คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7 การหมั้นที่ปั่นป่วน...อย่างเหลือเชื่อ
บทที่ 7 การหมั้นที่ปั่นป่วน...อย่างเหลือเชื่อ
กล้วยเชื่อหมอดู หมั้นหมอปั๊บสายฟ้าแลบ รอฤกษ์แต่งชัวร์ปีนี้... กล้วย-กัทลีรัตน์คอนเฟิร์มเกมรักเดินเร็วแต่ไม่ได้รีบเร่งเพราะกลัวป่อง ฤกษ์รักมาไวเพราะผู้ใหญ่และครอบครัวหนุนนำ อายุยังน้อยแต่รักเบ่งบาน ยันไม่ใช่วิกฤตคลุมถุงชน รักนี้ไม่มีนอกมีใน ฝ่ายคุณพ่อนางเอกสาวให้สัมภาษณ์ ห่วงลูกสาวใช้ชีวิตลำพังทำงานบันเทิง จึงอยากให้มีคนดีๆ ที่ตนไว้วางใจคอยเคียงข้างดูแลใกล้ชิดแทนคุณพ่อและคุณแม่ที่ต่างก็แยกไปมีครอบครัวใหม่
หลายคนยินดีกับข่าวนี้ แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่พอใจ โดยเฉพาะพลอยพัทธกับแม่ของกัทลีรัตน์ที่แทบคลั่งเพราะทำใจยอมรับไม่ได้ง่ายๆ นภาเกลียดปณิธิ ส่วนพลอยพัทธไม่พอใจที่กัทลีรัตน์หาทางออกจากข่าวฉาวได้ง่ายดายด้วยวิธีนี้ ทว่าสิ่งต่างๆ ก็ถูกจัดเตรียมและปล่อยให้ดำเนินไปตามขั้นตอนโดยไม่มีใครขัดขวางได้ การหมั้นระหว่างกัทลีรัตน์กับปณิธิจึงมีขึ้นที่บ้านของแพทย์หญิงนภาในที่สุด
การจัดงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและแทบไม่มีพิธีรีตองยุ่งยาก แขกที่รับเชิญมาร่วมงานมีจำนวนไม่มากนัก แต่กลับมีนักข่าวมาไม่น้อยเลย
พ่อของกัทลีรัตน์ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องงานหมั้นมาตั้งแต่ต้นร่วมกับผู้จัดการของเธอและคุณอาของปณิธิ...ก็ขึ้นมาร่วมงานที่กรุงเทพฯ วันนี้ด้วย แม้ว่านภาจะพยายามต่อต้านและแทบไม่ให้ความร่วมมือใดๆ หากก็ไม่อาจเอาชนะรัตนชัยได้ และนภาเองก็ทราบดีว่าการมีปัญหากันรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายได้ทีหาเรื่องกวนประสาทหล่อนเท่านั้น
เสื้อผ้าสำหรับใส่ในพิธีหมั้นของกัทลีรัตน์เป็นชุดกระโปรงแขนกุดสีขาวอมชมพูยาวเสมอเข่า ในขณะที่ฝ่ายชายสวมสูทสีครีมเรียบร้อย แหวนหมั้นที่เขาสวมให้เธอในวันนี้เป็นแหวนเก่าของพ่อกับแม่ที่ผู้เป็นอาเก็บเอาไว้และนำไปแก้ให้พอดีกับนิ้วของกัทลีรัตน์ก่อนหน้านี้แล้ว ความเอื้ออาทรที่เธอได้รับจากญาติฝ่ายปณิธิทำให้หญิงสาวแทบน้ำตาซึมและไม่รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องโกหกเลยแม้แต่น้อย
ปณิธิเตรียมใจไว้แล้วสำหรับการเผชิญกับสื่อมวลชน และพร้อมจะปั้นหน้าตอบคำถามอย่างรื่นรมย์เต็มที่ แต่การเผชิญกับสายตาน่าฉงนและท่าทีเย็นชาอย่างยิ่งของคู่หมั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมใจมาแต่แรก ต่อให้เธอแสร้งยิ้มแย้มได้แนบเนียนต่อหน้าคนอื่นสมกับเป็นดารานักแสดงมากเพียงใด แต่พออยู่กับเขาปฏิกิริยาของเธอก็จะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากจบขั้นตอนการสวมแหวนและผูกข้อมือ รวมทั้งการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวผ่านพ้นไป ปณิธิก็ทนนิ่งเฉยกับอาการประหลาดของเธอไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงเอ่ยปากถามตรงๆ ว่าเธอเป็นอะไรไป
“ฉันแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้นค่ะ” กัทลีรัตน์ตอบเสียงแข็งเล็กน้อยทั้งที่ใจเต้นแรงด้วยความคาดหวัง
