[SF TaoKacha] The Promise - [SF TaoKacha] The Promise นิยาย [SF TaoKacha] The Promise : Dek-D.com - Writer

    [SF TaoKacha] The Promise

    ข้าก็ยังจะรอ...รอให้เจ้ากลับมา....ดั่งคำที่เจ้าเคยให้สัญญา แม้เวลาจะล่วงผ่านไปอีกเป็นกี่สิบปี กี่ร้อยปี หรือเป็นพันปี.........ความรักของข้าจะไม่มีวันเสื่อมคลาย

    ผู้เข้าชมรวม

    3,514

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    3.51K

    ความคิดเห็น


    40

    คนติดตาม


    22
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ต.ค. 55 / 14:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
     ShiraTHEME :) Shirakuma kuma


    The Promise


     


























      สวัสดีค่ะ

    วันนี้อินอินมาเปิด SF เรื่องใหม่ค่ะ

     

     คราม่าโรแมนติก ออกแฟนตาซีนิดๆ อ่านกันสนุกๆ ขำ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

     

    ปล.ฟิคเรื่องนี้

    1.ชายXชาย ไม่ชอบกรุณากดออกนะคะ

    2.ฟิคเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิลปินนะคะเป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียนเองค่ะ
      
     
     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      & ShiraTHEME :) Shirakuma kuma nbsp;








       




      ไม่ว่าจะเมื่อไร ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

      ข้าก็ยังจะรอ...รอให้เจ้ากลับมา....ดั่งคำที่เจ้าเคยให้สัญญา

      โปรดจงรู้ไว้เถอะว่าข้าเองยังคงรักษาสัญญาของข้าที่ให้ไว้กับเจ้า

      ข้าจะเก็บรักษาความรักในหัวใจ เพื่อรอที่จะมอบคืนมันให้กับเจ้าอีกครั้ง

      แม้เวลาจะล่วงผ่านไปอีกเป็นกี่สิบปี กี่ร้อยปี หรือเป็นพันปี.........

      ความรักของข้าจะไม่มีวันเสื่อมคลาย











       

                       ร่างบางในชุดคลุมสีแดงเพลิงที่ยาวกอมเท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักตัวเก่าคร่ำครึ ใบหน้าสวยขาวซีดเรียบนิ่งล้อมกรอบด้วยผมสีดำยาวสยายถึงกลางหลัง ดวงตาโศกจ้องมองทะลุออกไปนอกรูปภาพที่ถูกสะกดวิญญาเอาไว้ มองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ขณะนี้พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำ

       

      ในมือคู่สวยดั่งลำเทียนประคองกระถางดอกกุหลาบสีดำซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยออกดอกสีขาว แต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้วเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คล้ายกับรักที่บริสุทธิ์เมื่อแรกเริ่มผลิบานพอผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนานความรักนั้นก็ยังคงประทับอยู่ และยิ่งฝังลึกหยั่งรากลงเพื่อรอคอยเป็นนิรันดร์

       

      เนิ่นนานเป็นพันปีที่ต้องถูกสะกดไว้ในภาพวาด นั่งเฝ้ามองดูฤดูกาลเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ฝนยังตกเหมือนเดิมทุกปี ดอกไม้ยังคงผลิบานทุกปี พายุหิมะก็ยังคงกระหน่ำลงมาทุกปี และสิ่งที่เหมือนเดิมทุกปีคือ...

       

      .........เขายังคงไม่กลับมา..............

       

       

       

                        จิ้งจอกน้อยวิ่งไปพลางกระโดดไปพลางตามไหล่เขาที่ลาดชัน ปากก็คาบปลาจากลำธารที่เพิ่งจะจับได้หมาดไว้แน่น เมื่อมาถึงที่หมายมันก็หายเข้าไปในถ้ำเวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วพริบตาร่างบางผอมเพรียวของหนุ่มน้อยชุดแดงเพลิงคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากถ้ำในมือถือปลาตัวใหญ่สดๆ ที่ตอนนี้สิ้นใจไปแล้ว

       

      เขาเดินลัดไปขอบด้านหลังของถ้ำไม่นานก็พบกับหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีไม่กี่หลังคาเรือน เขาตรงไปยังท้ายหมู่บ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมน้อยหลังนั้น

       

      ท่านแม่~ วันนี้ข้าได้ปลามาด้วยตัวใหญ่เชียวล่ะ “

       

      มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา สองเท้าก้าวยาวๆ ไปเปิดม่านไม้ไผ่ในครัวเพื่อมองหาผู้เป็นมารดาแต่กลับไม่พบอีกเช่นเคย

       

      ไปไหนกันนะท่านแม่ “

       

      หนุ่มน้อยคิดว่ามารดาออกไปหาวัตถุดิบเพิ่มจึงไม่ได้สนใจอีก เขาจัดการชำแหละปลาตัวโตเพื่อรอแม่กลับมาทำอาหาร แต่ทว่ายังไม่ทันได้ทำเสร็จเขาก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างรุนแรง จึงรีบวิ่งออกมาตามกลิ่น ครั้นพอออกมาด้านนอกก็ต้องตกใจสุดชีวิต เมื่อเห็นกลุ่มมนุษย์แปลกหน้ากลุ่มใหญ่กำลังเผากระท่อม บ้านเรือนในหมู่บ้านจนเสียหายยับเยิน และชายคนหนึ่งในกลุ่มก็พลันหันมาพบกับเขาที่ยืนตื่นตะลึงพึงพรืดอยู่

       

      มันอยู่นั่นตนหนึ่ง! ไปจับมันมาเร็ว! “

       

      หนุ่มน้อยรีบวิ่งหนีไปทางหลังบ้านโดยเร็วที่สุด เขาวิ่งตัดทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน ลงผาไปยังลำธารทว่ายังคงได้ยินเสียงของคนกลุ่มใหญ่ที่ติดตามมาอย่างไม่ลดละ

       

      มันอยู่นั่น “ สิ้นเสียงนั้นหนุ่มน้อยก็ถูกลูกธนูปักลงที่ไหล่ซ้ายและตกลงไปในลำธารทันที

       

      มันไปไหนแล้ว “

       

      ข้ายิงถูกมัน มันต้องอยู่แถวนี้แหละ “

       

