[Fic DGM] Just Magic! - [Fic DGM] Just Magic! นิยาย [Fic DGM] Just Magic! : Dek-D.com - Writer

    [Fic DGM] Just Magic!

    หากว่าในโลกนี้เวทมนต์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเชื่อ...ไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราเล่าให้แก่เด็กน้อยสู่ห้วงนิทรา โลกแห่งนี้ของเรา จะเปลี่ยนไปได้ขนาดใหนกัน....(KandaX Fem! Allen)

    ผู้เข้าชมรวม

    1,121

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.12K

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    21
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 พ.ย. 54 / 23:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


     เกิดอารมณ์อยากเขียนเรื่องสั้นขึ้นมานะค่ะ T T จันทร์ขอโทษที่ไม่ได้ไปแต่งฟิคไวท์เบิร์ด! 
    แต่ไอ้ความคิดแปลกๆนี้ มันไม่ยอมล่ะออกมาจากหัวของจันทร์เสียที นอกจากว่าจันทร์จะระบายมันออกไปที่ใหนซักแห่ง!

    เอาล่ะค่ะ....ลองอ่านดูแล้วกันนะค่ะ ไม่รู้ว่าจะชอบกันรึเปล่า? เพราะแต่งโดยไม่มีสาระอันไดทั้งสิ้น...



    อย่างน้อยๆ คอมเม้นบอกกันซักนิดก็ดีนะคะ จันทร์จะได้มีกำลังใจไปแต่งไวท์เบิร์ดให้มันอับเร็วขึ้น!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      story; Just magic!

      paring; KandaX fem! Allen

      โลกที่มีเวทมนต์อยู่ทุกหนแห่ง ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แม้มนุษย์ก็เริ่มที่จะรู้จักประดิษฐ์คิดค้น......สร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมามากมาย หากของพวกนั้นก็ยังคงต้องใช้เวทมนต์.............ในโลกแบบนี้ล่ะ ที่เป็นที่ที่เรื่องราวทั้งหมดได้ดำเนินมา....

                      “เฮ้ย หยุดนะโว้ย!!!!” เสียงตะโกนลั่นกลางตลาดที่แออัดไปด้วยผู้คน  ร่างเล็กๆร่างหนึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนด้วยความเร็ว ตามด้วยร่างชายหนุ่มหลายคนวิ่งตามมาติดๆ ปากตะโกนด่าทอ ทั้งพลักให้คนอื่นให้พ้นทาง

                      “หยุดนะโว้ย ไอ้เด็กหัวขโมย!!!” เสียงตะโกนลั่นนั้นเหมือนจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี

                      แน่นอน เคยมีที่ใหนที่หัวขโมยจะหยุดเพียงเพราะคำสั่งกันล่ะ? ร่างเล็กๆที่เดาอายุไม่น่าจะเกิน 17 นั้นยังคงวิ่งเต็มกำลังราวกับไม่เคยเหนื่อยล้า....

                      ใช้เวทมนต์จับตัวก็แล้ว...ไม่รู้จะวิ่งตามทำไม? เนอะ ยูจัง

                      เด็กหนุ่มร่างสูงในเครื่องแบบสีดำแบบนักเรียนโรงเรียนชื่อดัง เหลืยบมองผ่านกระจกกันจากชั้นสองของร้านอาหารหรูหราลงไปยังถนนสายเล็ก สายตายังคงจับจ้องไปยังเหตุการณ์ข้างล่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับยิ้มขำ มือเท้าคางมองเพื่อนของตน ดวงตาคมกล้าอีกฝ่ายแสดงออกถึงความสนใจ....

                      เจ้าตัวทำเสียงทะเล้น ยกแก้วเครื่องดื่นขึ้นมาจิ๊บน้อยๆ พลางหันไปมองเหตุการณ์ข้างล่าง....แสร้งทำเป็นไม่สนใจสายตาอาฆาตที่เพื่อนร่วมโต๊ะตนส่งมาให้ ฐานไปเรียกชื่อต้องห้าม

                      “ใครใช้ให้แกเรียกชื่อฉัน ไอ้ราวี่!” น้ำเสียงกดต่ำกระซิบน่ากลัวในสายตาของคนโต๊ะอื่นๆ หากเด็กหนุ่มผมแดงเพลิงเพียงทำเป็นไม่สนใจ พลางผิวปากเบาขณะจ้องไปยังถนน

