล้วก็เข้าไปช่วย ชานยอลส่ายหน้า เป็นความคิดที่โง่มาก เขาอาจจะช่วยนักท่องเที่ยวที่มาถามทาง ชานยอลย่นจมูกขณะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะรับสายไม่ได้สักหน่อย แล้ว นั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน

       

                  ชานยอลขยี้ผมสีเข้มยุ่ง ๆของตัวเอง เขาถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าใจ เขาไม่แน่ใจว่าทำไมแบคฮยอนถึงไม่สนใจที่เขาโทรไปหรือทำไมถึงเบี้ยวนัด การนัดพบกันของพวกเขา บางทีมันอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากสำหรับแบคฮยอนเท่ากับที่เขารู้สึก แต่มีอย่างหนึ่งที่ชานยอลแน่ใจ เขาจะต้องคุยกับเด็กคนนั้นหน่อยแล้วที่ทำให้เขาเข้าใจผิดกับข้อความตอบรับในโทรศัพท์นั่น

       

       

      ************


       

                เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ ที่ในที่สุดแบคฮยอนก็มาถึงสวนสาธารณะ ใจหนึ่งเขาก็ยังหวังว่าเขาจะเจอชานยอลที่นั่น กำลังรอเขาอยู่ แต่แบคฮยอนรู้ว่ามันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของตัวเขาเองเท่านั้น ความปรารถนาลึกลงไปในใจบางอย่างบอกว่าจะเป็นอย่างนั้น เขาผลักความคิดเหล่านั้นออกไป ชำเลืองมองไปรอบ ๆตัว และก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ชานยอลไปตั้งนานแล้ว

       

                  แบคฮยอนรู้ว่าเขาคาดหวังให้ชานยอลรอเขาอยู่นานโดยที่เขาไม่ได้ติดต่อไปเลยไม่ได้หรอก หรือ อย่างน้อย ก็ได้เอ่ยขอโทษที่มาสาย คิ้วของแบคฮยอนขมวดเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่นในเมื่อเขาเองสัญญาไว้แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธความเจ็บปวดอย่างฉับพลับที่ไหลบ่าเขามาหา ณ สวนสาธารณะว่างเปล่านี้ได้เลย

       

                  แบคฮยอนดึงหมวกให้คลุมใบหูไว้ก่อนจะเริ่มออกเดินช้า ๆ ศีรษะของเขาแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้ามืดมิดเบื้องบน เขาอยากโทรหาชานยอล เขาอยากทำ แต่เขามักจะบอกตัวเองเสมอว่าให้ทิ้งโทรศัพท์ไว้ข้างหลังเมื่อมาหาชานยอล เขาไม่อยากให้มีการรบกวนใด ๆ เขามักจะเป็นแบบนั้นเสมอ ตั้งแต่ที่แบคฮยอนรู้จักชานยอล ทุกอย่างคือเรื่องสำคัญ ทุกอย่างคือเรื่องจริงจัง เขาตรงข้ามกับชานยอล

       

                  เขาเดินต่อมาเรื่อย ๆตามทางเดินหินแกรนิตบริเวณรอบทะเลสาบ แบคฮยอนค่อย ๆหยุดเดินใกล้ม้านั่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในบริเวณห่างไกลและไม่ค่อยมีคนผ่านมา มันเป็นที่ที่เขามารอชานยอลเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นและความวิตกกังวลทำให้กระเพาะอาหารของเขาปั่นป่วนด้วยหมู่มวลผีเสื้ออยู่นาน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจออกมาวันนั้นเพื่อมาพบชานยอล

       

                  แต่ครั้งนี้ มันต่างไป เขารู้ว่าชานยอลจะไม่รอเขาอีกแล้ว แทนที่จะเป็นความตื่นเต้นที่ครั้งหนึ่งแบคฮยอนเคยรู้สึกเมื่อคาดหวังว่าจะได้เจอกับเขา ความรู้สึกเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด ความเศร้าบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ ทำให้เขาพาตัวเองมาที่นี่

       

                  เขาสะดุดตาเข้ากับอะไรบางอย่าง เพชรเลอค่าท่ามกลางพงหญ้า กลีบดอกสีฟ้าหม่นมองเห็นโดดเด่นอยู่บนม้านั่งไม้เก่า ๆสีเทาหมอง ริมฝีปากของแบคฮยอนโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆเมื่อเขาค่อย ๆหยิบดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งขึ้นมา มันถูกขจัดโดยเจ้าของที่แท้จริง และค่อย ๆตายไปช้า ๆ

       

                  แบคฮยอนค่อย ๆเด็ดหน่อที่ยื่นออกมาจากลำต้นพร้อมกับเดินข้ามทางเดินเพื่อกลับมาที่ทะเลสาบอีกครั้ง เขานั่งคุกเข่าลงตรงริมขอบ ถือดอกไม้ไว้ในอุ้งมือแล้วจุ่มมือลงไปในน้ำเย็นเฉียบที่ทำให้ขนลุกขึ้นมาทั่วทั้งแขนในทันที

       

                  แบคฮยอนมองดูดอกไม้เล็กลอยออกไปจากมือของตัวเอง ปล่อยมันเป็นอิสระในน้ำเย็นยะเยือก ถึงแม้ว่าทะเลสาบจะกว้างใหญ่และมืดมาก พยายามที่จะกลืนกินมันไปทั้งดอก ดอกไม้เล็กนี้ก็ยังลอยตัวอยู่ได้ แม้ว่าจะดูเหมือนไร้ซึ่งความเป็นไปได้ มันก็ยังเดินทางต่อไปจนกระทั่งมันไม่สามารถทนกับโชคชะตาของตัวเองได้อีกแล้ว

       

                  แบคฮยอนอยู่ดูจนดอกไม้เริ่มจมลงไปในความลึกมืดมัวของทะเลสาบ และแม้แต่ในความมืดคล้ำของน้ำเย็นยะเยือกนี้ หน่อสีฟ้าหม่นก็ยังคงโดดเด่น เป็นแสงสว่างเดียวในความมืดมิด ณ ที่แห่งนี้

       

       

      ************


       

                  ชานยอลกำลังยิ้มต้านความปราถนาของตัวเองขณะมองแบคฮยอนเดินไปรอบ ๆสวน ตอนแรก เขาโกรธมากที่แบคฮยอนขาดการติดต่อและไม่รักษาสัญญาที่จะมาเจอกัน

       

                แน่นอน ยังมีประเด็นที่เพิ่มเข้ามาเหมือนกันคือ เขากำลังจะเป็นไข้เพราะรออยู่ข้างนอกพร้อมสภาพอากาศหนาวเป็นเวลามากกว่าสี่ชั่วโมง แต่เขาจะไม่บอกให้แบคฮยอนรู้หรอกว่าเขารอแบคฮยอนนานขนาดนั้น ให้เขาป่วยคนเดียวก็พอแล้วล่ะ

       

                  สำหรับตอนนี้ อย่างน้อย ได้เห็นแบคฮยอนก็พอแล้ว แต่ในขณะที่ชานยอลยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างร่าเริงไปรอบสวนสาธารณะ เขาพบว่าเขาเองก็รู้สึกเสียใจด้วยเหมือนกัน

       

                  แบคฮยอนเดินมาฝั่งชานยอลอย่างรวดเร็ว มือเล็กของเขาโอบข้อมือของชานยอลไว้ หลังจากกระตุกมันเบา ๆครั้งหนึ่ง เขานำชานยอลไปที่น้ำพุหินขนาดใหญ่บริเวณกลางสวนสวย ต้นไม้สูงบดบังภาพทิวทัศน์ของตัวเมืองรอบ ๆและสร้างภาพมายาขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าพวกมันอยู่ตรงกลางโอเอซิสที่เงียบสงบ

       

                  แบคฮยอนจุ่มปลายนิ้มลงไปในน้ำพุสีใส บ้านของปลาคาร์ฟเกล็ดสีขาวดำสองตัวที่กำลังว่ายวนด้วยความสงสัยไปรอบมือของเขา แบคฮยอนเอียงศีรษะขึ้นข้างบนและยิ้มออกมา เสียงหัวเราะเป็นมิตรเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเขา มือข้างที่ว่างเอื้อมขึ้นมา แบคฮยอนป้ายน้ำเย็นบนแก้มของชานยอล แล้วถอยกลับไปแทบจะทันที รอยยิ้มกว้างขี้เล่นดึงให้มุมปากของเขายกขึ้น

