ฝันหนึ่งในฤดูหนาว - ฝันหนึ่งในฤดูหนาว นิยาย ฝันหนึ่งในฤดูหนาว : Dek-D.com - Writer

    ฝันหนึ่งในฤดูหนาว

    การปรากฏตัวโดยบังเอิญของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจสุดท้ายของเขา เขาเลือกที่จะมาหาเธอ ก่อนที่จะต้องลาจากเธอไป...อย่างไม่มีวันหวนคืน

    ผู้เข้าชมรวม

    256

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    256

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ย. 57 / 21:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ฝันหนึ่งในฤดูหนาว

    อัปสรเนตร





     

        ‘มันเป็นฝันฤดูหนาวที่สวยงามที่สุดสำหรับพี่ ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะข้าว


    แนะนำตัวละคร

    ๑. ขวัญข้าว : เด็กสาวตัวเล็กรูปร่างผอมบางวัย 17 ปี อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ เธอมีผิวขาว มีผมสีดำที่ยาวไปถึงกลางหลัง มีดวงตาเปล่งประกายสองชั้นสีดำ รอยยิ้มอันสดใสของเธอเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาจากผู้คนรอบตัวได้เสมอ เป็นคนมีน้ำใจ มองโลกในแง่ดีและชอบช่วยเหลือผู้อื่น เธอชอบดูรูปถ่ายวิวทิวทัศน์มาก แต่กลับถ่ายรูปไม่ค่อยเก่ง

    ๒. เมฆ : หนุ่มนิเทศน์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัย 19 ปี ตัวสูง หุ่นดี ผิวสีน้ำผึ้ง  มีผมและตาสองชั้นสีดำ มีลักยิ้มที่มักจะปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่จริงใจ  เป็นคนตรงๆ ขี้เล่น  ใจดี มีน้ำใจ รักการถ่ายรูปและชอบการเดินทางไกล
     

    เรื่องย่อ

         ขวัญข้าวเดินทางไปเฝ้าบ้านให้ป้าที่จังหวัดเชียงใหม่ จากการที่แค่มาที่นี่ตามคำขอร้องของป้า กลับกลายเป็นว่าการเดินทางครั้งนี้ นำมาซึ่งการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของคนสำคัญที่ไม่ได้เจอกันมานาน เขาคนนั้นมาเพื่อร่ำลาและบอกคำติดค้างสุดท้ายที่เก็บไว้ในใจมานาน ก่อนที่เขาจะเดินจากเธอไป...ตลอดกาล





    Credit รูปภาพ : Kimi ni todoke

    เป็นงานเขียนครั้งแรก ผิดพลาดยังไงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ติชมกันได้นะคะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฝันหนึ่งในฤดูหนาว

      อัปสรเนตร

                      หลังจากโดยสารเครื่องบินเที่ยวกรุงเทพฯ-เชียงใหม่มาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง และนั่งรถแท็กซี่จากสนามบินผ่านตัวเมืองเชียงใหม่และทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวอีกมากมาย ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงที่หมาย ฉันวางกระเป๋าสัมภาระลงและก้มลงมองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้เป็นเวลา 9.00 น. ของวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม ฉันมาถึงบ้านของป้าตามที่ได้รับมอบหมาย ฉันมองสำรวจบ้านของป้าอยู่สักพัก ลมหนาวที่พัดมาทำให้ผมสีดำที่ปล่อยยาวถึงกลางหลังของฉันปลิวไหวไปตามแรงลม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยจากที่ฉันมาเยี่ยมบ้านป้าเมื่อปีที่แล้ว ฉันไขกุญแจประตูรั้วและเดินเข้าไปข้างใน

                      บ้านป้าตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว มันเปลี่ยวและตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่มาก เหตุผลที่ฉันต้องมาเฝ้าบ้านนี้ก็คือเจ้าปุกปุย มันเป็นสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลที่ป้ารักมาก ป้าไปเที่ยวต่างประเทศเป็นเวลา 5 วัน และไม่ต้องการให้ปุกปุยกินอาหารเม็ด ท่านบอกว่าการกินอาหารเม็ดทำให้สุนัขเป็นมะเร็ง ท่านจึงต้องการให้คลุกข้าวกระดูกไก่สับให้แทน ซึ่งเป็นอาหารที่ป้าทำให้เจ้าปุกปุยกินทุกวัน และป้ามีดอกไม้ในสวนอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าไม่รดน้ำ 5 วัน ต้นไม้เหล่านั้นต้องแห้งตายแน่ ท่านจึงโทรศัพท์ไปขออนุญาตแม่ฉัน ให้ฉันมาเฝ้าบ้านให้ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ แม่ฉันก็ไม่ได้ค้านอะไร ในเมื่อโรงเรียนฉันก็ปิดปีใหม่อยู่แล้ว และครอบครัวฉันก็ไม่ได้จะไปเที่ยวที่ไหน แม่ฉันจึงอนุญาต ฉันก็ไม่ได้แย้งอะไรไป ถ้าฉันไม่มาช่วยเฝ้าบ้านให้ป้า ป้าก็คงต้องวิ่งวุ่นหาคนอื่นมาเฝ้าบ้านให้อีก ฉันไม่อยากให้ท่านต้องลำบาก และที่นี่ก็อากาศดี มีทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความทรงจำระหว่างฉันและเขาคนนั้นหลงเหลืออยู่ ฉันแอบหวังไว้ลึกๆว่าเขาอาจผ่านมาที่นี่อีกครั้งก็ได้

