เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น - เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น นิยาย เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น : Dek-D.com - Writer

    เรื่องซึ้งๆ จากชีวิตจริงของคนอื่น

    โดย afanoz

    อ่าซึ้งอ่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    813

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    813

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ส.ค. 50 / 16:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ......ฉันเกิดที่ต่างจังหวัด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอแถวภาคตะวันออก ที่บ้านมีอาชีพรับจ้างทำสวนผลไม้

           แต่ละวันพ่อของฉันต้องตื่นแต่ตีห้า พร้อมกับน้องชาย เพื่อนำผลไม้จากสวน ไปขายที่อำเภอ พอฟ้าสาง น้องฉันจะรีบกลับมาอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปโรงเรียน พร้อมกับนำอาหาร ที่ซื้อจากในเมืองเตรียมไว้ให้ฉัน บนโต๊ะ อย่างเรียบร้อยทุกเช้า

          น้องชาย อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี ( แม่ฉันเสียไปตั้งแต่น้องอายุได้ 2 ขวบ )

          เหตุการณ์ในวันหนึ่งที่ฉันไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิตคือ ฉันได้ขโมยเงินของพ่อ เพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

          จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง ว่ามีเงินในบ้านหายไป

         พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      " ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      " ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
      ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น จะตีฉันเป็นคนแรก

          ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
      แล้วพูดว่า
      "ผมขโมยเองครับ"

          ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน  อย่างต่อเนื่อง
      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

      " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

         คืนนั้น ฉันนอนเฝ้าน้องชายทั้งคืน
      หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

          กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว ผมทนได้" น้องฉันยิ้มแล้วบอกต่อว่า "แต่ผมจะเจ็บกว่านี้ ถ้าพี่เป็นคนถูกตี"

         แต่ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

      .... หลายปีผ่านไป
      แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

         ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
         ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 10 ปี ส่วนฉันอายุ 13 ปี...

          เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      เขาได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นนำของจังหวัด ในขณะที่ฉันซึ่งจบ ม.ปลาย และสอบเข้าคณะบัญชี มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้

      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

         ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "พี่เรา เรียนหนังสือเก่งนะ แต่ปีนี้ราคาผลไม้ไม่ดีเลย ค่าแรงเราเจ้าของสวนก็ยังไม่จ่าย คงไม่มีเงินส่งให้ใครไปเรียนที่กรุงเทพฯได้หรอก "


         ทันใดนั้น น้องชายของฉันเดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

        พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

          คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านชาวสวนที่รู้จักกัน
      ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน แต่ทุกคนก็ประสบภาวะเดียวกัน เป็นหนี้เป็นสิน จากการลงทุน และผลผลิตที่ได้ก็ราคาตกต่ำแทบติดดิน


         คืนนั้น ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

         แต่ในขณะเดียวกัน
      ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ คณะที่ฉันสอบเข้าได้ เป็นที่ใฝ่ฝันของใครหลายๆคน แม้แต่เด็กในกรุงเทพฯเอง

      ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      น้องชายของฉันได้หนีออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

         ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
      " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

         ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
      ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 15 ปี ส่วนฉันอายุ 18 ปี .

          ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามตามไซท์ก่อสร้าง
      ...พอดีช่วงนั้น อีสเทิร์น ซีบอร์ด กำลังบูม มีงานก่อสร้างมากมาย
      ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

         วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
      อยู่ข้างนอกแน่ะ"

         ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      ...
      ฉันถามเขาว่า
      " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

         น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

         ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

          จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาถุงหูหิ้ว.....
      ...เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
      " ผมเห็นสาวๆ ที่กรุงเทพฯมีกันทุกคน ผมเลยอยากให้พี่มีบ้าง"

          ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 18 ปี ส่วนฉันอายุ 21 ปี .

         ปี 4 หลังจากเพิ่งเรียนจบ ก่อนรับปริญญา ฉันพาแฟนไปแนะนำให้พ่อรู้จัก วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

         หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับพ่อว่า
      " พ่อไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

          พ่อยิ้ม แล้วพูดว่า " พ่อไม่ได้จ้างหรอก
      น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน  ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

          ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

          ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

         "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      และ..."

           น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 19 ปี ส่วนฉันอายุ 22ปี...

         หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ กรุงเทพฯ
      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯด้วยกัน

         แต่พ่อกับน้องปฏิเสธ
      พ่อบอกว่า ไม่คุ้นกับชีวิตที่กรุงเทพฯ
      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อย้ายออกไป
      ...
      เขาบอกกับฉันว่า
      "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
      ผมจะดูแลพ่อทางนี้เอง"

          สี่ปีต่อมา พ่อของฉันเสียชีวิตลง ในขณะเดียวกับที่ สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ( ลืมบอกไป สามีของฉันจบวิศวกรไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน )
      ...
         แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขายอมทิ้งงานก่อสร้าง เข้ามาเป็นพนักงานบริษัทของสามี แต่ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

          วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

          ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

         "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
      ดูตัวเองซิ
      เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

          คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      " พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน จบวิศวกรจากมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"

           "ส่วนผมจบ ม. 3 ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ มีลูกน้องทั้ง ม. 6 ปวส. ปริญญาตรี "
      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

          น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
      ฉันบอกกับน้องว่า
      "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

         "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
      น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

         เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 28 ปี
      เขาได้แต่งงานกับพนักงานในบริษัทเดียวกัน

         ในงานแต่งงาน พิธีกรในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

         พิธีกรหันหน้าไปมองเจ้าสาว ซึ่งคิดว่าคือคำตอบ

         น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ ผมคงไม่มีวันนี้ ถ้าไม่มีเธอ" .

         และเขาก็พูดต่อว่า "แม่ผมเสียตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ เรามีกันสองคนพี่น้อง และผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีที่สุด และจะทำดีกับเธอ"

         เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน พิธีกร เดินถือไมค์มาสัมภาษณ์ความรู้สึก

         คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
      คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

          ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...ความหลังครั้งเก่าๆผุดขึ้นมามากมาย และอยากจะบอกเขาว่า พี่ก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีเธอ



      จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      วันในชีวิตของคุณและเขา
      คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
      น้อยๆ
      แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

      อย่าคิดว่า ต้องมีเงินแสน เงินล้าน ก่อน ชีวิตถึงจะมีความสุข

      อย่าปล่อยให้ความรักหายไปจากคุณ เพียงเพราะยังไม่ถึงเป้าหมายของชีวิต 



      ขอขอบคุณคุณแม่ที่กรุณาส่งเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้า

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×