       

                ชานยอลเลิ่ก ๆลั่ก ๆอย่างไม่อยากจะเชื่อขณะที่ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดแก้มให้แห้ง และจ้องอย่างสดใสไปที่แบคฮยอนคนที่พึ่งจะเอื้อมมือมาป้วนเปี้ยน เขาส่ายหัวไปมา

       

                นายนี่น้า เขาถอนหายใจออกมา

       

                  แบคฮยอนแลบลิ้นหยอกล้อก่อนจะถอดหมวกของเขาออกวางลงบนขอบของน้ำพุ แล้วจุ่มนิ้วลงไปในน้ำเย็นอีกครั้ง

       

                  ฉับพลัน ชานยอลเบือนหน้าหนีไป มือของเขาสั่น เขาไม่สามารถทนเห็นได้ ไม่ใช่แบบนั้นนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาทนไม่ได้อีกแล้ว เขาเจ็บปวดที่เห็นแบคฮยอนมีความสุขตลอดเวลา มีความสุขมากแม้ว่าจะไม่รู้อะไร ชานยอลยกแขนเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองขึ้นไปที่ปากแล้วไอออกมา

       

                  แบคฮยอน เขาเอ่ยเสียงแหบพร่าขณะที่เขาพยายามต่อสู้กับก้อนที่ติดอยู่ที่ลำคอ ใส่หมวกคืนเถอะ

       

                แบคฮยอนยกมือขึ้นมาจากน้ำอย่างงง ๆแล้วหันครึ่งตัวมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูง

       

                  ทำไมอะ เขาแย้ง แววตาส่องแสงระยิบระยับ ไม่ชอบทรงใหม่ฉันเหรอ

       

                  แบคฮยอนยกมือข้างที่แห้งขึ้นลูบปลายนิ้วไปบนผมสั้นแหลมของตัวเองที่ยาวไม่เกินหู ไม่มีผมสีกาแฟเข้มเป็นประกายอีกแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยสีน้ำตาลหมอง ๆไร้ชีวิตชีวา

       

                  เขาสบตาเขากับชานยอล และรอคำตอบอย่างเงียบงัน ชานยอลไม่ชอบมัน ทุกเส้นใยของร่างกายของเขาเกลียดมัน ชานยอลยังรู้อีกว่าแบคฮยอนรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับมัน

       

                  ชานยอลหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาช้า ๆ ไม่ เขาพูด ฉันไม่ชอบ

       

                รอยยิ้มเล็ก ๆประดับอยู่บนใบหน้าของแบคฮยอน เขาหันกลับไปหาปลาคาร์ฟพลางคว้าเอาหมวกขึ้นมาสวมลงไปบนหัวอย่างรวดเร็ว

       

                  ยอล เขาพูดเสียเบาหลังจากความเงียบก่อตัวอยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากเจ้าปลาเลย

       

                  หืมม

       

                ขีดสวนพฤกษชาติออกจากรายการได้เลยนะ

       

                ชานยอลล้วงเอารายการหยับ ๆออกมาจากกระเป๋า รีดมันด้วยปลายนิ้วขณะที่คลี่กระดาษออก ปากกาไหลออกมาจากข้างในกระดาษที่ม้วนไว้  ชานยอลจัดการเปิดปลอกมันออกอย่างรวดเร็ว ขีดเส้นบาง ๆสั่น ๆลงไปบนความตั้งใจที่ถูกเขียนอย่างหวัด ๆด้วยความเร่งรีบของพวกเขา

       

                  รายการขยายมากขึ้น พวกเขาจะเขียนความตั้งใจใหม่ ๆเมื่อแบคฮยอนนึกอะไรออก เพราะฉะนั้น ก็ยังมีอะไรหลายอย่างที่แบคฮยอนปรารถนาที่จะทำ ทำให้พวกเขาสองคนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานขึ้น

       

                  ริมฝีปากของชานบอลโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเศร้าขณะที่มองลงดูรายการสองรายการที่เพิ่มเข้ามาใหม่ มีหนึ่งรายการที่สะดุดตาเขา

       

                  มีคนร้องเพลงให้

       

                  ชานยอลถอนหายใจเศร้าพลางส่ายหน้าไปมา

       

                  ทำไมนะแบค

       

       

       

      ************


       

                ยอล แบคฮยอนเรียกขณะปิดประตูข้างหน้าเข้ามาตามหลัง พร้อมไหม วันนี้มีอะไรให้ทำเยอะแยะเลยนะ!”

       

                  ไม่มีสัญญาณตอบรับจากชานยอล รอยยิ้มขี้เล่นคลืบคลานขึ้นมาบนใบหน้าของแบคฮยอน ไม่ว่าเมื่อใดที่เขาแวะมาที่บ้าน ชานยอลมักจะซ่อนแอบแล้วกระโดดเข้ามาหาจากข้างหลังโดยที่เขาไม่ทันระวังเสมอและมันก็ได้ผลอยู่เรื่อย อย่างน้อยก็ช่วงแรก ๆน่ะนะ จนกระทั่งมันกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำและแบคฮยอนก็คาดหวังให้มันเกิดขึ้นอยู่ตลอด

       

                  แบคฮยอนเตะรองเท้าของเขาออก ตัดสินใจเล่นตามเกม นายยังนอนอยู่ใช่ปะ

       

                  เขาเดินย่องเบา ๆมาตามทางเดิน สองแขนยื่นออกมาเตรียมพร้อม แบคฮยอนชำเลืองมองไปรอบ ๆ ดวงตาแสนกระตือรือร้นสอดส่องไปยังทุกหัวมุมและทุกตรอกซอกซอยที่ชานยอลจะสามารถซ่อนตัวเองเอาไว้ได้

       

                  และเมื่อเดินมาจนถึงห้องครัว ชานยอลที่ยืนพิงแนบชิดติดกับเคาน์เตอร์ครัว ด้วยใบหน้าเขาที่ตึงขึ้นมาเล็กน้อย นิ้วมือก็กุมขมับเอาไว้ เขามองขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงแบคฮยอนกระแอมไอ รอยยิ้มเล็ก ๆประดับอยู่บนใบหน้าของเขา

       

                  อยู่นี่นี่เอง เขาพูด นิ้วมือทำงานอย่างรวดเร็วกับใบรายการที่เขากางออกไว้บนที่นั่ง ฉันก็แค่…” เขายัดรายการใส่ลงไปในกระเป๋าแล้วเดินมาใกล้ตรงเค้าเตอร์กำลังดูว่าวันนี้เราจะทำความตั้งใจไหนได้บ้างน่ะ

       

                  คิ้วของแบคฮยอนขมวดเข้าหากัน มีอะไรหรือเปล่า

       

                  ไม่นี่ ชานยอลตอบ ทำไมจะต้องมีอะไรด้วยเหรอ

       

                  แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกปัด แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อชานยอล นายดู... เศร้า ๆนะยอล ตัวก็ซีดผิดปกติด้วย

       

                  หัวใจชานยอลบีบแน่นทันทีที่ได้ยิน แบคฮยอนห่วงใยสุขภาพเขา สุขภาพของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ชานยอลเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่แบคฮยอนสังเกตเห็น ใบหน้าของเขาเหนื่อยล้า ขอบตาเป็นสีคล้ำเข้มไร้ชีวิตชีวา หนังตาเองก็หนักอึ้งและชานยอลก็ต้องพยามที่จะลืมตาให้ขึ้นอยู่ตลอด

       

                  ริมฝีปากของชานยอลโค้งตัวเป็นรอยยิ้มกว้าง เขาวางมือลงบนไหล่ของแบคฮยอน ฉันไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ

       

       

       

      ************


       

                รายการต่อไปอะไรเหรอ ชานยอลถามทันทีที่พวกเขาสองคนออกจากร้านขายหนังสือมือสอง

       

                  พวกเขาหยิบหนังสือที่เก่าที่สุดและได้รับการถะนุถนอมอย่างดีที่สุดออกมาแปะโน้ตเล็ก ๆตามหน้าต่าง ๆ คำพูดอ้างอิงตรงนี้ คำบรรยายตรงนั้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มันเข้าปกไว้เพื่อสร้างความประหลาดใจให้ใครก็ตามที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา และแบคฮยอนก็หวังว่ามันจะนำพารอยยิ้มมาปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นได้ ลองจิตนาการดูสิว่า ได้เข้าไปในร้านหนังสือหลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาทั้งวัน จากนั้นก็แกะปกหนังสือออกจากกระดาษแห้ง ๆเพื่อพบกับโน้ตที่เขียนว่า คุณสวยจังเลย

       

                ใช่แล้ว แบคฮยอนคิดพร้อมกับผงกหัวเบา ๆให้ชานยอล ใช่ วิธีนี้จะทำให้ใครก็ตามที่หยิบหนังสือเล่มนี้ยิ้มออกมาได้ บางครั้ง เรื่องเล็ก ๆน้อย ๆที่สุดแบบนี้ก็ยังได้รับการมองเห็นให้เป็นการแสดงออกที่สุดแสนจะประทับใจได้ บางครั้ง การจะนำรอยยิ้มมาให้ใครสักคนที่ต้องการมันมากที่สุด ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรอก

       

                ก็เหมือนเดิมแหละ แบคฮยอนเอ่ยตอบ เขาไม่สามารถหยุดยั้งรอยยิ้มบนใบหน้าตัวเองได้เลย ทำให้ผู้คนมีความสุขในแต่ละวันด้วยสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดไงล่ะ!”