                      “ว้าว....เจ้าเด็กนั่นเจ๋งจริงๆ ยูจังดูสิ.......เฮ้ยๆๆ ก็ได้ๆ คันดะๆ” เจ้าตัวหาเรื่องรีบตอบอย่างรวดเร็ว ยามเมื่อมีดเล่มเล็กลอยในอากาศจ่ออยู่ตรงคอเขา ปลายมีดคมกริบเสียดผ่านผิวคออย่างน่าหวาดเสีย เจ้าตัวหุปปากเงียบ หากมองคันดะที่กอดอกตอนนี้จ้องมองไปยังข้างล่าง

                      “......” สถานการณ์ข้างล่างนั้น ตอนนี้ เหมือนกลายเป็นการแสดงโชว์ข้างถนนไปแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายร่างนั้น นอนสลบอยู่บนพื้น....ด้วยฝีมือของเจ้าคนตัวเล็กนั้น.....

                      “น่าแปลกเนอะ....วันนี้ เจอคนกล้าฝืนกฎด้วย”

      หากเป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่า กฎหมายของประเทศคือทุกสิ่งทุกอย่าง หากฝ่าฝืนกฎ ก็จะต้องรับโทษ....หนักเสียด้วย จึงน้อยนักที่จะเห็นใครอาจหาญอยู่ตรงข้ามกฏหมาย

      “ แล้วยังสามารถล้มผู้ชายตัวโตๆได้โดยไม่ใช้เวทมนต์!! สุดยอดจริง เจ้าเด็กนี่....ศิลปะการต่อสู้...ไม่ได้เห็นมานานแล้ว น่าสนใจจริงๆ” เสียงของราวี่ยังคงเจี้ยวจ้าวอยู่ข้างๆ ไม่วายทะเล้นหันมายิ้มกริ่มๆให้อีกฝ่าย “จะเอายังไงดีละครับ คุณชายคัน....ดะ...”

                      คราวนี้....ใบหน้าเรียบเย็นชาที่เห็นเมื่อครู่ กลับฉีกยิ้มเสยะออกมา “ต้องให้ฉันบอกด้วยรึไง? ไอ้กระต่าย....”

                      เจ้ากระต่ายหัวเราะ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันมาโค้งให้เด็กหนุ่มอีกคนด้วยท่าทีล้อเลียน ก่อนหันไปมองร่างหัวขโมยตัวร้ายที่วิ่งหนีไปเกือบสุดทางแล้ว มือวางบนกระจกช้าๆ... ทันไดนั้นกระจกบานใหญ่เริ่มแยกออกจากกันราวกับประตูเลือน  เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้ายิ้มกริ่มตลอดเวลาก็ก้าวเท้าเดินออกไปในอากาศ วิ่งไปบนอากาศราวกับเป็นทางเดินพิเศษล่องหน  ดวงไฟลุกพรีบท่วมร่างสมส่วนนั้น ก่อนจะวิ่งหายไปท่ามกลางสายตาตะลึงของคนอื่น แม้ทุกคนจะรู้ว่านั้นเป็นเวทมนต์  และทุกคนล้วนมีเวทมนต์แต่กำเนิด....

                      แต่แน่ล่ะ....จะมีซักกี่คนกันล่ะ ที่ วิ่งไปในอากาศได้อย่างสบายๆนะ

                      คันดะคิด นึกขันระปนหงุดหงิด ที่เด็กหนุ่มผมแดงไม่เคยพลาดที่จะแสดงความสามารถระดับอัจฉริยะของตัวเองออกมา

                      ชิ...ไอ้ตัวเรียกร้องความสนใจ

                      พลันความคิดของเด็กหนุ่มก็ตกไปยังร่างเล็กของหัวขโมยนั้น.....ความหงุดหงิดก็เพิ่มขึ้นน้อยๆ ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าพอจะมาก่อเรื่องในเขตพื้นที่ที่ในการดูแลของเขา....ไม่เคยซักครั้ง!  โดยปกติ ผู้คนเรียนรู้ที่จะไม่หาเรืองกับ หน่อยรักษาความปลอดภัย หรือก็คือ เหล่านักเรียนจากโรสครอส โรงเรียนที่เป็นที่โด่งดังจากการที่เป็นศูนย์รวมนักเรียนอัจฉริยะจากทุกแห่ง เก่งกาจทั้งใน ทั้งเวทมนต์และวิทยาศาสตร์.....

