[Fic DGM] Just Magic!
หากว่าในโลกนี้เวทมนต์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเชื่อ...ไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราเล่าให้แก่เด็กน้อยสู่ห้วงนิทรา โลกแห่งนี้ของเรา จะเปลี่ยนไปได้ขนาดใหนกัน....(KandaX Fem! Allen)
ผู้เข้าชมรวม
1,121
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
โลกที่มีเวทมนต์อยู่ทุกหนแห่ง ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แม้มนุษย์ก็เริ่มที่จะรู้จักประดิษฐ์คิดค้น......สร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมามากมาย หากของพวกนั้นก็ยังคงต้องใช้เวทมนต์.............ในโลกแบบนี้ล่ะ ที่เป็นที่ที่เรื่องราวทั้งหมดได้ดำเนินมา....
“เฮ้ย หยุดนะโว้ย!!!!” เสียงตะโกนลั่นกลางตลาดที่แออัดไปด้วยผู้คน ร่างเล็กๆร่างหนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนด้วยความเร็ว ตามด้วยร่างชายหนุ่มหลายคนวิ่งตามมาติดๆ ปากตะโกนด่าทอ ทั้งพลักให้คนอื่นให้พ้นทาง
“หยุดนะโว้ย ไอ้เด็กหัวขโมย!!!” เสียงตะโกนลั่นนั้นเหมือนจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี
แน่นอน เคยมีที่ใหนที่หัวขโมยจะหยุดเพียงเพราะคำสั่งกันล่ะ? ร่างเล็กๆที่เดาอายุไม่น่าจะเกิน 17 นั้นยังคงวิ่งเต็มกำลังราวกับไม่เคยเหนื่อยล้า....
“ใช้เวทมนต์จับตัวก็แล้ว...ไม่รู้จะวิ่งตามทำไม? เนอะ ยูจัง”
เด็กหนุ่มร่างสูงในเครื่องแบบสีดำแบบนักเรียนโรงเรียนชื่อดัง เหลืยบมองผ่านกระจกกันจากชั้นสองของร้านอาหารหรูหราลงไปยังถนนสายเล็ก สายตายังคงจับจ้องไปยังเหตุการณ์ข้างล่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับยิ้มขำ มือเท้าคางมองเพื่อนของตน ดวงตาคมกล้าอีกฝ่ายแสดงออกถึงความสนใจ....
เจ้าตัวทำเสียงทะเล้น ยกแก้วเครื่องดื่นขึ้นมาจิ๊บน้อยๆ พลางหันไปมองเหตุการณ์ข้างล่าง....แสร้งทำเป็นไม่สนใจสายตาอาฆาตที่เพื่อนร่วมโต๊ะตนส่งมาให้ ฐานไปเรียกชื่อต้องห้าม
“ใครใช้ให้แกเรียกชื่อฉัน ไอ้ราวี่!” น้ำเสียงกดต่ำกระซิบน่ากลัวในสายตาของคนโต๊ะอื่นๆ หากเด็กหนุ่มผมแดงเพลิงเพียงทำเป็นไม่สนใจ พลางผิวปากเบาขณะจ้องไปยังถนน
“ว้าว....เจ้าเด็กนั่นเจ๋งจริงๆ ยูจังดูสิ.......เฮ้ยๆๆ ก็ได้ๆ คันดะๆ” เจ้าตัวหาเรื่องรีบตอบอย่างรวดเร็ว ยามเมื่อมีดเล่มเล็กลอยในอากาศจ่ออยู่ตรงคอเขา ปลายมีดคมกริบเสียดผ่านผิวคออย่างน่าหวาดเสีย เจ้าตัวหุปปากเงียบ หากมอง’คันดะ’ ที่กอดอกตอนนี้จ้องมองไปยังข้างล่าง
“......” สถานการณ์ข้างล่างนั้น ตอนนี้ เหมือนกลายเป็นการแสดงโชว์ข้างถนนไปแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายร่างนั้น นอนสลบอยู่บนพื้น....ด้วยฝีมือของเจ้าคนตัวเล็กนั้น.....