“เหนื่อยแล้วทำไมต้องคอยมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ตลอดเวลา”
หญิงสาวมองตาเขา พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ “ฉันคิดว่าอยากหาที่เงียบๆ พักสักครู่ แล้วก็...ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหมคะ”
“ผมเองก็อยากคุยกับคุณอยู่เหมือนกัน” เขาบอกเสียงตึงๆ เล็กน้อย
“งั้นก็...ตามมาสิคะ” เธอควบคุมท่าทีให้เรียบเฉย แล้วเดินนำไปยังห้องทำงานของแม่ซึ่งอยู่ภายในชั้นหนึ่งของตัวบ้านโดยไม่รอคำตอบรับจากอีกฝ่าย
“คุณว่ามาสิ เรื่องที่อยากคุยกับผม” ปณิธิออกปากทันทีเมื่ออยู่ตามลำพังภายในห้องทำงานที่ชั้นติดผนังทุกด้านแออัดไปด้วยตำราทางการแพทย์และหนังสือสารพัด เขายืนกอดอกพิงตู้หนังสือ ส่วนเธอนั่งหลังตรงบนโซฟายาว
“ฉันอยากขอบคุณที่คุณให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตอนตอบคำถามนักข่าว”
น้ำเสียงและสีหน้าเย็นชายามกล่าวคำขอบคุณของเธอทำให้คนฟังนิ่วหน้าอย่างกังขา “แสดงว่าเรื่องให้สัมภาษณ์ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้คุณ
กัทลีรัตน์หลุบตาลง ไม่ยอมตอบคำถาม
“คุณก็รู้ว่าการยืนปั้นหน้าให้สัมภาษณ์แบบนั้นสำหรับผมมันเหนื่อยยิ่งกว่ายืนผ่าตัดทั้งวันเสียอีก แต่คุณกลับเย็นชาใส่ผมจนถึงตอนนี้ จะพูดดีๆ หรือยิ้มให้สักนิดก็ไม่มี รู้งี้ผมเหวี่ยงใส่นักข่าวเพราะคำถามบ้าๆ บอๆ พวกนั้นเสียก็ดี”
เธอช้อนตามองเขา “ตอนนี้เราหมั้นกันแล้ว คุณควรหัดรู้สึกดีกับนักข่าวได้แล้วนะคะ เพราะพวกเขามีส่วนช่วยเรื่องงานของฉันมาก ฉันคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีพวกเขาคอยตามทำข่าว ถึงแม้บางคำถามของนักข่าวบางคนจะทำให้หงุดหงิดคุณก็ต้องทน”
“ผมสัญญาว่าจะพยายาม ถ้าคุณบอกมาเสียทีว่าไม่พอใจผมเรื่องอะไร”
กัทลีรัตน์กลืนน้ำลายขณะทบทวนสิ่งต่างๆ ในใจ “เมื่อวาน...คุณกับหมอมิ้นท์พักที่เดียวกันหรือคะ”
คนถูกถามชะงักก่อนตอบ “ครับ”
ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่คำตอบรับง่ายๆ ของเขาทำให้เจ็บแปลบในอกอย่างไม่น่าเชื่อ “คราวที่แล้วคุณกับเธอก็พักที่เดียวกัน...”
“ปกติมากรุงเทพฯ ผมพักที่นั่นตลอด เพราะสะดวกสุด”
“แล้วทำไมไม่พักบ้านหมอภีมล่ะคะ”
คิ้วเข้มของปณิธิขมวดเข้าเล็กน้อยเพราะการถูกซักไซ้ไล่เลียง “บอกแล้วไง พักโรงแรมนั้นสะดวกสุด”
“เป็นเพราะคุณอยากพักที่เดียวกับหมอมิ้นท์มากกว่า”
“ไม่ได้พักห้องเดียวกันซะหน่อย” ดวงตาคมกริบมองสบกับเธออย่างไม่หวั่นไหว
กัทลีรัตน์เม้มปาก ในใจว้าวุ่นร้อนรนอย่างน่าโมโห หญิงสาวรีบตั้งสติเมื่อรู้ตัวว่าเริ่มไขว้เขวจากเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรก เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแวบหนึ่ง ก่อนชำเลืองไปยังคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่ามากจนชวนให้ใจฝ่อเมื่อนึกถึงแผนบ้าๆ ของตน จนนึกอยากล้มเลิกมันเสียเดี๋ยวนั้น สิ่งที่คิดเอาไว้มันไม่ได้ง่ายเหมือนในละคร เธอไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เธอคงทำมันไม่ได้แน่
“สรุปว่าคุณโกรธเพราะกังวลว่าผมนอกใจ?”