                      ฉันไปเก็บกระเป๋าในห้องนอนป้า แล้วจึงไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้ คือการรดน้ำต้นไม้ สวนของป้าแม้จะเป็นสวนที่จัดในพื้นที่เล็กๆแต่ก็ดูเป็นสวนที่จัดได้อย่างสวยงาม ฉันชอบมองต้นไม้ ดอกไม้อยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสได้มาบ้านป้าฉันจึงชอบมานั่งตรงนี้บ่อยๆ

                      หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จฉันจึงทำหน้าที่ต่อไปคือให้อาหารเจ้าปุกปุย เมื่อเทอาหารใส่จานข้าวของเจ้าปุกปุยเสร็จ ฉันก็เล่นกับมันสักพัก แต่แล้วจู่ๆฟ้าที่ตอนแรกดูแจ่มใส กลับมืดมัวไร้แสงแดดขึ้นมาทันพลัน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็เห็นแต่เมฆครึ้มก้อนใหญ่ ไม่มีแสงแดดเลย ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าในตอนนี้กลับกลายมาเป็นสีเทาหม่นๆแทน น้ำที่หยดลงมากระทบผิวฉันเป็นสัญญาณว่าฉันควรเข้าบ้านได้แล้ว ฉันอุ้มปุกปุยไปไว้ในบ้านหลังเล็กของมันและปิดประตูบ้านให้มัน แล้วจึงรีบเข้าบ้าน

                      ตั้งแต่ฉันเดินทางมาถึงที่นี่จนถึงเมื่อสักครู่นี้ ดูไม่มีท่าทีของฝนเลย แต่ก็น่าแปลกที่ฝนเกิดตกลงมาอย่างไม่คาดฝันแบบนี้ และไม่เพียงแค่ตกปรอยๆแต่กลับตกหนักราวกับพายุเข้า ฉันนั่งกอดหมอนที่โซฟาห้องนั่งเล่น ฉันไม่ชอบเวลาฝนตกเลย ฟ้าครึ้มๆแบบนี้มันทำให้รู้สึกเหงาปนหดหู่ยังไงบอกไม่ถูก

                      เสียงกดกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างกระทันหันทำให้ฉันสะดุ้งโหยง แถวนี้ไม่ใช่เส้นทางที่จะมีคนผ่านมาได้ง่ายๆเลย ทุกครั้งที่ฉันแวะมาที่บ้านหลังนี้ ฉันก็ไม่เคยเห็นใครผ่านมาที่นี่เลย แต่ทำไมจู่ๆวันนี้กลับมีคนผ่านมาทางนี้ได้ ด้วยความที่ทั้งกลัวและสงสัย ฉันจึงแอบแง้มผ้าม่านดู นอกรั้วหน้าบ้าน ฉันเห็นคนๆหนึ่งยืนอยู่ แต่ด้วยความที่บรรยากาศข้างนอกมันมืดมากฉันจึงมองไม่เห็นหน้าของเขา รู้เพียงว่าดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย ฉันนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงผ่านมาทางนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็คิดว่าไม่ควรเปิดประตูให้ชายแปลกหน้าเข้ามาอาศัยในบ้านกับฉันตามลำพังอยู่ดี

                      ในระหว่างที่ฉันกำลังนึกกลัวและสับสนนั้น จู่ๆ น้ำเสียงคุ้นหูก็ดังฝ่าฝนขึ้นมาให้ได้ยิน

                      คุณป้าครับ อยู่บ้านไหมครับ ให้ผมเข้าไปหลบฝนข้างในหน่อยได้ไหมครับ...เสียงเขาคุ้นหูมาก คล้ายเสียงอดีตรุ่นพี่คนสนิทของฉันไม่มีผิด

                      ผมเมฆนะครับ เพื่อนชมรมจิตอาสาของขวัญข้าว ที่เคยแวะมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว คุณป้าจำผมได้ไหมครับพี่เมฆจริงๆหรือ ฉันแอบแง้มม่านดูชายคนนั้นอีกครั้งก็กระจ่าง เป็นพี่เมฆจริงๆ แม้จะไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก แต่ดูจากรูปร่าง ความสูง และบุคลิกแล้ว ดูจะเป็นพี่เมฆจริงๆ ไม่ผิดแน่ รู้อย่างนี้ฉันจึงรีบหยิบร่ม หยิบกุญแจ แล้วไปเปิดประตูให้เขาเข้ามาหลบฝนในบ้าน