      ข้าเห็นมันตกลงไปในลำธาร ช่วยกันหาเร็วอย่าให้มันหนีไปได้ “

       

      เสียงผู้คนจอแจช่วยกันหาร่างของชายหนุ่มแต่ก็ไม่พบจนค่ำคนกลุ่มนั้นก็เลิกล้มและกลับไป จิ้งจอกตัวน้อยสีแดงเพลิงค่อยๆ เดินกระเผลกออกมาจากโขกแก่งแง่หินโสโครก เขากลายร่างเป็นจิ้งจอกเพลิงแล้วแอบอยู่ตรงนี้จนพวกมนุษย์ถอยกลับไป

       

      ตอนนี้เขาไม่รู้จะไปทางไหน บาดแผลที่เจ็บจากการถูกลูกธนูอาคมยิงฉกรรจ์เกินกว่าที่จะสมานท์ตัวเองได้เช่นปกติ จิ้งจอกน้อยกลายร่างเป็นมนุษย์และค่อยๆเดินลากเท้าไปตามลำธารเรื่อยๆ หวังว่าอาจจะพบกับกลุ่มจิ้งจอกเพลิงพวกของตนที่หนีมาก่อนเบื้องหน้า

       

      ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว หิมะตกลงมาจากที่บางตาก้เริ่มหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ บาดแผลที่มีเลือดออกไหลซึมไม่หยุดเมื่อเจอกับความหนาวเย็นของหิมะที่กัดกินเนื้อผิวยิ่งทำให้เรี่ยวแรงยิ่งถดถอย เขาฝืนใจเดินไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงที่ข้างลำธารและสลบไป

       

      เปลือกตาแสนหนักอึ้งราวกับมีอะไรมากดทับ ร่างกายที่อ่อนแอต้องการพักผ่อนยิ่ง แต่เมื่อจะหลับลงคราใดไม่นานก็จะมีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนคอยปลุกให้ตื่นเพื่อกินอะไรบางอย่างที่ขมเฝื่อนคอ ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะใครคนนั้นจะบังคับกรอกของเหลวนั่นให้ดื่มได้อยู่ดี

       

                      7 วัน 7 คืนที่หนุ่มน้อยแปลกหน้าสลบไสลไม่ได้สติ ชายตัดไม้ไปพบเขานอนสลบอยู่ที่ลำธารในตอนเช้าเมื่อเจ็ดวันก่อน ด้วยความที่เป็นมีจิตใจเมตตาเขาจึงพาคนร่างบางกลับมารักษาบาดแผลที่บ้าน คิดไม่ถึงว่านี่ 7 วันแล้วเขาก็ยังไม่ได้สติ

       

      เจ้า...กินยาก่อน “ ชายตัดฟืนต้องบังคับกรอกน้ำกรอกยาให้ร่างบางที่บาดเจ็บอยู่อย่างยากลำบาก แต่ทว่าวันนี้คงไม่ยากอีกแล้ว

       

      ที่นี่ที่ไหน... “ เสียงแหบๆ เอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อรู้สึกตัว

       

      เจ้าฟื้นแล้วหรือ! ที่นี้บ้านของข้าเอง ค่อยๆ ลุกนะ “ ชายตัดฟืนพยุงร่างบางให้นั่งพิงหัวเตียง

       

      ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง....” แม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ร่างบางก็อ่อนแออยู่มาก

       

      ข้าช่วยเจ้ามาจากลำธาร เจ้าถูกทำร้าย....ใครทำร้ายเจ้ากัน แล้วเจ้าเป็นคนจากหมู่บ้านไหน “ ชายตัวฟืนถามรัวเร็ว หลายวันมานี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้เป็นใครมาจากที่ใด หากเขานั้นเป็นคนมีความเมตตาก็จริงอยู่แต่เขาก็ไม่อยากช่วยเหลือผู้ที่ทำผิดจนโดนไล่ล่า

       

      ข้า....ข้า...ข้าเป็นมนุษย์นะ “ ด้วยความกลัวว่าคนที่ช่วยเหลือจะรู้ความจริงจิ้งจอกน้อยก็บอกออกไปอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้คิด

       

      ก็แน่ล่ะ ข้าก็เห็นว่าเจ้าเป็นมนุษย์นี่นา เจ้านี่พูดจาน่าขันพิลึก “

       

      อ้อ~ “ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองไม่ควรตื่นเต้นไปก่อนร่างบางจึงได้แต่นั่งนิ่งทำหน้าเจื่อน

       

      แล้วตกลงว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ใด “

       

      ข้า...ข้ามาจากเผ่าทางตอนเหนือ เผ่าของข้า..ถูกรุกรานแล้ว...ย้ายไปที่ใดข้าก็ไม่รู้....” พอพูดถึงตรงนี้จิ้งจอกน้อยก็เป็นห่วงและคิดถึงผู้เป็นมารดาเหลือเกิน

       

      แล้วเจ้าก็โดนทำร้ายมางั้นรึ? “

       

      อื้ม “ ร่างบางนั่งน้ำตาคลอหน่อยแล้วพยักหน้าตอบ

       

      อ๋อ...เอ่อ แล้วเจ้าชื่ออะไร “

       

      ข้าชื่อ คชา

       

      ข้าชื่อ เต๋า เป็นคนตัดฟืนอยู่ท้ายหมู่บ้านของเผ่าลูกสน “

       

      ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้านะ....ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไร “

       

      ไม่เป็นไรหรอก ข้าช่วยคนไม่ได้หวังผลตอบแทน เจ้ากินข้าวกินยาเถอะจะได้หายเร็วๆ แล้วจะได้เดินทางตามหาคนในเผ่าของเจ้าต่อไป “

       

      ขอบใจพี่ชายอีกครั้งนะ “ จิ้งจอกน้อยกล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตันใจ ไม่คิดว่าพวกมนุษย์ก็มีที่ดีๆ อยู่เหมือนกัน



       

       

      .......นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเขา........