“ไม่ใช่ค่ะ” แม้แต่เธอเองยังรู้สึกได้ว่าคำปฏิเสธไม่มีความน่าเชื่อถือ
“ผมไม่เคยมีอะไรกับมิ้นท์”
“ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่คะ” เธอคิดว่าภายนอกเขากับมัทนาอาจไม่ได้มีอะไรเกินเลยต่อกัน แต่เชื่อว่าภายในใจเขามีหล่อนอยู่แน่ๆ เขาคงวาดหวังเกี่ยวกับอนาคตที่มีมัทนาอยู่ก่อนแล้ว แต่เธอกลับโผล่มาทำให้ความฝันของเขาพังทลาย ทั้งที่การคิดแบบนี้รังแต่จะทรมานใจ ทว่าเธอก็อดคิดไม่ได้
“เมื่อวานผมนัดเจอเขาที่สนามบินเพราะอยากให้เขาไปส่งซื้อของจำเป็น”
“ซื้ออะไรคะ” เธอเผลอถามสวนไปทันทีทั้งที่ควรทำเป็นไม่สนใจแล้วรีบทำตามแผนก่อนจะสายเกินไป ทว่าปุษยาคงคาดหวังจากความเป็นนักแสดงของเธอมากเกินไป เพราะตอนนี้เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าอยู่ดีๆ จะให้ลุกขึ้นมายั่วยวนจนปณิธิลืมตัวลวนลามเธอคงเป็นไปไม่ได้
“เครื่องเกมผมพังเลยต้องซื้อใหม่ มิ้นท์เขาก็เล่นเกมเหมือนกัน ผมเลยให้เขาไปช่วยดู”
‘ของจำเป็น’ ของเขาทำเอาคนฟังโมโหจี๊ด
“อีกอย่าง ผมต้องรีบไปตัดผมก่อนถึงงานหมั้น ผมเลยขอให้เขาไปเป็นเพื่อน ไม่งั้นวันนี้คุณคงได้คู่หมั้นผมไม่เป็นทรง แถมยังไว้หนวดเครารกเต็มหน้า”
สีหน้าและแววตาที่ยังแสดงความดื้อดึงของคู่หมั้นทำให้ปณิธิถอนหายใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาแล้วดึงให้ลุกขึ้น รั้งร่างเธอเข้าแนบชิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวหอบหายใจลึกด้วยความตระหนก เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้แต่แรก แผนการที่ปุษยาวางไว้คือเธอต้องเป็นฝ่ายรุกและใช้ความเซ็กซี่ปลุกอารมณ์เขาให้ได้...
“นี่คุณจะทำอะไรคะ!”
“คุณกำลังไม่พอใจเพราะคิดว่าผมมีอะไรกับคนอื่น ผมเลยต้องพิสูจน์ว่าคุณเข้าใจผิด” เขาพูดพร้อมกับผลักดันอย่างนุ่มนวลให้เธอถอยหลังไปเรื่อยๆ จนบั้นท้ายชนเข้ากับขอบโต๊ะ
ตากลมโตของเธอเบิกโพลงยิ่งขึ้น ตัวแข็งทื่อทว่าหัวใจเต้นแรงแทบหลุดจากอก ละล่ำละลักแทบไม่เป็นภาษา “คุณจะพิสูจน์ได้ยังไง ยังไงฉันก็ไม่มีทางรู้หรอกค่ะ!”
“รู้สิ คุณต้องรู้แน่” เขากระซิบแผ่วเบา ดวงตาทอประกายระยิบขณะโน้มใบหน้าหาเธอช้าๆ
“ไม่...” เธอกลืนคำพูดต่อจากนั้นลงคอเมื่อเรียวปากร้อนผ่าวของเขาทาบทับลงบนปากเธออย่างแม่นยำ หัวใจเธอเหมือนจะหยุดเต้นเพราะสัมผัสล้ำลึก แม้ขัดขืนต่อต้านแรงกอดรัดของเขาเพียงใด แต่กลับไม่อาจผลักไสความแนบสนิทนั้นให้ห่างเหินไปได้เลยแม้เพียงหนึ่งมิลลิเมตร
ขณะกลืนกินความหอมหวานจากเธอด้วยจูบที่อ่อนโยนทว่าดูดดื่มอย่างยิ่ง ร่างสูงของเขาก็บดเบียดเข้าหาอย่างเอาแต่ใจ ราวกับต้องการให้ทุกส่วนของร่างกายเขารู้สึกถึงเรือนร่างนุ่มละมุนให้ทั่วทุกตารางนิ้วแม้มีเสื้อผ้าหลายชั้นกีดกั้น กัทลีรัตน์ยิ่งดูบอบบางและตัวเล็กมากขึ้นเมื่อสวมเพียงรองเท้าแตะพื้นบางสำหรับใส่ในบ้าน แต่ความอวบอิ่มที่รับรู้ได้จากการใกล้ชิดนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจ
รสชาติของจุมพิตที่ค่อยๆ หนักหน่วงขึ้นทำให้หญิงสาวตื่นตระหนกจนขนลุกชันไปทั้งตัวและรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจ แต่เหมือนคนที่กำลังเอาเปรียบกลับไม่สนเลยว่าเธอจะเป็นอย่างไร เมื่อถอนริมฝีปาก เขายังจับจ้องใบหน้าแดงก่ำของเธอใกล้ๆ โดยไม่ยอมขยับห่าง ลมหายใจร้อนผ่าวของทั้งคู่ปะทะกันในระยะประชิด รู้สึกถึงจังหวะหัวใจของกันและกันชัดเจน ประกายตาของเขาทำให้ท้องไส้เธอปั่นป่วนอย่างรุนแรง ฉุดกระชากความมั่นใจไปจากเธอหมดสิ้น
