ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ธามารีน ผู้ขโมยเวลา

    ลำดับตอนที่ #1 : ธาบาคัส โรงเรียนไตรเวทย์ :จุดเริ่มต้นของการเวลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 76
      15
      17 ส.ค. 57


    จุดเริ่มต้นของกาลเวลา

    ถ้าจะมีผู้ใดเป็นผู้รักษาความลับของจักรวาลไว้ ท่านผู้นั้นคงต้องพบเจอกับหลากหลายเรื่องราวในชีวิตเกินที่ใครจะคาดเดาชายชราร่างท้วมพูดบ่นกับชั้นหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียน มือขวาเอื้อมไปหยิบตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะ มือซ้ายถือไม้เท้าเดินหายเข้าไปในความมืด

                    เช้าอันหนาวเย็นในเมืองโซแลนเบิร์กหิมะตกหนักและปกคลุมไปทั่วตึกรามบ้านช่อง ในซอกตึกย่านเสื่อมโทรมเด็กหญิงตัวน้อยขดตัวบนเศษผ้าคว้าผ้าห่มบางมาคลุมร่างที่สั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ข้างตัวมีกองไฟขนาดเล็กให้ความอบอุ่น แต่ก็คงช่วยบรรเทาความหนาวจับขั้วหัวใจนี้ได้ในอีกไม่นาน ฟืนที่กองอยู่คงพอเติมไออุ่นนี้ได้อีกไม่กี่ชั่วโมง ในเวลานี้ไม่มีใครเดินออกจากบ้าน ไม่มีรถราวิ่งบนท้องถนน แล้วเด็กน้อยผู้นี้จะอยู่ได้อย่างไร

                    โอ้ย หิวจังเลย ไม่มีอะไรกินแล้ว หิมะก็ตกหนักมาก ถ้าจะออกไปหาฟืนก็คงไม่ได้ แต่ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปคงต้องตายแน่ๆเด็กน้อยโอดครวญกับตัวเอง จากนั้นจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้นที่รองด้วยเศษใบไม้และคลุมผ้าผืนบางไว้ เธอเรียกว่าที่นอน ซึ่งสภาพมันช่างไม่ต่างจากกองขยะดีดีนี่เอง มือหนึ่งหยิบผ้าปูขึ้นมาสบัดจากนั้นคลุมทับผ้าห่มผืนบางขาดวิ่นแล้วตัดสินใจเดินออกจากบ้านที่เธอหลบอาศัยมาหลายเดือน ใจหนึ่งก็ใจหาย แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง เธอคงต้องตายเป็นผีเฝ้าที่แห่งนี้แน่ๆ เด็กหญิงตัวน้อยออกก้าวเดินฝ่าพายุหิมะ ซึ่งเธอไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเผชิญหน้ากับความตายอย่างรวดเร็ว

                    เสียงฝีเท้าที่ก้าวผ่านหิมะหนาสูงเกือบถึงเอว กับเสื้อผ้าที่ไม่ได้ช่วยให้เธออบอุ่นเลยในยามนี้ เรี่ยวแรงที่เริ่มหดหายเพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว เธอเฝ้าภาวนาให้มีใครสักคนมาช่วยเธอที แต่ยิ่งก้าว ยิ่งหมดหวัง ยิ่งเดินฝ่าตึกใหญ่ไปได้ไม่กี่นาที ขาเล็กๆของเธอก็เริ่มจะชา ร่างกายสั่นสะท้าน และแล้วเธอก็ล้มลงไปบนพื้น ภายในใจเกิดกลัวว่าความตายกำลังจะมา เธอทำไมถึงได้ลำบากขนาดนี้ ในชีวิตไม่เคยได้สุขสบาย ไม่เคยได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียว ตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยมีครอบครัว ถูกสถานสงเคราะห์แห่งนครโซแลนเบิร์กอุปการะซึ่งตั้งแต่จำความได้ แต่โชคเป็นของเธอได้ไม่นานเมื่อเธอมีอายุได้ 12 ปี สถานสงเคราะห์แห่งนี้มีกฎให้เด็กที่มีอายุเกิน 12 ปีต้องไปอยู่กับบุคลผู้รับอุปการะ แต่หนูน้อยคนนี้ไม่ได้โชคดีอย่างเด็กๆคนอื่น

                  ชายคนหนึ่งถือซองใส่จดหมายสีน้ำตาลมายื่นที่สถานสงเคราะห์เพื่อขอรับอุปการะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ แต่ทั้งนี้ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนคือต้องทำงานให้กับร้านของเขา เขาเปิดร้านขายอาหาร กิจการร่ำรวยใหญ่โต ในตอนแรกเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ก็ได้แต่คิดว่าโชคดีแล้วที่มีคนอุปการะ จะให้ทำงานอะไรก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น โดยมีสัญญามาให้ว่าจะต้องทำงานที่ร้านเพื่อแลกกับอาหาร เสื้อผ้า และที่พัก หากไม่ทำงานก็จะถูกตัดอาหาร และต้องออกจากที่พักไป ด้วยความที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยเลยที่จะได้พบเจอกับโลกภายนอก ผู้คนข้างนอกจะเป็นยังไง ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาในจิตใจ แต่เธอก็ต้องสู้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะสู้ชีวิตไปทำไม เพื่อใคร อนาคตที่แสนจะเลือนลางสำหรับเธอแล้วมันคงน่ากลัวมากทีเดียว