                      ฉันรีบบอกให้เขาไปอาบน้ำสระผมและเปลี่ยนชุด แล้วนึกขึ้นได้ว่านี่ก็เป็นเวลาเกือบจะบ่ายโมงแล้ว ยังไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงเลย และฉันคิดว่าพี่เมฆก็คงยังเหมือนกัน ฉันจึงเตรียมอุ่นอาหารที่ป้าทำไว้ให้ในตู้เย็น และจัดโต๊ะอาหาร ฉันจัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดีกับที่พี่เมฆอาบน้ำเสร็จ ฉันจึงชวนเขามารับประทานอาหารด้วยกัน แต่สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดี ทั้งหน้าซีดมากและเดินเซๆ แปลกๆ

                      ข้าว แล้วคุณป้าล่ะ ท่านไม่อยู่บ้านหรอ แล้วทำไมข้าวมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเขาถามเสียงเนือยๆ หลังจากนั่งรับประทานอาหารเงียบๆอย่างอึดอัดกันมาสักพัก ฉันนึกว่าเขาจะไม่พูดกับฉันแล้วเสียอีก

                      “คุณป้าไปเที่ยวต่างประเทศ 5 วันค่ะ ข้าวเลยได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าบ้านให้ท่าน แล้วพี่เมฆล่ะคะ มาทำอะไรที่นี่ฉันถามเขากลับ หน้านิ่ง

                      “พี่กำลังเดินทางไปดอย ดอยที่เราเคยไปทำจิตอาสากันนั่นแหละ ช่วงนี้มหาวิทยาลัยหยุดปีใหม่พอดี พี่คิดถึงที่นี่ ก็เลยอยากกลับมาเยี่ยมชาวบ้านอีก แล้วก็อยากกลับมาถ่ายรูปบรรยากาศด้วยน่ะ คำตอบของพี่เมฆทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงช่วงวันหยุดปีใหม่ปีที่แล้ว ชมรมจิตอาสานัดกันว่าจะไปทำจิตอาสาที่ดอยแห่งนี้ ซึ่งคนเสนอความคิดนี้ก็คือฉันเอง ฉันรู้ว่าห่างจากบ้านหลังนี้ไปประมาณ 12 กืโลเมตร มีดอยเล็กๆอันทุรกันดารอยู่ ดอยนี้มีสิ่งสะดวกสบายและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเข้าไปไม่ค่อยถึง และเป็นดอยที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก มันคงจะดีถ้าชมรมจิตอาสาจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนดอยนั้นบ้าง พวกเราเดินทางโดยใช้รถกระบะของอาจารย์ที่ปรึกษาชมรม ระหว่างการเดินทางพวกเราได้แวะที่ต่างๆหลายที่ บ้านป้าหลังนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้แวะด้วยเช่นกัน มันป็นการเดินทางไปทำจิตอาสาที่สนุกและไกลที่สุดเท่าที่ชมรมของเราเคยไป

                      ขอบใจข้าวมากนะที่ให้พี่มาพักหลบฝนเขาพูดเสียงเนือยๆของเขาดึงความคิดของฉันให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน หลังพูดจบเขาก็ฝืนยิ้ม ปากของเขาดูซีดกว่าปกติ

                      ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่พี่เมฆไม่สบายรึเปล่าคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ถ้าเดินทางไม่ไหวพักที่นี่ก่อนก็ได้นะคะ รู้สึกดีขึ้นค่อยเดินทางต่อ

                      ถ้าข้าวอนุญาตก็ได้ ความจริงพี่ก็รู้สึกเหมือนจะไม่สบายอยู่เหมือนกัน ขอบใจข้าวมากนะ

                      หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉันนำยาแก้ปวดหัวให้พี่เมฆ และตกลงว่าจะให้เขานอนที่โซฟาห้องนั่งเล่น ส่วนฉันนอนในห้องนอนป้าเหมือนเดิม ตาของเขาที่ปิดสนิทและท่าทางการนอนที่สงบแน่นิ่งนี้ทำให้ฉันรู้ว่าเขาหลับไปแล้ว เขาผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว หลับทันทีที่ฉันเตรียมหมอนและผ้าห่มให้เขาเสร็จ ฉันแอบลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเขา ตาสองชั้นคู่นั้น จมูกโด่งได้รูป และริมฝีปากที่มักมีรอยยิ้มที่มาพร้อมกับลักยิ้มน่ารักของเขา ฉันคิดถึงทุกอย่างที่เป็นเขาจริงๆ ฉันไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อเขาเลยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ฉันเคยส่งข้อความไปหาเขาทั้งทางโซเชียลเน็ตเวิร์คและทางโทรศัพท์มือถือ แต่เขาไม่เคยตอบอะไรฉันเลย ฉันทั้งโกรธทั้งคิดถึงทั้งเสียใจ ทั้งๆที่เราสองคนเคยสนิทกันมาก แต่พอถึงเวลาที่เขาต้องจากกัน เขากลับขาดการติดต่อไปโดยไม่สนใจฉันเลย