“คุณมันคนฉวยโอกาส” กัทลีรัตน์ประณามเขาพลางหอบหายใจ แทบไม่รู้ตัวว่าคำพูดที่เปล่งออกมานั้นดังเพียงเสียงกระซิบ เธอมองเขาด้วยดวงตาวาววับ พยายามประคองสติและกลั้นน้ำตาแห่งความสับสนไว้สุดกำลัง
“คุณท้าให้ผมพิสูจน์” คนฉวยโอกาสมองริมฝีปากจิ้มลิ้มที่แทบช้ำระบมเพราะฝีมือเขาด้วยอารมณ์หลากหลายที่พรั่งพรูอยู่ภายใน ไม่สนใจอาการขัดขืนของอีกฝ่ายที่พยายามผลักไสออกห่าง ซ้ำยังกอดกระชับเธอให้แน่นขึ้นอีก มือร้อนผ่าวข้างหนึ่งลูบขึ้นไปยังท้ายทอยก่อนแทรกเข้าสู่เรือนผมนุ่มลื่นและดำขลับสมกับเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
หญิงสาวตัวสั่น “พิสูจน์อะไรของคุณ ฉันไม่เห็นรู้อะไรจากวิธีบ้าๆ แบบนี้เลย”
“คงเพราะนั่นอาจจะยังไม่พอ...” เมื่อเห็นแววยิ้มร้ายกาจที่วูบขึ้นในดวงตาคมกริบคู่นั้น เธอรู้ทันทีว่าคำพูดตนผิดพลาดอย่างมหันต์ ไม่ทันที่จะอ้าปากประท้วงอีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าลงมาปิดปากเธออีกครั้งด้วยเรียวปากอุ่นชื้นของเขา ปณิธิรู้อยู่เหมือนกันว่าทำตัวหยาบคายและแย่มาก แต่มันช่วยไม่ได้เพราะคู่หมั้นที่ตัวนุ่ม หอมกรุ่น และผิวขาววิ้ง...กำลังทำให้เขาขาดสติ
ไม่มีใครได้ยินเสียงเคาะประตูห้องก่อนที่มันจะถูกผลักเข้ามา
“ปล่อยลูกสาวผมนะหมอ!”
น้ำเสียงเฉียบขาดที่ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกันทันควัน ปณิธิหันขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกับผลักคนตัวเล็กไว้ด้านหลังตน เขากลั้นเสียงสบถขณะเสยผมและสูดหายใจลึกเพื่อปรับสภาพความรู้สึก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดริมฝีปากตัวเองซึ่งรู้ว่ามีลิปสติกติดอยู่แรงๆ ส่วนมือข้างหนึ่งยังจับมือของคนข้างหลังไว้แน่น มือเธอเย็นเฉียบและสั่นเทา ขนาดเขายังรู้สึกแย่มากขนาดนี้ กัทลีรัตน์คงหนักยิ่งกว่า
รัตนชัยกับนภายืนอยู่ตรงประตู และเพื่อนสนิทสองคนของกัทลีรัตน์ยืนอยู่ข้างหลังของทั้งคู่ รัตนชัยมีสีหน้าถมึงทึงและเป็นสีเข้มด้วยความโกรธ ในขณะที่นภาใบหน้าขาวซีดด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่ยัยแม่มดผู้ร้ายกาจก็ยังทำใจไม่ได้กับการกระทำชั่วร้ายของเขาในขณะนี้ ปณิธินึกในใจด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“ถึงเป็นคู่หมั้นแต่หมอก็ไม่มีสิทธิ์มาล่วงเกินยัยกล้วยแบบนี้ อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกว่าเสียแรงที่ไว้ใจ”
“เลวที่สุด ถือดียังไงถึงพาลูกสาวฉันมาปู้ยี่ปู้ยำในบ้านฉัน ในงานหมั้นที่มีคนเต็มไปหมดแม้กระทั่งนักข่าว!” นภาโพล่งออกมาด้วยความโกรธจนตัวสั่น หน้าขาวซีดค่อยๆ แดงก่ำขึ้น ดวงตาเหมือนมีไฟลุกโพลง
“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มกล่าวยอมรับผิด หากน้ำเสียงและสีหน้าท่าทียังคงหยิ่งผยอง มิได้แสดงออกว่าเสียใจอย่างที่รู้สึกจริงๆ การตำหนิอย่างฉุนเฉียวของรัตนชัยทำให้รู้สึกเจ็บแสบ หากปณิธิก็พอเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ทว่าการประณามของนภาทำให้เขาหงุดหงิดมากกว่าจะสำนึกผิด