    ตลอดเวลาที่หนูน้อยคนนี้อยู่ในร้านอาหาร เธอตั้งใจทำงานอย่างดีตั้งแต่ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร ภาพที่เด็กตัวเล็กทำงานอย่างขยันขันแข็งจึงเป็นภาพที่ชินตาของลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งนี้  เป็นที่พึงพอใจขอเจ้าของร้านเป็นอย่างมาก และเพราะเธอยังเด็กและเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเจ้าของร้านอาหารนี้  หนูน้อยคนนี้ได้ทำงานในร้านอาหารอยู่หลายเดือน จากนั้นได้ถูกย้ายให้เข้าไปอยู่ในบ้านของเจ้าของร้านอาหาร และต้องเป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาวตัวโตขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกินที่จะได้มาเป็นเพื่อนกับลูกเจ้าของร้านอาหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอกลายเป็นของเล่นเสียเองมากกว่า เด็กผู้หญิงตัวโตกว่าเธอมาก เล่นอะไรในแต่ละครั้งไม่พ้นต้องทำให้เธอเจ็บตัว  แต่ละวันเธอจะผวาว่าจะต้องถูกเรียกตัวตอนเช้ากี่โมง  เพื่อนตัวโตของเธอไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะจะมีครูมาสอนให้ที่บ้าน เธอก็อาศัยนั่งเรียนไปด้วย บางทีก็โดนบังคับให้ทำการบ้านให้  เป็นอย่างนี้จนเธออายุ14 ปี ตลอดระยะเวลาที่ออกจากสถานสงเคราะห์สองปีมานี้ก็ไม่ได้เลยร้ายอะไรมากนัก หนูน้อยคนนี้อาศัยช่วงเวลากลางคืนที่ทุกคนในบ้านหลับกันหมด เธอจะนั่งอ่านหนังสือที่มีทั้งหมดในห้องหนังสือของบ้าน เจ้านายของเธอหวังว่าลูกสาวตัวโตจะเก่งด้านการบริหาร เพราะในห้องหนังสือมีแต่ความรู้ในการทำธุรกิจทั้งหมดจนถึงระดับปริญญาโท เจ้านายคงหวังให้เพื่อนตัวโตของเธอสืบทอดกิจการต่อจากเขาอย่างแน่นอน ในตอนนี้หนูน้อยที่ตัวไม่น้อยแล้วที่เคยคอยแอบอ่านหนังสือทั้งหมดที่มีในห้องนอนเล็กๆ ที่เธอคิดว่าเป็นห้องนอนที่ดีและปลอดภัยที่สุด แต่พวกเขาเรียกมันว่าห้องเก็บของ เธอใช้เวลาแค่ไม่ถึงสองปีกับการอ่านหนังสือทั้งหมด เรียกได้ว่าอ่านมันจนทะลุปรุโปร่ง ถ้าสอบจริงๆเธอคงจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจไปแล้ว

    หนังสือทุกเล่มผ่านตาของเธอหมด เธอใช้เวลาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และคิดในใจเสมอว่าขอให้เธอได้เป็นผู้ช่วยเพื่อนร่างโตคนนี้ของเธอไปตลอดก็คงจะดี เธอจะได้มีงานทำ และไม่ต้องระหกระเหินไปไหน แต่โชคชะตาก็ไม่เป็นแบบนั้น ด้วยความฉลาดเกินกว่าเพื่อนตัวโตของเธอมากนัก วันหนึ่งหนูน้อยคนนี้ได้เผลอสอนเพื่อนของเขาทำการบ้าน แทนที่จะทำให้เหมือนทุกๆวัน สร้างความไม่พอใจให้เพื่อนตัวโตของเธอมาก คราวนี้เธอถูกผลักอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น และมันน่าจะจบได้เหมือนทุกๆครั้งที่เธอทำให้เพื่อนคนนี้ไม่พอใจ แต่คราวนี้เพื่อนตัวโตของเธอกลับคว้าแจกันได้และแจกันใบใหญ่กำลังจะถูกทุ่มลงมาที่ตัวเธอ เธอตะโกนร้องขอ แต่เพื่อนของเธอที่ตอนแรกกะจะขู่เล่นๆ แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ตั้งใจจะทำจริงๆขึ้นมา

    เพรี่ อย่านะ อย่าทุ่มนะ ขอร้องเด็กน้อยร้องขอเพื่อนตัวโตของเขา แต่ดูจะไม่เป็นผล เพราะยิ่งทำให้เพื่อนของเธอดูจะโกรธมากขึ้น และทุ่มแจกันลงมาที่เธอ 

    เพล้ง! เด็กน้อยหลับตาปี๋ ในใจนึกกลัวว่าคงไม่มีทางหลบพ้นไป แต่ทำไมแจกันไม่ถูกตัวเธอเสียที ตาค่อยๆลืมขึ้น ภาพที่เห็นตอนนี้กลับเป็นเพื่อนตัวโตของเธอล้มลงไปกองที่พื้น เศษแจกันใบใหญ่แตกกระจายอยู่บนตัวเพื่อนของเธอ เลือดนองอยู่บนพื้นเต็มไปหมด หนูน้อยคนนี้ตกใจมาก รีบเข้ามาดูเพื่อนใกล้ๆ เห็นว่ายังคงหายใจอยู่ก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่สิ่งที่กำลังจะตามมามันหลังจากนี้น่ะสิที่ทำให้เธอต้องหนี และหนีอย่างไม่คิดชีวิตด้วย