                      ฉันรู้จักกับพี่เมฆจากชมรมจิตอาสาที่โรงเรียน ฉันสมัครชมรมนี้กับเพื่อนสนิทตอนชั้น  ม.2 ในขณะที่พี่เขาอยู่ม.4  ในชมรมมีสมาชิกอยู่เพียงหกคน และในหนึ่งปีการศึกษาจะมีการไปทำจิตอาสานอกสถานที่หนึ่งครั้ง จึงทำให้สมาชิกชมรมค่อนข้างสนิทสนมกัน พี่เมฆเป็นคนใจดี มีน้ำใจ และรักการท่องเที่ยว เขาจึงมาเข้าชมรมนี้ ฉันสนิทกับพี่เมฆเป็นพิเศษ เพราะคุยกันได้ถูกคอ และฉันก็รู้สึกชอบคุยกับเขามากกว่าคุยกับคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะฉันชอบที่เขาเป็นคนตรงๆ เมื่อฉันขอคำปรึกษาอะไร เขาก็มักจะแนะนำฉันอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสมอ และพี่เมฆเองก็เข้ามาคุยกับฉันบ่อยๆเช่นกัน จึงทำให้เราสองคนสนิทกันเป็นพิเศษ และอีกสาเหตุอาจเป็นเพราะ พี่เมฆมีงานอดิเรกคือการถ่ายรูป สมัยที่ฉันเพิ่งเข้าชมรมใหม่ๆ พี่เขาก็เพิ่งจะฝึกถ่ายรูปได้ไม่นาน ส่วนตัวฉันเองก็เป็นคนที่ชอบมองดูธรรมชาติและชอบมองวิวทิวทัศน์ที่สวยงามผ่านทางรูปภาพอยู่แล้ว แต่ฉันถ่ายรูปไม่เป็น พอได้รู้ว่าพี่เขาชอบถ่ายรูป และมักพกกล้องถ่ายรูปติดตัวอยู่เสมอ ฉันจึงได้พูดคุยขอคำแนะนำเรื่องการถ่ายรูปจากเขา ในขณะที่เขาก็รู้ว่าฉันชอบดูรูปถ่าย เขาจึงมักนำรูปที่เขาถ่ายมาให้ฉันดู เพื่อขอคำติชมจากฉันอยู่บ่อยๆ อาจด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราสองคนสนิทกันได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

                      ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าชอบพี่เมฆก็เมื่อปีที่แล้ว เมื่อดาว สาวสวย นิสัยดี และเรียนเก่ง ผู้ซึ่งเรียนห้องเดียวกันกับฉัน มาขอให้ฉันเป็นแม่สื่อให้เธอได้รู้จักกับพี่เมฆ ฉันก็ปฏิเสธเธอไม่ลง จึงได้ตอบตกลงไป การที่ฉันได้ช่วยเธอนั้น มันทำให้ฉันเริ่มรู้ใจตัวเองว่าฉันชอบพี่เมฆ แต่ในเมื่อฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้ชอบฉันแบบนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะกีดกันเขาจากคนอื่นๆ แล้ว ทำใจจืดใจดำไม่ช่วยเพื่อนที่ดีคนหนึ่งให้สมหวัง ฉันจึงช่วยให้เขาสองคนสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันก็รู้สึกเสียใจนิดๆลึกๆในใจเมื่อเห็นว่าเขาสองคนดูเข้ากันได้ดี แต่อย่างน้อยถ้ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้คนสองคนมีความสุขได้ ฉันก็ควรจะทำต่อไปไม่ใช่หรือ จนในที่สุดเธอคนนั้นก็ตัดสินใจไปสารภาพรักกับพี่เมฆ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สมหวัง  เธอบอกว่าพี่เมฆชอบคนอื่นอยู่แล้ว  รู้อย่างนี้แล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเสียใจมากขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้ว่าถ้าพี่เมฆกำลังชอบใครคนหนึ่งอยู่จริงๆ คนๆนั้นก็คงจะไม่ใช่ฉันอยู่ดี ถ้าเขาชอบฉันจริงๆ เขาคงต้องทำอะไร        สักอย่างไปนานแล้ว แต่นี่ก็สนิทกันมาตั้งนาน ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะแสดงท่าทีอะไรเลย

                      เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนในที่สุดพี่เมฆก็จบการศึกษาชั้นม.6 หลังจากจบไปเขาก็ขาด       การติดต่อไปเลย ฉันเพียงได้ข่าวว่าเขาสอบติดคณะในฝันของเขา นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉันจึงส่งข้อความและโทรศัพท์หาเขาเพื่อหวังจะแสดงความยินดี แต่ฉันพยายามติดต่อเขาไปเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยตอบกลับ จนฉันนึกสงสัยว่าเขาลืมไปแล้วหรือยัง ว่าเคยรู้จักคนที่ชื่อขวัญข้าวคนนี้ด้วย แต่จากที่ได้ยินเขาเรียกชื่อฉันอย่างสนิทสนมเมื่อสักครู่นี้ แถมยังจำได้อย่างแม่นยำว่าครั้งหนึ่งเคยแวะมาที่บ้านหลังนี้ตอนมาทำจิตอาสาด้วยกัน มันก็ยิ่งกระตุ้นให้ฉันอยากรู้เข้าไปใหญ่ ว่าเขามีเหตุผลอะไร ถึงได้ทำใจจืดใจดำไม่ติดต่อรุ่นน้องคนนี้กลับมาเลย