       

                ชานยอลส่ายหัวไปมาให้คนผมน้ำตาลสุดกระตือรือร้นพร้อมกับเดินตามหลังไป เขาอยู่ห่างแบคฮยอนเพียงไม่กี่ก้าว นายทำให้ฉันมีความสุขเป็นปีเลยแหละ แค่นายอยู่ตรงนี้ ชานยอลพึมพำเบา ๆ นั่นต้องมีค่ามากเลยใช่ไหม

       

                  แบคฮยอนชำเลืองมอรอบ ๆเพื่อมองหาเป้าหมายต่อไปของพวกเขาก่อนจะมองเพื่อนตัวเองผ่านไหล่อยู่สักครู่

       

                  เมื่อกี้นายพูดอะไรหรือเปล่ายอล เขาถาม

       

                ชานยอลส่ายหน้าช้า ๆ ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ

       

                  ไม่นี่เขาเอ่ย ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย

       

       

      ************


       

                ผมนายดูสั้นลงนะ ชานยอลเอ่ยขณะที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ตรงกลางประตูทางออกของห้างสรรพสินค้า พร้อมถือเครื่องดื่มเย็น ๆในมือ ต้นไม้สูงเป็นร่มเงาปกป้องพวกเขาจากรังสีร้อนจากแสงอาทิตย์ ผมของแบคฮยอนตอนนี้ยาวไม่เกินสองเซนติเมตรและอยู่ติดกับหนังศีรษะมากทีเดียว ไม่ว่าจะตรงนี้หรือตรงนั้น เผยให้เห็นผิวหนังเปล่า ๆบศีรษะของเขาได้อย่างชัดเจน ไม่เหลือผมไร้ชีวิตชีวาบาง ๆทรงนั้นอยู่อีกแล้ว

       

                  อ่าวเหรอ แบคฮยอนถามขำ ๆไม่ได้สังเกตเลยอะ

       

                สองมือของชานยอลจับขวดน้ำไว้แน่น น้ำสีใสสาดกระเซ็นออกมาเมื่อพลาสติกถูกบีบขึ้น เสียงหวีดแหลมกระจายอยู่ในอากาศรอบตัว เขายกศีรษะขึ้นมาช้า ๆ มองตรงไปที่แบคฮยอนที่กำลังล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า

       

                  สวัสดีครับ เขาเอ่ยตอบรับปลายสาย ใช้นิ้วอุดหูไว้เพื่อตัดเสียงดังรบกวนจากผู้คนรอบกาย ครับ ผมสบายดีครับ เขาเงียบไปชั่วคราว วันนี้เหรอ ไม่ได้หรอกครับ ไม่ได้ครับ ผมขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมอยู่กับคนอื่น ผมรู้ครับ ผมรู้ เป็นพรุ่งนี้ได้ไหมครับงั้น ครับ ตกลงครับ ขอบคุณครับ

       

                  ชานยอลรออย่างใจเย็นจนแบคฮยอนวางสายก่อนจะถามออกไป

       

                  เขาโทรมาอีกแล้วใช่ไหม เขาถาม แบคฮยอนผงกหัวยืนยันความสงสัยของเขา

       

                  อืม

       

                ชานยอลยื่นมือออกมาวางบนเข่าของแบคฮยอน

       

                พรุ่งนี้ฉันจะไปกับนายด้วย เขาพูดอย่างหนักแน่น ฉันจะไม่ให้นายไปเจอเขาคนเดียวหรอกนะ ไม่อีกแล้ว

       

                  ความเงียบงันก่อตัวขึ้นมาขณะที่พวกเขานั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงนั้นพลางจิบเครื่องดื่มของตัวเองไปด้วย ชานยอลดื่มเครื่องดื่มหมดขวดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เอนตัวลงไปพิงกับม้านั่ง

       

                  เราพักกันตรงนี้อีกสักหน่อยได้ไหม เขาถาม เหนื่อยอะ

       

                หัวของเขาเริ่มปวดตุบ ๆ พวกเขาตากแดดนานเกินกว่าที่ควรจะเป็น

       

                  รอยยิ้มซุกซนแล่นขึ้นมาบนใบหน้าของแบคฮยอน ผิดแผนนะเนี่ย เขาแกล้งแหย่ ได้อยู่แล้ว พักนานตามใจนายเลย แค่ได้นั่งตรงนี้กับนาย ฉันก็พอใจแล้วล่ะ

       

                ตรงนี้เอง ชานยอลเบือนหน้าออกไป เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

       

       

      ************


       

                   ชานยอลเอนตัวพิงกำแพงทิ้งระยะห่างมองไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่กับแบคฮยอน ทั้งสองกำลังจดจ่อกับบทสนทนา บางครั้ง ชายคนนั้นก็เอื้อมมือขึ้นมาจับมือของแบคฮยอนที่วางอยู่บนโต๊ะ พลิกฝ่ามือของแบคฮยอนขึ้นมาด้วยมือของเขาและวางมันกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง

       

                ชานยอลขบกรามแน่นแล้วเดินไปยืนข้างหลังแบคฮยอน สองแขนวางห้อยลงตรงหน้าแบคฮยอนอย่างแสดงการปกป้อง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ชายคนนั้น

       

                คุณชานยอลใช่ไหมครับเนี่ย เขายิ้มกว้างโชว์ฟัน แบคฮยอนเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังหมดแล้วนะ

       

                  แทนที่ชายคนนี้จะยื่นมือออกไปแสดงการทักทายอย่างเป็นมิตร เขากลับยกมือขึ้นมาปัดเส้นผมสีดำไร้เจลตกแต่งบนใบหน้าของตัวเองออกไปทางด้านหลังให้เรียบร้อย เขาไม่ได้แนะนำตัวเอง แต่หันกลับมาสนใจแบคฮยอนแทน

       

                  ชานยอลเองก็เหมือนกัน เขาไม่คิดจะเริ่มทักทายผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ และไม่สนใจที่จะแนะนำตัวอะไรทั้งสิ้น เขาแน่ใจว่าชายคนนี้คงจะสนใจแค่เรื่องสถานภาพและอาชีพของเขา หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง ชานยอลเลือกที่จะผงกหัวห้วน ๆตอบรับแทน สองมือจับแบคฮยอนไว้แน่นกว่าเคย

       

                  แบค น้องแบคครับ ชายคนนั้นเริ่มเอ่ยขึ้นมาเนิบ ๆ พี่ต้องขอถามอะไรหน่อย ทำไมถึงยังอยากปล่อยผมไว้แบบนี้อีกล่ะ

       

                คำถามนี้เล่นเอาหูของชานยอลตั้ง เขาเองก็สงสัยและอยากได้ยินคำตอบอยู่เหมือนกัน แต่ชายคนนี้ไม่มีสิทธิ์ถาม เขาแอบคาดหวังให้ชายคนนี้โดนว่าที่ถามคำถามขวานผ่าซากนี้ออกมา แต่ชานยอลก็ต้องประหลาดใจเมื่อแบคฮยอนแค่ยักไหล่ให้เขาทีหนึ่ง

       

                  คุณเป็นหมอของผม เขาเอ่ย ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โง่ คุณรู้ว่าผมเป็นลูคีเมีย ผมก็รู้ว่าผมเป็น และ ถึงผมจะพยายามมากเท่าไหร่ ผมรู้ว่าผมเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ เส้นผมของผม...