                      คันดะดื่มชาอึกสุดท้าย ก่อนจะจ่ายเงินและเดินช้าๆออกไปจากร้าน มองเจ้าพวกที่เคยวิ่งใล่ตามเด็กหัวขโมยที่พึ่งตื่นมาด้วยท่าทีโกรธเคืองและหงุดหงิดเป็นที่สุด แค้นใจที่ปล่อยให้เด็กคนเดียวหนีไปได้

       เด็กหนุ่มเดินกลับไปอีกทาง....รอยยิมเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าโดยไม่มีใครเห็น ก่อนจะหายเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า

                      ปานนี้เจ้ากระต่ายคงได้ตัวเหยื่อมาแล้ว.....

      ................................................................................................................................................................................

                     



                      ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย
      !!!

      ราวี่นั่งเท้าคางมองร่างหลับใหลอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่า ร่างเล็กๆตรงหน้าจะจัดการกับชายห้าหกคนได้ด้วยตัวเอง....โดยไม่ใช้เวทมนต์! มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนัก แม้สำหรับหมู่นักเรียนโรสครอสเอง ก็ยังไม่มีใครทำได้เสียด้วยซ้ำ....

                      ไม่มีใครทำได้......นอกเสียจาก...

                      “ใครใช้ให้แกเข้ามาในห้องฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต....”  มีดเล่มเล็กที่แสนคุ้นเคยหลายสิบเล่มดูเหมือนจะมีความสุขกับการชี้ปลายแหลมคมกริบราวกับปากนกเหยี่ยวของมันมาที่ตัวเขาเสียเหลือเกิน
                        ท่านจ้าวปีศาจแห่งโรงเรียนโรสครอส.......

                       เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอือก เขาค่อยๆหันหลังไปมองคันดะ ใบหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้ เขาเกือบนึกขอบคุณโคมุอิที่ยึดเอามุเก็นสุดรักของเขาไป แต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ช่วงนี้เขาเจ็บตัวหนักมากกว่าปกติ....

                      “ไม่เอาน่า ยูจ....เฮ้ย!! โอเคๆ คันดะ...นายก็รู้ตั้งแต่ฉันออกมาจากร้านแล้วนี่ ว่าฉันอยู่ในห้องนาย....บอกตามตรงนะ ระบบรักษาความปลอกภัยของห้องนายนี่ ห่วยมาก” ทั้งยกนิ้วโป้งให้อย่างไม่เกรงกลัว

                      จิ๊ก!!!

                       ส่งผลให้มีดเล่มเล็กทั้งหลายจิ้มเข้าเนื้อตัวหาเรื่องเสียเต็มแรง พาลให้วิ่งพล้านไปทั้วห้อง

                      “อ๊ากกกกกกกกกกก”

                      ไม่คิดจะช่วย ความสนใจของคันดะตกอยู่กับร่างที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ของเขา เขาสัมผัสได้ถึงไอเวทมนต์รางๆของราวี่จากตัวของหัวขโมยนี้

                      เวทนิทรา?

                      “หลับไว้จะได้ไม่ก่อปัญหานะ” ราวี่ที่หยุดวิ่งมาบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะอวดครวญยาว “รู้ใหม....แปลกนะ ตอนที่ฉันใช้เวทมนต์นะ เจ้าเด็กนี้ไม่ยอมใช้เวทมนต์ตอบเลย เอาแต่แตะต่อยอย่างเดียวเลย เล่นเอาระบมไปทั้งตัวเลย....”

                      ไม่ยอมใช้เวทมนต์?....เด็กประหลาด...

                      คันดะเอื้อมมือไปดึงหมวดที่ปกปิดใบหน้า ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มพูนในใจอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนลืมหายใจไปชั่วครู่  ใบหน้าของ.....เด็กสาว?

      เด็กสาวอายุไม่น่าจะเกิน 16 ปี ใบหน้าเรียวมนหวานน่ารักครอบคลุมด้วยเส้นผมสีขาวหิมะยาวประบ่าที่โผล่ออกมาจากหมวดที่จับตาคันดะเป็นสิ่งแรก ก่อนจะตามด้วยร่องรอยสีแดงประหลาดที่ลากผ่านซีกหนึ่งของใบหน้าขึ้นไปถึงหน้าผาก เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปปัดเส้นผมอ่อนสีขาวตรงหน้าผาก ให้เห็นรอยสีแดงนั้นมีรูปร่างเป็นดาวห้าแฉก ราวกับวาดไว้อย่างประณีต