“น่าแปลกเนอะ....วันนี้ เจอคนกล้าฝืนกฎด้วย”
หากเป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่า กฎหมายของประเทศคือทุกสิ่งทุกอย่าง หากฝ่าฝืนกฎ ก็จะต้องรับโทษ....หนักเสียด้วย จึงน้อยนักที่จะเห็นใครอาจหาญอยู่ตรงข้ามกฏหมาย
“ แล้วยังสามารถล้มผู้ชายตัวโตๆได้โดยไม่ใช้เวทมนต์!! สุดยอดจริง เจ้าเด็กนี่....ศิลปะการต่อสู้...ไม่ได้เห็นมานานแล้ว น่าสนใจจริงๆ” เสียงของราวี่ยังคงเจี้ยวจ้าวอยู่ข้างๆ ไม่วายทะเล้นหันมายิ้มกริ่มๆให้อีกฝ่าย “จะเอายังไงดีละครับ คุณชายคัน....ดะ...”
คราวนี้....ใบหน้าเรียบเย็นชาที่เห็นเมื่อครู่ กลับฉีกยิ้มเสยะออกมา “ต้องให้ฉันบอกด้วยรึไง? ไอ้กระต่าย....”
เจ้ากระต่ายหัวเราะ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันมาโค้งให้เด็กหนุ่มอีกคนด้วยท่าทีล้อเลียน ก่อนหันไปมองร่างหัวขโมยตัวร้ายที่วิ่งหนีไปเกือบสุดทางแล้ว มือวางบนกระจกช้าๆ... ทันไดนั้นกระจกบานใหญ่เริ่มแยกออกจากกันราวกับประตูเลือน เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้ายิ้มกริ่มตลอดเวลาก็ก้าวเท้าเดินออกไปในอากาศ วิ่งไปบนอากาศราวกับเป็นทางเดินพิเศษล่องหน ดวงไฟลุกพรีบท่วมร่างสมส่วนนั้น ก่อนจะวิ่งหายไปท่ามกลางสายตาตะลึงของคนอื่น แม้ทุกคนจะรู้ว่านั้นเป็นเวทมนต์ และทุกคนล้วนมีเวทมนต์แต่กำเนิด....
แต่แน่ล่ะ....จะมีซักกี่คนกันล่ะ ที่ วิ่งไปในอากาศได้อย่างสบายๆนะ
คันดะคิด นึกขันระปนหงุดหงิด ที่เด็กหนุ่มผมแดงไม่เคยพลาดที่จะแสดงความสามารถระดับอัจฉริยะของตัวเองออกมา
ชิ...ไอ้ตัวเรียกร้องความสนใจ
พลันความคิดของเด็กหนุ่มก็ตกไปยังร่างเล็กของหัวขโมยนั้น.....ความหงุดหงิดก็เพิ่มขึ้นน้อยๆ ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าพอจะมาก่อเรื่องในเขตพื้นที่ที่ในการดูแลของเขา....ไม่เคยซักครั้ง! โดยปกติ ผู้คนเรียนรู้ที่จะไม่หาเรืองกับ หน่อยรักษาความปลอดภัย หรือก็คือ เหล่านักเรียนจากโรสครอส โรงเรียนที่เป็นที่โด่งดังจากการที่เป็นศูนย์รวมนักเรียนอัจฉริยะจากทุกแห่ง เก่งกาจทั้งใน ทั้งเวทมนต์และวิทยาศาสตร์.....
คันดะดื่มชาอึกสุดท้าย ก่อนจะจ่ายเงินและเดินช้าๆออกไปจากร้าน มองเจ้าพวกที่เคยวิ่งใล่ตามเด็กหัวขโมยที่พึ่งตื่นมาด้วยท่าทีโกรธเคืองและหงุดหงิดเป็นที่สุด แค้นใจที่ปล่อยให้เด็กคนเดียวหนีไปได้
เด็กหนุ่มเดินกลับไปอีกทาง....รอยยิมเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่มีใครเห็น ก่อนจะหายเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า
ปานนี้เจ้ากระต่ายคงได้ตัวเหยื่อมาแล้ว.....
................................................................................................................................................................................
ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย!!!