       

                หัวใจของชานยอลแกว่ง แบคฮยอนบอกเขาแล้วเรื่องป่วย แต่นี่ แต่นี่มัน

       

                มันเป็นสิ่งสุดท้ายของตัวตนเดิมที่ผมจะเก็บเอาไว้ได้ ผมกำลังจะตาย ผมรู้ แต่เส้นผมเป็นสิ่งสุดท้ายของอดีตของผม ที่ผม... ไม่อยากเสียมันไป ผมทำไม่ได้

       

       

      ************


       

                  อืม ผ่านไปได้ด้วยดีเนอะ คิดงั้นไหมยอล แบคฮยอนยิ้มขณะที่พวกเขาสองคนเดิมจับมือกันผ่านเมืองที่สว่างด้วยแสงจันทร์ ตอนนี้มันว่างเปล่าเมื่อทั้งเมืองกำลังหลับใหล แต่มันก็ยังไม่สูญเสียความสง่างามที่มีอยู่ระหว่างวัน ตึกสูงส่องสว่างมีชีวิตชีวาด้วยโฆษณาดิจิตอล ถนนเป็นแถวของโคมไฟที่สะท้อนแสงไฟระยิบระยับบนหยดน้ำค้างและความเปียกชื้น

       

                  ชานยอลยังคงเงียบ เขาจับมือแบคฮยอนแน่น ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร เขาให้ความมั่นใจกับตัวเอง แบคฮยอนจะต้องผ่านมันไปได้ เขายังไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความจริง เขาไม่อยากเสียแบคฮยอนไป แต่ถ้าเกิดว่าเขา.. ไม่หรอก

       

                  ชานยอลลดระดับความเร็วฝีเท้าลง แล้วยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาลูบผมหนาของตัวเองพร้อมกับหายใจลึก

       

                  เป็นอะไรหรือเปล่า แบคฮยอนถามพลางมองตรงมาอย่างห่วงใย ชานยอลส่ายหัว

       

                  เปล่า เขาตอบ แค่เหนื่อยน่ะ ทั้งวันเลยนี่เนอะ วันนี้

       

                ตอนนี้นี่เองที่แบคฮยอนหัวเราะออกมาเบา ๆ นายนอนจนบ่ายโมงสี่สิบเลยนะ ชักจะขี้เกียจใหญ่แล้วนะ ยอล

       

                ชานยอลส่งยิ้มเล็ก ๆให้แบคฮยอน ไหล่ของเขาลู่ลงมา เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับน่ะ ปวดหัว

       

                อืม งั้นก็เลิกคิดเยอะสิ

       

                ชานยอลหันสายตาไปมองเบื้องบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ดูเหมือนจะยืดขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด ดวงจันทร์เคลื่อนผ่านหลังก้อนเมฆ ไม่ทิ้งอะไรไว้ยกเว้นดวงดาวที่ส่องแสงให้กับท้องฟ้าสีเข้มนั่น

       

                  เลิกคิดเหรอ มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอกนะ

       

                  แบค เขาเอ่ยเบา ๆหลังจากผ่านไปสักพัก แบคฮยอนหยุดเดินและหันมามองเขา

       

                  ว่าไง

       

                ชานยอลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปในลำคอ เขาปล่อยมือของแบคฮยอนก่อนจะดึงเขาเข้ามากอดแน่น กอดที่ยาวนานกว่าที่จะสนใจ แต่อย่างไรก็ไม่อยากจะปล่อยเลย

       

                  ได้โปรดอย่าทิ้งกัน เขาพึมพำขณะที่กอดแบคฮยอนเอาไว้แนบอก

       

                แบคฮยอนโอบแขนไปรอบเอวชานยอลพร้อมกับซุกหน้าลงไปกับลำคอของเขา

       

                  ไม่ทิ้งอยู่แล้ว เขาพูด

       

                นายต้องสู้นะ สัญญากับฉันสิว่านายจะสู้

       

                ฉันสัญญา ยอล

       

                จริงนะ ชานยอลเอ่ยแผ่วเบา ตาของเขาปิดลงพร้อมสูดกลิ่นหอมของแบคฮยอน

       

                  จริงสิ แบคฮยอนกระซิบ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อนายนะ

       

       

      ************


       

                นี่ ยอล แบคฮยอนถามเมื่อชานยอลพาเขาเดินกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล มันกลายเป็นบ้านถาวรของเขาในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ และเขาก็เกลียดทุกนาทีที่อยู่ที่นี่

       

                  ขณะที่เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกระหว่างวัน คล้ายกับว่าจะเป็นความปรารถนาครั้งสุดท้ายของขั้นตอนการรักษา พยาบาลจะเข้ามาจิ้มมาแหย่เขาตลอดคืน เพื่อทำการตรวจลมหายใจและความดันโลหิต แบคฮยอนเหนื่อยล้ากับทุกอย่างที่ต้องทำระหว่างวันเพื่อรับรองว่าเขายังปลอดภัย เขาจะยอมอุทิศการนอนหลับที่เพียงพอให้กับโอกาสของชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความยินดี ให้กับโอกาสที่จะได้อยู่กับชานยอล

       

                  แต่สิ่งนั้นก็ผิดแผนไป เมื่อทั้งสองมาถึงแผนกต้อนรับของโรงพยาบาล ผลตรวจเลือดของแบคฮยอนมาถึงแล้ว อาการโรคลูคีเมียของเขากำเริบและรุนแรงขึ้น นายแพทย์เองก็ไม่แน่ใจว่าแบคฮยอนเหลือเวลาอีกนานแค่ไหนก่อนที่โรคจะทำให้เขาแย่ลงกว่านี้ เขาสั่งให้แบคฮยอนเก็บตัวอยู่กับเตียงจนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

       

                  หืมม ชานยอลหายใจ พาแบคฮยอนไปยังเตียง เมื่อเขาไม่พูดอะไร ชานยอลหันกลับจะออกไป เพียงแต่ข้อมือของเขาถูกยึดไว้อย่างอ่อนโยนด้วยมือเล็กเย็นเฉียบ

       

                  เมื่อวานนายอ่านอะไรอยู่ เอ่อ ในครัวอะ

       

                ชานยอลเงียบไปสักพักก่อนจะหัวเราะเบา ๆออกมา ก็รายการของนายไง

       

                  นายโกหก แบคฮยอนต่อต้าน มันอยู่ในกระเป๋าของฉัน

       

                ชานยอลค่อย ๆแกะมือแบคฮยอนออกจากข้อมือตัวเองแล้วหันกลับ ก็เห็นว่านายดูมีความสุขกับรายการของตัวเองมาก ฉันเลยคิดอยากจะทำเหมือนกัน

       

                ตาของแบคฮยอนเป็นประกายขึ้นมาแทบจะในทันที แล้วนายจะให้ฉันช่วยนายทำรายการใช่ไหม

       

                ชานยอลส่ายหัวช้า ๆและโน้มตัวลงมา ริมฝีปากของเขาสัมผัสเบา ๆลงบนหน้าผากของแบคฮยอน

       

                นายช่วยฉันแล้ว เขาหายใจ ตอนนี้ก็พักผ่อนซะนะ

       

                ชานยอลฮัมออกมาเบา ๆขณะที่แบคฮยอนนอนลง หัวของเขาเอนลงบนหมอนก่อนที่เสียงนุ่มจะเติมเต็มห้อง นี่แหละ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่แบคฮยอนเขียนไว้บนรายการมหาศาลของตัวเอง เพลงกล่อมก่อนนอน

       

                  เพราะจัง แบคฮยอนกระซิบพร้อมกับปิดตาลงช้า ๆ ขอบคุณนะ

       

       

      ************


       

                  ทันทีที่ชานยอลออกมาจากห้องแบคฮยอน เขารู้สึกถึงลมหายใจที่ติดอยู่ที่ลำคอ เขาไม่ได้สังเกตหรอกตอนที่เขาเข้าไปข้างใน เขาคุยกับอีกคนจนเพลิน แต่ตอนนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สังเกตเห็น

       

                  บริเวณทางเดินเป็นสีขาวแคบ ๆ มีลักษณะของคลินิก คนสองคนแทบจะเดินเคียงข้างกันไม่ได้เลย มันขาดความสนุกสนาน ขาดความหวัง และไร้ชีวิต ในความคิดชานยอล มันเป็นทางเดินแสนโหดร้ายสำหรับปีกอาคารที่คนส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคร้ายแบบนี้

       