      “อย่างกับสัญลักษณ์ในวงเวทย์เลยนะนี่....เป็นรอบสักรึเปล่านี่? ท่าจะเจ็บน่าดู” ราวี่ที่อยู่ด้านหลังบ่นประซิบด้วยน้ำเสียงส่งสัยใคร่รู้ ก่อนจะได้สำรวจร่างเล็กนั้นได้มากกว่านั้น เสียงหวานใสที่คุ้นเคยก็ดังลั่นจากนอกห้อง

      “คันดะ ราวี่!!!” ประตูเปิดผ่างออกเต็มแรง  เด็กหนุ่มสองคนสะดุ้งตกใจสุดกำลัง

      “พวกนาย....ทำอะไรกันนี่??” เด็กสาวเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนรักสองคนของตนมุงเด็กสาวน่ารักที่เธอไม่เคยเห็นหน้า

      ห้องคันดะ.....

      เด็กผู้หญิง...

      เด็กผู้หญิงในห้องของคันดะ!??

       ก่อนเธอจะได้ประมวลข้อมูลประหลาดที่ส่งไปยังสมองนั้นได้ ดวงตาสีเทาที่ดูเหมือนตื่นขึ้นมาจากนิทราเบิกกว้างมองมาที่เธออย่างตระหนก หากเพื่อนทั้งสองของเธอยังไม่รู้ตัว

      “.รินารี่ เธอช่วยเคาะประตูหน่อยได้ไหม? เวลาจะเข้ามาในห้องนะ..!

      “เอ่อ....คือว่า...” รินารี่ชี้ไปยังเด็กสาวปริศนา...

                      พลั๊ก!!!!!

                      ทันไดนั้นเอง กำปั้นเล็กๆ หากแต่หนักไม่น้อยก็ตรงเข้ามาที่หน้าของคันดะอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ให้กระเด็นหงายหลังไป ท่ามกลางความตกใจของเพื่อนอีกสองคน เด็กสาวถือโอกาสหมุนตัวใช้เท้าถีบเข้าที่ช่วงตัวของราวี่ให้เต็มแรง ก่อนเด็กสาวผมขาวกระโดดขึ้น พุ่งตัวไปยังประตูที่ พลั่กรินารี่ให้พ้นทาง

                      อีกนิดเดียว!!!

                      วิ้ง!

                      แสงสายสีฟ้าอ่อนส่องสว่างรอบตัวเด็กสาวเรือนผมขาว โอบร่างของเธอราวกับลูกบอลใสๆ ลอยล่องขึ้นจากพื้น หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอโดยสิ้น เธอหันมองเด็กหนุ่มผมดำยาวที่ตอนนี้เดินมาใกล้เธอด้วยใบหน้าประดับด้วยชัยชนะมาให้

                      “นึกว่า หมัดเบาๆของเธอหมัดเดียวจะหยุดฉันได้รึไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“บอกเหตุผลที่มาก่อกวนในเมืองให้ฉันฟังหน่อยสิ ก่อนที่ฉันจะส่งหล่อนไปให้พวกตำรวจ”

                      เด็กสาวกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง กอดอกสะบัดหน้าไปทางอืนอย่างไม่คิดจะให้คำตอบ

                      “คันดะ เด็กนี่...ใครเหรอ?” รินารี่ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆถามขึ้น เมื่อทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ใหว....

                      “หัวขโมยที่ไปขโมยของในเขตการดูแลของคันดะนะ” ราวี่กลับเป็นฝ่ายตอบแทนด้วยสีหน้าร่าเริง “เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้หงุดหงิดมากกว่าทุกวันไงล่ะ”

                      “เอ๋?..” เด็กสาวอุทานด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ เธอหันไปมองร่างเล็กๆที่ยังคงติดอยู่ในลูกบอลสีฟ้าใสของคันดะ “เป็นไปไม่ได้หรอกน่า คันดะ นายเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า?”

                      เจ้าตัวเพียงเลิกคิ้วให้เธอ ก่อนจะหันไปสนใจเด็กสาวผมขาวที่ไม่ต้องมามองเขา เดือดร้อนให้ราวี่ต้องเป็นผ่านอธิบายอีกครั้ง...