       

      หิมะหยุดตกแล้ว “ เสียงเศร้าเอ่ยกับตนเองเบาๆ











       

                 ผีเสื้อต่างก็บินว่อนพากันดมดอมหมู่มวลดอกกุหลาบขาวที่ขึ้นเองตามธรรมชาติรอบๆ ศาลไม้สนแดงที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง มุงด้วยกระเบื้องสีเข้มแต่หลังช่วงฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วสีของหลังคาก็ซีดลงไปมากโขเนื่องจากถูกหิมะกัด

       

       

      แผงขนตางอนยาวกระพือขึ้นเผยให้เห็นแววตาที่ยังคงโศกเศร้า ของใครคนหนึ่งที่นั่งประคองกระถางดอกกุหลายดำเอาไว้แน่น แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนไปบรรยายกาศจะสดใสเพียงใดก็ไม่อาจทำให้ความคิดคำนึงถึงนั้นลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาความคิดถึงคำนึงหาได้ นั่นก็คือความทรงจำอันแสนสวยงามและบริสุทธิ์ ของฤดูรักที่เริ่มแรกแย้มเมื่อพันปีก่อน.....

       

       

       

       

      นั่นท่านจะทำอะไร “ ร่างบางลุกลงมาจากเตียงก่อนจะเดินเขยกมานั่งยองๆ อยู่ข้างร่างสูงใหญ่ของชายตัดฟืน

       

      เจ้าลงมาทำไมคชา! เดี๋ยวแผลเจ้าก็ไม่หายสักทีหรอก เจ้านี่ซนจริงๆ “

       

      ข้าเปล่าซนนะพี่เต๋า “ ใบหน้าหวานยู่ปากแบะอย่างขัดใจ

       

      งั้นก็กลับไปที่เตียงของเจ้าซะ เดี๋ยวแผลก็ปริเอาหรอก “

       

      ข้าเบื่อนี่นา! ข้ามาอยู่กับท่านที่นี่ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวจนตอนนี้หิมะละลายไปหมดสิ้นแล้ว แผลที่ไหล่ข้าก็ยังไม่หายสักที ขืนข้านอนแหมบอยู่ที่เตียงนั่นทั้งวัน ต่อไปข้าคงเป็นง่อยกันพอดี “ คชาบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

       

      งั้นเอาอย่างนี้ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน “

       

       

      ร่างสูงเดินหายเข้าไปในบ้านครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวใหญ่ เขาวางมันลงข้างๆ ตัวคชาดูให้อยู่ในที่ร่มไม่โดนแดด ก่อนจะประคองคนตัวเล็กมานั่งลงบนนั้น

       

       

      ถ้าเจ้าเบื่อก็นั่งดูข้าทำงานอยู่บนเก้าอี้นี่ก็แล้วกัน ห้ามลุกไปไหนเข้าใจไหม “

       

      เข้าใจแล้วพี่เต๋า ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วงข้า “ คนตัวเล็กยิ้มแป้นให้กับชายร่างสูง

       

       

      เมื่อเห็นว่าคชานั่งดูเรียบร้อยเขาก็กลับมาทำงานของเขาต่อ เต๋านั่งสลักลวดลายวิจิตรบรรจงลงบนเก้าอี้ไม้แดงที่เข้าเพิ่งประกอบขึ้นจนเสร็จเมื่อวาน นอกจากเข้าไปตัดไม้ตัดฟืนในป่าสนแล้วเต๋ายังเป็นช่างสลักไม้ฝีมือดีของหมู่บ้านลูกสนอีกต่างหาก เขาอาศัยอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านเพียงลำพังดังนั้นจึงไม่เป็นอุปสรรคที่จะให้คชาอยู่ด้วยในระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้

       

       

      พี่เต๋า “

       

      ว่าอย่างไร “ เต๋าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานของเขา แต่คชารู้ว่าเขาฟังอยู่

       

      ทำไมท่านถึงอยู่คนเดียวล่ะ “

       

      ใครว่าข้าอยู่คนเดียว ข้ามีเจ้าอยู่นี่ “

       

      ไม่ใช่อย่างนั้น...ข้าหมายถึงก่อนหน้านี่น่ะ ท่านไม่มีญาติพี่น้องรึ “ คำถามที่คชาทำทำเอาเต๋าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา

       

      พ่อกับแม่ของข้าตายหมดแล้ว “

       

      แล้วท่านไม่คิดจะมีครอบครัวเหรอ ไม่เหงาหรือไร “

       

      ข้ายังไม่เจอคนที่อยากรับเข้ามาอยู่ร่วมครอบครัวนี่นา อีกอย่างหากข้าหาได้ตอนนี้ มีหวังใครบางคนแถวนี้จะต้องระหกระเหินไปหาที่อยู่ใหม่ “

       

      แต่วันนึงข้าก็ต้องไปอยู่ดี หากว่าข้าหาย..”

       

      นั่นสินะ......ถูกขอเจ้า “

       

      พี่เต๋าของข้ารูปร่างหน้าตาดีจะตายไป หากจะมีแม่นางน้อยที่ใดสักคนมาหลงรักก็คงไม่ยากเย็นจริงไหม “ คนตัวเล็กพูดไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าใครบางคนมีอากัปกิริยาอย่างไรกับคำพูดของตน

       

      ดูเจ้าจะวุ่นวายกับการออกเรือนของข้าเหลือเกินนะ “ ร่างสูงบอกเสียงเรียบมือหยุดทำงานไปแล้ว

       

      ข้าก็แค่เป็นห่วงท่าน หากวันใดที่ข้าไม่อยู่แล้ว ท่านจะได้มีเพื่อน ข้าเห็นท่านอยู่คนเดียวแววตาท่านดูหงอยเหงาจะตายไป “

       

      ถึงไม่มีเจ้าข้าก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยให้ข้าหายเหงาหรอก อีกอย่างมีเจ้าข้าละบากขึ้นอีกเป็นกอง จะเข้าป่าหลายวันก็ไม่ได้ จะไปที่ใดก็ต้องคอยห่วง ต้องคอยหาข้าวหายาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้าเช้าเย็น มีเจ้าก็ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เมื่อไหร่จะหายสักทีก็ไม่รู้จะได้รีบไปๆ สักที “ พูดจบร่างสูงก็เดินผละออกไปจากตรงนั้นทิ้งให้คชานั่งอ้าปากหวออยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยความงุนงง

       

       