                  หากแต่ว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่ชานยอลสังเกต สิ่งที่เติมเต็มเขาด้วยความเศร้าลูกใหญ่ ตรงนั้น บนผนังสีขาวล้วน ไม่ไกลจากห้องของแบคฮยอน เป็นภาพวาดผ้าใบสีสันสดใสและลวดลายไร้ตัวตน

       

                  ภาพการแตกตัวของสีในพื้นที่ที่จำกัดนี้ เหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่มมิติใหม่ให้กับทางเดินแคบ ๆ มันโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผนังสีขาวและเหมือนว่าจะให้ความรู้สึกของชีวิต แบคฮยอนพูดถูก มันสวยมาก และคนเหล่านี้ก็ต้องการความสุขจริง ๆ

       

                  บางสิ่งที่อยู่ใต้รูปภาพส่องแสงระยิบระยับต้องแสงไฟของทางเดิน ชานยอลเดินเข้ามาใกล้มัน หัวใจของเขาแกว่ง ตรงนั้น ใต้งานศิลปะที่มีชีวิตชีวานี้มีแผ่นจารึกทองเหลืองเล็ก ๆติดอยู่

       

                  อภินันทนาการโดยพยอน แบคฮยอน คือข้อความบนนั้น ใต้รูปเป็นวันเกิด เส้นขีดและเว้นช่องว่างเอาไว้ เพียงแค่รอเติมให้สมบูรณ์เท่านั้น

       

       


      ************

       

       

       

                การเดินทางกลับบ้านวันนี้ทั้งหนาวและยาวนานสำหรับชานยอล เขาก้าวเท้าไปตามทางของเมืองที่กำลังหลับใหล สองมือยัดลงในกระเป๋าเสื้อโค้ท เขาไอหนักกว่าเดิมเมื่ออุณหภูมิต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ไม่สนใจ

       

                  ขอบแหลมของกระดาษที่พับไว้สัมผัสโดนผิวของเขา ชานยอลถอนหายใจออกมา เขาดึงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะคลี่มันออกเมื่อเดินมาหยุดอยู่ใต้แสงไฟสลัวจากโคมไฟตัวที่อยู่ใกล้สุด

       

                  ภารกิจสองภารกิจเขียนไว้อย่างบรรจงตรงกลางหน้ากระดาษ หรือจะเรียกว่าความตั้งใจอย่างที่แบคฮยอนเรียกก็ได้ ภารกิจหนึ่งถูกขีบทับแล้ว ลากเส้นทับอย่างงดงามราวกับถูกเขียนในช่วงเวลาที่มันเกิดขึ้น

       

                  /รัก/

       

                  หนึ่งสิ่งที่ชานยอลต้องการ เขาทำสำเร็จแล้ว แต่ข้างล่างความต้องการนี้ ก็เป็นบางอย่างที่เขาต้องการมาก แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่มีทางทำมันได้สำเร็จ มันจะอยู่โดยไม่มีการแตะต้องแบบนี้ ตลอดเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่

       

                  /บอกลา/

       

                  คำง่าย ๆสองคำนี้เป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำ บางที อาจจะมากกว่าที่อยากจะรักด้วยซ้ แต่เขารู้ดีว่า ในหัวใจของเขา เขาไม่สามารถทำมันได้เลย

       

       

      ************

       


       

                เมฆสีเทาเคลื่อนคล้อยต่ำลงมายึดติดกับท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ลมหนาวแผ่วเบาพัดผ่านไปทั่วบริเวณชานเมือง ลมพัดพาใบไม้แห่งฤดูหนาวให้ปลิวไปรอบ ๆท้องฟ้ายามบ่าย

       

                  ความเงียบปกคลุมไปทั่วอาณาภูมิทัศน์ ไร้เสียงคนพูดคุย ไร้เสียงคนเคลื่อนไหว อันที่จริง แทบจะไม่เคยมีใครมาตรงนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสัญญาเอาไว้ตลอด แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาผิดอะไรหรอกนะ ไม่ใช่ว่าคำสัญญาของพวกเขาจะได้รับการจดจำสะหน่อย และก็ แน่นอน อดีตที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้มักจะเป็นอะไรที่ ในที่สุด ก็จะถูกลบเลือนไป

       

                  ดินแดนแห่งนี้ ก้อนหินหลากหลายชนิดวางเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นผิวถนน แบ่งแยกผืนปฐพีออกเป็นกลุ่มก้อน แต่ละชิ้นล้วนมีขนาดและรูปร่างต่างกัน แผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพได้รับการสลักและตกแต่งอย่างงดงาม ไม่ใช่แค่เพียงหินเดียวที่ส่งผ่านความเลอค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของมัน  เจ้าของ ที่ครอบครองด้วยชีวิต ไม่ใช่แค่เพียงหินเดียวที่กุมความสูญเสียบุคคลเอาไว้ รวมทั้งหัวใจที่แหลกสลายของคนรักที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

       

                ร่างร่างหนึ่งเดินผ่านสุสานไป ศีรษะของเขาโค้งลงเพื่อทำความเคารพคนที่หลับพักผ่อนอยู่ที่นี้ ช่อดอกไม้สีฟ้าถูกจับไว้แน่นในมือ เขาดึงเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองให้กระชับขึ้น ร่างนั้นเดินต่อไปที่พื้นลาดเรียบจนกระทั่งสิ่งที่เขามองหาประจักษ์แก่สายตา เพื่อนของเขา ความรักของเขา คนรักคนเดียวของเขา

       

                  ลมหายใจเขาติดขัดอยู่บริเวณลำคอขณะจ้องมองสิ่งอนุสรณ์หินปูนตรงหน้า ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนักแต่เขาก็ห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ เขาไร้กำลังโดยปราศจากอีกคน ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ชิ้นส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาหายไป ชิ้นส่วนที่ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไป ก็ไม่มีวันที่เขาจะได้มันกลับมา

       

                  เขาสูดกลิ่นก้อนดินแสนสดชื่นแล้วคุกเข่าลงข้าง ๆสุสาน จากนั้นก็วางช่อดอกไม้ไว้ที่บริเวณแผ่นจารึก เครื่องเตือนความจำชิ้นสุดท้ายถึงทุกช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ไปด้วยกัน ก่อนที่ร่างของเขาจะเริ่มสั่นเทิ้ม เขายังอยู่ตรงนั้น เขายังอยู่เคียงข้างความรักของเขา ร้องไห้สะอื้นอย่างไร้สิ้นความหวังอยู่นานแสนนาน

       

                  นานจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลดระดับลงมาอยู่หลังเส้นขอบฟ้า ความมืดย่างกรายเข้ามาปกคลุมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่ำคืนนี้ไร้เงาของดวงจันทร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่างที่สะอึกสะอื้นอยู่ลุกไปไหน เขากลับยังอยู่ข้าง ๆคนรักของเขา เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสุดท้ายที่พวกเขาสามารถแบ่งปันด้วยกันได้

       

                  ในที่สุด เขาก็ยกศีรษะขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะยื่นมืออกไป นิ้วเรียวลูบไหล้ไปบนชื่อที่ได้รับการสลักไว้บนหิน เขาปล่อยไหล่สองข้างให้ลู่ต่ำแล้วหลับตาลง บรรเลงเสียงนุ่มออกมาจากริมฝีปาก เป็นเนื้อเพลงที่เขารู้จักและคุ้นเคยดี เนื้อเพลงที่เขาไม่อาจลืมได้ บทเพลงที่ได้รับการขับกล่อมข้างเตียงในห้องผู้ป่วยเมื่อครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน

       


       

      (Baby Don’t Cry – EXO)

      อย่าลังเลที่จะรับความรักจากฉันเลย

      แวงแสงโชติช่วงใจกลางแสงสว่าง ค่ำคืนนี้แม้แต่พระจันทร์ยังบดบังดวงตาของเธอ

       


       

                หัวใจของเขากำลังเจ็บปวดขณะฝืนตัวเองให้ร้องเพลงต่อไป เนื้อเพลงเริ่มเพี้ยนและแปลกไปเพราะเขาเค้นมันออกมาขณะกำลังร่ำไห้อยู่อย่างนี้

       


       

      ที่รัก คืนนี้ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ความมืดมิดกำลังจะผ่านพ้นไป

      ที่รัก คืนนี้ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ลืมมันไปเถอะนะ ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นได้ไหม

      ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอหายไปท่ามกลางทะเลโฟมและหมอกหนา ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลยก็ตาม