ราวี่นั่งเท้าคางมองร่างหลับใหลอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่า ร่างเล็กๆตรงหน้าจะจัดการกับชายห้าหกคนได้ด้วยตัวเอง....โดยไม่ใช้เวทมนต์! มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนัก แม้สำหรับหมู่นักเรียนโรสครอสเอง ก็ยังไม่มีใครทำได้เสียด้วยซ้ำ....
ไม่มีใครทำได้......นอกเสียจาก...
“ใครใช้ให้แกเข้ามาในห้องฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต....” มีดเล่มเล็กที่แสนคุ้นเคยหลายสิบเล่มดูเหมือนจะมีความสุขกับการชี้ปลายแหลมคมกริบราวกับปากนกเหยี่ยวของมันมาที่ตัวเขาเสียเหลือเกิน
ท่านจ้าวปีศาจแห่งโรงเรียนโรสครอส.......
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอือก เขาค่อยๆหันหลังไปมองคันดะ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้ เขาเกือบนึกขอบคุณโคมุอิที่ยึดเอามุเก็นสุดรักของเขาไป แต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ช่วงนี้เขาเจ็บตัวหนักมากกว่าปกติ....
“ไม่เอาน่า ยูจ....เฮ้ย!! โอเคๆ คันดะ...นายก็รู้ตั้งแต่ฉันออกมาจากร้านแล้วนี่ ว่าฉันอยู่ในห้องนาย....บอกตามตรงนะ ระบบรักษาความปลอกภัยของห้องนายนี่ ห่วยมาก” ทั้งยกนิ้วโป้งให้อย่างไม่เกรงกลัว
จิ๊ก!!!
ส่งผลให้มีดเล่มเล็กทั้งหลายจิ้มเข้าเนื้อตัวหาเรื่องเสียเต็มแรง พาลให้วิ่งพล้านไปทั้วห้อง
“อ๊ากกกกกกกกกกก”
ไม่คิดจะช่วย ความสนใจของคันดะตกอยู่กับร่างที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ของเขา เขาสัมผัสได้ถึงไอเวทมนต์รางๆของราวี่จากตัวของหัวขโมยนี้
เวทนิทรา?
“หลับไว้จะได้ไม่ก่อปัญหานะ” ราวี่ที่หยุดวิ่งมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะอวดครวญยาว “รู้ใหม....แปลกนะ ตอนที่ฉันใช้เวทมนต์นะ เจ้าเด็กนี้ไม่ยอมใช้เวทมนต์ตอบเลย เอาแต่แตะต่อยอย่างเดียวเลย เล่นเอาระบมไปทั้งตัวเลย....”
ไม่ยอมใช้เวทมนต์?....เด็กประหลาด...
คันดะเอื้อมมือไปดึงหมวดที่ปกปิดใบหน้า ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนในใจอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนลืมหายใจไปชั่วครู่ ใบหน้าของ.....เด็กสาว?
เด็กสาวอายุไม่น่าจะเกิน 16 ปี ใบหน้าเรียวมนหวานน่ารักครอบคลุมด้วยเส้นผมสีขาวหิมะยาวประบ่าที่โผล่ออกมาจากหมวดที่จับตาคันดะเป็นสิ่งแรก ก่อนจะตามด้วยร่องรอยสีแดงประหลาดที่ลากผ่านซีกหนึ่งของใบหน้าขึ้นไปถึงหน้าผาก เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปปัดเส้นผมอ่อนสีขาวตรงหน้าผาก ให้เห็นรอยสีแดงนั้นมีรูปร่างเป็นดาวห้าแฉก ราวกับวาดไว้อย่างประณีต
“อย่างกับสัญลักษณ์ในวงเวทย์เลยนะนี่....เป็นรอบสักรึเปล่านี่? ท่าจะเจ็บน่าดู” ราวี่ที่อยู่ด้านหลังบ่นประซิบด้วยน้ำเสียงส่งสัยใคร่รู้ ก่อนจะได้สำรวจร่างเล็กนั้นได้มากกว่านั้น เสียงหวานใสที่คุ้นเคยก็ดังลั่นจากนอกห้อง
“คันดะ ราวี่!!!” ประตูเปิดผ่างออกเต็มแรง เด็กหนุ่มสองคนสะดุ้งตกใจสุดกำลัง
“พวกนาย....ทำอะไรกันนี่??” เด็กสาวเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนรักสองคนของตนมุงเด็กสาวน่ารักที่เธอไม่เคยเห็นหน้า
ห้องคันดะ.....