                      แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าฉันก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอเขาอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เจอกันมานาน ถึงแม้จะขาดการติดต่อไป ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันเลย แต่ฉันก็ยังชอบเขาและคิดถึงเขาอยู่ รอบตัวฉันตอนนี้ไม่มีใครที่เข้ากับฉันได้ดีเท่าเขาเลย

                      หลังจากที่นั่งนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆได้สักพัก ฉันก็เริ่มรู้สึกง่วงตามคนป่วยที่หลับอยู่ข้างๆกัน และผล็อยหลับไปในที่สุด

                      ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลา 17.00 น. ฉันจึงลุกขึ้นไปให้อาหารเย็นเจ้าปุกปุย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่พื้นหน้าบ้านยังเปียกๆอยู่ แสดงว่าเพิ่งจะหยุดตกไปได้   ไม่นาน

                      ประมาณ 17.30 น. หลังจากให้อาหารและนั่งเล่นกับปุกปุยสักพัก ฉันจึงเดินเข้าบ้าน เห็นพี่เมฆลุกขึ้นนั่งที่โซฟาและกำลังดื่มน้ำที่ฉันวางเตรียมไว้ให้พร้อมกับยาแก้ปวด สีหน้าเขาดูดีขึ้นนิดหน่อย แต่หน้าและปากยังดูซีดอยู่ เขาบอกว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย ฉันจึงบอกเขาให้นั่งรอฉันก่อน เดี๋ยวเตรียมอาหารเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะเรียกอีกที

                      ระหว่างที่ฉันกำลังจัดโต๊ะอาหาร จู่ๆฉันก็รู้สึกจักจี้ที่เอว พอหันไปก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่เมฆนี่เองที่กำลังจักจี้ฉันอยู่ ด้วยความจักจี้ฉันจึงหัวเราะลั่น แต่ฉันไม่ยอมโดนแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวหรอก ฉันยื่นมือไปจักจี้พี่เมฆบ้าง จึงกลายเป็นว่าเรากำลังเล่นจักจี้กัน และกำลังหัวเราะเหมือนคนบ้า จนฉันเกิดเดินสะดุดขาตัวเอง ด้วยความตกใจฉันได้คว้าเสื้อพี่เมฆไว้เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว จึงกลายเป็นว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ล้ม แต่พี่เมฆก็ล้มทับฉันไปด้วย พอเขาเริ่มรู้สึกตัวเขาก็พลิกตัวออกไปนอนข้างๆฉันแทน เราหันหน้าไปมองกันและกัน แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันโดยอัตโนมัติ         ความโกรธพี่เมฆที่สะสมมานานก็ได้ทุเลาลง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำตัวห่างเหินหรือเปลี่ยนไป ฉันลุกขึ้นยืนก่อน แล้วยื่นมือให้พี่เมฆจับ พี่เมฆดึงมือฉันและพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาเซไปเซมานิดหน่อย

                      ไหวไหมพี่เมฆ

                      “สบายมากเขาตอบไปยิ้มไป ยิ้มกว้างอย่างจริงใจ ลักยิ้มที่แก้มของเขายิ่งทำให้รอยยิ้มของเขาน่ามองเข้าไปอีก ในที่สุดฉันก็ได้เห็นสักที รอยยิ้มที่ฉันคิดถึงมานาน

                      ระหว่างรับประทานอาหาร เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆมากมาย แม้ว่า       ความโกรธจะทุเลาลงแล้ว แต่ฉันก็ยังสงสัย ว่าทำไมเขาขาดการติดต่อไปแบบนั้น ฉันอยากจะเอ่ยปากจะถามเขาหลายรอบ แต่เขาก็พูดบางอย่างขึ้นมาขัดก่อนที่ฉันจะได้ถามเขาตลอด ฉันจึงคิดว่าอย่าเพิ่งถามให้เสียบรรยากาศเลย ไว้ค่อยถามอีกทีก็ได้

                      เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นแต่เช้า  รีบทำภารกิจประจำวันทั้งสองอย่าง (ดูแลต้นไม้และเจ้าปุกปุย) แล้วจึงเข้าบ้านมาเตรียมอาหารเช้า  พี่เมฆก็ตื่นแล้วพอดี เราสองคนจึงรับประทานอาหารด้วยกัน วันนี้สีหน้าเค้าดูดีขึ้นมาก แต่ฉันก็แปลกใจที่หน้าและปากของเขายังดูซีดอยู่