“คุณเห็นรึยังว่าตัวเองคิดผิดแค่ไหน ว่าที่ลูกเขยคนดีของคุณมีแต่จะทำให้ยัยกล้วยเสื่อมเสีย การกระทำของเขามันจงใจดูถูกเราชัดๆ ลูกสาวฉันไม่เคยมีเรื่องเสียหายแบบนี้มาก่อนจนมารู้จักกับเขานี่แหละ ทุเรศสิ้นดี!” นภาขึ้นเสียงพร้อมกับตวัดตามองปณิธิอย่างจงเกลียดจงชัง
“เรื่องนี้ถ้าคุณไม่พูดผมไม่พูดแล้วใครจะรู้” แม้จะโกรธปณิธิมากแค่ไหน แต่ความต้องการเอาชนะอดีตภรรยาทำให้รัตนชัยไม่แคร์ที่จะพูดไปเช่นนั้น และพอใจที่จะปกป้องชายหนุ่มผู้เป็นอริกับนภามากกว่าร่วมมือกับหล่อนประณามอีกฝ่าย
“คุณมันบ้าไปแล้ว คุณไม่รักลูกเลยรึไงถึงได้ผลักไสลูกให้ผู้ชายที่แย่ที่สุดแบบนี้”
“หมอเขาก็ไม่ได้แย่อะไร มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายเราอดใจไม่ได้เวลาเห็นผู้หญิงสวย แถมยัยกล้วยยังเป็นคู่หมั้นเขาอีกต่างหาก”
“นี่คุณยังจะให้ท้ายเขาอีกหรือ เห็นเขาดีกว่าลูกตัวเองแล้วใช่ไหม แต่ให้ตายยังไงฉันก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด”
“คุณเงียบเถอะน่านภา ไม่ยอมแล้วจะทำไงได้ เสียงดังไปเดี๋ยวคนอื่นก็แห่กันมาให้ได้เรื่อง” รัตนชัยเอ็ดด้วยน้ำเสียงคล้ายรำคาญ ก่อนจะหันมามองปณิธิด้วยสายตาดุดัน “หมอพายัยกล้วยออกไปก่อน ผมกับนภามีเรื่องต้องคุยกันยาวเกี่ยวกับเรื่องหมอกับยัยกล้วย เตรียมตัวไว้เลยนะหมอ ไม่ว่ายังไงการแต่งงานก็ต้องมีขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
กัทลีรัตน์ตัวสั่นสะท้าน เธอเอาแต่ก้มหน้าไม่มองใครเลยจนกระทั่งพ้นจากสายตาพ่อและแม่ออกมาจากห้อง รู้สึกอดสูอย่างยิ่งกับการถูกจับได้ในสภาพที่น่าอับอายเช่นนั้น ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดไว้เลย มันมากเกินไป สิ่งที่เธอจินตนาการไว้ไม่ถึงครึ่งของที่เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำ วิธีการที่เขาแตะต้องเธอมันเกือบทำให้เธอเป็นลมหมดสติ กระทั่งเวลานี้เธอยังรู้สึกถึงเรียวปากและลิ้นอุ่นจัดของเขา รู้สึกถึงฝ่ามือร้อนบนส่วนต่างๆ ของร่างกายเธออย่างชัดเจน แค่คิดแข้งขาเธอก็อ่อนเปลี้ยจนแทบยืนไม่ไหว
“ทั้งหมดนี่...เป็นแผนของพวกคุณรึเปล่า” ปณิธิกล่าวด้วยท่าทีแคลงใจหลังจากสังเกตเห็นสีหน้าท่าทีมีพิรุธของปุษยากับจารึก เมื่อพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับความกระวนกระวายของกัทลีรัตน์ รวมถึงเหตุผลแท้จริงที่เธอพาเขามายังห้องนี้
ปุษยาและจารึกมีอาการเงียบงันและพยายามหลบตาเขาอย่างเห็นได้ชัด ปณิธิรู้สึกเดือดดาลในใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“พวกคุณวางแผนสกปรกเพื่อจับผม” ปณิธิขบกรามอย่างโกรธจัด โกรธที่ทั้งสามคนเป็นต้นเหตุให้เขาโดนยัยแม่มดด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายและรุนแรงขนาดนั้น
กัทลีรัตน์กัดริมฝีปากแน่น รู้สึกละอายแก่ใจจนวางสีหน้าไม่ถูก “แต่ถ้าคุณไม่...ทำแบบนั้น มันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณเป็นฝ่ายมาจูบฉัน แล้วก็ไม่ยอมปล่อยจนพ่อกับแม่มาเห็นเข้า ทั้งที่ตอนนั้นฉันคิดจะเปลี่ยนใจอยู่แล้ว” เธอกลั้นใจโต้กลับเขา ใบหน้าที่แดงเรื่อค่อยๆ เผือดลงด้วยความหวาดหวั่นที่พอกพูนขึ้น