      เพราะฉะนั้น ที่รัก คืนนี้ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ความรักของฉันจะปกป้องคุ้มครองเธอเอง

       


       

                ริมฝีปากของเขาเปล่งโน้ตสั่น ๆออกปิดท้ายก่อนจะทรุดตัวลง ร่างโคลงเคลงไปข้างหลัง แล้วเสียงแหลมแผ่วเบาก็ดังขึ้นมาแทนที่เสียงเพลงก่อนหน้านั้น

       

                  ชานยอล แบคฮยอนหายใจติดขัดพลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสแผ่นหินอีกครั้ง นายรู้ว่าตัวเองเป็นปอดบวมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมถึงไม่บอกใครเลย

       

                เขาตกอยู่ในความเงียบขณะรอเสียงตอบรับที่ไม่มีวันมาถึง ริมฝีปากล่างของเขาสั่นระริก

       

                  พวกเขาบอกฉันว่า ฉันอาการทรุด พวกเขาบอกว่าฉันมีเวลาอยู่อีกไม่กี่วัน แต่... ฉันก็ทนกับมัน ฉันสู้กับมัน เพื่อนายนะ ชานยอล... เพราะฉันจะทำทุกอย่างเพื่อนาย

       

                เขาหยุดพักก่อนจะใช้แขนเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ ฉันทำไม่ได้ถ้าไม่มีนาย ยอล ฉัน... ทำไมนะ

       

                  เหมือนทุกอย่างจะถาโถมเข้ามาในช่วงเวลาเดียว อาการเหนื่อยล้าของชานยอล นอนเลยเวลาปกติ อาการไอต่อเนื่อง ความอ่อนแอ อาการปวดหัว เขารู้ว่าเขาต้องเป็นอะไรแน่ ๆ แต่... เขาก็เอาแต่เงียบ เขาห่วงใยสุขภาพของแบคฮยอนมากกว่าตัวเอง

       

                  แบคฮยอนถอนหายใจออกมาขณะลูบนิ้วไปทั่วศีรษะเรียบของตัวเอง ผิวที่ต้านลมกำลังหนาวเหน็บ เขาเพ่งมองอย่างรวดเร็วขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กำลังลุกโชติช่วงไปด้วยเส้นสีส้มสลับม่วง จากนั้นก็เตรียมลุกขึ้น แบคฮยอนยกมือขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะวางมันลงบนแผ่นหินจารึกของชานยอล

       

                  ฉันรักนาย เขาหายใจเข้าลึก ๆก่อนจะหันกลับไป ลาก่อนชานยอล... จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง

       

       

      ************


       

                  แบคฮยอนเดินก้มศีรษะลงต่ำ เขาไม่สนใจว่าเขาจะเดินไปไกลเท่าไหร่หรือเขาจะไปหยุดที่ตรงไหน เขาไม่สนใจว่าเขาจะเดินชนใครและจะเดินผ่านอะไร สิ่งสุดท้ายที่เขาได้พูดกับชานยอลก็คือคำว่า ขอบคุณนะ มันไม่ใช่คำสารภาพความรู้สึก มันไม่ใช่การประกาศความรัก มันเป็นแค่คำง่าย ๆว่า ขอบคุณนะ ขอบคุณที่เขาร้องเพลงให้แบคฮยอนฟัง บทเพลงที่ไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของเขาตั้งแต่ตอนนั้น

       

                ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะพูดอะไรกับชานยอลเป็นสิ่งสุดท้าย แม้เขาจะหวังเอาไว้ว่ามันจะเป็นเขาที่ไปแทน แล้วชานยอลก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปอยู่ข้างหลัง เพื่อจะได้มีความสุข เพื่อจะได้พบกับความรักครั้งใหม่ แต่เขากลับ...

       

                  แบคฮยอนไปต่อไม่ได้เลย เขาไม่มีทางลืมได้ และไม่เคยคิดจะลืม

       

                  ลึกลงไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดไม่ใช่ความจริงที่ว่า เขาไม่ได้พูดบอกลา แบคฮยอนรู้สึกผิดต่อการจากไปของชานยอล เขาเก็บมันเป็นความลับและซ่อนมันจากแบคฮยอนมาตลอด เขาช่วยเหลือแบคฮยอนทุกอย่างและดูแลเขาเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่กลับกันที่แบคฮยอนไม่ได้อยู่ข้าง ๆในตอนที่ชานยอลต้องการเขามากที่สุด

       

                  มันไม่ยุติธรรมเลย แต่มันไม่ยุติธรรมกับใครกัน แบคฮยอนรู้สึกว่าหัวใจตัวเองจมลงไปลึกกว่าที่เคยเมื่อนึกไปว่า... มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาไง ไม่ว่าแบคฮยอนจะอยากมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ชานยอลมากเท่าตลอดเวลาที่ชานยอลคอยช่วยเหลือเขาเท่าไร... ชานยอลก็จากไปแล้ว อย่างที่เขาต้องการให้มันเป็นไป

       

                  แบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขาอยู่ตรงนั้นกับชานยอลในช่วงเวลาสุดท้ายของอีกฝ่าย ไม่ว่าเขาจะอยากบอกว่าเขารักชานยอลมากแค่ไหน และบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร นั่นยิ่งจะทำให้การจากไปของชานยอลเป็นเรื่องยาก เขารู้ว่าชานยอลไม่ได้ต้องการแบบนี้

       

                  ถ้าแบคฮยอนอยู่ที่นั่นคืนนั้น อยู่ข้างกายเขา ชานยอลคงไม่อยากจากไป นั่นยิ่งจะทำให้เขาเจ็บมากกว่าเดิมซะอีก

       

                  แบคฮยอนชำเลืองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเข้ม สายฝนไหลลงมาอย่างหนักจนบดบังทัศนียภาพของเขาไป แบคฮยอนยังเดินต่อไป น้ำหยดเล็ก ๆไหลลงมาอาบใบหน้าของเขา แปลกดีที่มันรสชาติเค็ม ๆเหมือนเกลือ

       

                  ท้องฟ้าแยกออกเป็นรอยร้าวเมื่อสายฟ้าฟาดผ่าเป็นประกายลงมายังโลกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนสภาพกลับเป็นเงาสลัวเหมือนตอนก่อนหน้า แบคฮยอนยังเดินต่อไป ไม่สนใจลมพายุ ขณะที่ผู้คนรอบกายพยายามเบียดผ่านเพื่อหลบฝน ร่มที่พวกเขายึดไว้แน่นในมือถึงกลับพลิกหงาย

       

                  จะเป็นอย่างไรถ้าเขากับชานยอลเปลี่ยนกัน ชานยอลจะรู้สึกอย่างไรถ้าแบคฮยอนเป็นคนที่จากไปแทนที่จะเป็นเขา เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างที่แบคฮยอนปรารถนาไหม จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ตกหลุมรักใครอีกครั้งหรือเปล่า หรือเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วเหมือนกัน

       

       

      ************


       

                เย็นวันนั้น แบคฮยอนกลับมาถึงอพาร์ทเม้นเก่าของเขาแต่หัวค่ำ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลนานแล้ว ห้องก็ยังเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้าที่เขาจะทิ้งมันเอาไว้ ครัวเล็ก ๆปกคลุมไปด้วยฝุ่นชั้นบาง ห้องนั่งเล่นมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้นวมหนึ่งตัวและโทรทัศน์เครื่องเล็กหนุนด้วยอิฐสองก้อนกับไม้กระดาน

       

                  แบคฮยอนปัดสายตาสำรวจห้องโล่ง แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องนอนทันที เตียงเดี่ยวไร้ผ้าปกคลุมวางอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งอย่างเรียบร้อย ข้างเตียงมีโต๊ะไม้ตัวเล็กตั้งอยู่

       

                บริเวณเหนือเตียงนอนคือหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งคงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่แบคฮยอนชอบในที่อาศัยของเขา เขาจะนอนมองออกไปข้างนอกทุกคืน มองดูดวงดาวและนึกสงสัยว่าจะมีอะไรอยู่ในระยะไกลโพ้นนั่นหรือเปล่า

       

                  แบคฮยอนละสายตาออกจากหน้าต่างและเดินออกจากห้องนอนของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมา นี่คือชีวิตนอกโรงพยาบาลของเขา เป็นชีวิตที่ว่างเปล่า แบคฮยอนเดินไปยังตู้เย็น คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน เขาจำไม่ได้ว่าอยู่ห้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และดูจากชั้นฝุ่นที่ปกคลุมอยู่ทุกพื้นผิวในครัวเล็กนี้ อพาร์ทเมนท์ของเขาก็เหมือนจะไม่ได้พบเจอกับใครเลยตั้งแต่เขาไม่อยู่