                      หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ไปนอนพักต่อ ส่วนฉันก็เดินออกมาสูดอากาศข้างนอก และเดินกลับไปนั่งตรงสวนหลังบ้านมุมเดิม ฉันรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ตรงหางตา ฉันตกใจจึงรีบหันไปดู ปรากฏว่าเป็นพี่เมฆที่ยืนถ่ายรูปฉันอยู่ เขาบ่นว่านอนไม่หลับจึงลุกขึ้นมาหาอะไรทำ ฉันสั่งห้ามไม่ให้เขาถ่ายรูปฉัน เขาก็ไม่ฟัง จนฉันทนไม่ไหวจึงพยายามคว้ากล้องมาจากเขา หวังจะลบรูปตลกๆของตัวเอง แต่ก็คว้าไม่ได้สักที เขาเองก็วิ่งหนี แต่ยิ่งฉันพยายามวิ่งตามเท่าไหร่ก็ตามไม่ทัน สุดท้ายจึงถอดใจ หยุดพักเหนื่อยอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน และปล่อยให้เขาถ่ายรูปได้ตามใจชอบ หลังจากนั่งพักเหนื่อยอยู่สักพัก ฉันจึงตัดสินใจเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ

                      พี่เมฆ ข้าวถามอะไรหน่อยได้ไหมฉันคิดจะถามเรื่องที่เขาขาดการติดต่อไปนั่นแหละ

                      ข้าว มันยังไม่ถึงเวลา ถ้าพี่พร้อมเมื่อไหร่ พี่อธิบายให้ข้าวฟังแน่ๆ รอหน่อยนะเขาตอบราวกับว่าอ่านใจฉันออกว่าฉันจะถามอะไร ฉันแปลกใจกับท่าทีและคำพูดแปลกๆของเขา แต่ฉันก็ยอมเงียบไป เดี๋ยวเขาพร้อมเมื่อไหร่เขาก็คงให้คำตอบกับฉันเอง

                      เวลาผ่านไปจนถึงเวลารับประทานอาหารเย็น หลังจากรับประทานเสร็จ พี่เมฆก็รีบไปเข้านอน ฉันแกล้งทำเป็นทำอะไรๆ ไปพลางๆ แต่เมื่อฉันแน่ใจว่าเขาหลับไปแล้ว ฉันก็ลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆเขา และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแกล้งแอบถ่ายรูปเขาบ้าง เพื่อเป็นการแก้แค้นจากเหตุการณ์เมื่อกลางวัน แต่จู่ๆเขาก็เกิดลืมตาโผลงขึ้นมา ฉันตกใจรีบจะเก็บโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ แต่ก็เก็บไม่ทัน จู่ๆเขาก็คว้าแขนฉันควับ มือของเขาเย็นเฉียบเสียจนฉันตกใจ

                      ข้าวฟังพี่ดีๆนะสีหน้าเขาดูจริงจังมาก กำลังจะอธิบายเรื่องที่ฉันสงสัยให้ฟังสิ่นะ

                      พี่แอบชอบข้าวมานานแล้วเขามองลึกเข้ามาในดวงตาของฉัน แววตาของเขาดูแน่วแน่และจริงจังมาก

                      “พี่เมฆว่าอะไรนะ..ฉันพูดเสียงแผ่วเบา ฉันหูฝาดหรือเปล่าที่ได้ยินเขาพูดว่าเขาชอบฉัน

                      “พี่รู้สึกถูกชะตากับข้าวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้คุยกัน แววตาที่เปล่งประกาย รอยยิ้มที่สดใสของข้าว มันทำให้พี่รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เจอข้าว คำให้กำลังใจและความเป็นคนมองโลกในแง่ดีของข้าวมักทำให้พี่มีกำลังใจในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆอยู่เสมอ และข้าวก็เป็นหนึ่งใน          แรงบันดาลใจและกำลังใจสำคัญที่ทำให้พี่สอบติดนิเทศศาสตร์ จุฬาฯได้คำพูดของเขาทำให้หัวใจฉันพองโต ฉันมีค่าสำหรับเขาขนาดนั้นเชียวหรือ

                      “แรกๆที่เราเพิ่งรู้จักกัน พี่บังเอิญรู้มาว่าข้าวชอบดูรูปถ่ายวิวทิวทัศน์มาก ด้วยความที่อยากสนิทและอยากทำให้ข้าวประทับใจ เลยโกหกข้าวไปว่ากำลังฝึกถ่ายรูปอยู่ ในเมื่อพูดออกไป   แบบนั้นพี่ก็จำเป็นต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเอง พี่เก็บเงินซื้อกล้องอยู่ประมาณสองสามเดือน พร้อมกับซื้อคู่มือเทคนิคการถ่ายรูปมาศึกษาด้วย จากที่แค่เป็นคำโกหกคำโตคำหนึ่ง กลับกลายเป็นว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่รู้ใจตัวเอง ว่าได้หลงเสน่ห์การถ่ายรูปเข้าแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพี่จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องสอบให้ติด คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เอกวิชาภาพยนต์และภาพนิ่ง ให้ได้ เมื่อตั้งเป้าไว้แบบนี้แล้ว พี่จึงพยายามอย่างหนักในการอ่านหนังสือ และทุกครั้งที่พี่ท้อหรือเหนื่อยมากๆ ข้าวก็มักจะให้กำลังใจพี่เสมอ ข้าวเป็นทั้งคนจุดประกายความฝัน และเป็นทั้งกำลังใจสำคัญที่ทำให้ความฝันของพี่สำเร็จ พี่เองก็อยากจะขอบคุณข้าวมาก แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรไม่ให้มัน... ไม่ให้มันดูพิเศษเกินไป... ไม่ให้มันดูเหมือนว่าพี่ชอบข้าวมากเกินไปเขาเริ่มหน้าแดงเมื่อพูดประโยคสุดท้ายนี้ ท่าทางเก้ๆกังๆของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาก็เขินอยู่ไม่น้อย