“อ้าว แกไม่ได้เป็นฝ่ายจู่โจมเขาก่อนอย่างที่เราเตี๊ยม...” ปุษยาหลุดปากโพล่งออกมาอย่างสงสัยก่อนจะรีบหุบปากแทบไม่ทัน
ปณิธิตาลุกวาบด้วยโทสะ สายตากรุ่นโกรธตวัดมองปุษยาก่อนจะเบนกลับมาที่กัทลีรัตน์ แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายรุกหาเธอก่อน แต่ทั้งหมดนี้เป็นกับดักที่กัทลีรัตน์กับเพื่อนวางไว้เพื่อจับเขาจนดิ้นไม่หลุด หรือต่อให้เขาตั้งใจแต่แรกแล้วว่าถ้าจำเป็นก็จะยอมแต่งงานกับเธออย่างไม่บิดพลิ้ว ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ และเขาโกรธจนบรรยายไม่ถูก
เมื่อมีเสียงคนคุยกันเดินมาทางนี้ ปณิธิจึงดึงกัทลีรัตน์หลบเข้าไปในอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้าม ปุษยากับจารึกรีบตามเข้าไปทันที ห้องดังกล่าวเป็นโฮมเธียเตอร์เล็กๆ บ้านนี้ค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โตและมีพื้นที่ใช้สอยแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนมากมายทั้งที่อยู่กันแค่ไม่กี่คน บริเวณที่ใช้ต้อนรับแขกในวันนี้อยู่ที่โถงใหญ่ด้านหน้า ส่วนห้องครัวจะมีทางเดินอีกด้านซึ่งไม่ต้องผ่านบริเวณนี้ จึงไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่าน
“คุณไม่ควรทำแบบนี้ ผมเคยสัญญาแล้วว่าจะยอมแต่งงาน” ปณิธิพยายามข่มกลั้นโทสะ เขาอาจจะคุ้นเคยกับความเจ้าเล่ห์แสนกลและการวางแผนเอารัดเอาเปรียบของน้องสาวฝาแฝดมาไม่น้อย แต่มันต่างกับการถูกกัทลีรัตน์ดัดหลังตอนนี้มากมายนัก
“แต่ตอนนี้คุณหมอมีผู้หญิงอื่นด้วยไม่ใช่หรือคะ” ปุษยาโต้แทนเพื่อน “ยัยกล้วยยังจำเป็นต้องพึ่งคุณหมออีกมาก ถ้าอยู่ๆ คุณหมอเกิดเปลี่ยนใจถอนตัวขึ้นมาเพราะผู้หญิงอื่น ยัยกล้วยก็คงเดือดร้อน เราจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มความมั่นใจ”
“แต่มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น”
“เราต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าในเมื่อคุณหมอตั้งใจว่าจะยอมแต่งงานอยู่แล้วก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อน...”
นัยน์ตาของปณิธิแข็งกร้าวเมื่อเขามองปุษยา “คุณไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าสิ่งที่พวกคุณทำมันทำให้ความรู้สึกของผมยิ่งแย่ลง ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะยอมแม้ไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่เต็มใจแล้วผมยังอยากจะต่อต้านมันอีกด้วย”
กัทลีรัตน์มองคนพูดอย่างสะเทือนใจแม้เขาจะไม่ได้มองเธอและรู้ว่าเขาพูดด้วยโทสะเท่านั้น ในขณะที่ปุษยาโกรธจนหน้าแดง “แปลว่าคุณหมอไม่เคยแคร์ยัยกล้วยเลย ไม่รู้สึกอะไรด้วยเลยอย่างนั้นหรือคะ”
“พอเถอะปุ้ม แกกับเจี๊ยบออกไปก่อน ฉันจะคุยกับเขาเอง” น้ำเสียงเธอไม่มั่นคงนักเมื่อพูดเช่นนั้น แต่หญิงสาวไม่ต้องการให้เพื่อนต้องมารับรู้ความยุ่งยากของเธอมากไปกว่านี้
“ฉันขอเวลาไม่เกินสองปีเท่านั้น” กัทลีรัตน์เอ่ยออกมาเมื่ออยู่กันตามลำพังอีกครั้ง “ภายในสองปีฉันจะหย่าให้คุณโดยไม่มีข้อแม้”
คำพูดจากน้ำเสียงแน่วแน่จริงจังของเธอทำให้ดวงตาคมกริบของคนฟังทอแสงแรงกล้าวาบหนึ่ง ด้วยอารมณ์ที่แม้แต่เจ้าตัวก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก
“ตอนนี้ฉันยังไม่ดังมากพอที่จะเอาชนะอุปสรรคหรือข่าวเสียหายได้ง่ายๆ ฉันจำเป็นต้องพึ่งคุณเพื่อผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ แต่ภายในสองปีนี้ฉันจะทำทุกอย่าง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีคุณค่ามากพอสำหรับวงการนี้ จนใครหรืออะไรก็กำจัดฉันออกไปไม่ได้ง่ายๆ”
ชั่วขณะนั้นได้เกิดความเงียบงันขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่ปณิธิจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา “ผมเคยคิดว่าคุณไม่ใช่คนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อชื่อเสียงเงินทอง”
“ในเมื่อตัดสินใจเลือกทางนี้แล้ว ฉันก็ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” หญิงสาวเชิดหน้าบอกอย่างแน่วแน่ทั้งที่เจ็บแปลบในอกเพราะคำพูดแดกดันของเขา เธอรู้สึกคล้ายกับว่าเขากำลังผิดหวังในตัวเธอ แต่เธอพยายามปัดความคิดนั้นทิ้งและบอกตัวเองว่าอย่าไปแคร์
“สรุปว่าคุณพาผมเข้าไปที่ห้องนั้นเพราะตั้งใจยั่วยวนให้ผมลืมตัว” เขาก้าวเข้าไปหาและหยุดอยู่ห่างเธอแค่ครึ่งเมตร ข่มขู่เธอด้วยดวงตาคมกริบวาววับอย่างไม่ปรานี “เพราะคุณยินดีเปลืองตัวเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการเสมอ”
“แต่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย” หญิงสาวย้อนกลับเสียงแข็ง ดวงตาวาวรื้นด้วยหยาดน้ำตาที่ไม่มีวันยอมให้ไหลรินต่อหน้าเขา
“ตอนนั้นคุณไม่พยายามขัดขืนผมด้วยซ้ำ” เขาโมโหอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเธอวางแผนทั้งหมดเพื่อปกป้องสถานะในวงการบันเทิงเท่านั้น
“เพราะฉันเป็นผู้หญิงสิ้นคิดและโง่มาก” กัทลีรัตน์กระชากเสียงประณามตัวเอง ทว่าพยายามข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างเต็มที่
“ผมต่างหากล่ะโง่ที่ไม่รู้ทันคุณ” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยออกมาอย่างเย้ยหยัน รู้ซึ้งว่าเธอไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เห็นและไม่ใช่คนโง่เลยสักนิด เขารู้แล้วว่าภายใต้รูปลักษณ์ใสสะอาดนั้นเคลือบแฝงไว้ซึ่งความร้ายกาจ “ผมชักสงสัยแล้วสิว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่เราพบกันครั้งแรก คุณมีส่วนสร้างสถานการณ์ทั้งหมดรึเปล่า”
หญิงสาวหน้าร้อนซู่ด้วยความโกรธ เธอกำหมัดแน่นขณะจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “อยากจะกล่าวหาอะไรก็เชิญคุณเถอะ ฉันต้องออกไปแล้ว เราหายกันมานานเกินไป”
“เดี๋ยวสิ” เขาคว้าแขนเธอไว้ ก่อนจะเอื้อมไปเช็ดมุมปากให้อย่างเบามือเพื่อให้รู้ว่ามีลิปสติกเลอะ “คุณควรสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองก่อนออกไปเจอใครๆ แล้วผมก็ชักสงสัยว่าเมื่อไหร่จะได้จูบคุณโดยไม่ต้องกินลิปสติกเข้าไปด้วย”
หน้าเธอร้อนขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะรีบสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเขาแล้วถอยห่างพร้อมกับพยายามเช็ดลิปสติกรอบๆ ปากด้วยมือสั่นๆ ของตน ไม่ต้องการให้เขามาแตะต้องอีกแล้ว ปณิธิหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรถึงคุณอาของเขาเพื่อขอให้อีกฝ่ายมาพบที่ห้องนี้
“ฝากกล้วยหน่อยนะครับอาพิ้งค์ ปั๊บจะออกไปก่อน” เขาบอกทันทีเมื่อพริมามาถึงภายในเวลาสองนาที เมื่อผู้เป็นอารับปากโดยไม่ได้ซักถาม ปณิธิจึงออกจากห้องนั้นไปเงียบๆ โดยไม่หันกลับไปมองคู่หมั้นของเขาอีกเลย