      จวบจนเย็นย่ำร่างสูงของใครบางคนก็ยังคงไม่กลับมา ร่างบางเดินย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ในบ้านหลังน้อยด้วยความกังวล คิดโทษตัวเองว่าคงจะพูดอะไรผิดไปพูดให้เต๋าไม่พอใจจนโกรธขึงออกไป ชั่วสี่เดือนที่อยู่ด้วยกันมาเต๋าไม่เคยมีท่าทีบึ้งตึงหรือพูดจาอย่างนี้กับคชามาก่อน

       

       

      ข้านี่มันจริงๆ เลยน้า...ไม่น่าไปพูดเรื่องครอบครัวของพี่เต๋าอย่างนั้นเลย “ นึกอยากจะตีปากตัวเองสักสองสามทีหากแต่ว่ากลัวจะเจ็บคนตัวเล็กจึงได้แต่เดินวนไปวนมาอย่างเป็นกังวล

       

       

      ดวงจันทร์ลอยขี้นสูงเหนือหัวสะท้อนลงบนธารน้ำใส ร่างบางเดินท่อมๆ ออกมาตะโกนเรียกหาคนที่ยังไม่ยอมกลับมาที่บ้านด้วยความเป็นห่วง

       

       

      พี่เต๋า!! ท่านอยู่ไหนน่ะ พี่เต๋า!! “

       

       

      จวบจนผ่านไปหลายชั่วยามคชาจึงกลับมายังบ้านหลังน้อยด้วยความอ่อนล้า เท้าเล็กๆ สองข้างปวดไปหมดแต่ที่ยิ่งแย่กว่าคือบาดแผลที่ถูกธนูอาคมต่างหากที่ระบมช้ำขึ้นมาอีก ปกติจิ้งจอกเพลิงอย่างคชาจะสามารถรักษาบาดแผลของตนเองได้ตามพลังรักษาที่มีอยู่ติดตัวทุกตนตั้งแต่เกิด แต่หากว่าโดยอาวุธที่ต้องอาคมเมื่อใดแผลนั้นจะรักษาเองไม่หายและต้องใช้เวลารักษานานมากด้วยวิธีถอนคม แต่เต๋าไม่ล่วงรู้ว่าคชาไม่ใช่มนุษย์ดังนั้นจึงรักษามันด้วยวิธีปกติบาดแผลนี้จึงไม่หายสักที

       

       

      คนตัวเล็กนั่งลงบนเก้าอี้สลักตัวโปรดตั้งใจว่าจะรอคอย หากนอนลงบนเตียงคงจะหลับไปอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างบางจึงนั่งที่เก้าอี้แทนแต่จนแล้วจนรอดร่างบางก็ผลอยหลับไป

       

       

      แสงแดดส่องกระทบผิวหน้าแผงขนตางอนกระพริบขึ้นลงถี่ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น คนตัวเล็กมองไปรอบๆ ก็ไม่พบชายตัวขาวที่หายไปตั้งแต่เมื่อวาน ในใจนึกเป็นห่วงจนแทบทนไม่ไหวรีบรุดออกจากเก้าอี้ตั้งใจจะออกไปตามหาอีกครั้ง

       

       

      แต่เมื่อครั้นออกมาจากประตูบ้านสายตาก็พลับไปสะดุดกับร่างสูงขางที่แสนคุ้นตา เดินอาดๆ ตรงกลับมาที่บ้านในมือถือต้นไม้อะไรสักอย่างติดมาด้วย

       

       

      พี่เต๋า!! ท่านหายไปไหนมา รู้ไหมข้ารอท่านเป็นห่วงแทบแย่ “ คนตัวเล็กวิ่งไปพลางกระโดไปพลางตรงเข้าไปหาเต๋าด้วยความดีใจ เมื่อไปถึงก็รีบเกาะแขนอย่างออดอ้อน

       

      ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง! “ เต๋าบอกอย่างเป็นห่วง

       

      ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วย ข้าไม่น่าพูดกับท่านแบบนั้นเลย ข้าไม่น่าเจ้ากี้เจ้าการเรื่องครอบครัวของท่าน พี่เต๋าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าขอโทษจริงๆ “

       

       

      ดวงตาคมก้มลงมองคนคนตัวเล็กที่ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างรู้สึกผิด ดวงตารียาวแต่ทว่าในตากลมใสมีน้ำตาคลอหน่วยเอ่อล้นอยู่ ทำให้หัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบทันที ความจริงเขาไม่ได้คิดโกรธคชาเพียงแต่รู้สึกน้อยใจที่คนตัวเล็กเอาแต่บอกว่าจะจากไป

       

       

      เขาอยู่คนเดียวมานานจวบจนวันที่พบร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่ริมธาร ร่างกายเกือบค่อนร่างแทบจะจับเป็นน้ำแข็งเขาจึงรีบช่วยมา ไม่คิดว่าเมื่อใบหน้าเรียบสวยแสนสงบนิ่งเมื่อยามหลับลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจะเปลี่ยนแปลงโลกที่เงียบเหงาทั้งใบของเขาให้ดูสดใสขึ้นทันตา ทุกวันตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเขาจะรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังอีกต่อไป เขายังมีใครอีกคนให้ต้องดูแล

       

       

      ข้าไม่ได้โกรธเจ้าหรอก “ มือหนาแสนอบอุ่นลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ

       

      จริงนะ! “ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ

       

      จริงสิ..หากข้าโกรธเจ้าข้าจะเข้าป่าไปหาสมุนไพรนี่มารักษาเจ้าเหรอ “ เขายกต้นไม้ในมือให้คชาดู

       

      พี่เต๋าท่านช่างดีกับข้าจริงๆ “ ขาเล็กกระโดดหยองแหยงอย่างคะนองใจ

       

      ข้าบอกเจ้าว่ายังไงคชา “ ดวงตาคมมองลงมาอย่างดุๆ

       

      ห้ามกระโดด...แต่ข้าดีใจนี่นา ท่านห้ามโกรธข้านะ “ คนตัวเล็กหงอยลงถนัดตา

       

      เฮ้อ~ เอาเถอะ ห้ามเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เราเข้าบ้านกันเถอะ ข้าจะได้เอาสมุนไพรนี่ลงดินด้วย “

       

