ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สมาคมนัก(หัด)เขียน >W<

    ลำดับตอนที่ #12 : [รู้จักตนเอง] สาเหตุและทางแก้ยามเกิดอาการหัวสมองไม่แล่น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 49
      2
      7 มี.ค. 55

     

     

     

     +++Admin Rin talk+++

    หวัดดีฮะทุกท่าน วันนี้เราเอานี้มาให้อ่านกัน(อีกแล้ว) เชื่อมั้ย? บทความนี้เป็นสิ่งที่เราๆนัก(หัด)เขียนเจอกันบ่อยมาก อ่านมันไปเรื่อยๆต้องร้องออกมาเลยว่า “โอ้! พระเจ้าช่วยปล้วยปิ่งมานิ่ง(เป็นเทศ)ย่าง! เอ็งเป็นพยาธิในกระเพราะข้าเรอะ!? (ลอกมาจากครีอุสใน lsk) ”


    Credit: พี่อัญยา


     
     

    การทำอารมณ์ก่อนเริ่มต้นเขียน

     

     

    อารมณ์ สำคัญไฉน และเหตุใดต้องสร้างอารมณ์ก่อนการเขียน

     

    เคยไหม? ที่รู้สึกหัวตื้อ ไม่อยากเขียนนิยายเลย ทั้งๆ ที่ความรู้สึกมันอยากเขียน แต่ไม่มีอารมณ์จะนั่งพิมพ์

     

    และบทนี้มีคำตอบ ซึ่งหากทำตามได้ พี่สาวคิดว่าคงช่วยหลายๆ คนได้เยอะ

     

    เวลาที่หัวตื้อคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะเขียนไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่เพราะไม่อยากนั่งพิมพ์ ไม่ใช่เพราะป่วย หรือไม่ใช่เพราะสาเหตุทั้งปวงที่เราเคยรู้จัก 

             เพราะ...แม้แต่อารมณ์ขี้เกียจเขียนมันยังไม่ขนาดนี้(จริงๆ นะเอ้อ ขอเรียกว่าอาการตันหัว)


    ซึ่งอาการที่ว่านั่น...มันคือ...อารมณ์หัวสมองไม่แล่น

     

    เวลาที่เกิดอาการแบบนี้มีอยู่หลายวิธีที่จะแก้ไขมันได้ แต่มันอยู่ที่ตัวน้องๆ เองด้วย

     

    พี่สาวทราบว่าทุกคนเคยเจออาการไฟลุก นั่งปั่นนิยายข้ามวันข้ามคืนก็ยังไหว แม้เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ไม่เคยสนใจ ขอเพียงแค่ได้พิมพ์ๆ ออกไปเท่านั้น ซึ่งหากน้องๆ มีอาการนี้บ่อยๆ นิยายของน้องๆ คงจบไปหลายเรื่องแล้วแน่ๆ

     แล้วหลังจากนั้นล่ะ?

    พอเขียนไปได้สักพัก จู่ๆ ก็เกิดอาการไฟมอด หรือที่เราเรียกว่าหัวสมองไม่แล่นนั่นแหละ อาการนี้เกิดได้หลายสาเหตุ อาทิ เช่น

     

    1.รู้สึกว่านิยายตัวเองห่วยแตก โครงเรื่องไม่ดี

    2.คิดว่านิยายตัวเองไม่เข้าขั้น ใช้ภาษาได้ไม่ดี

    3.ไม่ได้รับกำลังใจด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ ดังนี้

    3.1 ไม่ได้รับคำติชมจากแฟนนิยาย ไม่มีคอมเม้นต์(จะเกิดจากนักเขียนมือใหม่ที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เลยสักเรื่อง เพราะนักเขียนพวกนี้ไม่ได้มีเงินล่อใจ อย่างพวกนักเขียนมืออาชีพ) กรณีนี้พี่สาวขอเรียกว่าพวกคาดหวังสูงว่างานจะได้รับคำชม หรือมีผู้สนใจแล้วกัน