พริมาประเมินสถานการณ์พลางใช้สายตากวาดมองเพื่อพิจารณาคู่หมั้นหลานชายอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบเครื่องสำอางจากกระเป๋าถือออกมา “อาจะเติมหน้าให้คุณกล้วยหน่อยนะคะ ปั๊บคงทำตัวเกเรกับคุณกล้วยแน่ๆ เลย ใช่ไหมคะ”
กัทลีรัตน์หน้าระเรื่อ ดวงตาคู่งามแวววาวด้วยหยาดน้ำตาที่กลั้นไว้ เธอฝืนยิ้มให้สาวสวยหุ่นดีผู้มีศักดิ์เป็นอาของปณิธิอย่างสดใส “เรียก ‘กล้วย’ เฉยๆ ก็ได้ค่ะ แต่กล้วยขอเรียกว่า ‘พี่พิ้งค์’ ได้ไหมคะ ยังไงกล้วยก็เรียกพี่พิ้งค์ว่า ‘อา’ ไม่ออกแน่ๆ”
พริมาหัวเราะเขินขณะแตะพัฟลงบนใบหน้าขาวอย่างเบามือ “ปั๊บได้ยินเข้าคงบ่นว่าไม่ยอมเรียกแบบเดียวกับเขา”
“เขาไม่สนใจหรอกค่ะพี่พิ้งค์ เขาไม่พอใจมากที่ต้องมาวุ่นวายขนาดนี้เพราะกล้วย”
“แต่พี่ก็เห็นเขามีความสุขดีนะคะ ยังมีอารมณ์แกล้งแหย่คนนั้นคนนี้ไปทั่วตามปกติ”
“พี่พิ้งค์รู้ใช่ไหมคะ...ว่ากล้วยไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่เขาชอบเลย เขาไม่เต็มใจมาตั้งแต่ต้น แถมเขายังเกลียดแม่กล้วยมากด้วย” แล้วตอนนี้เธอมีข้อหาร้ายแรงที่ทำให้เขาต้องชิงชังเพิ่มขึ้นอีกคดีหนึ่งด้วย
“เชื่อพี่เถอะค่ะ อย่างปั๊บน่ะถ้าไม่เต็มใจจริงๆ ไม่มีใครบังคับเขาได้หรอก กล้วยก็รู้ว่าเขาร้ายออกอย่างนั้น”
กัทลีรัตน์อยากจะเชื่อพริมาสุดหัวใจ แต่พอนึกถึงทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วก็ทำใจให้เชื่อไม่ได้
“ปั๊บเขาเลือกเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ยากและค่อนข้างหนัก แม้ว่าจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหนแต่เขาก็คงกังวลไม่น้อย”
“เขากลัวว่ากล้วยจะมาเป็นตัวถ่วงใช่ไหมคะ”
พริมายิ้มอย่างอ่อนโยนกึ่งปลอบประโลมพลางส่ายหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เห็นท่าทางชิลๆ แบบนั้นแต่จริงๆ เขาเป็นคนคิดเยอะนะคะ จะตัดสินใจอะไรแต่ละอย่างบางทีก็คิดนาน แล้วบางครั้งปั๊บเขาก็ชอบวางแผนอะไรที่เอาแต่ใจตัวเองมากไป พอไม่ได้ดั่งใจก็พานหงุดหงิด ถ้ามีอะไรผิดขั้นตอนที่คิดไว้ก็จะมีพาลเกเรบ้าง”
“เขาก็เลยรับไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็ถูกบีบให้รับผิดชอบเรื่องของกล้วยอย่างกะทันหันใช่ไหมคะ” กัทลีรัตน์เชื่อแน่ว่าจอมวางแผนอย่างเขาคงทำใจยอมรับไม่ได้เมื่อมาตกหลุมพรางแผนที่คนอื่นวางไว้
“ว่ากันตามจริง ส่วนใหญ่พี่ก็ดูไม่ออกหรอกว่าปั๊บเขาคิดอะไรอยู่ แต่ปกติเขาคงคิดว่าเรื่องบางเรื่องจะต้องเป็นเหมือนที่เขาตั้งใจไว้หมด พอผิดแผนหน่อยก็จะรวน แต่จริงๆ หลานชายพี่เขาก็ไม่ได้แย่มากหรอกนะคะ เขาเป็นคนปรับตัวเก่ง แรกๆ ก็ทำฮึดฮัดไปแบบนั้นแหละค่ะ จะมีที่แก้ไม่ได้จริงๆ ก็เรื่องปากเสียและกวนประสาทจนน่าโมโหมากไปหน่อยเท่านั้นแหละ”
กัทลีรัตน์รับฟังด้วยความมึนงงยิ่งกว่าเดิม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความรู้สึกที่เธอมีต่อปณิธิทำให้หน้ามืดตามัว หรือเป็นเพราะเขาจงใจทำให้เธอสับสนกันแน่ ยิ่งคิดถึงเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกว่า...ชาตินี้เธอคงไม่มีวันเข้าใจเขาได้อย่างแท้จริงเป็นแน่
ความคิดเห็น