                      “ความจริงพี่ก็อยากสารภาพความในใจทั้งหมดที่มีต่อข้าวก่อนที่พี่จะจบม.6ไป แต่... แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบอกข้าวยังไงดี พี่ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป เพราะพี่รู้ว่าข้าวช่วยเป็นแม่สื่อให้ดาว พอเห็นข้าวทำแบบนั้น มันเลยทำให้พี่มั่นใจว่าข้าวคงไม่ได้ชอบพี่หรอก ถ้าข้าวชอบพี่ข้าวคงไม่รับอาสา รู้อย่างนี้ก็เลยกลัวว่าถ้าสารภาพทุกอย่างออกไป แล้วจะทำให้ข้าวไม่สบายใจเพราะข้าวไม่ได้คิดเหมือนกัน ในที่สุดพี่ก็คิดได้ว่ามันก็คงถึงเวลาต้องตัดใจเสียที แต่พี่คงตัดใจไม่ได้ถ้ายังติดต่อกับข้าวแบบนี้ เลยตั้งใจไว้ว่าหลังจากจบม.6 พี่จะไม่ติดต่อกับข้าวจนกว่าจะตัดใจได้ แต่ถึงจะไม่ติดต่อข้าวเลย ก็ยังอดคิดถึงข้าวไม่ได้ แถมยังรู้สึกค้างคาใจมากๆเลยด้วย เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยระหว่างที่กำลังพูด

                      จนในที่สุดพี่ก็ได้ตัดสินใจว่า จะแวะกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง สถานที่ที่เราเคยมาทำ      จิตอาสาด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย และจะลองแวะมาที่บ้านป้าของข้าวด้วย ถ้าบังเอิญเจอข้าวที่นี่ พี่จะบอกความในใจกับข้าวให้หมดทุกอย่าง สิ่งที่มันค้างคามาตั้งนานจะได้หลุดออกไปจากใจสักที แล้วพี่ก็เจอข้าวจริงๆด้วยเขาอมยิ้มน้อยๆ

                      พี่เลยอยากบอกข้าวก่อนที่พี่จะจากไปว่า พี่ขอโทษนะข้าว ที่ไม่ได้ติดต่อข้าวเลย เพียงเพราะความคิดงี่เง่าของพี่ ให้อภัยพี่เถอะนะ อย่าถือสาพี่เลยเขาทำแววตาเว้าวอนเพื่อขอให้ฉัน  ยกโทษให้ ฉันจึงยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าให้เขาแทนคำตอบ เมื่อเขาเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มกว้าง

                      “ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกรอยยิ้ม ทุกมิตรภาพ ทุกกำลังใจที่เคยให้พี่มา มันมีความหมายสำหรับพี่มากมายจริงๆ...รอยยิ้มที่อบอุ่นและคำพูดที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาของเขาทำให้ฉันใจสั่น

                      “และประโยคสุดท้ายที่สำคัญที่สุด พี่ชอบข้าวนะ

                      สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย หัวใจฉันเต้นรัว หน้าร้อนผ่าว มือไม้สั่น ฉันจึงเฉไฉพูดเรื่องอื่นขึ้นมา พอเขาเห็นว่าฉันไม่ได้ตอบรับคำสารภาพของเขาเลย ฉันก็เห็นแวบหนึ่งว่าเขาทำหน้าเศร้า แต่เขาก็เปลี่ยนกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคงไม่อยากให้ฉันจับสังเกตได้และไม่อยากให้รู้สึกลำบากใจ หลังจากนั้นไม่นานนักฉันจึงขอตัวไปนอน

                      ฉันยังไม่กล้าพอที่จะพูดออกไปว่าฉันก็รู้สึกเหมือนกับเขา ขอเวลารวบรวมความกล้า   สักนิดนะพี่เมฆ อีกไม่นานพี่เมฆก็จะได้ฟังคำๆ นั้นจากปากของข้าวเอง

                      เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นตั้งแต่ 6.00 น. เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่ายทั้งคืน เป็นเพราะฤทธิ์คำพูดของพี่เมฆนั่นแหละ ฉันเดินออกมานอกตัวบ้านเพื่อมาสูดอากาศยามเช้า เห็นพี่เมฆกำลังเล่นกับปุกปุยอยู่ เขาสะพายกระเป๋าเป้เดินทางไว้บนหลัง คงพร้อมจะออกเดินทางต่อแล้ว

                      พี่เมฆ จะไปแล้วหรอคะเขาพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วยิ้มบางๆ