    เสียงอะไร เกิดอะไรขึ้น แม่บ้านต่างตกอกตกใจ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง ด้วยสัญชาตญาณ หนูน้อยปีนขึ้นขอบหน้าต่าง แล้วตัดสินใจกระโดดข้ามไปยังต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างๆ ปล่อยตัวให้ไหลลงถูลู่ถูกังไปกับต้นไม้ใหญ่เปลือกไม้บาดจนเลือดซึมและถลอกหลายที่  ทันทีที่เท้าถึงพื้นดิน  เธอก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปไกลเท่าไรไม่รู้ เธอไม่ได้หยุดดู ไม่ได้เหลียวหลัง ในหัวมีแต่ความกลัวเท่านั้น วิ่งมาได้ไกลมากแล้ว ความแสบของผิวหนังและแผลเริ่มเข้ามาเยือน ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งอันยาวนานครั้งนี้ทำให้หัวสมองเริ่มกลับมาคิดว่าจะหาที่หลบพักได้ตรงไหนบ้าง จนมาถึงซอกตึกร้างในย่านเสื่อมโทรมของเมืองนี้

    ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในซอกตึกนี้ เด็กหญิงตัวน้อยก็ดิ้นรนโดยการเก็บเศษผ้าจากกองขยะท้ายตึก และทำงานเล็กๆน้อยๆ แลกข้าวไปแต่ละวัน จนเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ความหนาวเริ่มเข้ามาเยือน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเผชิญโลกกว้างเพียงลำพัง ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ขาก้าวไปที่ป่าเล็กๆท้ายตึก หวังเพียงหากิ่งไม้มาไว้เพื่อทำฟืนในฤดูหนาว ยิ่งมันยาวนานยิ่งต้องหาให้มากเข้าไว้ วันแล้ววันเล่า ขาที่ก้าวเข้าไปในป่าเล็กๆนี้ยิ่งลึกขึ้นในทุกๆวัน แต่ครั้งนี้เธอเดินไปจนพบกับบ้านไม้หลังหนึ่งกลางป่านี้ บ้านที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ได้ เพราะผุพังจนเกือบทั้งหลังแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงเลือกผลักประตูเข้าไป ภายในมีโต๊ะไม้และเก้าอี้ 4 ตัว วางเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ

    บ้านนี้คงเคยมีคนอยู่สินะ และต้องเป็นคนที่มีระเบียบมากๆด้วย  เอ่อ ขอ ขอ อนุญาตเข้ามานะคะเสียงพึมพำ ปิดท้ายด้วยการขออนุญาตเข้าบ้านนี้แบบกล้าๆกลัว ถ้าเจ้าของบ้านได้ยินคงอมยิ้มหรือหัวเราะเลยก็ได้ ก็เธอเข้ามาอยู่ซะกลางบ้าน คงจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ขออนุญาตก่อนเข้านี่นา
     

    หลังจากนั้นก็คงเป็นภารกิจสำรวจทุกซอกทุกมุม บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้หลังเล็ก มี สองห้องคือห้องกลางและห้องนอน มีเตียงนอนขนาดเล็ก และโต๊ะเขียนหนังสือไม้กับเก้าอี้ 1 ตัว มีชั้นหนังสือขนาดเล็กและหนังสือปกหนาอยู่ หลายเล่มในห้องนอน เด็กน้อยใช้นิ้วลูบฝุ่นที่จับอยู่บนโต๊ะ มันคงบ่งบอกระยะเวลาของบ้านหลังนี้ได้พอสมควร เพราะฝุ่นที่ติดมือเธอมานะสิ หนามาก แต่สิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเธอคือหนังสือหลายสิบเล่มบนชั้นหนังสือไม้ ไวเท่าความคิดมือตรงดิ่งเข้าไปหยิบหนังสือที่ชั้นทันที หนังสือมีหลายเล่มการจัดเรียงเป็นระเบียบ แต่ละชั้นมีลักษณะที่สันเล่มต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือมีสีรุ้ง หยิบออกมาจากชั้นบนสุดจากซ้ายมือเป็นเงาสะท้อนตัวหนังสือสีทองสันปกมีตราประทับสีทองเป็นวงกลมภายในวงกลมมีลักษณะคล้ายสิงห์โตยืนบนหน้าผาสูง อ่านที่สันปกได้ว่าปรัชญาแห่งมหานครธาคาเนีย

    อะไรกันเนี่ย ชื่อมหานครอะไรกันไม่เห็นจะเคยได้ยิน ชื่อแปลกจังขออ่านหน่อยนะเด็กน้อยตัวเล็กผู้อยากรู้อยากเห็น นั่งอ่านหนังสือบนเตียงนอนที่เอาผ้าคลุมเตียงออกและได้ปัดฝุ่นออกไปบ้างแล้ว เด็กน้อยใช้เวลาอยู่ที่บ้านหลังนี้อยู่หลายสัปดาห์ ซึ่งบางครั้งก็เข้าไปหารับจ้างทำงานในตึกข้างๆเพื่อเอาเงินซื้อเสบียงแล้วเตรียมตัวมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้งเพราะใจอยากจะอ่านให้ครบทุกเล่ม นี่ถ้าเป็นเด็กคนอื่นก็คงจะเบื่อไม่อยากอ่านไปแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือเธออยากจะอ่านมันมาก และไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย เธอรู้สึกว่าได้รู้จักกับโลกอีกโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งของแปลก ภูมิประเทศต่างๆของแต่ละดินแดน พืชพันธุ์และดอกไม้ประจำเมือง ทั้งชื่อเสียงเรียงนามที่แปลกหู ทั้งลักษณะการดำรงค์ชีวิตยิ่งทำให้เธออยากไปเยือนมหานครนี้สักครั้ง แต่ก็นั่นแหละเธอจะไปไหนได้ แล้วไอ้มหานครนี่มันอยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ เงินก็ไม่มี สงสัยว่าคงเป็นได้แค่ความฝันไปน่ะสิ