เด็กผู้หญิง...
เด็กผู้หญิงในห้องของคันดะ!??
ก่อนเธอจะได้ประมวลข้อมูลประหลาดที่ส่งไปยังสมองนั้นได้ ดวงตาสีเทาที่ดูเหมือนตื่นขึ้นมาจากนิทราเบิกกว้างมองมาที่เธออย่างตระหนก หากเพื่อนทั้งสองของเธอยังไม่รู้ตัว
“.รินารี่ เธอช่วยเคาะประตูหน่อยได้ไหม? เวลาจะเข้ามาในห้องนะ..!”
“เอ่อ....คือว่า...” รินารี่ชี้ไปยังเด็กสาวปริศนา...
พลั๊ก!!!!!
ทันไดนั้นเอง กำปั้นเล็กๆ หากแต่หนักไม่น้อยก็ตรงเข้ามาที่หน้าของคันดะอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ให้กระเด็นหงายหลังไป ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนอีกสองคน เด็กสาวถือโอกาสหมุนตัวใช้เท้าถีบเข้าที่ช่วงตัวของราวี่ให้เต็มแรง ก่อนเด็กสาวผมขาวกระโดดขึ้น พุ่งตัวไปยังประตูที่ พลั่กรินารี่ให้พ้นทาง
อีกนิดเดียว!!!
วิ้ง!
แสงสายสีฟ้าอ่อนส่องสว่างรอบตัวเด็กสาวเรือนผมขาว โอบร่างของเธอราวกับลูกบอลใสๆ ลอยล่องขึ้นจากพื้น หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอโดยสิ้น เธอหันมองเด็กหนุ่มผมดำยาวที่ตอนนี้เดินมาใกล้เธอด้วยใบหน้าประดับด้วยชัยชนะมาให้
“นึกว่า หมัดเบาๆของเธอหมัดเดียวจะหยุดฉันได้รึไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“บอกเหตุผลที่มาก่อกวนในเมืองให้ฉันฟังหน่อยสิ ก่อนที่ฉันจะส่งหล่อนไปให้พวกตำรวจ”
เด็กสาวกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง กอดอกสะบัดหน้าไปทางอืนอย่างไม่คิดจะให้คำตอบ
“คันดะ เด็กนี่...ใครเหรอ?” รินารี่ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆถามขึ้น เมื่อทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ใหว....
“หัวขโมยที่ไปขโมยของในเขตการดูแลของคันดะนะ” ราวี่กลับเป็นฝ่ายตอบแทนด้วยสีหน้าร่าเริง “เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้หงุดหงิดมากกว่าทุกวันไงล่ะ”
“เอ๋?..” เด็กสาวอุทานด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ เธอหันไปมองร่างเล็กๆที่ยังคงติดอยู่ในลูกบอลสีฟ้าใสของคันดะ “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า คันดะ นายเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า?”
เจ้าตัวเพียงเลิกคิ้วให้เธอ ก่อนจะหันไปสนใจเด็กสาวผมขาวที่ไม่ต้องมามองเขา เดือดร้อนให้ราวี่ต้องเป็นผ่านอธิบายอีกครั้ง...
. เด็กหนุ่มผมสีเพลิงถอนหายใจ สะบัดมือหนึ่งครั้ง ให้ลูกไฟปรากฏพริบขึ้นมาในมือ ก่อนจะกลายเป็นนาฬิกาพกสีเงินเงาเรือนเล็กแกะลายดอกไม้และโน๊ตดนตรีอ่อนช้อยสวยงาม เชื่อมด้วยสายเงินยาว ตรงปลายสายเป็นศริสตัลสีแดงแกะเป็นรูปผีเสื้อสะท้องแสงวาววับ
“เอาคืนมานะคะ!!” เด็กสาวที่เงียบอยู่นานตะโกนขึ้นมาเสียงดัง มือทุบสิ่งที่กักขังตนเต็มแรง
คันดะมองปฏิกิริยาของเด็กสาวด้วยท่าทีสนใจ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง “แล้วทำไมฉันต้องให้เธอด้วยล่ะ หืม.... เจ้าถั่วงอก?”