                      มันถึงเวลาที่พี่ต้องไปแล้วแหละสิ้นคำเขาก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่กางเกงนิดหน่อย และหันมาร่ำลาฉัน

                      “ก่อนจะไป พี่มีของที่ระลึกจะให้ เก็บไว้ให้ดีๆนะเขาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสตางค์และยื่นให้ฉัน เมื่อรับมาฉันจึงรู้ว่ามันเป็นรูปถ่ายคู่ของฉันกับพี่เมฆนั่นเอง ในรูปนี้เราสองคนยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่พี่เมฆกำลังยกมือขึ้น ในรูปนี้ดูเหมือนเขาจะลูบหัวฉันเล่น แต่ความจริงเขาไม่เคยลูบหัวฉันหรอก คงกำลังจะยีผมฉันเล่นมากกว่า เขาให้ใครแอบถ่ายไว้ตอนไหนกัน ฉันไม่รู้ตัวเลย

                      เขายิ้มกว้างพร้อมกับโบกมือลาฉัน แล้วหันหลังเตรียมจะเดินมุ่งหน้าไปยังประตูรั้ว แต่ฉันรั้งเขาไว้ และกระซิบกับเขาว่า
                      “พี่เมฆ ข้าวก็ชอบพี่เมฆนะพูดจบหน้าก็แดงผ่าว ฉันกล้าพูดออกไปได้อย่างไรนะ    แววตาเขาดูมีความตกใจอยู่ในนั้นไม่น้อย เมื่อเขารู้สึกตัวเขาก็ยิ้มกว้างแล้วพูดกับฉันว่า

                      พึมพำอะไรนะ ไม่ได้ยินเลยฉันเบ้ปากและตีแขนเขาเบาๆ แววตาและรอยยิ้มนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยินทุกอย่างชัดเจน แต่เพียงแค่พูดประโยคนี้ขึ้นมาเพื่อหยอกล้อฉันเล่นเท่านั้น

                      พี่เมฆ เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้างนะคะ ตอบข้อความข้าวบ้าง ไม่งั้นข้าวน้อยใจนะเมื่อจบประโยค เขาก็หัวเราะอย่างอ่อนโยนกับคำพูดของฉัน เขายิ้มและโบกมือลาฉันเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าแววตาและรอยยิ้มของเขาดูเศร้าแปลกๆ จากนั้นเขาจึงค่อยๆเดินจากไป ระหว่างที่ฉันมองแผ่นหลังของเขากำลังเดินจากไปนั้น ฉันก็รู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ รู้สึกเหมือนว่าอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แต่ก่อนที่ฉันจะได้คิดอะไรต่อ จู่ๆก็มีแสงสว่างวาบส่องเข้าตาฉันอย่างจัง จนฉันต้องหลับตาและยกมือขึ้นป้องตาไว้ แล้วจู่ๆก็เหมือนมีแรงผลักอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันล้มลงไปกองกับพื้น พร้อมกับสติที่ค่อยๆเลือนลางหายไปทีละน้อยๆ

                      ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ ไม่รู้ตัวเลยว่ามานอนหลับอยู่บนเตียงห้องป้าได้อย่างไร ฉันรีบรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงบนโต๊ะหัวเตียง เพื่อนสนิทฉันโทรศัพท์มาบอกว่า พี่เมฆเสียชีวิตแล้ว ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ระหว่างนั่งรถโดยสารเที่ยวกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รถเกิดพลิกคว่ำตกหน้าผาไปกลางดึก ตำรวจเพิ่งพบศพได้ไม่นาน

                      ได้ยินแบบนี้ฉันก็ทำอะไรไม่ถูก มือสั่น คอแห้งผาก และรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา เขาเสียชีวิตแล้วจริงๆหรือ ฉันจะไม่ได้เจอกับเขาอีกแล้วหรือ น้ำใสๆที่ไหลรินออกมาจากขอบตาช่วยย้ำเตือนฉันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน  แต่มันจะเป็นไปได้ได้อย่างไร แล้วพี่เมฆที่ฉันเจอเมื่อสามวันที่แล้วคืออะไร หรือทั้งหมดนั้นจะเป็นแค่ความฝัน ฉันรีบเปิดปฏิทินในโทรศัพท์มือถือดู วันนี้วันที่ 31 ธ.ค. แล้ว ถ้าฉันแค่ฝันไปจริงๆ แล้วฉันจะสามารถหลับอยู่ในห้วงความฝันได้นานถึง 3 วันเชียวหรือ ในระหว่างที่ฉันกำลังสับสน หางตาฉันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างบนโต๊ะที่หัวนอน ฉันหยิบมันขึ้นมาดู มันคือรูปถ่ายรูปนั้นที่พี่เมฆให้ฉันก่อนจะจากไป รูปคู่ของเราสองคน พลิกดูด้านหลังรูปมีข้อความเขียนไว้ว่า

                      มันเป็นฝันฤดูหนาวที่สวยงามที่สุดสำหรับพี่ ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะข้าว

                                                                      เมฆ

       

      น.ส.กัลยกร ม.4/16

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×