    3.2 ได้รับคำติชม อย่างไม่เป็นที่พอใจของตนเอง

    3.3 ไม่มีเป้าหมายในการเขียน

    3.4 ขาดคนรอบข้างตัวที่คอยสนับสนุน

    3.5 ขาดแรงบันดาลใจที่ดี เป็นต้น

     

    4.ไม่มีเวลาเขียน เพราะจากงานต่างๆ ที่รุมเร้ารอบตัว(น่าเห็นใจ) แต่ในกรณีนี้ เมื่อมีเวลาว่าง พี่สาวพบว่าบางคนก็ไม่อยากเขียน เนื่องจากอยากพักผ่อนมากกว่า(เล่นเกม เล่นเน็ต นอนทั้งปี)

    5.ไม่รู้วิธีเริ่มเขียน (คิดว่าบุคคลที่อ่านบทความนี้มาก่อนแล้ว ในหลายๆ บท คงไม่ติดปัญหานี้)

    6.ขี้เกียจเขียน ไม่มีการจัดตารางเวลาของตัวเอง

     

     

    พี่สาวจะขอยกข้อหลักๆ มากล่าวเพียงเท่านี้ก่อน และพี่อัญคิดว่าหลายๆ คนคงเคยเจอข้อใดข้อหนึ่งในนี้มาแล้ว

     

    เอาล่ะ มาชำแหละกันหลังจากที่รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมถึงไม่อยากเขียน ทั้งๆ ที่ เจ้าพวกหัวข้อที่กล่าวมานี้เกือบทั้งหมด ล้วนเป็นสาเหตุที่เกิดมาจากการบังคับตัวเองไม่ได้ทั้งนั้น

     

    วิธีแก้

     

    1.หากรู้ว่านิยายของตัวเองโครงเรื่องห่วยแตก ขาดที่มาที่ไป 
              
             
    วิธีแก้

              ก็เอางานนั้นมาเขียนโครงเรื่องบนสมุดซะ หาที่เงียบๆ นั่งไป นั่งมา(แนะนำว่าอย่าพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์) แล้วนั่งคิดไปเรื่อยๆ ไฟในการเขียนจะกลับมาอีกครั้ง พยายามมองเรื่องที่จะเขียนให้เป็นการ์ตูน หรือหนังเรื่องหนึ่งในหัว อย่าคิดว่ามันเป็นเพียงนิยาย แล้วตัวละครของน้องๆ จะเป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นฉาก เป็นตอน น่าสนุกสนาน(วาดรูปพวกตัวละครเล่นไปด้วยก็ได้นะเอ้อ)

     

    2.คิดว่านิยายตัวเองใช้ภาษาไม่ดี เลยไม่ค่อยอยากเขียน เพราะเวลาเขียนมันชอบสะดุดในการพิมพ์ 

           วิธีแก้ ให้เดินเข้าร้านเช่าหนังสือ หรือร้านการ์ตูนก็ได้ หรือจะเข้าร้านขายหนังสือ หยิบหนังสือนิยายน่าอ่านดีๆ สักเล่มติดมือกลับมา(อย่าลืมจ่ายเขาเงินด้วยล่ะ) แล้วใช้เวลานั่งอ่านให้มากที่สุด หรือให้จบเรื่องเลย น้องๆ จะมีไฟกลับมาอีกครั้ง ถ้าหนังสือนิยายเล่มนั้นสนุกจริงๆ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาเรื่องโครงเรื่องบวกภาษาเขียนได้อีกด้วย
         
             หรือ
     

    จะเข้าเว็บมาอ่านนิยายดีๆ สักเรื่องก็ได้นะ ถ้าหากมีปัญหาในเลือกซื้อหนังสือจริงๆ มาอ่านสักเรื่องล่ะก็(หรือ ถังแตก)

     

    3.ไม่ได้รับกำลังใจที่ดี (หลายๆ แบบ)