    วิชาปรัชญาว่าด้วยหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ พฤษศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ เท่าที่อ่านมาก็ใกล้เคียงกับโซแลนเบิร์กนี่นาเด็กน้อยพูดคุยกับหนังสือที่อ่านเกือบครบหมดบนชั้นวาง แต่เล่มสุดท้ายนี่หนากว่าเล่มอื่น สีปกก็แปลกตา อยู่มุมขวาล่างสุดของชั้น สันสีรุ้ง ตัวหนังสือสีทอง แต่ตราประทับต่างออกไปจากเล่มอื่น ใหญ่กว่าหนังสือทั่วไปสองเท่าทำให้เห็นรายละเอียดภายในรูปวงกลมค่อนข้างชัดเจน  ตรานี้ถูกแบ่งเป็นแฉก เก้าแฉก แฉกแรก เป็นรูปคล้ายแผ่นกระดาษกับภู่กัน แฉกที่สองเป็นรูปคล้ายหยดน้ำ แฉกที่สามเป็นรูปพระจัทนร์ครึ่งเสี้ยว แฉกที่สี่เป็นรูปใบไม้ แฉกที่ห้าเป็นรูปคล้ายปีกคู่ แฉกที่หกเป็นคฑา แฉกที่เจ็ดเป็นนาฬิกาทราย  แฉกที่แปดเป็นรูปลูกไฟ  แฉกที่ 9 คือช่องสี่เหลี่ยมคล้ายประตูบานหนึ่ง

    เวทย์มนต์ศาสตร์และศาสตร์แห่งมนตราเบื้องต้นเด็กน้อยอ่านออกเสียงอย่างชัดเจน ให้ตายสิสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ เธอกวาดสายตามและอ่านที่ปกมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ คิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเปิดขึ้นมาในหน้าแรก ซึ่งหน้าแรกก็ยังเป็นรูปตราประทับที่อยู่บนสันหนังสือ แต่มาขยายใหญ่ขึ้นในหน้านี้ และมีตัวหนังสือด้านล่างกำกับไว้

    ปัญญา วารี ราตรี  พฤกษา เวหา มนต์ตรา เวลา อัคคี มิติเด็กน้อยอ่านอย่าใจจดใจจ่อ อะไรกันนี่นี่มันมีอยู่จริงหรือเขาแต่งเรื่องนี้ขึ้นมากันแน่ แต่ถ้าแต่งนี่คงเป็นเรื่องที่ยาวมากเลยนะเป็นตุเป็นตะ มีแผนที่ มีทุกเรื่อง

    ลองอ่านดูดีกว่า เผื่อเรียนแล้วฝึกได้ มีเวทย์มนต์ โอ๊ย คงจะดี เราจะได้เสกบ้านเสกรถ เสกสวนสวยๆหนูน้อยนั่งคิดอย่างเพ้อฝัน ในใจก็คิดว่านี่เป็นหนังสือที่ถูกแต่งขึ้นมาให้อ่านเล่นเพลินๆแน่นอน

    บทที่หนึ่งว่าด้วยวิชาการจำแนกสายเวทย์ ผู้ศึกษาควรรู้สายเวทย์ของตนเองก่อนว่าตนเองอยู่ในเวทย์สายไหน มีความถนัดด้านใด เพื่อให้มีการพัฒนาเวทย์นั้นนั้นได้อย่างรวดเร็วก่อนจะเปลี่ยนแปลงพลังเวทย์ไปในเวทย์สายอื่นๆ โดยวิธีจำแนกเวทย์มีดังต่อไปนี้

    โอ้โห นี่เขียนแบบจริงจังไปรึเปล่า มีแบ่งประเภทก่อนด้วย เจ้าหนังสือ แล้วอย่างฉันจะเรียนได้มั้ยพูดกับหนังสือจบก็อ่านบรรทัดต่อไป
     

    มีวิธีทดสอบอยู่หลายวิธี จะเลือกทำทุกวิธีหรือเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ แต่วิธีที่นิยมทำกันมีดังต่อไปนี้

    1 นำน้ำใส่แก้วมา1 ใบ ใส่ใบไม้ลงไปในน้ำ1 ใบ จากนั้นตั้งสมาธิและเพ่งมองที่ใบไม้นั้นดูผลที่ได้