      .               เด็กหนุ่มผมสีเพลิงถอนหายใจ สะบัดมือหนึ่งครั้ง ให้ลูกไฟปรากฏพริบขึ้นมาในมือ ก่อนจะกลายเป็นนาฬิกาพกสีเงินเงาเรือนเล็กแกะลายดอกไม้และโน๊ตดนตรีอ่อนช้อยสวยงาม เชื่อมด้วยสายเงินยาว ตรงปลายสายเป็นศริสตัลสีแดงแกะเป็นรูปผีเสื้อสะท้องแสงวาววับ

                      “เอาคืนมานะคะ!!” เด็กสาวที่เงียบอยู่นานตะโกนขึ้นมาเสียงดัง มือทุบสิ่งที่กักขังตนเต็มแรง

      คันดะมองปฏิกิริยาของเด็กสาวด้วยท่าทีสนใจ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง “แล้วทำไมฉันต้องให้เธอด้วยล่ะ หืม.... เจ้าถั่วงอก?”

       “มันเป็นของฉัน! พวกนั้นต่างหากล่ะ ที่ขโมยของฉันไป!

      “มีอะไรมายืนยันได้ล่ะ ว่ามันเป็นของเธอนะ”

      “........” คราวนี้ เด็กสาวเงียบ.....เธอจะบอกได้อย่างไรกันล่ะ....ในเมื่อมันเหมือนไม่มีหลักฐานอะไรที่จะบ่งบอกได้เลยว่า นาฬิกาพกเรือนนั้นเป็นของเธอ ของที่ดูมีราคาขนาดนั้น พวกนี้ก็คงไม่เชื่อเป็นแน่....

      “ว่าไงล่ะ?” คันดะคาดคั้น ซึ่งก็ไม่ได้คำตอบกลับมา...รินารี่มองเด็กสาวที่เริ่มซึมเงียบด้วยความรู้สึกสงสารขึ้นมา คันดะถอนหายใจเฮือก ดีดนิ้วเบาๆ ลูกบอลสีฟ้าใสก็มลายหายไปราวกับฟองอากาศ

      “อ่ะ...” เด็กสาวร่วงลงไปบนพื้น มองเด็กหนุ่มผมดำด้วยสีหน้าไม่คาดคิด เด็กหนุ่มกวักแกว่งนาฬิกาเรือนงามตรงหน้าเธอ ดังคาด เด็กสาวพุ่งไปคว้าอย่างรวดเร็ว หากนาฬิกานั้นลอยขึ้นไปในอากาศ สูงเสียจนเธอเอื้อมไม่ถึง

      “ฉันจะให้นาฬิกานั้นกับเธอ....ตอบคำถามฉันมาก่อน” คันดะเอนตัวลงบนโซฟาลงอย่างสบายๆ ราวี่ยืนข้างๆอย่างสนใจ รินารี่เดินไปนั่งเก้าอี้ที่ห่างออกไปเล็กน้อย...

      เด็กสาวมองนาฬิกาพกที่ยังคงลอยอยู่บนเพดานห้อง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และนั่งลงตรงโซฟาตรงข้าม

      “ชื่อ?” เด็กหนุ่มผมยาวถามขึ้น

      “อเลน....”  เด็กสาวตอบเสียงแผ่ว... “นาย....”

      “คันดะ....ส่วนเจ้าหัวแดงนั่น ไอ้กระต่าย..แล้วยัยนั่นก็ รินารี่ ลี” เด็กสาวไล่สายตาไปตามแต่ละคน

      “ราวี่ต่างหากล่ะ ” เด็กหนุ่มโวย...

      “อเลนอายุเท่าใหร่จ๊ะ” คราวนี้ อเลน

      “ฉันไม่รู้ค่ะ” ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มปรากฏรอยยิ้มมาน้อยๆ ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นแบบที่คันดะไม่เข้าใจ

       “ฉันไม่มีความทรงจำค่ะ ฉันตื่นขึ้นกลางป่าข้างๆเมืองนี้” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ หากดวงตาสีเทาคู่สวย จ้องมาที่เด็กหนุ่มแน่วแน่ “ฉันจำได้แต่ชื่อ แล้วก็นาฬิกาพกเรือนนั้น แล้วก็ผู้ชายหน้าตาใจดีผมสีน้ำตาลในชุดเสื้อกาวล่ะ นอกจากนั้น ฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย”

                      “เธอ...” คันดะมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา “ไม่มีเวทมนต์  ฉันสัมผัสถึงไอเวทมนต์ของเธอไม่ได้ แล้วถ้าเธอมีเวทมนต์ ตอนนี้ก็คงหยิบเอานาฬิกานั่นได้แล้ว”

                      อเลนมองอีกฝ่าย ยิ้มขึ้นมาน้อยๆ “ค่ะ”

                      ราวี่และรินารี่มองเด็กสาวด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อทุกชีวิตจะต้องมีเวทมนต์แม้น้อยนิด ก็ยังเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต หากเมื่อไหร่ที่เวทมนต์หายไปจากร่างกาย กายก็จะตาย....หากเด็กสาวตรงหน้ายังคงมีชีวิตอยู่นี่???