              วิธีแก้ อย่าไปคิดกับข้อนี้มาก อย่าหวังว่าทุกคนในโลกนี้ต้องชอบเรื่องของเรา พี่สาวอยากให้มองข้ามมันไป แค่จัดตารางเวลา และทำเป็นกิจวัตร นิยายจะมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ระบุวันที่จะลงนิยายไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจคอมเม้นต์ เพราะทุกคนเป็นนักเขียนได้เต็มตัวอยู่แล้ว เพียงแค่เขียนนิยายให้จบสัก 1 เรื่องเท่านั้น

    และทุกคนมีสิทธิ์ได้ตีพิมพ์หนังสือกันทุกคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ กี่ปี กี่ขวบ เพียงแค่เขียนจบ 1 เรื่องก็พอ(เขียนจบแล้วค่อยมาลุ้น เหมือนตอนซื้อหวย หรือเล่นไพ่ไง ห้าๆ)

    อย่ามัวมาคาดหวังกับนักอ่านเลย ว่าเราต้องได้รับคำคอมเม้นต์เพื่อจะได้ให้ตนเองมีกำลังใจเขียน อย่าไปคิดถึงมัน เพราะน้องๆ มีเป้าหมายที่สูงกว่านั้น คือการได้ตีพิมพ์(จริงๆ คอมเม้นต์เป็นเรื่องจิ๊บๆ เลย)

    เพราะหากน้องๆ เขียนจบ(หรืออัพเดทเรื่อยๆ) จะมีคนอ่านงานของน้องๆ ทั้งหมดเอง ในตอนที่ส่งเรื่องเข้าพิจารณากับสำนักพิมพ์ หรือตอนลงนิยายในเว็บ

     

    4.ไม่มีเวลาเขียน (จริงเรอะ?)

           
       วิธีแก้ จัดกำหนดและตารางเวลาสิเจ้าคะ เพราะมันต้องมีเวลากันมั่งแหละเนอะ และหลังจากกำหนดเวลาแล้วก็พยายามอย่าผิดสัญญากับตัวเอง อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ ด้วยความขี้เกียจ เขียนไปเรื่อยๆ จะมาก จะน้อย เดี๋ยวมันก็ครบบาท(มีสลึงพึงบรรจบ ให้ครบ....)

     

    5.ไม่รู้วิธีที่จะเริ่มเขียน 

             วิธีแก้ อ่านบทความนี้ใหม่ตั้งแต่บทแรก(ฮึ่ม! พี่สาวโมโหโกรธาแล้วนะ ใครยังบอกว่าไม่รู้วิธีจะเริ่มเขียนอีกเนี่ย)

     

    6.ขี้เกียจ สมองตัน หัวตื้อ และ บลา บลา

             วิธีแก้

    พอเริ่มรู้สึกสมองตัน นั่งหน้าคอมพิวเตอร์(สมุดจด)แล้วไม่มีสมาธิ ขี้เกียจ เขียนไม่ออก ไม่รู้ว่าจะพิมพ์อะไรลงไป จะเขียนโดยเริ่มจากจุดไหน

     พี่สาวอยากให้

    -ไปอาบน้ำสักรอบ ได้ผล 90 เปอร์เซ็นต์(เป็นวิธีกระตุ้นร่างกายของ แดน บราวว์ คนเขียนเรื่อง Davinci Code)

     

    -เอาน้ำเย็นจัดๆ ราดศีรษะ แล้วกลับมานั่งเขียนนิยายใหม่ ได้ผล 80 เปอร์เซ็นต์ (เป็นวิธีกระตุ้นสมองแบบโมสาร์ทตอนที่เขาคิดเพลงซิมโฟนี และเพลงคลาสสิก แถม บีโธเฟ่น ก็ยังใช้วิธีนี้ด้วยเน่อ)

     

    -เอาผ้าชุบน้ำเย็นๆ พาดต้นคอ ได้ผล 95 เปอร์เซ็นต์ (เป็นวิธีของอัลเบิร์ต ไอน์ สไตล์ ตอนเขาคิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ)

     