    2 นำเทียนไขมาจุด จากนั้นตั้งสมาธิเพ่งมองดูที่เปลวเทียนดูผลที่ได้

    3 นำขนนกมาวางไว้ที่มือข้างขวาเพ่งสมาธิไปที่ขนนกนั้นดูผลที่ได้

    4 นำดินมากำไว้เพ่งสมาธิไปที่มือนั้นดูผลที่ได้

    นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำได้จริงเหรอ แล้วถ้าลองทั้ง 4 วิธีนี้ล่ะ เดี๋ยวๆ ขอเวลาหาของก่อนนะ แล้วเราจะกลับมาหนูน้อยนึกสนุกอยากทดลองพลังตามหนังสือบ้าง เลยตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกมาดูที่ห้องกลางว่าพอจะมีอะไรใช้ได้บ้าง ตาก็กวาดไปที่ชั้นติดฝา เห็นถ้วยชากับใบชาอยู่ในกล่องเหล็ก ถัดจากนั้นก็เห็นเทียนไขกับไม้ขีดไฟวางไว้ใกล้กัน ถัดไปอีกหน่อยก็เห็นขนนกสีขาวชิ้นเล็กๆ เสียบอยู่ที่ขอบหน้าต่าง และถุงผ้าแขวนอยู่ใกล้กัน มือเล็กๆเอื้อมไปคว้าที่ถุงผ้าสำรวจทันที ภายในเป็นผงคล้ายดินสีดำร่วน

    มีครบเลยแฮะ น่าสนุกแล้วสิหนูน้อยเตรียมของทุกอย่างเข้าไปในห้องนอน แต่แปลกใจนิดหน่อยที่ของทุกอย่างที่ต้องการกลับมาอยู่ในบ้านได้ แต่ก็เอาเถอะถือว่าฟลุกละกันที่บังเอิญมีของทุกอย่างที่อยากจะใช้

    เมื่อได้ของทุกชิ้นมาครบแล้วเด็กน้อยก็เริ่มที่จะทดลองตามหนังสือ เริ่มต้นจากตั้งสมาธิให้มั่น เพ่งไปที่แก้วน้ำกับใบไม้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทดลองครบทั้งสี่วิธีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    โถ่เอ๊ย นึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อันแรกก็ไม่ได้ซะแล้ว อันอื่นๆก็ไม่ได้เหมือนกันความฝันของช้าน เห้อมันก็เป็นแค่ความฝันสินะบ่นจบก็กลับมาเปิดหนังสืออ่านต่อ

    เมื่อได้ทำการทดสอบแล้ว  สังเกตุผลที่ปรากฏ...

    มันไม่มีอะไรปรากฏนี่นาคุณหนังสือ แล้วจะอ่านไปก็ไม่ได้ทำให้มีเวทย์มนต์ด้วย เด็กน้อยพูดประชดกับหนังสือ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอใช้เวลาอยู่ที่นี่นานหลายสัปดาห์แล้ว ความหนาวของอากาศเริ่มกระตุ้นให้หนูน้อยเริ่มกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

    พอดีกว่านี่ก็ใกล้หิมะจะตกแล้วฟืนก็ยังหาได้ไม่เท่าไร แล้วเสบียงหน้าหนาวก็ไม่มี ปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่มีบ้านอยู่ด้วย จะอยู่ที่นี่ถ้าเกิดเจ้าของตัวจริงเขากลับมาเราก็คงต้องไปอยู่ดี และคงเป็นมารยาทที่ไม่ดีด้วย ที่เข้ามาในบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเด็กน้อยคิดได้จึงเก็บหนังสือวางไว้ที่ชั้นตามเดิม แต่ในใจก็เสียดายที่ไม่ได้มีเวทย์มนต์ เด็กหนอเด็ก ยังไงก็ยังคงเป็นเด็กวันยังค่ำ ความคิดก็ยังอยากมีเวทย์มนต์ไว้เสกนั่นโน่นนี่ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เหตุผลว่าทำไมโลกนี้ถึงต้องมีเวทย์มนต์ กันนะ

    นี่เป็นทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อย ที่ตอนนี้สติเริ่มเลือนลาง ร่างที่ล้มลงไปกองกับหิมะหนา ใจเธอสู้ แต่ร่างกายในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ร่างเล็กไร้ซึ่งเรี่ยวแรง คิดถึงผ้าห่มอุ่น คิดถึงกองไฟ คิดถึงใครสักคนที่จะช่วยพาเธอให้พ้นจากความโดดเดี่ยวอันเลวร้ายนี้ ก่อนที่สติที่เธอมีน้อยนิดนี้จะหมดลง ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังอุ่นขึ้น ไม่ได้หนาวเหน็บและทุกข์ทรมานอีกแล้ว

    ความตาย นี่หรือความตาย ฉันคงตายแล้ว แต่ความตายก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดซินะ ถ้านี่เป็นความตาย ตอนนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ขอให้ฉันได้หลับท่ามกลางความอบอุ่นนี้เถอะนะ แล้วถ้าฉันตื่นขึ้นมาแม้จะต้องเจอกับเรื่องอะไรฉันจะยอมสิ้นสุดความคิด สติของเด็กน้อยก็หลุดลอยไป