       

                  ถึงจะลังเลใจแต่แบคฮยอนก็ดึงประตูตู้เย็นออกและสำรวจชั้นวางของว่างเปล่า เขาไม่ได้คาดหวังให้ตู้เย็นบรรจุอาหารใด ๆ แต่อะไรบางอย่างผลักดันให้เขาตรวจสอบดู แค่ลองดูเท่านั้นเอง

                 

                  แบคฮยอนปิดประตูตามหลังตนเอง หลังจากหยิบเสื้อแจ็คเก็ตเปียกชุ่มจากตะขอแขวน ก้าวออกจากห้องชุดห้าก้าวและออกจากอพาร์ทเมนท์แห่งนี้ไป เขาไม่แม้แต่จะคิดล็อกประตูขณะเดินลงบันไดสามชั้นมายังตัวถนน เขาไม่รู้ว่าเขาจะไปนานเท่าไหร่ หรือว่าเขาจะกลับมาอีกไหม ถ้าจะมีใครตักตวงเอาผลประโยชน์จากการที่เขาปล่อยอพาร์ทเมนท์ไว้โดยไม่ล็อคกุญแจแบบนี้ มันก็คงไม่เลวร้ายไปกว่าที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้แล้วล่ะ


       

      ************

       

       

                  พายุแย่ลงกว่าช่วงที่เขาอยู่ข้างในห้อง ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก แจ็คเก็ตตัวเปียกของแบคฮยอนเริ่มชื้นกดน้ำหนักลู่ลงไปกับตัวเขา ขณะเดินไปตามท้องถนนแบคฮยอนก็เอาแต่มองที่เท้าของตัวเอง

       

                  เขามาถึงทางเดินกรวดนำไปสู่ทะเลสาบ เขาเดินตรงไปโดยไม่รู้ตัวจนกระทั่งภาพที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาแก่สายตา แบคฮยอนเดินไปรอบ ๆทะเลสาบช้า ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งสวนสาธารณะ เพื่อรอคอย

       

                  รอคอยอะไรนะเหรอ แน่นอน เขาเองก็ไม่รู้หรอก แต่อย่างไรเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น รอให้มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ อาจจะล่ะมั้ง บางอย่างที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของเขาบอกเขาว่า ต้องรอ

       

                  ท้องฟ้ายังมืดครื้มอย่างต่อเนื่อง หลังจากรู้สึกได้ว่าหลายชั่วโมงของการรอคอยนั่นไร้ความหมาย แบคฮยอนผลักร่างอันหนาวสั่นของตัวเองให้ยืนขึ้น นานทีเดียวที่เขายืนนิ่งสัมผัสสายฝนเย็นยะเยือกที่ตกลงมาปะทะผิว ร่างทั้งร่างของเขากลับเผาไหม้ไปกับความหนาวต่อเนื่องที่ดูเหมือนจะทำลายความรู้สึกอื่น ๆไปทั้งหมด

       

                  แบคฮยอนค่อย ๆเดินออกจากสวนสาธารณะเนื่องจากนั่งอยู่นิ่งเป็นเวลานาน เขาเดินกลับไปตามทางที่นำไปสู่ใจกลางเมืองซึ่งถึงแม้ฝนจะตกหนักแต่ก็ยังครึกครื้นมีชีวิตชีวา

       

      จะรีบไปทำไมกัน ใช้เวลาให้เต็มที่สิ แบบนี้ นายจะมีความสุขกว่านะ

      ฉันอยากทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

       

                  แบคฮยอนถอนหายใจแรง ๆออกมาเมื่อคิดไปถึงตอนนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชานยอลอยู่ในสภาพที่บางทีอาจจะแย่กว่าเขา แต่เขาก็ยังปรารถนาที่จะเป็นเพื่อนกับคนแปลกหน้า เขาปราถนาที่จะช่วยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

       

                  เขาก้มลงมองเท้าตัวเองอีกครั้งระหว่างที่เดินกลับเข้าตัวเมือง แบคฮยอนหลับตาแล้วถอนหายใจอย่างแรง เขารู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถควบคุมจิตใจและร่างกายของตัวเองได้อีกแล้ว มันเคลื่อนไหวไปเอง มันคิดไปเอง และตอนนี้ ร่างกายของเขาเหมือนจะยุให้เขากลับไปยังที่ที่เคยอยู่กับชานยอลอีกครั้ง ร่างกายต้องมนต์ไปกับความทรงจำเรื่องชานยอลที่ล้ำค่าที่สุดของแบคฮยอน และเขาก็ไม่สามารถหยุดมันได้เลยจริง ๆ

       

                  เสียงแตรที่ดังขึ้นมาและเสียงกรีดร้องของผู้เห็นเหตุการณ์ดึงแบคฮยอนให้กลับมาสู่ความเป็นจริงเมื่อแสงสว่างจ้าพุ่งเข้ามาสู่ทัศนียภาพของเขา ทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งใด

       

                  รถบรรทุก แบคฮยอนเข้าใจทันทีที่เขาเดินข้ามมาหยุดอยู่ตรงกลางถนนแสนวุ่นวายโดยไม่ได้สนใจอะไรเลย คลื่นของอารมณ์หลากหลายถาโถมเข้าใส่เขา ดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจแต่ร่างกายกลับปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหว

       

                  แสงจ้าเผาดวงตาของแบคฮยอน เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและมองไม่เห็นบรรยากาศรอบตัวอีกแล้ว เขากลับมองเห็นตัวเองล้อมรอบไปด้วยเส้นสีสว่างสดใสที่สวยเหนือคำบรรยาย

       

      ใช่แล้วล่ะ นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ

      เพื่อจะได้อยู่กับชานยอลอีกครั้ง

       

       

      ************


       

                  แสงสว่างค่อย ๆจางหายไป เส้นสีเริ่มเปลี่ยนเป็นภาพซ้อนทับกับภูมิทัศน์รอบตัวเขา แขนของแบคฮยอนกระตุกเมื่อสัมผัสได้ถึงหญ้านุ่มข้างใต้ เขาผลักตัวเองขึ้นแล้วมองไปยังสิ่งแวดล้อมรอบกาย

       

                  เขากำลังนั่งอยู่ในทุ่งหญ้าสวย มีกลุ่มของดอกไม้สีฟ้าอ่อนรอบตัว ทางตอนเหนือเป็นต้นวิลโลว์เลื้อยอยู่ มีม้านั่งเล็ก ๆตั้งอยู่ข้างใต้ และทางตะวันออก ถ้าแบคฮยอนชำเลืองมอง เขาก็จะเห็นแม่น้ำสีใสและสายรุ้งที่สะท้อนลงมาสู่ใต้ท้องแม่น้ำที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด

       

                  ท้องฟ้าสลัวมีชีวิตชีวาของดอกกะหล่ำที่ไม่มีร่องรอยของก้อนเมฆ แต่ถึงแม้จะมีดวงอาทิตย์และทุกอย่าง แบคฮยอนกลับไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเลย

       

                  ท่อนแขนแกร่งโอบรอบเอวของเขาเพื่อช่วยเขายืนขึ้นอย่างนุ่มนวล ก่อนที่ใบหน้าจะฝังลงมาบนลำคอของเขา

       

                  แบคฮยอน ชานยอลเอ่ยเสียงแผ่วเบา ฉันรอนายอยู่เลย

       

                  แบคฮยอนหมุนตัวกลับมาทันทีที่เสียงของเขาดังกระทบเข้ากับใบหู สองมือยกขึ้นโอบรอบคอของชานยอลและร้องไห้ออกมา

       

                  ชานยอล เขาเริ่มสะอื้น ฉันคิดว่าฉันเสียนายไปซะแล้ว

       

                  ชานยอลใช้นิ้วชี้ดันใบหน้าของแบคฮยอนขึ้นมาและเช็ดน้ำตาออกไป ส่วนอีกแขนก็จับข้อมือเอาไว้แน่นอย่างปกป้อง ราวกับเขากลัวว่าแบคฮยอนจะหายไป

       

                  ชานยอลเลื่อนหน้าเข้ามาจุมพิตเบา ๆลงบนหน้าผากของแบคฮยอน เป็นครั้งที่สองที่ริมฝีปากของชานยอลสัมผัสกับผิวของเขา แบคฮยอนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก

       

                อย่าจากฉันไปอีกเลยนะ เขาพึมพำเสียงเบาหวิว ชานยอลส่ายหัวให้คำตอบ

       

                  ฉันจะไม่ไปไหน

       

       

      ************


       

                  ชานยอลและแบคฮยอนเดินเคียงข้างจับมือกันเดินผ่านทุ่งหญ้าสวยงาม พวกเขาเดินตามชายฝั่งของแม่น้ำใสไปยังฝั่งเนินเขาเล็ก ๆก่อนที่ชานยอลจะหยุดเดิน ปล่อยมือแบคฮยอนแล้วย่อตัวลงไปบริเวณเส้นทางที่น้ำไหลผ่าน ชานยอลจุ่มมือลงไปในน้ำเย็นก่อนจะถอนคืนกลับไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น

       

                  เขาเดินมายังด้านที่แบคฮยอนอยู่ จับมือแบคฮยอนขึ้นมาเพื่อวางวัตถุเย็นและนุ่มลื่นลงไป แบคฮยอนแบมือออกด้วยความสงสัย หินอ่อนเลอค่าสีน้ำเงินวางอยู่บนฝ่ามือของเขา ขนาดของมันใหญ่ไม่เกินนาฬิกาพกและเป็นรูปหัวใจ

       

                  ได้โปรดทะนุถนอมมันไว้ด้วยนะ ชานยอลเอ่ย รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้า เขาจับมือแบคฮยอนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเดินผ่านเนินเขาเล็ก ๆที่เต็มไปด้วยหญ้า

       

       

      ************

       

       

                  อีกไม่ไกลแล้วนะ ชานยอลยิ้ม เดินนำแบคฮยอนออกมาจากบริเวณที่โล่ง

       

                รอบตัวของทั้งคู่เป็นกำแพงต้นไม้ซึ่งลำต้นติดกันมากจนไม่มีทางที่จะบีบตัวเองผ่านเข้าออกได้ ทางเดียวที่จะผ่านไปได้คือตรงที่มีต้นไม้โดนถอนรากนอนล้มอยู่ มันไม่ได้สูงมากมายและชานยอลก็ปีนผ่านไปได้โดยง่าย

       

                  เขายื่นมืออกมาและยิ้มให้แบคฮยอน

       

                  จะถึงแล้วนะ แบค เขาพูด ให้ฉันช่วยนะ

       

                  แบคฮยอนยิ้มกว้าง พยายามเดินให้สมดุล ฉันทำได้น่า เขาเอ่ย

       

                  เขาจับกิ่งไม้เอาไว้และวางเท้าข้างหนึ่งไว้ใต้ต้นไม้ที่โค่นลงมา แล้วก็ลื่นถลาลงมาอีกครั้ง เขาส่งเสียงหัวเราะเขินเบา ๆออกมาทางริมฝีปากพลางเงยหน้าขึ้นมามองชานยอลอีกครั้ง

       

                  ไม่ง่ายอย่างที่คิดนะเนี่ย เขาเอ่ย แต่ต้องได้สิ จริง ๆนะ

       

                เขายกเท้าขึ้นมาอีกครั้งแล้ววางมันไว้ตรงฐานของเปลือกไม้ขรุขระ พยายามปืนป่ายไปจับกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือ เมื่อเขาตั้งฐานที่มั่นอยู่กับมันได้แล้ว เขาก็เอื้อมไปคว้ากิ่งใหม่ ร่างกายเริ่มไม่สมดุลจนในที่สุดเขาก็ตกลงมาบนพื้นพร้อมเสียงดังตุบเบา ๆ

       

                  แบคฮยอนพยายามที่จะปืนขึ้นไปอีกครั้ง น้ำตาแห่งความท้อใจเอ่อท่วมอยู่ในดวงตาของเขา /ชานยอล/ กำลังรอเขาอยู่ เขาต้องทำให้ได้ หัวใจของเขาสัมผัสได้ถึงแรงผลักดันแสนอ่อนโยน แบคฮยอนเงยหน้ามองขึ้นมา

       

                  ชานยอลยื่นมือให้เขาอีกครั้งจากตำแหน่งบนยอดของต้นไม้ที่ล้มลงมา

       

                จับเอาไว้นะ เขาพูด ได้โปรด

       

                ครั้งนี้ แบคฮยอนพยักหน้าและพยายามจะจับมือของเขา แต่ทุกครั้งที่เขาจะจับข้อมือของชานยอล เขากลับสัมผัสได้แค่ความว่างเปล่า ข้อมือของชานยอลถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า

       

                  น้ำตาแห่งความผิดหวังเปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความกังวลใจระหว่างที่แบคฮยอนมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก มันต้องมีทางออกสิ เขาต้องทำให้ได้

       

                  ชานยอล เขาตัดสินใจเรียก แต่ชานยอลส่ายหัว ยิ้มเศร้าม้วนตัวอยู่มุมริมฝีปาก

       

                  แบคฮยอน เขาเอ่ยเสียงเบา มองฉัน อย่าเศร้าไปเลยนะ สักวัน เราจะได้อยู่ด้วย แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของนาย

       

                  ดวงตาของแบคฮยอนเบิกกว้าง เขาพยายามจะจับมือชานยอลอีกครั้ง

       

                  ได้โปรด เขาร่ำไห้ ฉันปล่อยนายไปไม่ได้หรอก!

       

                ชานยอลเริ่มออกเดิน น้ำตาไหลเปื้อนอาบแก้ม

       

                ขอโทษนะแบค…”

       

       

      ************


       

                  วัตถุแหลมบางอย่างทิ่มลงบนผิวของแบคฮยอนทำให้เขาร้องครางออกมา ทันทีที่ลืมตาขึ้น คลื่นของความเจ็บปวดทรมานก็ถาโถมเข้ามา ทำให้เขาร้องไห้ออกมาเบา ๆ ทัศนวิสัยของแบคฮยอนพร่ามัวไปหมด สิ่งรอบตัวหมุนเคว้งคว้างไปมา ดวงตาของเขาระคายเคืองจากแสงสว่างที่ส่องมาจากทุกหัวมุม เขาดันตัวเองขึ้นมานั่ง แบคฮยอนได้ยินเสียงคนส่งเสียงร้องอื้ออึง

       

                พวกเขาตะโกนเรียกชื่อของเขา

       

                  และจากนั้น เขาก็ถูกดันให้ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

       

                  แบคฮยอน เสียงทุ้มของนายแพทย์เอ่ยขึ้น นายฟื้นแล้ว เรานึกว่าจะเสียนายไปแล้วซะอีก

       

                  สิ่งรอบตัวเริ่มหยุดหมุนและแบคฮยอนรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน อยู่ในห้องผ่าตัด ร่างของเขาปกคลุมด้วยวัสดุพลาสติกสีน้ำเงิน ร่างกายสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดไปทุกตารางนิ้ว

       

                  เขาส่งเสียงไอสำลักออกมาผ่านลำคอ สักพักก็ตามมาด้วยเสียงทุ้มแหลมยาว ๆแสดงความเจ็บปวด น้ำตาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้และร่างกายของเขาก็เริ่มสั่น ร่างกายของเขาไม่มีความรู้สึกแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บแผลที่แขนและขาที่ถูกเหยียบอีกแล้ว ความเจ็บกลับอยู่แค่ตรงที่หน้าอกเท่านั้น หัวใจของเขา และนั่น สำหรับแบคฮยอน มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

       

                  เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอยู่ในที่ที่เขาไม่ได้ต้องการ

       

                  แบคฮยอนยกแขนบวมเป็นแผลขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า เขาเพิ่งสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แบคฮยอนพลิกแขนแล้วแบมือออกช้า ๆ

       

                  ในนั้น ในฝ่ามือของเขา มีหินอ่อนสีน้ำเงินก้อนไม่ใหญ่ขนาดไม่เกินนาฬิกาพกรูปร่างเหมือนหัวใจวางอยู่

       

      ************

      The End

       

       

      Talk: เป็นเรื่องสั้นที่ยาวมาก ฮะฮ่า
      อ่านแล้วเป็นไงกันมั่ง TT เดาถูกกันมั้ยย

      Edit* (20160918)
      เพิ่งมีโอกาสกลับมาดู
      ขอบคุณมาก ๆสำหรับคอมเม้นและกดแฟนคลับนะคะ หวังว่าจะสนุกกันน้าา :)


       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×