      ครับ “ ร่างบางเดินกระดุ๊กกระดิ๊กเกาะแขนพี่ชายที่แสนดีเข้าบ้านไปพร้อมๆ กัน

       

       

      เต๋าเอาต้นไม้ที่ไปหามาปลุกลงกระถางกระเบื้องใบเล็ก ก่อนจะรดน้ำลงไปเล็กน้อยแล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง เขากลับเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วอธิบายให้คชาหายสงสัยว่าเอาต้นไม้นั้นมาทำอะไร

       

       

      มันคือกุหลาบหิมะ ดอกของมันเป็นสีขาวเหมือนสำลีเชียวล่ะ แม่ข้าเคยบอกว่าดอกของมันสามารถรักษาบาดแผลได้แทบทุกชนิด ข้านึกขึ้นได้ว่าเพราะแผลของเจ้าไม่หายเสียที เสียดายกว่าจะออกไปตามหามันจนเจอมันก็ไม่ออกดอกสักต้น คงต้องนำมาเลี้ยงไว้จนกว่าดอกจะออกนั่นแหละ “

       

      ขอบคุณท่านมากนะพี่เต๋าที่ทำเพื่อข้าขนาดนี้ “ คชาบอกอย่างซึ้งใจ

       

      หากเจ้ายังไม่หายคงต้องรอหน่อยกว่ามันจะออกดอก ไม่รู้ว่าพวกที่ทำร้ายเจ้ามันใช้พิษอาบไว้ที่คันธนูหรือเปล่าถึงไม่หายเสียที “

       

      ช่างมันเถอะพี่เต๋า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้รีบเสียหน่อย “

       

      แล้วเจ้าไม่อยากตามหาแม่ของเจ้าแล้วรึ “

       

      อยากสิ แต่ว่านี่ก็หลายเดือนแล้ว พวกของข้าไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ไม่สู้ให้ข้ารักษาตัวก่อนแล้วค่อยออกตามหาไม่ดีกว่าหรอกหรือ “

       

      ถูกของเจ้า ข้าก็อยากให้เจ้ารักษาตัวอยู่กับข้าที่นี่ก่อน หากเจ้าหายไปสักคนข้าคงคิดถึงแย่

       

      ข้าก็ต้องคิดถึงท่านเหมือนกันแน่ๆ เลย “

       

      ไม่รู้ว่าเราต้องรอถึงเมื่อไหร่กุหลาบหิมะถึงจะออกดอกนะ “

       

      นั่นสิ เราคงต้องคอยดูแลมันดีๆ “ คนตัวเล็กเดินไปหยุดที่กระถางดอกไม้

       

      ข้าหวังว่ามันจะใช้เวลานาน เจ้าจะได้อยู่กับข้าไปนานๆ “ ร่างสูงเอ่ยออกมาเบาๆ หวังไม่ให้คชาได้ยิน

       

       

      แต่มีหรือที่ปีศาจจิ้งจอกน้อยจะไม่ได้ยิน คำพูดนั้นดูคล้ายจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยแต่มันทำให้คชายิ้มแก้มปริ ยิ้มไปจนถึงหางตา ยิ้มอย่างสุขใจโดยที่ไม่รู้ความหมายว่าทำไมต้องรู้สึกราวกับหัวใจพองโตขนาดนี้.....

       

       

       

           สายลมพัดเอากลิ่นหอมของดอกกุหลาบหิมะที่บานสะพรั่งอยู่ด้านนอกเข้ามาภายในศาล คนตัวเล็กก้มลงมองดอกกุหลาบหิมะสีดำที่ไม่มีวันโรยราในมือของตน

       

       

      ไม่รู้ป่านนี้ท่านจะคิดถึงข้าเหมือนกับที่ข้าคิดถึงท่านบ้างหรือเปล่านะ พี่เต๋า “


       





       

                        วันนี้ที่หมู่บ้านต้นสนมีงานรื่นเริงประจำปี มันเป็นเทศการบูชาเทพเจ้าเพื่อขอให้ฤดูหนาวปีนี้ไม่เกิดพายุหิมะ และก็เป็นธรรมเนียมเหมือนกันทุกปีที่สมาชิกในหมู่บ้านจะต้องออกมาร่วมงาน ปีนี้ของเต๋าต่างไปจากเดิมเพราะเขามีคชาไปด้วย โดยปกติเขามักเก็บตัวเงียบอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านเพียงลำพัง ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร จึงไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะไม่รู้ว่าเขามีสมาชิกใหม่มาอยู่ด้วยร่วมปี

       

       

      งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน คชาตื่นตาและสนุกกับเทศการที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน จิ้งจอกน้อยออกไปเต้นรำและรื่นเริงกับคนอื่นๆ ทำตัวสนิทชิดเชื้อกับใครๆ ได้อย่างรวดเร็ว คนในหมู่บ้านต่างชื่นชมเอ็นดูเพราะเห็นว่าคชาหรือบุคคลที่เต๋าแกล้งบอกว่าเป็นญาติผู้น้องนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมาก

       

       

      พี่เต๋าต๋าว~” เสียงใสเรียกคนตัวสูงที่นั่นคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านมาแต่ไกล

       

      ว่ายังไง..เจ้าจะเอาอะไร” ร่างสูงหันมายิ้มเหมือนคชามาถึงและตรงเข้ามาเกาะแขนเอาหัวถูไหล่อย่างออดอ้อน

       

      ไปเต้นรำกับข้าหน่อยสิ”

       

      ไม่เอา ข้าเต้นไม่เป็น” เต๋าส่ายหัวปฏิเสธ

       

      นะพี่เต๋า ไปเต้นกับข้าหน่อย นะนะนะน้า” คนตัวเล็กไม่ละความพยายาม ทั้งออดอ้อนช้อนตาใสๆ มองจนในที่สุดคนที่บอกว่าไม่ไปก็ยอมใจอ่อน

       

      ก็ได้ๆ ข้ายอมให้เจ้าครั้งเดียวนะ”

       

      เย้ๆๆ ไปเร็ว” จิ้งจอกน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเต๋าถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาปนขำ

       

       

      ช่วงสนุกสนานดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนงานเลี้ยงเลิกราเต๋าแบกคชาไว้บนหลังเพราะคนตัวเล็กแทบจะหมดสติเดินตุปัดตุเป๋เนื่องจากน้ำลูกท้อหมักกับข้าวที่ใครๆ ก็ต่างเอามาให้ดื่ม