                    เคล้ง เคล้ง เคล้ง เสียงคล้ายเหล็กกระทบกัน กินหอมลอยฟุ้งตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นชีส และเบคอน กระตุ้นให้ร่างเล็กที่อยู่บนเตียงนอนรู้สึกตัว ทันทีที่รับรู้ถึงกลิ่นหอมของอาหารแล้วท้องที่ไม่มีอะไรตกถึงมาหลายวันก็เริ่มทำงานประสานเสียงครืดคราดอย่างกับนัดมา ตาที่ปิดอยู่ค่อยๆลืมช้าๆ พร้อมกับสติที่เพิ่งจะตื่นเต็มที่กับความตกใจ สายตามองสอดส่ายไปทั่วห้อง ห้องนี้คล้ายเป็นห้องที่เธอคุ้นเคย โต๊ะ เก้าอี้และชั้นหนังสือที่ไม่ได้มีฝุ่นจับเหมือนเดิมแล้ว มันสะอาดเอี่ยมอ่อง พร้อมแจกันดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะ ผ้าห่มที่เธอห่มมีกลิ่นหอมสะอาด ในห้องนี้ไม่ได้ดูเก่าเหมือนเมื่อก่อน แถมยังใหม่เหมือนเพิ่งสร้างได้ไม่นาน ชั้นหนังสือนี้ที่เธอคุ้นเคย กับหนังสือทุกเล่มที่ผ่านตาถ้าไม่นับรวมเล่มสุดท้ายมุมขวาล่างของชั้นหนังสือนี้ ก็เท่ากับว่าผ่านตาเธอทุกตัวอักษร แต่เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วใครพาเธอมาที่นี่ ความคิดในหัวสมองผุดขึ้นมากมาย ขาที่เตรียมก้าวลุกจากเตียงนอนกลับไม่ได้อ่อนแรงอย่าที่น่าจะเป็น เธอรู้สึกสดชื่น แข็งแรง เพียงแต่ท้องของเธอมันกำลังประท้วงเท่านั้น มือขวาเปิดประตูออกมาด้านนอก ห้องกลางที่เคยมีแค่โต๊ะและเก้าอี้ ตอนนี้มีเครื่องครัวครบชุดแขวนเต็มฝา แม่ครัวที่กำลังเทอาหารใส่จานก็ถือมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เด็กน้อยตอนนี้งงจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าแม่ครัวคนนี้

    สวัสดีธาม ไม่พบกันนานเลยนะ หนูดูโตขึ้นเยอะเลย อ้อ ใช่สินะก็ไม่เจอกันเห็นจะสิบปีได้หญิงสาวที่ดูอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปีคนนี้ ทักขึ้นอย่างใจเย็นพร้อมกับรอยยิ้มมาให้เธอ

    สวัสดีค่ะ คุณรู้จักชื่อหนูด้วยเหรอคะ ไม่เคยมีใครเรียกหนูอย่างนี้เลยเด็กน้อยตอบกลับไปยังหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับคำถามในหัวมากมาย

    ทานอาหารก่อนสิธาม หนูไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว ทานสปาเก็ตตี้ เบคอนชีสฝีมือน้าไปก่อนนะ อร่อยรึเปล่าไม่รู้ ไม่ได้ทำอาหารที่โซแลนเบิร์กนานมากแล้ว แต่ไม่น่าจะทำให้หนูท้องเสียนะเด็กน้อยคำพูดบ่งบอกสถานะว่าเป็นน้าก็แสดงให้เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คงมีอายุมากกว่าใบหน้ามากโข เพราะน่าจะเป็นพี่สาวอาจจะพอได้แต่นี่แทนตัวเองว่าน้า แสดงว่าต้องอายุห่างกับเธอพอสมควร แต่เอาเถอะตอนนี้หิวจนใส้จะขาดแล้ว ขอกินก่อนละกัน จะตายก็จะตายมาแล้ว คงไม่มีอะไรแย่กว่านี้แล้วล่ะมั้ง จากนั้นอาหารที่อยู่ในจานก็เกลี้ยงไปในพริบตา หลังจากที่อิ่มท้องเรียบร้อย คราวนี้ถึงคราวคำถามที่อยากรู้ก็ผุดเข้ามาในหัวมากมาย

                    “คุณน้าเป็นใครคะ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นี่เป็นบ้านของคุณน้าเหรอคะ หนูต้องขอโทษที่เคยเสียมารยาทเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะเด็กน้อยยิงคำถามที่อยากรู้ แต่พอตั้งสติได้ก็เลยเอ่ยคำขอโทษที่ตนเองเสียมารยาทค่ะ

    น้าชื่อ ซีซาเรส เป็นน้าของหนูธามหญิงสาวตอบเด็กน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา แต่ตอนนี้หนูน้อยกลับงงเป็นไก่ตาแตก ก็จะอะไรซะอีก เธออยู่คนเดียวมาหลายปี ญาติสักคนก็ไม่มี ลำบากก็แสนจะลำบาก แต่วันนี้อยู่ดีดีเธอกลับเพิ่งมีญาติเพิ่มเข้ามา ความหวาดระแวงเริ่มก่อตัวในใจ เธอเริ่มขยับตัวเป็นนั่งตัวตรง ไม่ได้ปล่อยตัวตามสบายอย่างที่เคยทำ

    ธาม หนูไม่ต้องกลัวน้านะ เพียงแต่บางครั้งเราก็มีเหตุผลที่ยังบอกให้หนูรู้ในตอนนี้ไม่ได้ แต่ขอให้สบายใจน้าไม่เคยคิดร้ายกับหนู ระหว่างนี้หนูก็อยู่บ้านนี้ไปก่อน แล้วน้าจะมารับนะพูดจบหญิงสาวก็ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น เด็กน้อยกำลังงงกับผู้หญิงตรงหน้า เพิ่งมาปรากฏตัว แล้วก็กำลังจะไป เธอยังมีคำถามตั้งมากมายที่อยากจะถาม

    อย่าเพิ่งไปตอนนี้ได้ไหมคะ หนูยังมีเรื่องที่อยากรู้อยู่หลายเรื่องช่วยตอบหนูหน่อยได้มั้ยคะเด็กน้อยพูดจาขอร้องอย่างสุภาพบวกกับในตาใสที่จ้องมองไปที่ตาของผู้เป็นน้า ทำให้หญิงสาวตรงหน้าเด็กน้อยมีแววตาที่อ่อนโยนลงและมองมาที่เธอ