    -จุดเทียน ดับไฟรอบตัว(ให้เหลือแต่เทียน) แล้วมองดวงไฟจากเทียนโดยไม่คิดอะไรสักอย่างในหัว แล้วค่อยกลับมานั่งคิด นั่งเขียนอีกรอบ ซึ่งได้ผลเพียง 30 เปอร์เซ็นต์(ไม่แนะนำให้ทำเท่าไหร่ ถ้าน้องๆ ไม่มีสมาธิมากพอ เพราะเสียเวลาเปล่า) (เป็นวิธีของ เจ. เค. โรลลิ่ง ผู้เขียนแฮรี่ พ็อตเตอร์)

     

    -เอาสองมือตบหน้าตัวเองแรงๆ ได้ผล 70 เปอร์เซ็นต์ แต่เจ็บนะ วิธีนี้เปลืองตัวจริงๆ (เป็นวิธีของ มาดาม มารี คูรี่ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกซ์ ค.ศ.1903 ผู้ค้นพบแร่ธาตุเรเดียม)

     

    -นั่งคิดโครงเรื่องในเวลาปลดทุกข์ เพิ่มไฟก่อนการแต่ง ได้ผล 40 เปอร์เซ็นต์ (เป็นวิธีของผู้ประพันธ์เพลง และนักร้องในตำนาน สุรพล สมบัติเจริญ)

     

    -เอาน้ำอุ่นประคบหลัง หรือประกบต้นคอค้างไว้ ระหว่างคิด หรือเขียนงาน ได้ผล 97 เปอร์เซ็นต์ (เป็นวิธีของสตีลเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ที่เขียน และกำกับเรื่อง Jurasic Park , A.I. , War of The World และอื่นๆ อีกมากมาย)

     

    -จิบน้ำโซดา  หรือน้ำอะไรก็ได้ที่ทำให้สดชื่นระหว่างคิดงาน นิยมให้จิบเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ระหว่างคิด ระหว่างเขียน ซึ่งได้ผลถึง 98 เปอร์เซ็นต์เชียวนะเอ้อ (เป็นวิธีของ เจมส์ คาเมร่อน ผู้สร้าง Avatar และ Titanic ฯลฯ )

     
            หมดแล้ว

    สำหรับพี่อัญแล้ว พี่อัญเลือกที่จะอาบน้ำ และจิบเครื่องดื่มไปด้วย (ใช้ 2 วิธีควบคู่กัน) ซึ่งทำให้น้องๆ สามารถเห็นได้ว่า พี่สาวมีผลงานออกมากี่อย่างแล้วในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เท่านั้น (นับเฉพาะผลงานที่ลงในเว็บเด็กดีเท่านั้นก็พอนะ หึหึ)
      
            เป็นบทสรุปได้ดีว่า มันได้ผล!!

     

    เอ้า! มาลองดูกันก่อนก็ได้ ไม่เสียหายแต่อย่างใด(เนอะ)

     

    ใครลองแล้วได้ผล ก็กลับมาบอกเล่ากันในบทความบทนี้ด้วยแล้วกันเจ้าคะ 

     

             สำหรับบทนี้ สวัสดีค่ะ

      

     

    เชื่อเลยว่าแต่ละคนต้องร้องออกมาแบบไอ้ที่เราเกริ่นไปตอนต้นแน่! แทงใจจึกๆเลยใช่มั้ยล่ะ ถ้า 6 ข้อที่ทำให้เราหมดอารมณ์เขียนด้านบนเป็นลูกดอกล่ะก็...เราคงกลายเป็นต้นกระบองเพชรที่ถูกส่งไปยังไอซียูแน่ๆ(มันแทงใจจึกๆจริงๆนะ แทงจนเข้าไอซียูเลย)


               ปล. จะว่าไปคิด พล็อตเรื่องตอนปลดทุกข์เนี่ย...แอบได้ผลนะเออ พล็อตเรื่องวิ่งฉิวๆเลย เดี๋ยวลองไปเอาน้ำเย็นราดหัวดูมั่งดีกว่า...


       

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×