       

      ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนนะท่านหัวหน้า” เต๋าบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านชายแก่พยักหน้าน้อยๆ

       

      ได้สิ..เจ้าหมาน้อยของเจ้าช่างซุกซนเหลือเกินนะ พากันกลับไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้มาหาข้าหน่อย”

       

      ขอรับ” เต๋าพยักหน้ารับก่อนเดินกลับบ้านทิ้งให้ชายแก่มองตามหลังไปด้วยสายตาเป็นห่วง

       

      ห้วงเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งกว่าลมพัดทิวไผ่.....ความรักที่เป็นไปไม่ได้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก” ผู้เฒ่าพึมพำกับตนเองเบาๆ สายตาคมที่มองผ่านโลกมายาวนานย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรแม้มองแค่แวบเดียว

       

       

      ร่างสูงวางคนตัวเล็กลงบนเตียงไม้หลังใหญ่ก่อนจะตักน้ำสะอาดใส่อ่างกลับมาพร้อมผ้าขาว เขาเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วจัดการถอดเสื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คชา เขาอยู่กับคชามาเกือบ10 เดือน แผลที่ไหล่ของคชาก็ยังไม่หายสนิท ดอกไม้ที่นำมาปลูกเจริญงอกงามดีหากแต่มันไม่ยอมออกดอกไม่ว่าจะทำเช่นไร เขาลงน้ำหนักมือแผ่วเบาบนหัวไหล่ขาวอมชมพู แม้จะรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นรอยแผลก็กังวลใจอย่างยิ่งไม่รู้จะทำเช่นไรได้ให้คชาหายจะอาการเจ็บปวดเสียที

       

       

      ในระหว่างที่ร่างสูงค่อยๆ เช็ดตัวให้อยู่นั้นคนตัวเล็กก็กระพริบเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง สายตาที่มองมานั้นเชื่อมหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งบริสุทธิ์ ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ งดงามราวกับดอกไม้ที่ผลิบานทำเอาหัวใจชายหนุ่มกระตุกไหว

       

       

      พี่ต๋าว~”คชาเรียกเสียงหวาน

       

      ว่ายังไงหืม..”

       

      ทำไมพี่ยังไม่นอนอีก”

       

      ข้าเช็ดตัวให้เจ้าอยู่เห็นไหม เจ้าดื่มจนเมามากเลยข้ากลัวเจ้าหลับไม่สบาย” ร่างสูงเอ่ยอย่างอ่อนโยน

       

      ขอบคุณท่านมากนะ ท่านช่างดีกับข้าจริงๆ ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไรเลย” มือเรียวลูบไล้ไปบนแขนแกร่งเบาๆ

       

      ไม่ต้องตอบแทนข้าหรอก ข้าเต็มใจทำให้เจ้า เจ้านอนเถอะคชา”

       

      ข้าไม่ง่วงแล้ว” คนตัวเล็กลุกขึ้นมานั่งมองหน้าเต๋า

       

      นอนซะเด็กดี อย่าดื้อสิ”

       

       

      ร่างสูงดันให้คชาล้มตัวลงนอนแต่อาจจะด้วยฤทธิ์ของสุราหรืออะไรก็ช่างจึงทำให้คชาทำในสิ่งที่ร่างสูงต้องพรั่งพรึงหวั่นไหว คชาโอบรอบคอแกร่งแล้วมอบจุมพิศแผ่วเบาให้กับคนที่พยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก ควบคุมทั้งตัวและหัวใจไม่ให้คิดเกินเลย

       

       

      แต่สัมผัสแผ่วเบานั้นมันนุ่มนวล หอมหวาน ชวนให้หลงไหลเกินกว่าที่เขาจะทนทานได้ไหว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงถูกปัดทิ้งไป ร่างสูงบดเบียดจุมพิตที่ร้อนแรงยิ่งกว่าลงไป ขบกัดที่ริมฝีปากล่างให้เปิดออกน้อยๆ ก่อนจะเข้าไปสำรวจ ควานหาความหวานภายในเนิ่นนานจนพอใจก่อนจะผละออกมา

       

       

      พอแล้ว...เจ้านอนซะ หยุดก่อน เจ้าไม่รู้ตัวว่าเจ้ากำลังทำอะไรหรอก” ร่างสูงก้มลงมองคชาที่นอนหอบหายใจใบหน้าแดงเรื่อ

       

      ข้า..ข้า” ร่างบางผู้อ่อนเดียงสาไม่รู้สักนิดว่าการกระทำและความรู้สึกของตนมันจะปลุกเร้าสัญชาตญาณของชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน

       

      นอนซะเถอะคชา” เต๋าบอกอย่างยากลำบาก แค่ในทุกๆ วันต้องนอนร่วมเตียงไม่แตะต้องร่างบางเขาก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ยังดีที่ตอนนี้เขาฉุดรั้งตัวเองเอาไว้ได้

       

      ข้าไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรจริงเหรอ....ข้าว่าข้ารู้นะ”

       

      รู้อะไรกัน ไหนบอกมาซิ”

       

      ข้ารู้สึกว่าหัวใจของข้ามันเต้นดัง มันเรียกร้องจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว”

       

      เรียกร้องอะไร”

       

      ข้า...หัวใจข้ามัน..เรียกแต่ท่าน มันเรียกร้องหาแต่ท่าน มันต้องการท่าน” คนที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเองอย่างไรก็ยังซื่อตรงอยู่อย่างนั้น

       

      หยุดพูดเถอะ”

       

      ท่านบอกให้ข้าหยุดอีกแล้ว ข้าพูดความจริงนะ”

       

      เจ้าเมามากแล้ว นอนเถอะ”

       

      ข้าไม่เมานะ..ข้าพูดจริงๆ ข้า....อึดอัด ข้าต้องบอกท่าน”

       

      เจ้าจะบอกอะไร ไหนว่ามาซิ”

       

      ข้ารักท่าน”

       

       

      ยิ่งคนตัวเล็กพร่ำเพ้อมากเท่าไหร่ร่างสูงยิ่งทนไมไหว ความอดทนที่มีอยู่เพื่อรั้งสติอันน้อยนิดต้องขาดสะบั้นลงเพื่อคำพูดประโยคนั้น......