                      น่าสนใจ....น่าสนใจเสียจริง

                      นั่นคงเป็นความคิดของคนทั้งสามในห้อง ที่ดูเหมือนจะตรงกันเป็นครั้งแรก....

                      นาฬิกาพกสีเงินที่อยู่บนอากาศค่อยๆลอยลงมายังมือของเด็กหนุ่มผมดำอย่างช้าๆ สายตาของอเลนจับจ้องไปตามไม่ล่ะ

      “เคยเปิดมันไหม?” เด็กหนุ่มถาม อเลนส่ายหน้าน้อยๆ แน่ล่ะ ทุกอย่างในโลกนี้จำต้องใช้เวทมนต์ทั้งนั้น แม้แต่การเปิดนาฬิกาพก เธอมองคันดะเปิดนาฬิกาออกมาอย่างง่ายดาย.....

      คันดะมองตัวนาฬิกาอย่างสนใจ ในนั้นเป็นเพียงนาฬิกาที่เดินอย่างปกติ หากบนฝานาฬิกาเรือนน้อยนั้น มีภาพถ่ายของคนสองคนติดไว้...ชายวัยกลางคนในชุดกาวสีขาวอย่างนักวิทยาศาสตร์โอบกอด.....อเลน? ใช่ เด็กน้อยอายุไม่น่าเกิน 7 ที่ยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก เด็กน้อยนั่นชุดสีเทาหม่นๆทั้งชุด ก็คืออเลน...

      “มาน่า...วอร์กเกอร์”  ราวี่กระซิบเสียงแผ่วขึ้นมาจากด้านหลัง เพียงแค่นี้....ทั้งสามสบสายตากัน นักวิทยาศาตร์คนที่ เสียชีวิตในอุบัติเหตุการระเบิดของศูนย์วิทยาศาสตร์หลัก....

      เพียงแค่นี้ ทั้งสามก็พอจะคาดเดาเรื่องได้บ้าง..คันดะปิดนาฬิกาพกนั้น หันไปมองอเลนที่มองมาที่เขา ดวงตาทอประการความสงสัย...หากเด็กหนุ่มทำเป็นไม่เห็น  แสงขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะปรากฏลวยลายสีดำเล็กๆขึ้นที่นาฬิกาพก ก่อนจะโยนคืนให้อเลน

                      “นายทำอะไรนะค่ะ!” เธอถามเสียงตระหนก

                      “ก็แค่ลงลายติดตาม...จะปล่อยให้ของน่าสนใจอย่างนี้ หายไปได้ยังไง? เธอไม่มีทางทำใจทิ้งไอ้สิ่งนั้นไปได้แน่ๆ และฉันก็จะสามารถหาเธอเจอได้ทุกครั้งที่ฉันต้องการ” เด็กหนุ่มสาธยายยาว อย่างกับรินารี่และราวี่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

                      เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้...มือนั้นเฉยคางเล็กของอีกฝ่ายขึ้นมาน้อยๆ

                      “จะปล่อยให้ของน่าสนใจหลุดมือไปได้ยังไงกันล่ะ....ว่าไหม เจ้าถั่วงอก....”

                      ในวินาทีนี้ อเลนรู้สึกเหมือนตัวเองได้ตกหลุมพรางอะไรซักอย่างเข้าแล้ว ทำไมกันนะ....เพราะอะไร ใบหน้าของเธอจึงร้อนซ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น?.....

      ..............................................................................................................................................................................................
      writer note! ; ก็อย่างที่ว่าล่ะค่ะ ^ ^ สาวน้อยอเลนเช่นเคย! (บางคนเกิดความรู้สึกอยากเอาก้อนหินข้าวใส่จันทร์แล้วสินะ.....) เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งของจันทร์ที่ไม่ยอมหายซักที.....

      จันทร์แค่เกิดความรู้สึกอยากแต่งแนว โลกยุคเทคโนโลยีล้ำหน้าผสมกับเวทมนต์ รวมเข้ากับฟิคดีเกร =w= ก็ออกมาอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่ประมาณไม่มีการวางแผนเรือ่งดีนัก ....อยากน้อยก็คอมเม้นบอกซักนิดนะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×