    อยากรู้อะไรจ๊ะเด็กน้อย น้าจะตอบเท่าที่น้าตอบได้นะหญิงสาวตรงหน้าส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้หลานสาวตัวน้อยตรงหน้า

    ทำไมคุณน้าถึงเพิ่งมาหาหนูคะ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ของหนูไปไหน ทำไมท่านไม่มาหาหนู แล้วทำไมถึงปล่อยให้หนูต้องอยู่ที่นี่คนเดียวคะคำถามที่เหมือนอัดอั้นมานานระเบิดออกมาจากเด็กน้อยคนนี้ เธอควรจะมีน้ำตา แต่ไม่เลย เธอกลับเด็ดเดี่ยวและต้องการคำตอบจากผู้เป็นน้า เธอพร้อมจะรับฟังเหตุผลทั้งหมด เพราะถึงยังไงเธอก็โตมาจนถึงทุกวันนี้และอยู่รอดมาได้ด้วยตัวเอง

    ที่น้าเพิ่งมาได้เพราะน้ามีภาระที่ต้องทำ น้าอยู่ไกลจากที่นี่มาก การที่จะมาหาหนูได้นั้นมันไม่ได้ง่าย และที่หนูถามถึงพ่อกับแม่ น้าต้องบอกตามตรงว่าท่านทั้งสองได้เสียชีวิตไปตั้งแต่หนูยังเล็ก ส่วนเพราะอะไร น้าขอให้หนูเป็นคนหาคำตอบเอง น้าตอบหนูได้เท่านี้หญิงสาวตรงหน้ามีสีหน้าหม่นลง ราวกับน้ำตากำลังจะไหล ความสลดหดหู่ทาบทับเข้ามาบนใบหน้า ความเงียบและหนาวเหน็บเริ่มเข้ามาแทน หญิงสาวตรงหน้าเธอตอนนี้ไม่เหลือเค้าความอ่อนหวานขี้เล่นเลย หากแต่เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าที่อมทุกข์อย่างสาหัสไว้แทน

    เกิดอะไรขึ้นคะ และหนูจะหาคำตอบได้ยังไง ในเมื่อทุกวันนี้หนูก็อยู่ตัวคนเดียวมานาน ไม่เคยมีครอบครัว พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเห็น วันนี้คุณน้ามาบอกว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของหนูท่านตายไปแล้ว แล้วหนูจะต้องทำยังไงใบหน้าของเด็กน้อยตอนนี้เต็มไปด้วยความอัดอั้น เธออยู่คนเดียวมานาน พอจะมีครอบครั้ว ก็มารู้ว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ความรู้สึกมันยิ่งกว่าถูกไม้ตีแสกหน้าซะอีก

    ธาม ตั้งสติและฟังน้าให้ดีนะ หญิงสาวจ้องตามเด็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง เด็กน้อยเปลี่ยนสีหน้าและมองจ้องตอบไปในดวงตาหญิงสาวตรงหน้า ใจของเธอสับสนไปหมด แต่จะทำยังไงได้ เธอก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเธอ

    ธานาโต้ กับเซมารีน คือพ่อกับแม่ของธาม เค้าคือคนที่เสียสละเพื่อปกป้องดินแดนธาคาเนีย ชีวิตของเขาทั้งสองเป็นเครื่องค้ำจุนราชบัลลังของธาคาเนีย พวกเรารู้แค่ว่าเค้าสละชีพเพื่อแลกกับมนตราปกป้องดินแดนที่พวกเขารัก

    มนตรา สละชีพ ธาคาเนีย นี่มันอะไรกันคะตอนนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังสับสนและงุนงงกับชีวิต ที่ผ่านมาเธออยู่คนเดียว ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ตอนนี้ที่เธอรับรู้นี่มันเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ คอขาดบาดตาย ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน

    ใช่ เวทย์มนต์ ธาคาเนีย น้ารู้ว่าธามคงได้ศึกษามาบ้างแล้ว น้าก็คิดว่าถ้าหากธามมารู้จากน้าเลยคงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ และคงยากให้ธามเปิดใจรับฟังหญิงสาวกล่าวกับหลานสาวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนูเข้ามาเจอบ้านหลังนี้ใช่ไหมคะ และก็เรื่องที่ได้อ่านทั้งหมดมันมีอยู่จริงใช่ไหม แล้วเวทย์มนต์มันมีในโลกนี้จริงๆเหรอคะเด็กน้อยมีทีท่าจะเข้าใจเรื่องต่างๆ แต่ก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อซะทีเดียว

    ใช่ หลานมีเวทย์มนต์ พ่อแม่ของหลานก็มีเวทย์มนต์ และน้าเองก็มีเวทย์มนต์ แต่เวทย์มนต์ของเรามีไว้เพื่อความมั่นคง และความถูกต้องของธาคาเนีย ผู้มีเวทย์มนต์ส่วนใหญ่ต้องปกป้องผู้อื่นที่อ่อนแอกว่า เราไม่ได้มีไว้เพื่อทำอะไรตามใจเราหรอกนะธามเมื่อพูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แบบมือและหนังสือเล่มหนาก็มาอยู่ในมือทันที