       

       

      ค่ำคืนอันแสนยาวนานอบอวลไปด้วยคำรัก แม้ลมหนาวจะพัดผ่านมาอีกครั้ง แม้หิมะแรกเริ่มขอฤดูจะโปรยปรายลงมาแต่ในที่แห่งนี้อบอุ่นอย่างน่าประหลาดเมื่อร่างสองร่างตระกองกอด สองหัวใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

       

       

      ข้าก็รักเจ้าคชา”

       

       

      เช้าแรกของฤดูหนาวคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดอุ่นของคนตัวโตอย่างสุขใจ ความทรงจำที่แสนอาจหาญของตนเองกลับคืนมาในสมองทำให้คชาไม่สามารถนอนมองหน้าเต๋าอยู่ได้ ต้องพลิกตัวกลับไปอีกทางด้วยความเขินอาย สายตาจึงพลันเหลิบไปเห็นดอกตูมของกุหลาบขาวหิมะโผล่ขึ้นมา

       

       

      พี่เต๋า! ตื่นเถอะ”

       

      หืม~” ร่างสูงงัวเงียตื่นขึ้นมา

       

      ดูสิๆ มันออกดอกแล้วล่ะ มันออกดอกแล้ว”

       

       

       

      ทุกวันทั้งสองคนช่วยกันดูแลดอกไม้นั้นอย่างดีเพื่อรอเวลาให้มันผลิบาน เต๋านั้นหวังว่าจะใช้มันช่วยรักษาคนรักแต่คชากลับคิดต่างกัน คนตัวเล็กหวังเพียงอยากเห็นมันผลิบาน เพราะมันเป็นดอกไม้ที่สำคัญเป็นตัวแทนของตนและเต๋า คชาจึงไม่อยากเด็ดมันลงมา คนตัวเล็กจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจวบจนเต๋ากลับมาจากไปหาหัวหน้าหมู่บ้านคชายังไม่รู้สึกตัวเพราะเอาแต่เหม่อลอย

       

       

      คชา”

       

      พี่เต๋า~ กลับมาแล้วเหรอ ข้ารออยู่พอดีเลย ข้าว่านะดอก..”

       

      เดี๋ยวก่อน” ยังไม่ทันพูดให้จบประโยคเต๋าก็พูดแทรกขึ้นก่อน

       

      มีอะไรเหรอเปล่า ทำไมท่านทำหน้าอย่างนั้น” เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของร่างสูงคนตัวเล็กจึงถามด้วยความเป็นห่วง

       

      ข้าขอถามเจ้า ขอถามให้แน่ใจ”

       

      อะไร”

       

      เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงใช่หรือไม่”

       

       

      คำถามที่เอ่ยออกมาทำเอาคชานิ่งอึ้งค้างไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเต๋ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่หากจะปกปิดต่อไปก็คงไม่ได้เพราะคชาเองก็ไม่อยากปิดบังเต๋าอีกแล้ว

       

       

      ว่ายังไง เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงหรือเปล่า”

       

      ข้า...ข้า”

       

      บอกข้ามา”

       

      ใช่..ข้าเป็น” เมื่อล่วงรู้ความจริงคนตัวสูงก็เงียบไปพัก

       

      เจ้า..”

       

      พี่เต๋าข้าขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจจะหรอกท่านนะ ..ข้า....” คชายังไม่ทันจะแก้ต่างให้ตัวเองจบมือหนาก็กระชากคชาเข้ามากอดไว้แนบอกทันที

       

      ทำไมกัน...ทำไมต้องเป็นอย่างนี้” เต๋ารำพันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดแน่น

       

      พี่เต๋า..ท่านไม่โกรธข้าเหรอ” คชาถามอย่างไม่เข้าใจ

       

      ไม่...ข้ารักเจ้า..ไม่ว่าเจ้าเป็นอะไรข้าก็รัก หากแต่ช่างโชคร้ายนัก”

       

      มีอะไรเหรอ” คนตัวเล็กดันตัวเองออกจากอ้อมกอดแล้วมองคนตรงหน้า

       

      คชา...หากเจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงจริง ข้า...ข้าเสียใจด้วยนะ”

       

      มีอะไร”

       

      พวกในเผ่าของเจ้า ถูกพวกนักพรตชั้นเลวพวกนั้น.....สังหารสะกดวิญญาณหมดแล้ว รวมทั้งแม่ของเจ้าด้วย”

       

      ท่านว่ายังไงนะ ไม่จริงใช่ไหม ไม่จริงใช่ไหม!”

       

       

      จิ้งจอกเพลิงตัวสุดท้ายคร่ำครวญราวกับจะขาดใจ น้ำตาที่ไหลหยดลงมาแทบเปลี่ยนเป็นสายเลือด ร่างกายสั่นทึมจนคุมตัวเองไม่อยู่หมดสติไปทันที

       

       

      จวบจนผ่านไปหลายชั่วยามคนตัวเล็กจึงฟื้นขึ้นมาและพบกับคนรักที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ข้างเตียง เมื่อเห็นคชาฟื้นขึ้นมาแล้วเต๋าก็เตรียมจะบอกเรื่องที่เร่งด่วนสำคัญก่อน

       

       

      คชาเจ้าฟื้นแล้ว”

       

      พี่เต๋า...ฮึก...แม่ข้า”

       

      อย่าร้องไปเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าจะอยู่กับข้า เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดข้าสัญญา

       

      ขอบคุณนะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นโผกอดคนรักแน่น

       

      แต่คชา ฟังข้าก่อนนะ”

       

      มีอะไรเหรอ” คนตัวเล็กเช็ดน้ำตาแล้วมองรอคอยด้วยใจจดจ่อ

       

      คือท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าพวกนักพรตเลวเหล่านั้นจะเดินทางมาตามหาจิ้งจอกเพลิงตัวสุดท้าย และกำลังมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านของเรา”

       

      แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี”

       

      ท่านหัวหน้าบอกให้ข้าตบตาพวกมันด้วยการ...”