“มันเป็นของฉัน! พวกนั้นต่างหากล่ะ ที่ขโมยของฉันไป!”
“มีอะไรมายืนยันได้ล่ะ ว่ามันเป็นของเธอนะ”
“........” คราวนี้ เด็กสาวเงียบ.....เธอจะบอกได้อย่างไรกันล่ะ....ในเมื่อมันเหมือนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะบ่งบอกได้เลยว่า นาฬิกาพกเรือนนั้นเป็นของเธอ ของที่ดูมีราคาขนาดนั้น พวกนี้ก็คงไม่เชื่อเป็นแน่....
“ว่าไงล่ะ?” คันดะคาดคั้น ซึ่งก็ไม่ได้คำตอบกลับมา...รินารี่มองเด็กสาวที่เริ่มซึมเงียบด้วยความรู้สึกสงสารขึ้นมา คันดะถอนหายใจเฮือก ดีดนิ้วเบาๆ ลูกบอลสีฟ้าใสก็มลายหายไปราวกับฟองอากาศ
“อ่ะ...” เด็กสาวร่วงลงไปบนพื้น มองเด็กหนุ่มผมดำด้วยสีหน้าไม่คาดคิด เด็กหนุ่มกวักแกว่งนาฬิกาเรือนงามตรงหน้าเธอ ดังคาด เด็กสาวพุ่งไปคว้าอย่างรวดเร็ว หากนาฬิกานั้นลอยขึ้นไปในอากาศ สูงเสียจนเธอเอื้อมไม่ถึง
“ฉันจะให้นาฬิกานั้นกับเธอ....ตอบคำถามฉันมาก่อน” คันดะเอนตัวลงบนโซฟาลงอย่างสบายๆ ราวี่ยืนข้างๆอย่างสนใจ รินารี่เดินไปนั่งเก้าอี้ที่ห่างออกไปเล็กน้อย...
เด็กสาวมองนาฬิกาพกที่ยังคงลอยอยู่บนเพดานห้อง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงตรงโซฟาตรงข้าม
“ชื่อ?” เด็กหนุ่มผมยาวถามขึ้น
“อเลน....” เด็กสาวตอบเสียงแผ่ว... “นาย....”
“คันดะ....ส่วนเจ้าหัวแดงนั่น ไอ้กระต่าย..แล้วยัยนั่นก็ รินารี่ ลี” เด็กสาวไล่สายตาไปตามแต่ละคน
“ราวี่ต่างหากล่ะ ” เด็กหนุ่มโวย...
“อเลนอายุเท่าใหร่จ๊ะ” คราวนี้ อเลน
“ฉันไม่รู้ค่ะ” ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มปรากฏรอยยิ้มมาน้อยๆ ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นแบบที่คันดะไม่เข้าใจ
“ฉันไม่มีความทรงจำค่ะ ฉันตื่นขึ้นกลางป่าข้างๆเมืองนี้” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ หากดวงตาสีเทาคู่สวย จ้องมาที่เด็กหนุ่มแน่วแน่ “ฉันจำได้แต่ชื่อ แล้วก็นาฬิกาพกเรือนนั้น แล้วก็ผู้ชายหน้าตาใจดีผมสีน้ำตาลในชุดเสื้อกาวล่ะ นอกจากนั้น ฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย”
“เธอ...” คันดะมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “ไม่มีเวทมนต์ ฉันสัมผัสถึงไอเวทมนต์ของเธอไม่ได้ แล้วถ้าเธอมีเวทมนต์ ตอนนี้ก็คงหยิบเอานาฬิกานั่นได้แล้ว”
อเลนมองอีกฝ่าย ยิ้มขึ้นมาน้อยๆ “ค่ะ”
ราวี่และรินารี่มองเด็กสาวด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อทุกชีวิตจะต้องมีเวทมนต์แม้น้อยนิด ก็ยังเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต หากเมื่อไหร่ที่เวทมนต์หายไปจากร่างกาย กายก็จะตาย....หากเด็กสาวตรงหน้ายังคงมีชีวิตอยู่นี่???