    คุณน้าทำได้ยังไงคะ หนังสือเล่มนี้มาอยู่ในมือของคุณน้าได้ยังไงคะเด็กน้อยประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าข้อมูลที่เธอเพิ่งรับมาทั้งหมดมันทำให้เธออดติดไม่ได้ว่านี่คือความฝัน ใช่ มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาเราก็จะไม่ได้เจอกับเรื่องพวกนี้แล้ว

    หนูไม่ได้ฝันหรอกนะ ธามเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วแต่คงไม่จบสินะ หลานเคยอยากทดลองกับตัวเองว่ามีเวทย์มนต์รึเปล่า ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้วเหรอจ๊ะหญิงสาวถามแกมหยอกมาที่หลานสาวตัวน้อยตรงหน้า เด็กน้อยอ้ำอึ้ง ก็ใครจะไปเชื่อละว่าโลกนี้จะมีเวทย์มนต์จริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ

    วิธีที่บอกไว้น่ะมันถูกต้อง แต่สิ่งที่ในตำราไม่ได้บอกไว้อีกอย่างหนึ่งก็คือ...เสียงที่หยุดลงทำให้เด็กน้อยหัวใจแทบหยุดตาม แล้วมันอะไรล่ะที่ขาดไป ตอนนี้ก็หามาครบถ้วนแล้วนี่นา ความคิดนี้ก็ไม่สามารถเล็ดลอดน้าสาวของเธอไปได้

    เลือด

    เลือดเด็กสาวตกใจเล็กน้อย กับคำว่าเลือด แต่เลือดนี้จะต้องใช้เลือดของใคร คงไม่ใช่เลือดของเธอหรอกนะ

    เลือดของหนู ธาม มันคือส่วนผสมหลักในการทดลอง น้าก็รู้ว่าหนูต้องมีเวทย์มนต์แน่เพราะพ่อกับแม่ของหนูมีเวทย์มนต์ที่แกร่งกล้า แต่น้าก็ไม่รู้ว่าหลานจะมีเวทย์สายไหนมากว่ากัน จึงต้องทำการทดลองทั้งสี่วิธีนี้

    คุณน้าจะให้หนูทำยังไงคะ หนูกลัว

    หลานไม่ต้องกลัวเพราะมันจะไม่เจ็บเลยสักนิดพูดจบน้าสาวก็จับมือของเธอมาวางไว้ที่หน้าสัญลักษ์เก้าแฉก ไม่นานเลือดค่อยๆซึมออกมาที่ภาพแต่ละภาพในแฉกทั้งเก้า จากนั้นหยดเลือดไหลอาบยังคำกำกับ

    ปัญญา วารี ราตรี  พฤกษา เวหา มนต์ตรา เวลา อัคคี มิติ เวทย์มนต์ในกายเอยจงเผยความจริง หญิงสาวเปล่งเสียงขณะที่เลือดไหลอาบครบทุกตัวอักษรและเริ่มหยดลงมาที่พื้น แต่ที่น่าแปลก เลือดนั้นกลับลอยจับกลุ่มเป็นก้อนลอยอยู่ในอากาศ หญิงสาวกวาดมือลงที่โต๊ะอาหารครั้งแรก จานอาหารที่เคยวางอยู่หายไป กวาดมือลงบนโต๊ะครั้งที่สอง สิ่งของที่เด็กน้อยเคยเตรียมไว้มาวางอยู่บนโต๊ะครบทั้งสี่ชุด เลือดที่ลอยอยู่กลับแยกเป็นสี่หยด หยดแรกตกลงไปในแก้วน้ำ หยดที่สองหยดลงกลางเปลวเทียน หยดที่สามหยดบนขนนก หยดที่สี่หมดลงบนดินสีดำไม่นานเลือดที่ผ่ามือก็หยุดและหนังสือก็เปล่งแสงสว่างออกมา

    ธาม เรียกชื่อของหนูสิเสียงเปล่งออกมาให้หลานสาวทำตามที่ตนเองบอก

    ธามารีนทันทีที่เอ่ยชื่อจบแสงในหนังสือก็จากหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงหมึกสีแดงคล้ายสีเลือดใต้ภาพและคำกำกับนั้น ว่า 

    ผู้เป็นเจ้าของ : ธามารีน บราวด์

    สถานะ : ผู้ใช้เวทย์

    ข้อจำกัด : ไม่ระบุ

    สายเวทย์ : ไม่ระบุ

    สายพลัง : ไม่ระบุ

    หญิงสาวเห็นข้อความที่เกิดขึ้นมันควรจะเป็นปกติ แต่นี่มันไม่ปกติน่ะสิ ขนาดเธอมีสถานะเป็นผู้ใช้เวทย์ ข้อจำกัดของเธอมีกฏของมิติห้ามละเมิดอยู่ สายเวทย์ของเธอคือเวทย์แห่งไฟ สายพลังของเธอคือ แทรกซึม แต่เด็กคนนี้ กลับไม่ระบุไว้เลย หนังสือเวทย์เป็นของติดตัวของแต่ละคนไปจนวันตาย จะจดจำเวทย์ของคนๆนั้นที่ได้เรียนและศึกษาเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่มีวันที่จะถูกขโมยไปได้ ถือว่ามีความเที่ยงตรงมาก แต่เอาเถอะ ขอให้เธอเก่งให้มาก เพราะเธอคงจะช่วยชีวิตใครได้อีกหลายคนและมันคงเป็นจุดเริ่มต้นของการเวลาที่ธาคาเนียจะได้เห็นความสงบสุขอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×