       

      ด้วยอะไร”

       

      ด้วยการสะกดเจ้าไว้ในรูปภาพ”

       

      สะกดไว้ในรูปงั้นเหรอ”

       

      ใช่...ข้าจะเป็นคนสะกดเจ้าและจะเป็นคนคลายสะกดให้เจ้าเองเมื่อพวกมันไปแล้ว”

       

      เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าไว้ใจท่าน” คชายอมตกลงโดยไม่ลังเลแม้สักนิดเดียว

       

       

      วันเวลาล่วงเลยไปใครจะรู้ เมื่อจิ้งจอกเพลงถูกคนรักสะกดไว้ในรูปภาพเพื่อความปลอดภัยจากศัตรู ชายตัดฟืนสัญญาว่าจะกลับมาแต่ผ่านไปเป็นพันปีก็ยังไม่กลับมา เพราะระหว่างทางที่พวกนักพรตมาสำรวจในหมู่บ้านและไม่พบเจออะไรพวกนั้นก็เตรียมตัวจะกลับ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างหนัก เต๋าชายหนุ่มผู้โชคร้ายถูกขอให้นำทางออกไปเพื่อส่งพวกนักพรตออกจากหมู่บ้าน

       

       

      ข้าสัญญาจะกลับมาคลายสะกดให้เจ้าทันที ที่ไปส่งพวกมันออกจากหมู่บ้านแล้ว ข้าสัญญา

       

       

      ใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นคำสุดท้ายที่ได้ยิน หลังจากที่ส่งพวกนักพรตไปแล้วเกิดพายุหิมะขึ้นอีกระลอก และครั้งนี้มันคร่าชีวิตและคำสัญญาของชายตัดฟืนไปตลอดกาล

       

       

       

       

       

      ผ่านมานับพันปีคชายังคงรอทั้งที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าชายหนุ่มที่รอได้ตายจากไปนานแล้ว ข้างนอกมีพายุฝนไม่รู้จากไหนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักลมพัดให้ประตูศาลเปิดออกอย่างแรง แต่นอกเหนือจากลมยังมีใครสักคนวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามา

       

       

      แต่เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ชายที่กำลังใช้แขนเสื้อเช็ดใบหนาคนนั้นก็ทำให้ดวงตารีของคชาต้องเบิกกว้าง หัวใจที่เต้นมากว่าพันปีตอนนี้สั่นระรัวราวกับกล้องที่ลั่นในสงคราม หยาดน้ำตาที่คิดว่าหลั่งออกมาจนเหือดแห้งไปนานแล้วทะลักออกมายิ่งกว่าทำนบแตก

       

       

      เป็นท่านจริงๆ ใช่ไหม.....ท่านพี่...เป็นท่าน...” เสียงที่เปล่งออกมาคล้ายจะแผ่วเบาแต่และไม่ควรที่คนข้างนอกรูปภาพจะได้ยิน แต่เสียงนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่หันไปมอง

       

      ใครน่ะ” ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้รูปภาพที่แขวนเด่นอยู่ ยิ่งได้ยินชัดเจน

       

      พี่เต๋า...อึก...พี่เต๋า...ท่านกลับมา” ภาพที่คชาเห็นมันชัดเจนเมื่อใบหน้าของเต๋าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ “ท่านทำตามสัญญา”

       

      ฉันถามว่าเสียงใคร”

       

      พาข้าออกไป....รับข้าออกไปที”

       

       

      คนตัวสูงยืนหยุดที่หน้าภาพวาดโบราณแล้วเพ่งมองอย่างสงสัย เหมือนมีบางสิ่ง เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้รู้สึกถวิลหา บุคคลในภาพคล้ายกับกำลังจ้องมองมาที่เขา แววตาเศร้านั้นทำห้เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

       

       

      ข้ารอท่านมานานแล้ว.....พาข้าออกไปที”

       

       

      ดวงตาคมจ้องมองดวงตาของคนในภาพอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน มือหนาค่อยๆ เอื้อมออกมาราวกับถูกมนต์สะกด ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น

       

      จนในที่สุด.......

       

       

      เมื่อปลายนิ้วสัมผัสที่รูปภาพ ลมฝาจากด้านนอกก็หยุดลงราวกับถูกสั่ง หยุดนิ่งจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือภาพวาดนี้ค่อยๆ เปล่งแสงออกมาจนชายหนุ่มแสบตา ชายหนุ่มยกมือป้องลำแสงนั้นจนมันหายไปเขาจึงหันกลับไปมองอีกครั้งและสบกับนัยตาคู่สวยที่อยู่ในรูปภาพเมื่อครู่

       

       

      พี่เต๋า...” เสียงหวานเรียกแผ่วเบา แล้วร่างเล้กก็โผเข้ากอดคนที่แสนคิดถึงทันที

       

       

      ความเจ็บปวด ทรมานตลอดพันปีที่ผ่านมาสลายและคลายไปหมดสิ้นราวกับไม่เคยเกิดความรู้สึกพวกนั้นขึ้น คชารู้เพียงแค่ไม่ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรเขาจะไม่มีวันแยกจากคนที่เขารักอีก.....

       

       

      แม้จะนานแค่ไหน

      ข้าจะรอ …

      รอท่านตลอดไป

      ความรักของข้าจะยังคงอยู่

      ข้าจะรักษามันไว้เพื่อท่านเพียงคนเดียว

       




       

      ครบแล้ว!!! จุพลุได้ไหม5555
      ในที่สุดก็ลงครบเสียที ยากมากที่จะแต่งเรื่องสั้นในจบในตอนเดียว
      เรื่องสั้นเรื่องนี้ยาวเท่าฟิคธรรมาดาของอิน 4 ตอนรวมกันเลย
      ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันหรือเปล่าเนอะ
      มันเป็น SF ที่แต่งแบบทันทีที่ได้ฟังเพลงประจำเรื่องนี้เลย ฟังปุ๊บพล๊อตมาปั๊บ 5555
      อาจจะขาดๆ เกินๆ บ้าง ต้องขออภัยด้วยนะคะ
      อินมีโครงการจะแต่งเรื่องราวหลังจากนี้ต่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจนะคะ
      เอาเป็นว่า ชอบไม่ชอบก็คอมเม้นบอกด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ (^O^)
                                                              อินอิน  นา



       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×