น่าสนใจ....น่าสนใจเสียจริง
นั่นคงเป็นความคิดของคนทั้งสามในห้อง ที่ดูเหมือนจะตรงกันเป็นครั้งแรก....
นาฬิกาพกสีเงินที่อยู่บนอากาศค่อยๆลอยลงมายังมือของเด็กหนุ่มผมดำอย่างช้าๆ สายตาของอเลนจับจ้องไปตามไม่ล่ะ
“เคยเปิดมันไหม?” เด็กหนุ่มถาม อเลนส่ายหน้าน้อยๆ แน่ล่ะ ทุกอย่างในโลกนี้จำต้องใช้เวทมนต์ทั้งนั้น แม้แต่การเปิดนาฬิกาพก เธอมองคันดะเปิดนาฬิกาออกมาอย่างง่ายดาย.....
คันดะมองตัวนาฬิกาอย่างสนใจ ในนั้นเป็นเพียงนาฬิกาที่เดินอย่างปกติ หากบนฝานาฬิกาเรือนน้อยนั้น มีภาพถ่ายของคนสองคนติดไว้...ชายวัยกลางคนในชุดกาวสีขาวอย่างนักวิทยาศาสตร์โอบกอด.....อเลน? ใช่ เด็กน้อยอายุไม่น่าเกิน 7 ที่ยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก เด็กน้อยนั่นชุดสีเทาหม่นๆทั้งชุด ก็คืออเลน...
“มาน่า...วอร์กเกอร์” ราวี่กระซิบเสียงแผ่วขึ้นมาจากด้านหลัง เพียงแค่นี้....ทั้งสามสบสายตากัน นักวิทยาศาตร์คนที่ เสียชีวิตในอุบัติเหตุการระเบิดของศูนย์วิทยาศาสตร์หลัก....
เพียงแค่นี้ ทั้งสามก็พอจะคาดเดาเรื่องได้บ้าง..คันดะปิดนาฬิกาพกนั้น หันไปมองอเลนที่มองมาที่เขา ดวงตาทอประการความสงสัย...หากเด็กหนุ่มทำเป็นไม่เห็น แสงขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะปรากฏลวยลายสีดำเล็กๆขึ้นที่นาฬิกาพก ก่อนจะโยนคืนให้อเลน
“นายทำอะไรนะค่ะ!” เธอถามเสียงตระหนก
“ก็แค่ลงลายติดตาม...จะปล่อยให้ของน่าสนใจอย่างนี้ หายไปได้ยังไง? เธอไม่มีทางทำใจทิ้งไอ้สิ่งนั้นไปได้แน่ๆ และฉันก็จะสามารถหาเธอเจอได้ทุกครั้งที่ฉันต้องการ” เด็กหนุ่มสาธยายยาว อย่างกับรินารี่และราวี่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้...มือนั้นเฉยคางเล็กของอีกฝ่ายขึ้นมาน้อยๆ
“จะปล่อยให้ของน่าสนใจหลุดมือไปได้ยังไงกันล่ะ....ว่าไหม เจ้าถั่วงอก....”
ในวินาทีนี้ อเลนรู้สึกเหมือนตัวเองได้ตกหลุมพรางอะไรซักอย่างเข้าแล้ว ทำไมกันนะ....เพราะอะไร ใบหน้าของเธอจึงร้อนซ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น?.....
..............................................................................................................................................................................................
writer note! ; ก็อย่างที่ว่าล่ะค่ะ ^ ^ สาวน้อยอเลนเช่นเคย! (บางคนเกิดความรู้สึกอยากเอาก้อนหินข้าวใส่จันทร์แล้วสินะ.....) เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งของจันทร์ที่ไม่ยอมหายซักที.....
จันทร์แค่เกิดความรู้สึกอยากแต่งแนว โลกยุคเทคโนโลยีล้ำหน้าผสมกับเวทมนต์ รวมเข้ากับฟิคดีเกร =w= ก็ออกมาอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่ประมาณไม่มีการวางแผนเรือ่งดีนัก ....อยากน้อยก็คอมเม้นบอกซักนิดนะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ p.junchai ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ p.junchai
ความคิดเห็น